Sunday, 29 June 2025
TheStatesTimes

ทบ.เปิด 94 จุดบริการประชาชเทศกาลสงกรานต์​ ส่งความสุขปีใหม่ไทย  ท่องเที่ยวปลอดภัย

เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้หน่วยทหารของกองทัพบกในทุกพื้นที่ใช้ศักยภาพกำลังพลและยุทโธปกรณ์ เข้าสนับสนุนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดูแล และอำนวยความสะดวกให้ประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัยจากอุบัติเหตุ และป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 

ส่วนการจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามที่ ศบค.กำหนด “ริน รด พรม” เพื่อให้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย ปลอดโรค ขณะเดียวกันโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบกได้เตรียมบุคลากรและเครื่องมือแพทย์ พร้อมให้การรักษาดูแลผู้ป่วยโดยประสานกับโรงพยาบาลสาธารณสุขในพื้นที่อย่างใกล้ชิดตลอดห้วงเทศกาล 

โดยหน่วยทหารของกองทัพบกได้บูรณาร่วมกับส่วนราชการในจังหวัดตั้งจุดบริการประชาชนตลอดเทศกาลสงกรานต์เรียบร้อยแล้ว 94 จุด และให้บริการ ช่วงวันที่ 10- 18 เม.ย. 2565 ครอบคลุมพื้นที่ภาคกลาง (กองทัพภาคที่ 1) จำนวน 26 จุด, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กองทัพภาคที่ 2) จำนวน 15 จุด, ภาคเหนือ (กองทัพภาคที่ 3) จำนวน 14 จุด, ภาคใต้ (กองทัพภาคที่ 4) จำนวน 10 จุด และหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก 29 จุด โดยจุดบริการประชาชนตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีประชาชนไปใช้บริการเป็นจำนวนมากพื้นที่ปมคมนาคมสำคัญและเส้นทางตรงยาวที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่

โดยให้บริการ อาทิ จุดพักรถพักคน, บริการกาแฟน้ำดื่ม, ปฐมพยาบาลเบื้องต้น, สุขา, เช็คสภาพรถและสอบถามเส้นทาง แจ้งเหตุด่วน ให้คำแนะนำสถานการณ์โควิดของแต่ละจังหวัด แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว สำหรับในกรุงเทพมหานครจุดบริการประชาชนในพื้นที่สำคัญ อาทิ สถานีขนส่งผู้โดยสาร กทม. ถนนบรมราชชนนี (สายใต้ใหม่), สถานีขนส่งผู้โดยสาร กทม. (จตุจักร) 

ส่วนในต่างจังหวัดจุดบริการประชาชนในเส้นทางสำคัญ อาทิ มณฑลทหารบกที่ 31 บริเวณสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค 8 อ.เมือง  จ.นครสวรรค์, มณฑลทหารบกที่ 44 บริเวณริมถนนหมายเลข 4 หน้าเทศบาลตำบลวังใหม่ อ.เมือง จ.ชุมพร, กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ บริเวณปมคมนาคมตรงข้ามศาลจังหวัดสระบุรี (ฝั่งขาขึ้น) ถนนเลียบเมือง จ.สระบุรี ไป จ.ลพบุรี, กองพลทหารราบที่ 3 บริเวณถนนเลี่ยงเมือง หน้าสำนักงานเทศบาลตำบล บ้านเป็ด ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น 

‘ไต้หวัน’ ออก ‘คู่มือป้องกันพลเรือน’ แนะวิธีเอาตัวรอดหากเกิดสงคราม

กองทัพไต้หวันเผยแพร่คู่มือว่าด้วยการป้องกันพลเรือนฉบับแรก เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นแนวทางเอาตัวรอดในยามเกิดสงคราม หลังปฏิบัติการรุกรานทางทหารที่รัสเซียกระทำต่อยูเครนกระตุ้นให้ไทเปตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเตรียมรับมือภัยคุกคามจาก ‘จีน’ ภายหลังจาก จีน ยังคงยืนยันว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยของตน และไม่ปฏิเสธที่จะใช้กำลังทหารนำไต้หวันมาอยู่ภายใต้การปกครอง อีกทั้งยังมีการยกระดับกิจกรรมทางทหารข่มขู่ไทเปอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

