Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

คปภ.ไฟเขียว​ ดันค่ายประกันออกประกันภัยฉีดวัคซีนโควิดแล้วแพ้ ต้องคุ้มครอง

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายทะเบียนประกันภัยได้เห็นชอบแบบข้อความและอัตราเบี้ยประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัย กรณีได้รับผลกระทบในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทประกันวินาศภัย 6 บริษัท หลังจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 ล็อตแรกมาถึงประเทศไทย และจะมีการฉีดวัคซีนดังกล่าวให้กับประชาชน

ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการฉีดวัคซีน หากเกิดการแพ้วัคซีนขึ้น คปภ. จึงได้ส่งเสริมให้มีการนำระบบประกันภัยเข้าไปช่วยบริหารความเสี่ยงกรณีเกิดการแพ้วัคซีนขึ้น

สำหรับรายละเอียดความคุ้มครองของประกันภัยแพ้วัคซีนป้องกันโควิด 5 แบบ มีดังนี้

แบบที่ 1 คุ้มครองกรณีผู้เอาประกันภัยได้รับการฉีดวัคซีนและเกิดอาการแพ้ เช่น โคม่า สมองตายและระบบประสาทล้มเหลว

แบบที่ 2 เกิดอาการแพ้ จนต้องคุ้มครองการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน

แบบที่ 3 ให้เงินชดเชยปลอบขวัญสำหรับผู้ป่วยใน หากฉีดแล้วเกิดอาการแพ้

ส่วนแบบที่ 4 ผลประโยชน์เงินชดเชยรายวันจากการเป็นผู้ป่วยใน หากแพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการแพ้หรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19

และแบบที่ 5 ผลประโยชน์การแพ้วัคซีนโควิด-19 หากได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เป็นครั้งแรกว่าแพ้วัคซีนโควิด-19 บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าทดแทนให้ทันที

นายสุทธิพล กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ได้ส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 และพัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความเสี่ยงต่างๆ และประชาชนให้ความสนใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 โดยมียอดซื้อทะลุกว่า 10 ล้านฉบับ และมียอดจ่ายสินไหมทดแทนแล้วกว่า 131 ล้านบาท

เพิ่มอัตราค่าจ้าง 3 กลุ่มแรงงาน สูงสุด 630 บาทต่อวัน

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง เพิ่มอัตราค่าจ้าง 3 กลุ่มแรงงาน สูงสุด 630 บาทต่อวัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้ข้อมูลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการเห็นชอบเพิ่มอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 3 กลุ่มสาขาอาชีพ รวม 13 สาขา ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อให้ลูกจ้างที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติในแต่ละสาขาอาชีพ และแต่ละระดับได้รับค่าจ้างที่เหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับทักษะฝีมือความรู้ความสามารถของตน แต่ทั้งนี้ประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จะมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา

โดยอัตราค่าจ้างแต่ละสาขาอาชีพ มีรายละเอียดดังนี้

1. กลุ่มช่างอุตสาหกรรม ค่าจ้างตั้งแต่ 460 – 630 บาทต่อวัน ได้แก่

1.1 ช่างกลึง

1.2 ช่างควบคุมเครื่องกลึง CNC

1.3 ช่างควบคุมเครื่อง Wire Cut

1.4 ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ

2. กลุ่มช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ค่าจ้างต่อวันตั้งแต่ 440 - 540 บาทต่อวัน ได้แก่

2.1 ช่างไฟฟ้าภายนอกอาคาร

2.2 ช่างโทรคมนาคม (ไมโครเวฟและการสื่อสารดาวเทียม)

2.3 ช่างควบคุมด้วยระบบโปรแกรมเมเบิ้ลลอจิกคอนโทรลเลอร์ (Programmable Logic Controller: PLC)

2.4 ช่างไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมการจัดประชุม การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล และการแสดงสินค้า (MICE : Meeting Incentives Conventions Exhibitions)

2.5 ช่างติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์

3. กลุ่มช่างเครื่องกล ค่าจ้างตั้งแต่ 415 – 430 บาทต่อวัน ได้แก่

3.1 พนักงานควบคุมเครื่องจักรรถยกไฟฟ้า

3.2 พนักงานควบคุมเครื่องจักรรถยกใช้เครื่องยนต์

3.3 ช่างตั้งศูนย์และถ่วงล้อรถยนต์

3.4 ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์

และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจาก กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือโทร. 02 6182323

(หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี)​


ที่มา: https://www.antifakenewscenter.com/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-3-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-630-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/

ทนายยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัว 4 แกนนำราษฎรอีกครั้ง หลัง 8 กปปส. ได้ประกันตัวพ้นคุก

วันนี้ (26 ก.พ. 2564)​ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทีมทนายความแกนนำกลุ่มราษฎร เดินทางมายื่นอุทธรณ์ขอประกันตัว นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม 4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร ที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่ได้รับการประกันตัว หลังถูกยื่นฟ้องคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดตาม ป.อาญา ม.112 ม.116 และข้อหาอื่น

นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า การเดินทางมาในวันนี้ เพื่อต้องการยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวจำเลยทั้ง 4 คนอีกครั้ง หลังจากที่อดีตอธิบดีการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นขอปล่อยชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

การยื่นอุทธรณ์ครั้งนี้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งตามปกติแล้วการไม่ให้ประกันตัวจำเลยมี 4 ข้อ คือ

1.) จำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี แต่ในกรณีนี้ 4 แกนนำ ไม่มีพฤติการณ์ดังกล่าว ทั้ง 4 คน มีที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่ง มีอาชีพชัดเจน

2.) หลักประกันไม่น่าเชื่อถือ แต่ในกรณีนี้ได้ยื่นหลักทรัพย์คนละ 4 แสนบาท โดยมีบุคคลเป็นถึงระดับอดีตอธิการบดี และอดีตคณบดีมหาวิทยาลัยชั้นนำ อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมยื่นประกันตัว ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีอาชีพดีและมีเกียรติ ประวัติไม่เคยด่างพร้อย ทำหน้าที่ค้ำประกัน ยืนยันได้ว่า ทั้ง 4 คน มีหลักทรัพย์น่าเชื่อถือ และไม่หลบหนีคดี

3.) การไม่ให้ประกันเนื่องจากจำเลยจะเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐาน แต่คดีนี้หลักฐานหรือสำนวนอยู่ที่พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นพนักงานตำรวจ จำเลยทั้ง 4 ไม่มีโอกาวเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว

และ 4.) คดีนี้ศาลยังไม่พิพากษาถึงที่สุด จำเลยทั้ง 4 คนควรได้โอกาส ได้อิสรภาพ ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

สำหรับกรณีที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตประกันตัว 8 อดีตแกนนำ กปปส. นั้น นายนรเศรษฐ์ มองว่า เป็นบรรทัดฐานที่ดีให้กับคดีการเมืองอื่นๆ พึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกลุ่มแกนนำราษฎร คดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาว่ามีความผิด จึงทำให้ตนและจำเลยทั้ง 4 คนมีความหวังว่าศาลอุทธรณ์จะให้ความเป็นธรรม อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยได้

'ตัดหนี้​ -​ ต่ออนาคต'​ 'ตารางชีวิต'​ เรื่องใหญ่ที่ต้องเริ่มคิดในยุคโควิด

รู้สึกอับจนหนทางในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไหม?

ถ้าใครไม่เคย​ อาจเฉย​ๆ!!

แต่คนที่กำลังประสบอยู่​ นี่มันอาจเป็นอีกช่วงเลวร้ายของชีวิต

คนไม่น้อยต้องตกงาน หางานใหม่ก็ยาก แถมยังมีภาระข้างหลังตามมาอีกเพียบ ไหนจะหนี้บ้าน หนี้รถ และอีกสารพัดหนี้​ เรียกว่างานไม่มี เงินไม่มา​ รอเวลาพาหมดตัว​ เครียดวุ้ย!!

…แล้ววิธีแก้ความอับจนต่อปัญหาแบบไหนที่เหมาะสุดในตอนนี้?

ถ้าคุณเป็นคนที่เข้าใจเรื่องการเงิน หรือโชคดีได้เรียนรู้เรื่องการเงินในระดับหนึ่งจะรับรู้ได้เลยว่าวิกฤติโควิด-19 มันรุนแรงกว่าวิกฤติปี 40 อย่างมาก เพราะมันเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ หรือวิกฤติสุขภาพที่ไปทับซ้อนกับวิกฤติของการเงิน

ความยากของมันเป็นเรื่องของ ‘ความไม่ชัดเจน’ อย่างปี 40 เรารู้ว่าธุรกิจใหญ่ๆ ล้ม เศรษฐีลำบาก แต่คนทั่วไปยังออกไปทำมาหากินได้

กลับกันตอนนี้ โควิด-19 มันทำให้คนกลาง-ล่างขยับตัวยาก​ หลายคนต้องหยุดทุกเรื่อง เศรษฐกิจของฐานนี้ชะงัก​ โดยที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อไรด้วย!!

เมื่อมันไม่มีความชัดเจนอะไรเลย 'ทางรอด'​ ของคนทั่วไปแบบหาเช้ากินค่ำ​ มันเลยแคบลง​ แคบลง​ และแคบลง

แต่เอาจริงๆ​ ทุกปัญหาล้วนมีไว้ให้แก้​ อยู่ที่มองออกว่าควรแก้ด้วยวิธีหรือเหตุผลใดแค่นั้น??

ผมเคยคุยกับพี่หนุ่ม ‘จักรพงษ์ เมษพันธุ์’ แห่ง The Money Coach ซึ่งพี่เขาเป็นโค้ชการเงินสายอินดี้ที่เอาหลักชีวิตมาแชร์​ และในช่วงโควิด-19 ระบาดแรงๆ​ พี่เขาก็แนะนำทางรอดในช่วงวิกฤติไว้ได้น่าสนใจมาก

เขาบอกให้คนที่กำลังลำบาก​ เงินหดหาย​ หนี้กระจาย​ ลอง​ 'กางตารางชีวิต'​ ออกมาก่อน และเริ่มต้นที่วางแผนจัดการเงินของตัวเองใหม่​ สัก 6​ เดือนต่อจากนี้​ (จะมากกว่านี้ก็ยิ่งดี)​

เฮ้ย!! ฟังดูแปลก​ๆ​ ทำไมไม่สอนวิธีให้หาเงินเพิ่มหว่า??

ที่เป็นแบบนั้น​ เพราะคนที่เจอวิกฤติ​ มักจะคิดไม่ออกว่า​ จะหาเงินเพิ่มยังไง​ มันจะมืดแปดด้าน​ แล้วยิ่งสถานการณ์แบบนี้ด้วยยิ่งโคตรยากเข้าไปใหญ่

ฉะนั้นต้องดึงสติให้กลับมามอง​ 'ความจริง'​ แทนว่า​ ในวันที่เงินเริ่มร่อยหรอ​ เราต้องใช้ชีวิตต่อแบบไหนในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้…เราต้องมีค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละวันยังไงบ้างจากเงินที่เหลืออยู่​ อันนี้แหละโคตรสำคัญ!!

ยกตัวอย่าง หากเรามีค่ากินอยู่ที่วันละ 200 บาท เดือนนึงก็ต้องเก็บไว้เฉพาะค่ากิน 6,000 บาท ทำแบบนี้ไปยาวๆ​ ใน​ 6​ เดือนข้างหน้า

โดยส่วนตัวแล้ว​ พี่หนุ่มอยากให้เน้นที่ค่ากินอยู่ไว้ก่อน เพราะประสบการณ์ปี 40 บอกเขาว่า ถ้าท้องมันว่าง มันจะทำอะไรต่อไม่ได้ (เรื่องนี้จริง)​

ทีนี้ก็อาจจะมีบางคนมองว่า 'ค่ากินอยู่'​ มันพอจัดการไหว​ แต่ถ้ามีหนี้ติดตัว จะทำยังไง?

สั้นๆ​ เลยครับ​ 'ตัด'​ มันไปเลย!!

สถานการณ์แบบนี้​ สิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต ต้องตัดออกให้หมด​ เช่น ถ้ามีรถต้องผ่อน​ ขายได้ขาย​ เพราะมันคือภาระ!! กลับมาใช้วิธีเดินทางสาธารณะบ้าง​ อย่าได้อาย!!

ถ้าบ้านของคุณพอจะมีมูลค่า​มหาศาลระดับหนึ่ง การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเก็บไว้ในมือตอนนี้​ ทำมันซะ!! แล้วหาที่อยู่ใหม่ที่อาจจะไม่ดูดีเหมือนเก่า​ แต่เราอยู่กันได้​ ก็ลองซะหน่อย!!

ส่วนบางคนอยู่บ้านเช่า​ นาทีนี้ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ก็ไปยกมือไหว้เจ้าของบ้าน แล้วบอกไปตรงๆ เลยว่าเดือนนี้ไม่มีจริงๆ

ถ้าติดหนี้บ้าน หนี้รถ ก็เดินตรงเข้าไปสาขาธนาคารแล้วบอกว่า​ ขอให้ช่วยผ่อนผันหน่อย จะหยุดส่งต้น ส่งดอก กี่เดือนก็ว่าไป หรือจะลดวงเงินผ่อน ลดดอกเบี้ยก็เจรจาเลย

นาทีนี้ทำได้ เชื่อสิ!! แต่ถ้าไม่พูด ก็ต้องทำตามระเบียบ และถ้าทำไม่ได้ แบบนี้แหละจะเสียเครดิต

ถ้าเป็นการออมเงินฝากที่ส่งอยู่ประจำ หรือ ซื้อหุ้นไว้เดือนละเท่าไร ตอนนี้ตัดได้ตัดก่อน เพราะเชื่อเถอะว่าโอกาสเดือดร้อนในอนาคตข้างหน้ามีสูง​ เอาเงินมาใช้เพื่อวันนี้ก่อน

หรืออย่างประกันเนี่ยะ คลาสสิคเลย เพราะบางคนกลัวขาดประกัน แต่จริงๆ แล้วตอนนี้หลายๆ บริษัทเขาให้เราไปเจรจาเพื่อผ่อนปรนได้หมด เช่น ถ้าใครถึงงวดที่จะต้องจ่ายแล้วไม่มีเงินจ่าย ก็ไปบอกเขา เขาให้เลื่อนไป 120 วันหรือ 90 วัน โดยความคุ้มครองยังเหมือนเดิม

ทั้งหมดทั้งมวล มันคือการ​ 'ตัด​เพื่อต่ออนาคต'​ ที่โฟกัสกลับมาสู่ปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิต อันนี้สำคัญจริงๆ​ นะ

แต่ก็อย่างที่บอก​ การที่เราจะรู้ว่าควรทำอะไรกับชีวิตต่อจากนี้​ได้นั้น​ มันต้องกางตารางชีวิตออกมาก่อน แล้วคุณจะรู้ว่าอนาคตต่อจากนี้​ ต้องใช้เงินหรือหาเงินไว้เท่าไร ซึ่งมันอาจจะดึงมาจากเงินเดือน เงินเก็บ เงินจากการขายสินทรัพย์​ หรือคนที่ตกงาน ก็ดึงจากเงินค่าชดเชยตกงานของบริษัท เงินชดเชยจากประกันสังคม หรือเงินเยียวยาจากภาครัฐก็ได้ทั้งนั้น

นาทีนี้ ใครที่กำลัง ‘อับจนหนทาง’ ต้องหายใจลึกๆ มีสติเข้าไว้ แล้วไปหาสมุดหรือกระดาษมากาง จากนั้นมาลองไล่จดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าติดฝาบ้านไว้เลย อย่าใช้สมองจำ เพราะสมองคนเราในยามเจอวิกฤติชีวิต มันจะจำไม่ได้ทุกเรื่อง

ใครจะเชื่อหรือไม่ อันนี้ก็ตามแต่วิจารณญาณ แต่ส่วนตัวผมอยากให้ลองทำ เพราะต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าภาวะโรคระบาดเนี่ยถ้าเทียบความรุนแรง ก็เป็นรองเพียงแค่สงครามเท่านั้นเองนะขอรับ…

และนั่นก็จะทำให้เราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเก่าก่อนอีกนานพอดู...

