Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

‘บิ๊กป้อม’ สั่งแก้ปมบุกรุกที่ดิน พร้อมเร่งพิสูจน์สิทธิ์ครอบครองที่ดินรัฐ พร้อมย้ำต้องอยู่บนพื้นฐานกฎหมาย - เหมาะสมเป็นธรรม ยืนยันรัฐบาลจะพยายามหาทางออก ที่กระทบความเป็นอยู่ของประชาชนให้น้อยที่สุด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหา การบุกรุกที่ดินของรัฐ(กบร.)ครั้งที่ 1/2564 มีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วม

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ความเป็นอยู่ของประชาชนต้องควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตในการครอบครองที่ดิน เพื่อที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์เป็นที่ทำกิน โดยรัฐบาลพยายามหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาการรุกที่ของรัฐ ที่กระทบความเป็นอยู่ของประชาชนให้น้อยที่สุด พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้การแก้ปัญหาอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่บนประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสมเป็นธรรม รักษาไว้ซึ่งธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่มีค่าของประเทศให้คงอยู่"

โดยที่ประชุมเห็นชอบหลักการให้มีการแก้ไขปัญหา ป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ ตามมาตรการของกบร.ใน 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ ขั้นตอน และวิธีการดำเนินงาน ของคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ ให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.)

นอกจากนั้นรับทราบปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ สรุปผลการดำเนินงาน กบร.จังหวัด และกบร.กทม. ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2563 มีค่าเฉลี่ยการแก้ไขปัญหา ข้อโต้แย้งสิทธิในที่ดิน ที่มีข้อยุติปรากฎว่าราษฎรที่อาศัยอยู่ก่อน และเป็นที่ดินของรัฐ ร้อยละ 78 และได้กำหนดประเภทที่ดินของรัฐ ที่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา ได้แก่ ที่สาธารณะประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และที่ป่าไม้ ตามลำดับ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยโควิด -19 ระบาดระลอกใหม่ ส่งผลกระทบหนัก ยอดขายดิ่ง 10 - 30% วอนภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือด่วน เติมสภาพคล่องด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เผยสภาพคล่องที่เหลือใช้ดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 6 เดือน

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยว่า จากข้อมูลผลของการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบค้าปลีก (Retailer Sentiment Index: RSI) เดือนมกราคม 2564 (รอบการสำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 19-26 มกราคม 2564) โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีการสำรวจเป็นรายเดือน พบว่า ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก เดือนมกราคม 2564 ลดลงทันทีอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม

และเป็นการปรับลดลง จากความอ่อนไหวจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ระลอกใหม่ แม้ภาครัฐจะใช้มาตรการเข้มข้นเพียง 28 จังหวัด ดัชนีความเชื่อมั่นก็ยังคงปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับดัชนีความเชื่อมั่นเมื่อเดือนเมษายน 2563 จากครั้งที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกแรก ที่ภาครัฐมีมาตรการ Lock Down ทั้งประเทศ

ทั้งนี้ สมาคมฯ มองว่า ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้น รวมทั้งหวังว่าภาครัฐน่าจะมีมาตรการเยียวยาและกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นน่าจะมีทิศทางเดียวกับดัชนีเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมแยกตามภูมิภาค ทางด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมรายภูมิภาค ปรับลดลงจากเดือนธันวาคมในทุกภูมิภาค สะท้อนถึงสภาวะความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะภาคกลางซึ่งได้รับผลกระทบจาก super spreader ที่ตลาดกุ้งสมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพ และปริมณฑล ที่มีอาณาเขตต่อเนื่องจากจังหวัดสมุทรสาคร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวโน้มการบริโภคที่ขยายตัวได้ปานกลาง เนื่องจากประชากรส่วนหนึ่งเคลื่อนย้ายจากอุตสาหกรรมสู่ภูมิลำเนา ผสานกับแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐในการสนับสนุนสภาพคล่องและการใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยประคับประคองการบริโภคภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการมองว่าแนวโน้มในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นจะเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเช่นกัน เนื่องจากมั่นใจว่าภาครัฐมีบทเรียนจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อไตรมาสที่สอง 2563 และคาดหวังว่าคงต้องมีมาตรการเยียวยาและกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐเช่นที่ผ่านมา

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นแยกตามประเภทร้านค้าเปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคมและเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกประเภทของร้านค้าปลีกลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกร้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบของมาตรการภาครัฐที่ประกาศปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารในเวลา 3 ทุ่ม

อย่างไรก็ตาม ผลจากการใช้มาตรการการทำงานจากบ้าน (WFH) ทำให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซ่อมบำรุง เฟอร์นิเจอร์ กลับมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นสวนทางกลับดัชนีความเชื่อมั่นร้านค้าปลีกอื่น ