ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า วันนี้เป็นการประชุมครม.ครั้งแรกหลังหยุดสงกรานต์ที่ผ่านไปได้ด้วยดี ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหน้างาน และอยู่เบื้องหลัง ที่ช่วยดูแลความปลอดภัยพี่น้องประชาชนตลอดช่วงวันหยุดที่ผ่านมา เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นปีใหม่ของไทย และตนเห็นว่าสงกรานต์ปีนี้เป็นสัญลักษณ์เร่ิมต้นใหม่เพื่อขับเคลื่อนประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจตามแผน และโรดแมปหลังโควิด-19 ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว การลงทุน การส่งออก รวมถึงการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ ก็ต้องมีการวางแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุที่จะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมการทุกมิติอย่างเต็มที่แล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ ปัญหาอยู่ที่งบประมาณที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน โดยสรุปแล้วเราใช้เงินเหล่านี้ดูแลคนทุกช่วงวัน ตั้งแค่อยู่ในครรภ์ จนกระทั่งถึงผู้สูงอายุ เราใช้งบประมาณในแต่ละปีเป็นเงิน 8 แสนกว่าล้านบาท ฉะนั้นการที่จะให้เพิ่มขึ้นก็อยู่ที่งบประมาณที่เราจะหาได้ในอนาคต ว่าเราจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร เพื่อรองรับการใช้จ่าย นอกจากนี้ ก็ยังมีมาตรการช่วยเหลือด้านการเกษตร พืชหลัก 6 ชนิด เป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท ฉะนั้น ในการใช้จ่ายงบประมาณในปี 2565 ที่เหลืออยู่ และการจัดทำงบประมาณในปี 2566 ตนให้หลักการไปแล้วว่าเราจะทำยังไงที่จะนำพาประเทศของเราผ่านปัญหาอุปสรรคและวิกฤติการณ์ที่มันเกิดขึ้น ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศที่เราควบคุมไม่ได้นั้นจะนำไปสู่อนาคตได้อย่างไร โดยใช้หลักการว่าจะทำให้อยู่รอดปลอดภัย พอเพียง และนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต นี่หลักการของผม ที่ได้สั่งการมอบหมายไปกับครม.วันนี้ ว่าต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ในขณะที่รายได้เราก็ลดลงหลายๆเรื่องด้วยกัน ถึงแม้การส่งออกเราจะดีขึ้นก็ตาม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในเรื่องการแก้ปัญหาระบบการเงิน การคลัง ทางคณะกรรมการนโยบาบการเงิน(กนง.)ได้รายงานชี้แจงมาแล้วว่าเรายังมีเสถียรภาพที่เข้มแข็งเพียงพอ เพียงแต่ว่างบประมาณที่เรานำมาใช้ในการบริหารประเทศอาจจะต้องลดลงบ้าง แน่นอนว่าต้องเกิดผลระทบ ซึ่งตนก็บอกว่าเราต้องใช้งบประมาณในกาารดูแลกลุ่มเปราะบาง หรือผู้มีรายได้น้อย เป็นจำนวนสูงมาก คงต้องย้อนกลับไปดูผู้ประการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดใหญ่ไว้ด้วย เนื่องจากเป็นแหล่งจ้างงาน เพื่อให้ได้เกิดห่วงโซ่ไปด้วยกัน เราจึงต้องหามาตรการดูแลไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นการจ้างงานก็จะลดลง รวมไปถึงการพัฒนาฝีมือแรงงานต่างๆเพื่อไปสู่การมีรายได้สูงในอนาคต
"ผมเป็นห่วงการใช้จ่ายเงินของประชาชน วันนี้รายได้ลดลง ขณะเดียวกันราคาสินค้าบริโภค พลังงาน ก็สูงขึ้น ทำให้รายได้ที่เขาได้แต่ละวัน แต่ละเดือนไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันมันเกือบถึง 50% ของรายได้เขา หรืออาจจะมากกว่าเพราะได้เขาไม่มากนัก เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่ที่พฤติกรรมด้วย ต้องปรับเปลี่ยน เรามีเงินน้อย ก็ต้องเลือกใช้ เลือกกิน ให้เหมาะสมกับสถานะของเราในขณะนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่สนใจในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ และพยายามไม่ยกระดับรายตรงนี้ให้มากขึ้น แต่พอดีมีเหตุการณ์เกิดขึ้น หลายอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ วันนี้ได้สั่งการให้มีมาตรการต่างๆทยอยออกมาเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ก็จำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมให้ได้ อันนี้ต้องเข้าใจตรงกัน"นายกฯกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ได้เร่งรัดให้มีการเจรจาทางการค้าระหว่างหลายประเทศด้วยกัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องได้หารือจากข้อมูลที่ผู้นำระดับสูงและเอกอัครราชทูตมาพบตน ซึ่งเขาสนใจประเทศไทย เพราะเขาเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ มีทรัพยากร มีความพร้อมหลายอย่างที่เรียกว่า Sofe Power เขาก็อยากมาอยู่ มาลงทุน เพราะเป็นประเทศไทยปลอดภัย มีอาหารการกินดี มีธรรมชาติสวยงาม เหล่านี้เป็นศักยภาพของไทย ฉะนั้นเราต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ได้ วันนี้การเจรจาต่างประเทศต้องไปดูว่พันธสัญญาต่างๆที่เรามีอยู่ จะปรับเปลี่ยนแก้ปัญหากันอย่างไร ต้องทำทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งตนเร่งรัดการเจรจา การทำเอ็มโอยูและข้อตกลง FTA การเจรจาต่างๆก็เดินหน้ามาโดยตลอด เพื่อเร่งการค้าการลงทุน การขยายเศรษฐกิจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ก็ได้มีการเปิดการเจรจาการบินกับมองโกเลียซึ่งวันนี้นำเข้าครม.แล้ว ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์กับการเดินทาง วันนี้ประเทศไทยเป็นจุดเร่ิมต้นในการเดินทางไปประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นผลดีกับการบินของเรา ดังนั้น เราต้องใช้ประโยชน์ตรงนี้ ซึ่งตนได้สั่งการไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีการประชุมเรื่องพลังงานกับกลุ่มเอเซียใต้ ซี่งเราต้องส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเจรจาความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น ที่เรียกว่า ไจก้า ซึ่งได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี และยกระดับการตรวจโรครักษาผู้ป่วยโควิด-19 การพัฒนาเก็บรักษาวัคซีน ซึ่งมีงบประมาณ 130 ล้านบาท ขณะนี้กำลังเร่งให้ทำโครงการเหล่านี้อยู่ เพื่อใช้เงินตรงนี้ออกมาได้