"เติบโต" เป็นความสุข | Click on Clear The Word EP.3

ตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ชอบถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร แต่วันนี้ค้นพบแล้วว่าโตขึ้นเป็นความสุขคือสิ่งที่สำคัญกว่าว่าเป็นอะไร

.

 

.

 

.

 

วิกฤติการเมืองหลังปฏิวัติฝรั่งเศส | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร : EP.9

หน้าประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่นำมาสู่การปฏิวัติมามากมาย แต่หลังจากปฏิวัติฝรั่งเศสแล้วสภาพการเมืองเป็นอย่างไรกลับไม่ค่อยปรากฏ ซึ่งข้อเท็จจริงพบว่าหลังจากปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดวิกฤติทางการเมืองและแย่งชิงอำนาจมากว่า 70 ปี กว่าจะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ

.

 

Milk Tea Alliance พันธมิตรชานมแห่งเอเชีย ประกาศนัดรวมพลชาวเน็ตทั่วเอเชีย แสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการทหารในพม่าผ่านทางทวิตเตอร์พร้อมกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป

และจะเป็นการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในการแสดงพลังของเยาวชนชาวโซเชียลอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งที่ไต้หวัน ฮ่องกง ไทย พม่า และอีกหลายประเทศในย่านอาเซียน โดยมีอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย ต่อต้านกลุ่มอำนาจนิยมเป็นแรงขับเคลื่อนร่วมกัน

การประกาศนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรชานม เกิดขึ้นหลังจากที่มีข่าวการมาเยือนไทยของนาย วันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลทหารพม่า เพื่อประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการร่วมกับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย และ นางเร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังมีคิวเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อีกด้วย

แม้จุดประสงค์ของการมาเยือนนั้นเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในพม่า และหาทางออกอย่างสันติวิธี แต่การเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมของไทยครั้งนี้ ได้รับกระแสวิจารณ์ในแง่ลบค่อนข้างมาก ในประเด็นที่รัฐบาลไทยเป็นผู้เชิญทางฝ่ายรัฐบาลพม่า ทำให้ถูกโยงว่ารัฐบาลไทยได้รับรองรัฐบาลทหารพม่าที่เพิ่งผ่านการทำรัฐประหารมา รวมถึงที่มาของ พลเอก ประยุทธ์ ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะ คสช. ที่เคยทำรัฐประหารมาก่อน

จึงกลายเป็นที่มาของการนัดระดมพลในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ผ่านทาง Twitter ของกลุ่มพันธมิตรชานม ให้ออกมาเคลื่อนไหวทางโลกโซเชียล เพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมในพม่า หลังจากที่มีการพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างฝ่ายรัฐบาลทหารพม่าและผู้นำไทย เพื่อกดดันกลุ่มผู้นำประเทศอาเซียนให้เคารพผลการเลือกตั้งของชาวพม่า

และตั้งใจให้เป็นการแสดงพลังคู่ขนานไปกับการนัดชุมนุมของในประเทศไทย และพม่าในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งทางเพจพันธมิตรชานมได้ส่งข้อความถึงกลุ่มนักเคลื่อนไหวในไทยทั้ง กลุ่มเยาวชนปลดแอก กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มนักเรียนเลว กลุ่มพันธมิตรชานมแห่งประเทศไทย รวมถึงกลุ่มพันธมิตรในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย และล่าสุด พม่า ภายใต้สโลแกน "Make Milk Tea and End Dictatorship 28.2.2021"

จุดเริ่มต้นของพันธมิตรชานม เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2653 จากกระแสดราม่าในโลกอินเตอร์เนตของชาวจีน เกี่ยวกับรูปภาพของนักแสดงหนุ่มชาวไทย ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี ที่ได้รีทวิตภาพถ่ายอาคาร 4 แห่งของช่างภาพคนหนึ่งและได้ระบุว่าหนึ่งในนั้นถ่ายที่ประเทศฮ่องกง สร้างความไม่พอใจอย่างมากในกลุ่มแฟนคลับชาวจีนที่อ้างฮ่องกงเป็นประเทศเอกราช ซึ่งนักแสดงหนุ่มก็ได้ขอโทษที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และลบทวิตไป