คู่มือดังกล่าวของไต้หวัน ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนเพื่อหาที่หลบระเบิด อาหารและน้ำดื่ม รวมไปถึงวิธีเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน

โดยอันที่จริงกองทัพไต้หวันมีแผนจัดทำคู่มือลักษณะนี้ตั้งแต่ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครน ทว่าผลลัพธ์ของสงครามในยุโรปมีส่วนทำให้ไต้หวันยิ่งตื่นตัว และพยายามศึกษาบทเรียนเพื่อเตรียมความพร้อม ซึ่งรวมถึงการปฏิรูประบบการฝึกของทหารกองหนุน

“เราได้ให้ข้อมูลแก่ประชาชนว่าพวกเขาควรปฏิบัติตัวอย่างไร ในกรณีที่เกิดวิกฤตด้านการทหารหรือหายนะต่างๆ” หลิว ไท่อี้ (Liu Tai-yi) เจ้าหน้าที่จากสำนักงานระดมสรรพกำลังทางทหาร (All-out Defence Mibilisation Unit) ในสังกัดกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ระบุในงานแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์

Good Morning THE STATES TIMES | ประจำวันที่ 12 เมษายน 2565

เช้านี้มีอะไรอัปเดต!!
#GoodMorningTHESTATESTIMES
ประจำวันที่ 12 เมษายน 2565

พบกับประเด็นข่าวน่าลิงก์ Good Morning THE STATES TIMES
ข่าวยามเช้าที่จะมาสแตนบาย ทุกวันอังคาร-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 5.00 น. เป็นต้นไป
โดย ปริม-กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา

.

.

ปฏิวัติการเดินทาง ยกระดับเมืองหลวงปลอดควันพิษ ใกล้ความจริง!! ขนส่งมวลชนไฟฟ้า 100% หลัง EA บุกซื้อกิจการ Smart Bus

เรื่องที่จะกล่าวต่อจากนี้ ไม่ใช่แค่แผน หรือภาพฝัน แต่เป็นภารกิจการเติมเต็มอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่สังคมเมืองอย่างจริงจัง ซึ่งเริ่มขึ้นให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างผ่านบริการ ‘ขนส่งมวลชนสาธารณะพลังงานไฟฟ้า 100%’

หมุดหมายดังกล่าว เกิดจากการต่อยอดแผนธุรกิจอีกขั้นของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร ที่ส่งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ บริษัท อี ทรานสปอร์ต โฮลดิง จำกัด (E Transport Holding Co., Ltd.) เข้าซื้อกิจการของบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนส่ง ให้บริการรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 37 สาย ด้วยงบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยให้ฟังถึงความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจด้านขนส่งสาธารณะด้วยยานยนต์ไฟฟ้าไว้ว่า…

“ปัจจุบัน EA มีโรงงานผลิตรถโดยสารไฟฟ้าภายในประเทศที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงการให้บริการดูแลซ่อมบำรุงหลังการขายที่ครบวงจร พร้อมทั้งมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สามารถผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานได้เองครบทุกกระบวนการ

“โดยในส่วนของกำลังผลิตแบตฯ ในระยะแรก จะอยู่ที่ 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เพื่อป้อนให้กับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของบริษัท ได้แก่ รถโดยสารไฟฟ้า MINE Bus, เรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry และรถบรรทุกไฟฟ้า

“ทร.” โต้ ทุกต่อข้อสงสัย “โจ้ พท.” กรณีการจัดหาเรือดำน้ำและท่าจอดเรือดำน้ำ 

เมื่อวันที่ 12 เม.ย.65 พล.ร.ท.ปกครอง  มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ  กล่าวกรณีที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย. นายยุทธพงศ์  จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวโจมตีกองทัพเรือ ในประเด็นเรือดำน้ำ และ ท่าจอดเรือดำน้ำ และกล่าวหา ว่า นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ กองทัพเรือ เจรจากับ บริษัท CSOC เรื่องปัญหาเครื่อง MTU ของเรือดำน้ำ ให้เสร็จสิ้นก่อน 23 พ.ค.65 นั้นทางกองทัพเรือไม่ทราบเรื่องนี้  เชื่อว่าเป็นการพยายามโยงประเด็นเรือดำน้ำ ให้เกี่ยวข้องเพื่อให้อยู่ในกระแส เพื่อเตรียมการสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กองทัพเรือจึงขอไม่ตอบประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามอยากเรียนชี้แจงกับประชาชนว่า กองทัพเรือ เร่งรัดการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว

ปัจจุบันกองทัพเรือยืนยันตามสัญญา คือเรือดำน้ำจะใช้เครื่องยนต์ MTU 396 ของเยอรมัน อย่างไรก็ตาม ขอความกรุณาอย่าเพิ่งคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าและสร้างความสับสนให้กับประชาชน กองทัพเรือจะมีการเจรจากับบริษัท CSOC และจะแจ้งความก้าวหน้าให้ประชาชนทราบอย่างตรงไปตรงมาต่อไป และในเรื่องนี้ขอให้มั่นใจว่า กองทัพเรือจะแก้ไขปัญหาอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ตรงไปตรงมา ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อกำลังพลของกองทัพเรือเอง และประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด  

พล.ร.ท.ปกครอง กล่าวต่อว่า ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า งานก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำยังไม่มีความก้าวหน้าเช่นเดิม ถึงแม้ได้เบิกเงินล่วงหน้าไปแล้ว รวมถึงให้บริษัท CRCC รับช่วงต่อจาก บริษัท CSOC และบริษัทแสงเจริญ นั้นกองทัพเรือ ได้การดำเนินการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำขณะนี้บริษัท CSOC ได้ดำเนินการก่อสร้างตามสัญญา ซึ่ง กองทัพเรือได้เร่งรัดให้บริษัทฯ ทำให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา ส่วนการเบิกเงินล่วงหน้าเป็นเรื่องปกติของทุกโครงการก่อสร้าง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็ได้วางเอกสารทางการเงินเป็นหลักประกันเท่ากับจำนวนเงินที่เบิกล่วงหน้า

ดังนั้นหากมีการบอกเลิกสัญญา กองทัพเรือ ก็สามารถเรียกเงินคืนได้โดยไม่เสียเปรียบ ในส่วนการดำเนินการจัดหาบุคลากร อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ เพื่อก่อสร้างท่าเรือดำน้ำเป็นการดำเนินการของบริษัท CSOC เพื่อให้งานแล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งกองทัพเรือได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า บริษัท CSOC ได้ว่าจ้างหลายบริษัทมา
สนับสนุนการก่อสร้าง และมีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ภาพท่าจอดเรือดำน้ำที่นำมาแสดงและอ้างว่าเป็นท่าจอดเรือดำน้ำที่กองทัพเรือกำลังก่อสร้างอยู่นั้น บางภาพไม่ใช่ภาพจริง ในการนี้กองทัพเรือขอให้ใช้วิจารณญานอย่างยิ่งในการนำเรื่องไม่จริงหรือจริงบางส่วน (Half-truth) และเรื่องที่เป็นความลับทางราชการมาเผยแพร่ให้กับประชาชน ซึ่งเป็นการทำให้สังคมแตกแยก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ข้อมูลของฝ่ายเรา ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งกับประเทศชาติและประชาชน 
     
โฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า ต่อกรณีที่อ้างว่า ครูสอนภาษาที่ควบคุมงานก่อสร้างฯ ได้พักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเอกธานี หน้า กองเรือยุทธการ กองทัพเรือขอเรียนว่า หมู่บ้านดังกล่าวอยู่นอกพื้นที่ของกองทัพเรือ ซึ่งหากมีบุคคลใด ไม่ว่าสัญชาติใดก็ตาม กระทำความผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าทำการตรวจสอบ จับกุมและดำเนินคดี รวมทั้งจากการที่เคยชี้แจงเมื่อ 22 มี.ค.65 ไปแล้วว่า ผู้แทนที่บริษัท CSOC แต่งตั้งเพื่อควบคุมงานก่อสร้าง โดยมีเอกสารสัญญาที่ชัดเจน คือนาย Lang Qingxu ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการ และมีนายจักรพงษ์ วงศ์ธนปกรณ์ เป็นวิศวกรโครงการ มีคุณวุฒิวิศวกรโยธาระดับสามัญ

ครม.เห็นชอบ ร่างกรอบความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน  พัฒนาหลักสูตรฯ-มอบทุนการศึกษาและฝึกอบรมครูสอนภาษาจีนชาวไทย

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือ ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีนระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.)กับ ศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อกระชับความร่วมมือในด้านการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม การพัฒนาหลักสูตรภาษาจีนและการสอนภาษาจีนและอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี โดยให้ปลัดอว.เป็นผู้ลงนามในกรอบความร่วมมือฯ ร่วมกับนายหม่า เจี้ยนเฟย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือด้านภาษาจีนฯ  โดยทางอว.จะเรียนเชิญสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี ประธานสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ลงนามเป็นพยาน ในพิธีลงนามวันที่ 20 เม.ย.นี้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรอบความร่วมมือฯจะมีผลตั้งแต่วันที่ 2 ฝ่ายลงนาม และมีอายุ 5 ปี และจะขยายเวลาออกไปอีก 5 ปีโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 90 วัน และจะมีกรอบแนวทางความร่วมมือ เช่น การดำเนินการโครงการให้ทุนการศึกษาแก่ครูสอนภาษาจีนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก การพัฒนาอาจารย์และครูผู้สอนระดับอาชีวศึกษาในด้านภาษาจีนและอาชีวศึกษาและเทคโนโลยี และการจัดส่งครูอาสาสมัครสอนภาษาจีนไปยังสถาบันอุดมศึกษา

ป.ป.ช. เปิดทรัพย์สิน 3 ส.ส.ใหม่ "สจ.เซ้ม" มี 167 ล้าน เไก่ 500 ตัว ที่ดิน 37 แปลง รถโดยสาร-รถยนต์ 33 คัน ปืน 8 กระบอก - "สุรพร" มี 32.5 ล้าน สะสมพระเครื่อง ทองคำ - "ลุงชวน-ป้าสายบัว" มี 15 ล้าน รายได้ ปีละ 6.6 แสน จากขายไอศครีม เก็บค่าเช่า

มื่อวันที่ 12 เม.ย. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ 1.นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 แจ้งว่ามีบัญชีทรัพย์สินทั้งสิ้น 167,065,222 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 174,182 บาท ที่ดิน 100,803,040 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 43,750,000 บาท ยานพาหนะ 16,900,000 บาท และทรัพย์สินอื่น 438,000 บาท นอกจากนี้แจ้งว่ามีหนี้สินจาก เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นจำนวน 14,561,033 บาท 

นายจักพันธ์ แจ้งรายละเอียดในรายการเงินลงทุน จำนวน 5,000,000 บาทเป็นไก่ชนพร้อมอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ 500 ตัว ที่ดินจำนวน 37 แปลง โดยเป็นทั้งโฉนด ส.ป.ก. น.ส.3 ก. โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ อำเภอสามร้อยยอด อำเภอกุยบุรี อำเภอปราณบุรี อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้ยังได้แจ้งครอบครองยานพาหนะ รวม 33 คัน โดยระบุว่าจำนวน 30 คันเป็นรถโดยสารประจำทาง ส่วนอีกสามคันเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ในส่วนของทรัพย์สินอื่นแจ้งว่าครอบครองปืนจำนวน 8 กระบอก

2.นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 พร้อมนางภาวนา ดนัยตั้งตระกูล คู่สมรส โดยระบุว่ามีทรัพย์สินทั้งสิ้น 32,545,090 บาท เป็นทรัพย์สินของนายสุรพร 25,627,889 บาท ของนางภาวนา 6,917,200 บาท และมีหนี้สินทั้งสิ้น 51,595 บาทเป็นเงินเบิกเกินบัญชี อย่างไรก็ตามนายสุรพรและนางภาวนา แจ้งบัญชีทรัพย์สินประกอบด้วยเงินฝากมูลค่ารวม 5,127,089 บาท เงินลงทุน 31,500 บาท ที่ดิน 6,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 9,700,000 บาท ยานพาหนะ 1,000,000 บาท ไม่มีสิทธิและสัมปทาน ทรัพย์สินอื่นมูลค่ารวม 10,686,500 บาท ประกอบด้วยทรัพย์สินหกรายการ ได้แก่ พระเครื่อง 29 องค์ นาฬิกาข้อมือชาย 8 เรือน ทองรูปพรรณน้ำหนักรวม 49 บาท อัญมณีและเครื่องประดับรวม 17 ชิ้น ทองคำแท่งน้ำหนักรวม 20 บาท

ครม.ไฟเขียว 211 ล้านบาท ให้สถาบันวัคซีน ใช้ในโครงการศึกษาความปลอดภัย ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพวัคซีนโควิด19

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ2564 ที่อนุมัติโครงการศึกษาความปลอดภัย ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพ ของแคนดิเดตซับยูนิต วัคซีนสำหรับป้องกันโรคโควิด19 ที่ใช้พืชเป็นแหล่งผลิตในมนุษย์ระยะ 2a โดยบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กรอบวงเงิน 211 ล้านบาท 

โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน,โครงการกลุ่มที่1 (การแพทย์,สาธารณสุข) ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) กู้เงินเพิ่มเติม พ.ศ. 2564  พร้อมกับมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัดเร่งดำเนินการจัดทำแผนฉุกเฉิน เพื่อเตรียมการสำหรับรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการทดสอบการฉีดวัคซีนในมนุษย์ภายในเดือนก.ค. 2565 ตามแผนดำเนินโครงการ เพื่อให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. 2565 รวมถึงจดทำแผนเร่งรัดการดำเนินโครงการในระยะที่3 เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์นับจากวันที่ ครม. ได้อนุมัติโครงการ
            
ครม. ได้อนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา 5(2) (เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด19) วงเงิน 211 ล้านบาท มาใช้เพื่อการตามมาตรา 5(1) (เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด19) เพื่อดำเนินโครงการศึกษาความปลอดภัยฯ ของสถาบันวัคซีนและบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ข้างต้น โดยหลังการอนุมัติปรับปรุงการใช้งบประมาณครั้งนี้ ทำให้วงเงินตาม พ.ร.ก. กู้เงิน เพิ่มเติม พ.ศ. 2564  เหลืออยู่ 74,250 ล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด 500,000 ล้านบาท 

ครม.เห็นชอบ ไทยร่วมปฏิญญากลาสโกว์ผู้นำด้านป่าไม้-ที่ดิน หวังสร้างภาพลักษณ์ด้านการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบให้ประเทศไทย เข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ของผู้นำด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยมอบหมายให้รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งยืนยันการเข้าร่วมปฏิญญาฯเพื่อนำส่งให้สหราชอาณาจักร 

โดยประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย การอนุรักษ์ป่าไม้และระบบนิเวศบนบก เพื่อเร่งให้เกิดการฟื้นฟูป่าไม้และระบบนิเวศ, สนับสนุนนโยบายการค้าและการพัฒนาที่เชื่อมโยงกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนท้องถิ่น พัฒนาการเกษตรให้ยั่งยืนและมีผลกำไร เสริมสร้างการรับรู้คุณค่าของผืนป่า และการอำนวยความสะดวกให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการฟื้นฟูพื้นที่ป่าและที่ดินจากความเสื่อมโทรม

'ไทย สมายล์ บัส' ร่วมสนับสนุนกิจกรรมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ณ จุดบริการประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์วิถีไทย 2565 

วันนี้ 12 เมษายน 2565  ทีมงานแผนกมวลชนสัมพันธ์ บริษัท ไทย สมายล์ บัส ได้ลงพื้นที่  มอบสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทาง ให้แก่ จุดบริการประชาชน ของ สำนักงานเขตบางนา หน้าสถานีปั้มน้ำมันบางจาก และ จุดบริการประชาชน ของ สถานีตำรวจภูธรพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ  หน้าห้างไทวัสดุ  โดยประกอบด้วย น้ำดื่ม ไทย สมายล์ บัส และหน้ากากอนามัย เพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์แก่ประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ต่อไป  โดยเทศกาลสงกรานต์วิถีไทย ปี 2565  รถเมล์พลังงานไฟฟ้า ไทย สมายล์ บัส ขออวยพรให้ทุกท่าน เดินทางใกล้หรือไกลด้วยรอยยิ้ม ปลอดภัยไร้กังวล และขอให้มีความสุขสวัสดีในวันสงกรานต์ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top