Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

ศาสตร์แห่งแผ่นดินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สู่ การพัฒนาบัณฑิตในยุค Disruptive

กลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยมุ่งสู่ Thailand 4.0 ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติระยาว 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) และแผนการศึกษาแห่งชาติ (2560 - 2579) ต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน

เนื่องจากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยที่สำคัญในการนำพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีเป้าหมายของคุณลักษณะของคนไทย 4.0 ต้องเป็นคนไทยที่มีความรู้ มีทักษะและความสามารถสูง มีจิตสาธารณะรับผิดชอบต่อสังคม เป็นคนไทยที่เท่าทันดิจิทัล และเป็นคนไทยที่มีความเป็นสากล

ซึ่งการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การปฏิรูปการเรียนรู้แบบพลิกโฉม การพัฒนาและรักษากลุ่มผู้มีความสามารถสูง ที่เน้นเรื่องของคุณภาพการศึกษา และการศึกษาทุกช่วงวัย สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศที่เป็นรูปธรรม อันประกอบด้วย การสร้างพลเมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน การปฏิรูปการจัดทำหลักสูตร การปฏิรูปอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา การปฏิรูปกระบวนการและวิธีการจัดการเรียนรู้ การปฏิรูปการวิจัย การกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการส่งเสริมการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา อันเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้แบบพลิกโฉม

ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเข้มแข็งของสังคม ความสมดุลของสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหาร จากปัญหาในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา รวมถึงการกำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับประชาคมโลก ตามแนวคิด “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตบัณฑิต โดยจะต้องมีการพัฒนาหลักสูตรที่มีความทันสมัย มีการบูรณาการการเรียนการสอนที่หลากหลายศาสตร์

รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องบูรณาการการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ยุคโลกาภิวัฒน์ และยุคเศรษฐกิจดิจิทัล อันจะนำไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 21 ที่จะสามารถผลิตบัณฑิตที่มีทักษะและความพร้อมในหลากหลายด้านเพื่อการประกอบอาชีพยุคใหม่ การสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะ ตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย ซึ่งประกอบด้วย การปฏิรูปการจัดทำหลักสูตร การปฏิรูปอาจารย์ การปฏิรูปกระบวนการและวิธีการจัดการเรียนรู้ การปฏิรูปการวิจัย การส่งเสริมการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา และการกระจายโอกาสทางการศึกษา ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ

หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศาสตร์แห่งแผ่นดินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นหลักสูตรหนึ่ง ที่มีความยึดหยุ่นต่อการจัดการศึกษา นอกจากจะเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาตรี ซึ่งผู้เรียนต้องเรียนครบถ้วนตามที่กำหนดในหลักสูตรแล้ว ยังได้มีการออกแบบการเรียนการสอนเป็นแบบชุดวิชา (module) ซึ่งเป็นการเรียนระยะสั้นใช้เวลา 1 ภาคการศึกษา (4 เดือน) ในแต่ละชุดวิชามีลักษณะเป็นวิชาชีพที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง เทียบเท่ากับ 20 หน่วยกิต ผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตรในชุดวิชาที่เลือกเรียน และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพหรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ (start-up) ได้

เนื่องจากการเรียนการสอนในแต่ละชุดวิชาเน้นการปฏิบัติจริงในพื้นที่และการปฏิบัติร่วมกับสถานประกอบการการ (work integrated learning) รวมถึงการนำระบบเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อนำไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ หลักสูตรในระดับประกาศนียบัตรนี้เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างคนไทย 4.0 ซึ่งจะนำไปสู่การ Re-skill & Up-skill และการสร้าง New Skill ใหม่ ให้กับผู้เรียนได้ อันจะเป็นอาชีพได้ ซึ่งจะนำเสนอการเรียนรู้แบบบูรณาการเพื่อการพัฒนาคน ในรูปแบบ Non Degree สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต ต่อไป


ที่มา : https://sis.ku.ac.th/

จุรินทร์ นำทีมเอง! ยกทัพประชาธิปัตย์ลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งซ่อมเมืองคอน 27 - 28 ก.พ. พร้อมเตรียมปราศรัยใหญ่ 4 - 5 มี.ค. นี้!

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำทีมกรรมการบริหารพรรค ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.นครศรีธรรมราช เขต 3 โดยทัพใหญ่หาเสียงในช่วงวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายถาวร เสนเนียม ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ นายจุติ ไกรฤกษ์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ นายอลงกรณ์ พลบุตร นายนราพัฒน์ แก้วทอง นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายประกอบ รัตนพันธุ์ นส. พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแกนนำและสมาชิกพรรคอีกจำนวนมากที่จะร่วมกันลงพื้นที่ลุยหาเสียงช่วยพรรคประชาธิปัตย์ที่มี "นายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์" เป็นผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 3

อย่างไรก็ตาม นายจุรินทร์ยังมีกำหนดการ ร่วมการปราศรัยใหญ่ของพรรคในวันที่ 4 มีนาคม 2564 ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และอำเภอพระพรหม และในวันที่ 5 มีนาคม ที่อำเภอชะอวดและอำเภอจุฬาภรณ์อีกด้วย

สำหรับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 นายจุรินทร์ มีกำหนดการคือ 14.00 น. พบปะพี่น้องประชาชน บริเวณตลาดเทศบาลชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช 5.30 น. พบปะพี่น้องประชาชน วิสาหกิจกลุ่มมังคุดคุณภาพชะอวดพัฒนา ณ หมู่ 10 ตําบลเกาะขันธ์ อําเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมราช 16.15 น. พบปะพี่น้องประชาชน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดชะอวดพูนผล ณ หมู่ 4 ตําบลเกาะขันธ์ อําเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมราช และ 17.05 น. พบปะพี่น้องประชาชน บริเวณตลาดนัดไม้เสียบ อําเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช

และพรุ่งนี้ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 มีกำหนดการ 7.00 น. พบปะพี่น้องประชาชน บริเวณตลาดกอบัว อําเภอพระพรหม จังหวัด นครศรีธรรมราช 9.30 น. พบปะพี่น้องประชาชน กลุ่มเกษตรกรรายย่อย ตําบลนาสาร อําเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช 13.30 น. พบปะพี่น้องประชาชน ตําบลเคร็ง/ตําบลขอนหาด/ตําบลนางหลง อําเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช 15.30 น. พบปะพี่น้องประชาชนบริเวณตลาดนัดควนหนองหงส์ อําเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมราช เป็นต้น

กทก. ยัน! จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพิ่มขึ้นไม่หวั่นโควิด คาดยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังไทยจิ้มเข็มวัคซีนและผ่อนปรนต่างชาติฉีดวัคซีนเข้าไทยได้ไม่ต้องกักตัว

กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สรุปจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 เริ่มกลับมามีจำนวนเพิ่มขึ้น แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 โดยจากการรวบรวมตัวเลขทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาผ่านวีซ่าประเภทพิเศษ (เอสทีวี) นักท่องเที่ยวกลุ่มสมาชิกไทยแลนด์อีลิทการ์ด และกลุ่มนักธุรกิจ เดินทางเข้าประเทศไทยแล้วจำนวน 7,694 คน ส่วนจำนวนรายได้ ล่าสุดยังอยู่ระหว่างการรวบรวม

ทั้งนี้ประเมินว่า ในช่วงต่อจากนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มที่ได้รับการผ่อนปรนให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ เดินทางเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยในช่วงตังแต่เดือนมี.ค.นี้เป็นต้นไป รวมไปถึงแนวโน้มการผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีน และมีใบรับรองอย่างถูกต้อง สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยที่ไม่ต้องกักตัว ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กาลโหม ซึ่งได้ออกมาประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในเดือนนี้ ภาพรวมมีทั้งหมด 7,694 คน ลดลง 99.80% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยรวม 3.81 ล้านคน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากประเทศจีน ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่ติดลบเกือบ 100% นี้ เป็นผลมาจากการระบาดที่ยังไม่สิ้นสุด แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่าจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนนี้ มีจำนวนตัวเลขการเดินทางเข้ามามากกว่าหลาย ๆ เดือนในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด และรัฐบาลได้ผ่อนปรนให้เดินทางเข้ามาได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาสที่ 3 - 4 ของปี 63

รมว.แรงงาน จัดโครงการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงาน ช่วยลดสถิติการประสบอันตรายจากการทำงาน เผยผลตอบรับดี นายจ้าง ลูกจ้างแห่ร่วมอบรมหวังสร้างการรับรู้มาตรการเชิงป้องกันความปลอดภัยในการทำงาน

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนทุกกลุ่มต้องได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งมีความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินการจัดฝึกอบรมให้แก่หน่วยงานฝึกอบรมที่ได้รับอนุญาตจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นผู้จัดฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานให้แก่ผู้ใช้แรงงานโดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2564 หลักสูตรความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามกฎหมาย ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับผิดชอบดำเนินการภายใต้แนวคิดชื่อ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน”

สำหรับหลักสูตรดังกล่าว ได้แก่ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร ระดับหัวหน้างาน ระดับเทคนิค คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน  การทำงานในที่อับอากาศ ดับเพลิงขั้นต้น ฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ เป็นต้น ซึ่งมีหน่วยงานฝึกอบรมสมัครเข้าร่วมจำนวน 207 หน่วยงาน แบ่งเป็น หน่วยงานภาคเอกชน จำนวน 70 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคราชการ จำนวน 137 หน่วยงาน อบรมให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จำนวน 15,007 คน โดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการอบรมหลักสูตรตามที่กฎหมายกำหนด จำนวน 17,597,500 บาท

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานถึงความคืบหน้าการจัดฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานให้แก่ผู้ใช้แรงงานปรากฎว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 64 มีหน่วยฝึกอบรมดำเนินการจัดฝึกอบรมแล้ว จำนวน 36 หน่วยงาน ประกอบด้วย หน่วยงานภาคเอกชน จำนวน 14 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคราชการ จำนวน 22 หน่วยงานให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จำนวน 2,880 คน โดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการอบรมหลักสูตรตามกฎหมายกำหนด จำนวน 611,000 บาท

นายรุจน์ เฉลยไตร เครือข่ายชมรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานพระนคร ร่วมกับบริษัท เพอร์เฟค เซฟตี้เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เป็นหน่วยฝึกอบรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการอบรม หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน และระดับบริหาร เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทางบริษัทฯ ยินดีที่จะร่วมโครงการฯ โดยไม่คิดค่าบริการ เพื่อร่วมกันลดสถิติการประสบอันตรายจากการทำงาน และเพื่อสร้างการรับรู้มาตรการเชิงป้องกันความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งโครงการนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้แรงงาน

ด้าน นายไชยา ใจบำรุง รองผู้จัดการบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหาดใหญ่ ในนามตัวแทนผู้บริหารของสถานประกอบกิจการในจังหวัดสงขลา จำนวน 30 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการฯ หลักสูตร “ความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ” รุ่นที่ 1 สำหรับผู้อนุญาต กล่าวว่า เห็นด้วยกับการจัดโครงการฯ ฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในการทำงาน ให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ต้องขอขอบคุณรัฐบาล กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และบริษัท เซ้าเทอร์น เซฟตี้ จำกัด ที่เล็งเห็นความสำคัญของงานด้านความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก อีกทั้งบริษัทฯ จัดฝึกอบรมยังสละเวลาพร้อมทรัพยากรอันมีค่าต่างๆ ที่ใช้สำหรับฝึกอบรมโดยไม่คิดค่าบริการ และถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสถานประกอบกิจการที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ ผมหวังว่ากระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะมีโครงการดีๆ ในรูปแบบนี้อีกในปีต่อๆ ไป

ขณะที่ นายธนยศ สว่างไสว พนักงาน บริษัท รักษาความปลอดภัย ดีเอสเอส จำกัด ในนามตัวแทนผู้เข้าฝึกอบรมหลักสูตร “การอบรมดับเพลิงขั้นต้น” และหลักสูตร “การฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ” กล่าวว่า ขอขอบคุณ รัฐบาลกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และห้างหุ้นส่วนจำกัด เอที เซล เซอร์วิส แอนด์ เทรนนิ่ง ที่ร่วมกันจัดฝึกอบรม ฟรี แก่ผู้ใช้แรงงาน เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปใช้ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยกรณีที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ ผู้ใช้แรงงานไม่บาดเจ็บและเสียชีวิต ทรัพย์สินของสถานประกอบกิจการไม่เสียหาย ทั้งนี้ ผมในนามตัวแทน ผู้เข้าฝึกอบรมขอสัญญาว่า จะนำความรู้ที่ได้จากท่านวิทยากรไปใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความปลอดภัยในการทำงานให้กับสถานประกอบกิจการของตนเองต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาล และกระทรวงแรงงาน จะจัดโครงการฝึกอบรมที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานในปีต่อไปอีก

เงินกู้เงินออนไลน์ มาแรง!! จับกระแส P2P Lending สินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล ทางเลือกใหม่ ‘ผู้ประกอบการ - นักลงทุน’ ในโลกการเงินยุคดิจิทัล

ความก้าวหน้าของธุรกิจ FinTech ในประเทศไทย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกรรมสินเชื่อ ที่จากเดิมผู้ประกอบการจะต้องไปยื่นขอกู้ยืมสินเชื่อจากธนาคาร ก็สามารถจัดหาเงินจากนักลงทุนหรือผู้ให้กู้ยืมได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีแพลตฟอร์มทางการเงินทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจับคู่ (Matchmaker) ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือ P2P Lending (peer-to-peer lending) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นด้วยดอกเบี้ยต่ำลง สะดวกรวดเร็วในการอนุมัติรายการ ลดต้นทุนในการดำเนินการ และในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยที่มีเงินน้อยก็สามารถเลือกลงทุนและรับผลตอบแทนในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประกอบธุรกิจและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (Peer-to-Peer Lending Platform) ที่ถูกบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุให้ผู้กู้ P2P Lending ต้องเป็นบุคคลธรรมดา ที่มีวัตถุประสงค์ในการกู้เพื่ออุปโภคบริโภค สามารถยื่นขอกู้ได้ในวงเงินไม่เกิน 1.5 - 5 เท่าของรายได้ หรือเพื่อประกอบธุรกิจ ในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท

ส่วนผู้ให้กู้อาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ในส่วนของผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนได้ไม่เกินรายละ 500,000 บาทต่อปี หรือผู้ลงทุนสถาบันสามารถลงทุนได้ไม่จำกัดจำนวนเงิน มีเพดานดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี บวกด้วยค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้แพลตฟอร์ม (ถ้ามี)

ทั้งนี้ตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นมา ธปท. อนุญาตให้มีการทดสอบระบบสินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคลในวงจำกัดภายใต้ Regulatory Sandbox ขึ้นใน 3 บริษัทผู้ให้บริการ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทสามารถบริหารความเสี่ยงและดูแลผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม จากนั้นจึงจะสามารถยื่นขอใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังเพื่อประกอบธุรกิจในวงกว้างต่อไป

โดย 3 บริษัทผู้ให้บริการดังกล่าว ประกอบด้วย บริษัท ดีพสปาร์คส์ เพียร์ เลนดิ้ง จำกัด (https://www.deepsparkspeerlending.ai/) ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน LoanDD บริษัท เนสท์ติฟลาย จำกัด (https://www.nestifly.com) ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน Share Loan by NestiFly และบริษัท เพียร์ พาวเวอร์ แพลตฟอร์ม จํากัด (https://www.peerpower.co.th) ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน Peerpower

จากความสำเร็จของฟินเทคสตาร์ทอัพในธุรกิจ P2P lending ทั่วโลก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ในปี 2564 นี้ จะเกิดกระแส P2P lending ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ SMEs ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สะดวกรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ และในกลุ่มนักลงทุนรายย่อย

แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของสินเชื่อ P2P lending ที่ผู้กู้ยังคงต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตน และผู้ให้กู้จะต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงสืบเนื่องจากการลงทุนที่จะไม่ได้รับการชำระหนี้จากผู้กู้ที่ผิดนัดชำระ และไม่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนเงินได้ก่อนสัญญาครบกำหนดนั้น อาจเป็นเป็นข้อจำกัดของการขยายตัวของ P2P lending ได้ในคราวเดียวกัน


ที่มา: เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th)

กรมสรรพสามิต เล็งชะลอขึ้นภาษีน้ำหวาน จากเดิมกำหนดขึ้น 1 ตุลาคม 64 หวังช่วยผู้ประกอบการในยุคโควิด-19

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมชะลอการปรับขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากในวันที่ 1 ต.ค. 2564 จะครบกำหนดเวลาที่ต้องมีการปรับขึ้นภาษีความหวานรอบใหม่ จากระยะที่ 2 ไปสู่ระยะที่ 3 ซึ่งจะมีอัตราภาษีที่เพิ่มแบบก้าวกระโดด จนอาจกลายเป็นภาระให้กับผู้ประกอบการ และผู้บริโภค โดยที่ผ่านมาการเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีสารความหวาน ได้กำหนดอัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 4 ระยะ ซึ่งปัจจุบันกำลังเก็บภาษีระยะที่ 2 ถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้

สำหรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน ที่มีกำหนดเพิ่มขึ้นวันที่ 1 ต.ค.64 เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะยังได้รับยกเว้นเก็บภาษีเหมือนเดิม ส่วนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 6 - 8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นจาก 0.10 บาทต่อลิตร เป็น 0.30 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 8 - 10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 0.30บาทต่อลิตร เป็น 1 บาทต่อลิตร

เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 10-14 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 1 บาทต่อลิตร เป็น 3 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 14 - 18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 3 บาทต่อลิตร เป็น 5 บาทต่อลิตร ขณะที่เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกิน18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเท่าเดิมที่ 5 บาทต่อลิตร

“กรมจะทบทวนดูว่าจะมีการชะลอขึ้นภาษีออกไปหรือไม่ โดยจะนำข้อมูลนำมาพิจารณารายละเอียดดูความเหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งยังไม่ได้ยืนยันว่าจะมีการเลื่อนออกไป หรือเลื่อนออกไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา”

รองโฆษกรัฐบาล ยันวัคซีนโควิดถึงไทยตามกำหนดแน่! แต่ต้องผ่านการรับรองจากไทยก่อนนำไปฉีด พร้อมย้ำแม้ได้รับวัคซีนแล้วแต่ยังคงต้องปฏิบัติตมาตราการของ สธ.อยู่

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านไทยคู่ฟ้าพอดแคสต์เรื่องวัคซีนโควิด-19 ว่า เป็นข่าวดีที่ประเทศไทยได้รับวัคซีนล็อตแรกเร็วกว่ากำหนด เพื่อให้ทันต่อการระบาดของไทย โดยยืนยันว่าวัคซีนที่เหลือของแอสตร้าเซนเนก้า จะทยอยจัดส่งจากการผลิตของสยามไบโอไซน์ตามกำหนดการเดิมอย่างแน่นอน ทั้งนี้วัคซีนที่มาถึงประเทศไทยจะต้องผ่านการตรวจรับคุณภาพผ่านการรับรองรุ่นผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงจะสามารถกระจายวัคซีนไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายแรกได้

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า จากข้อมูลการศึกษาในปัจจุบัน รวมทั้งจากผู้อำนวยการสถาบันวัคซีน ระบุตรงกันว่าแม้การฉีดวัคซีนจะเป็นการลดอาการรุนแรงของผู้ป่วยติดเชื้อ แต่ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนว่าวัคซีนป้องกันการติดเชื้อและลดแพร่กระจายของเชื้อได้ดังนั้นประชาชนยังมีความจำเป็นจึงต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป

ศาลอุทธรณ์ยัน! ยังไม่ให้ประกันตัว 4 แกนนำม็อบราษฎร หลังทนายยื่นอุทธรณ์ เทียบเคียงคดี กปปส. ได้ประกันตัว

จากกรณีที่นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความได้ไปยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวกลุ่มแกนนำม็อบฯ ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม 4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร ที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่ได้รับการประกันตัว หลังถูกยื่นฟ้องคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดตาม ป.อาญา ม.112 ม.116 และข้อหาอื่น

ภายหลังจากที่อดีตอธิบดีการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นขอปล่อยชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เเละศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ประกันแกนนำ กปปส.จำนวน 8 คน ทำให้ทางทีมทนายความ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวก ไปยังศาลอุทธรณ์ เทียบเคียงในแต่ละประเด็นตามเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ประกันตัวคดีแกนนำ กปปส.นั้น

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กข้อความพร้อมภาพคำสั่งศาลอุทธรณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1-4 ในระหว่างพิจารณามาแล้วอีกครั้งเหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1-4 ในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

ราเมศ ย้ำ! อำนาจปรับ ครม.เป็นของนายกฯ กรณี ถาวรหลุดเก้าอี้ รมช. คมนาคม ยันยังเป็นโควต้าของประชาธิปัตย์

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป.แถลงถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า หลังจากที่นายถาวร เสนเนียม หลุดจาก รมช.คมนาคม ซึ่งอำนาจในการปรับ ครม.เป็นของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ซึ่งในขณะนี้นายกฯ ยังไม่มีการส่งสัญญาณมายังนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และนายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค โดยในส่วนของพรรคยังไม่ได้มีการหารือกันในเรื่องนี้ เพราะขณะนี้สมาชิกส่วนใหญ่ลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช จึงยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าจะให้ใครมาแทนนายถาวร 

เมื่อถามว่ายังยืนยันว่าเป็นโควต้าของพรรค ปชป.หรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า หลักการยังเป็นไปตามเดิมที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) วางกรอบไว้ตั้งแต่ตั้งรัฐบาล ส่วนที่มี 3 ส.ส.ของพรรค โดยนายถาวรถูกพิพากษาจำคุกนั้น ยืนยันว่านายถาวรยังคงเป็นส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 101 (13) เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เราก็จะสู้ข้อกฎหมายเต็มที่ ส่วนนายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร และนายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ถูกพิพากษาจำคุกและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี กระบวนการเดินไปตามรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาฯ ส่งหนังสือไปให้กกต. ต้องรอให้กกต.วินิจฉัยความเป็นส.ส. หากมีสมาชิกล่ารายชื่อตามมาตรา 82 ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีดังกล่าวก็ถือเป็นสิทธิของสมาชิก

‘ราเมศ’ ย้ำ! มติประชาธิปัตย์ เห็นชอบแก้รัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ทั้งพร้อมปฏิบัติตามศาลหากขัดรัฐธรรมนูญ ยืนยันมีข้อมูลครบถ้วน

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค แถลงข่าวกรณีการพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านในวาระ 2 ไปแล้วว่า พรรคปชป.มีหลักในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้น ขอบคุณสมาชิกรัฐสภาได้มีมติให้ผ่านญัตติรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในวาระที่ 2 ซึ่งจะเห็นว่าในรายละเอียดแต่ละมาตราในการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ได้มีการกลับไปใช้ร่างเดิม เช่น การใช้คะแนนเสียง 3 ใน 5 

ส่วนกรณีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร) ที่เพิ่มเติมมาเป็นหมวด 15/1 มีส.ส.ร 200 คนที่มาจากการเเลือกตั้งประชาชนโดยตรง ก็เป็นเรื่องดีที่ประชาชนได้มีส่วนร่วม เมื่อเข้าสู่วาระ 3 ที่จะมีการพิจารณาในวันที่ 17-18 มี.ค. พรรคปชป.ยังมีมติเห็นชอบในวาระ 3 ตามมติเดิมของพรรค 

ส่วนที่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าการแก้ไขเพิ่มเติมขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น เราไม่กังวล หากศาลมีคำวินิจฉัยอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติตาม ทั้งนี้ ในส่วนของการยื่นแก้ไขรายมาตรานั้น พรรคได้มีการเก็บข้อมูลว่ามาตราไหนไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เรามีข้อมูลครบ ซึ่งต้องคุยกันในพรรครวมทั้งหารือกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อผลักดันต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top