แต่เรื่องไม่จบง่ายๆ เมื่อชาวเน็ตจีนยังตามขุดต่อ และได้พบทวิตเตอร์ของ นิว วีรญา สุขอร่าม แฟนสาวของหนุ่มไบร์ท ที่ใช้ชื่อใน IG และ Twitter ว่า nnevvy เคยรีทวิตข่าวที่กล่าวหาว่าไวรัส Covid-19 ถูกปล่อยจากแล็บในอู่ฮั่น เลยยิ่งทำให้กระแสลุกลามใหญ่โตในจีน ถึงขั้นติด #nnevvy และจะแบนผลงานของหนุ่มไบร์ท

จึงเกิดเป็นสงครามระหว่างชาวเน็ตไทย และ จีนอย่างดุเดือด จนดึงให้ชาวเน็ตในฮ่องกง และไต้หวันออกมาร่วมรบกันในสงครามคีย์บอร์ดจนชาวเน็ตจีนต้องล่าถอย และกลายเป็นที่มาของ Milk Tea Alliance พันธมิตรชานมขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องจากทั้ง 3 ชาติมีเอกลักษณ์ และความชอบในการดื่มชานมคล้ายๆ​ กัน

ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการรวมกลุ่มกันแบบเฉพาะกิจ​ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดึงให้แกนนำตัวหลักในฮ่องกงอย่าง โจชัว หว่อง ได้มารู้จักกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวในไทยจากกระแสของพันธมิตรชานม

ต่อมามีการขยายกลุ่มพันธมิตรเพิ่มเติม เมื่ออินเดียและจีนเกิดข้อพิพาทในเขตชายแดนเทือกเขาหิมาลัย ที่นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงจนสูญเสียชีวิตทหารทั้งสองฝ่าย เป็นชนวนเหตุให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าจีนในอินเดีย และกลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรชานมร่วมกันในที่สุด

และจากกลุ่มพันธมิตรชานมในโลกเสมือน ก็พัฒนาสู่เวทีจริงในช่วงเดือนตุลาคม 2563 เมื่อเกิดเหตุการณ์ชุมนุมครั้งใหญ่ในประเทศไทย เรียกร้องการปฏิรูปสถาบัน และต่อต้านรัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ากลยุทธ์ในการชุมนุมในไทย มีรูปแบบโมเดลคล้ายๆ​ กับการชุมนุมใหญ่ในฮ่องกงที่เคยเกิดขึ้นในปี 2562

เนื่องจากมีการถ่ายทอด "know - how" รูปแบบกลยุทธการจัดชุมนุมแบบใหม่ การใช้แฟลชม็อบ การใช้รหัสลับ การนัดชุมนุมผ่านโซเชียลมีเดียแบบรายวัน การใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ​ ในการสื่อสาร หรือแม้แต่การป้องกันตัวเองหากถูกสลายการชุมนุมด้วยแก๊ซน้ำตา จากกลุ่มแกนนำในฮ่องกงผ่านเครือข่ายพันธมิตรชานม นั่นเอง

และกลุ่มพันธมิตรชานม ก็มีแนวโน้มขยายตัวขึ้นในกลุ่มเยาวชนที่นิยมเล่นโซเชียลในประเทศย่านเอเชีย ที่มักมีปัญหากับจีนไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ เขตพรมแดน การแบ่งปันทรัพยากรธรรมชาติ หรือการเอาเปรียบด้านการค้า

ดังนั้น การรวมกลุ่มกันในโลกโซเชียลของพันธมิตรชานม จึงมีการผสมผสานกันระหว่างแนวร่วมอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่ กับประเด็นเรื่องชาตินิยม สังคม เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์อย่างเข้มข้น และพร้อมที่จะแสดงพลังให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้หากเกิดกระแสการชุมนุมที่จุดติด

เช่นเดียวกับการลุกฮือต่อต้านคณะรัฐประหารในพม่า ประเทศสมาชิกล่าสุดของพันธมิตรชานม ที่ใช้สัญลักษณ์การชู 3 นิ้วเหมือนกับของไทย และมีการแชร์ข่าวสารข้อมูลของกลุ่มเคลื่อนไหวร่วมกันในโซเชียล

และเป้าหมายของกลุ่มคือการผลักดันในเกิด Spring Revolution เช่นเดียวกับที่เกิดกระแสอาหรับ สปริง ในตะวันออกกลาง เริ่มจากการโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่า ที่อาจส่งผลถึงกระแสการต่อต้านรัฐบาลปัจจุบันของไทย และอาจลามต่อไปถึงหลายประเทศในย่านอาเซียนได้

จึงเป็นที่น่าจับตาว่า การนัดแสดงพลังทางออนไลน์ของกลุ่มพันธมิตรชานมอย่างพร้อมเพรียงกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ จะสร้างปรากฏการณ์ได้ขนาดไหนในกระแสโลกโซเชียล และการเบ่งบานของกลุ่มพันธมิตรชานมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ จะส่งผลต่ออิทธิพลของชาติมหาอำนาจของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา และจีนในภูมิภาคย่านเอเชียอย่างไร เป็นสิ่งที่คนทุกรุ่นต้องติดตามกัน


อ้างอิง:

https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4137020

https://twitter.com/alliancemilktea/status/1364888390219497474

https://www.theatlantic.com/international/archive/2020/10/milk-tea-alliance-anti-china/616658/

https://en.wikipedia.org/wiki/Milk_Tea_Alliance

'กรณ์' ขอโอกาสชาวเมืองคอนหวังหยุดวงจรการเมืองเก่า

ช่วงเย็นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมคณะ ร่วมงานวันมาฆบูชา แห่ผ้าขึ้นธาตุ ประจำปี 2564 ที่ลานพระบรมธาตุเจดีย์ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นงานประจำปีของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมพิธี พี่น้องประชาชนก็เข้ามาทักทาย

โดยนายกรณ์ กล่าวกับประชาชนว่า วันนี้เป็นวันดี เป็นวังมงคล พรรคกล้าจึงได้ร่วมพิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ร่วมกับพี่น้องประชาชน เพื่อความเป็นสิริมงคลในการทำกิจกรรมทางการเมือง เป็นบรรยากาศที่ดี และเป็นจุดเริ่มต้นของโค้งสุดท้ายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราช ซึ่งผู้สมัครของพรรคกล้าคือ เบอร์ 1 นายสราวุฒิ สุวรรณรัตน์ ก็ได้ลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องประชาชนต่อเนื่องตลอดหลายเดือน

พรรคกล้าต้องการและตั้งใจจะทำให้การเมืองนครศรีธรรมราชมีความความสร้างสรรค์และพัฒนา เห็นของดีเมืองนครฯ เยอะมาก แต่สิ่งที่ขาดไปช่วงที่ผ่านมาคือความสนใจและการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นนี่คือภารกิจพรรคกล้า และรู้ดีว่าทำไมต้องเลือกตั้งซ่อม ดังนั้นจึงอยากให้ช่วยกันทำงานการเมืองให้ดีขึ้น สร้างสรรค์ขึ้น เป็นประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมากขึ้นด้วยการ กาเบอร์ 1 เพื่อให้คนทั้งพรรคมาช่วยชาวนครศรีธรรมราชทำงาน

“เราเดินหาเสียงกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพราะความท้าทายของเราคือเป็นพรรคใหม่ แต่วันนี้เสียงตอบรับดีมาก กระแสดีกว่าที่เราคาดหวังไว้มาก ต้องบอกว่าเราหวังผลแน่นอนในวันเลือกตั้ง 7 มีนาคมนี้ “ หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว

นายกรณ์ ยังกล่าวถึงแกนนำ กปปส. ที่ถูกดำเนินคดีว่า ก็อยากให้กำลังใจทุกๆ ท่าน และเชื่อว่าหลายคนก็สะเทือนใจที่ต้องเห็นผู้ที่ออกมาต่อสู้ต้องโทษ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ออกมาบอกว่าจะเคารพหลักนิติรัฐ และผลของคำพิพากษา พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดยืนที่ดี ที่จะทำให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้ ก็ขอเป็นกำลังใจ

ส่วนสิ่งที่ไม่อยากเห็นเลยคือผลลัพธ์ภายหลังจากที่ รัฐมนตรีพ้นตำแหน่งไป คือการแก่งแย่งตำแหน่งทางการเมือง มันสะท้อนถึงการเมืองเก่า แต่สิ่งที่อยากเห็นคือความคิดที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ อยากเห็นนายกฯ ใช้โอกาสนี้เลือกคนที่เหมาะสม เข้ามาในตำแหน่งสำคัญ มากกว่าการล็อบบี้กันในกลุ่มเลือกตั้งตามที่เห็นกันในข่าว

“และนี่คือเหตุผลที่ทำให้พรรคกล้ารวมตัวขึ้นมา ด้วยเจตนารมณ์ที่อยากเห็นการเมืองพัฒนา เรามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่มีการเลือกตั้งที่เมืองคอน เขต 3 เป็น โอกาสพี่น้องประชาชนที่จะส่งสัญญาณชัด ๆ ไปเลยว่าเราต้องการ โอกาสที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและเริ่มที่นี่ “อย่าลืมนะครับ 7 มีนา กาเบอร์ 1 สราวุฒิ สุวรรณรัตน์ เลือกคนเดียว ได้พรรคกล้าไปทำงานทั้งพรรค” หัวหน้าพรรคกล้า ย้ำในตอนท้าย

บิ๊กตู่เลื่อนปักเข็มวัคซีนโควิดจากเดิม 28 กุมภาพันธ์

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมณตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เลื่อนการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่สถาบันบำราศนราดูร จากเดิมวันที่ 28 ก.พ.นี้ ออกไปอย่างไม่มีกำหนดนั้น

ล่าสุดสำนักโฆษกสำนักนายกฯรัฐมนตรี ได้แจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มีกำหนดการจะไปฉีดวัคซีน ที่สถาบันบําราศนราดูร โดยนางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เปิดเผยว่า เรื่องการฉีดวัคซีนของนายกรัฐมนตรี ที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการฉีดวันอาทิตย์ ที่ 28 ก.พ. นั้น ยืนยันยังไม่มีกำหนดการไปฉีดวัคซีนดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค เป็นผู้แจ้งขอเลื่อน มายังทำเนียบรัฐบาล ส่วนรายละเอียดนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ชี้แจงเอง

รายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สาเหตุในการเลื่อนการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ของนายกรัฐมนตรีนั้น เกิดจากปัญหาติดขัดในเรื่องของธุรการที่เป็นส่วนของเอกสาร เนื่องจากแอสตร้าเซเนก้าล็อตแรกมาจากประเทศเกาหลี แม้จะผ่านการรับรองจากประเทศต้นสังกัดแล้วก็ตาม แต่เป็นการรับรองให้ทางเกาหลีเท่านั้น การที่ประเทศไทย ตัดยอดนำเข้ามานั้นจึงยัง ไม่มีเอกสารรับรองเป็นทางการจึงอยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการดำเนินการ ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนการฉีดวัคซีนล็อตดังกล่าวออกไปก่อน

ส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีอายุเกิน 60 ปี ต้องเลื่อนฉีดวัคซีนเข็มปฐมฤกษ์ออกไป ส่วนวัคซีนซิโนแวคที่นำเข้าจากจีนนั้น ผ่านการรับรองเป็นที่เรียบร้อยแล้วสามารถดำเนินการฉีดตามกำหนดได้ แต่หากขั้นตอนทางธุรการด้านเอกสารของแอสตร้าเซเนก้า ผ่านขั้นตอนได้ทัน และผ่านขั้นตอนของวิทยาศาสตร์การแพทย์ของไทยแล้ว ก็คาดว่าจะสามารถฉีดได้ทันตามที่ประกาศไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top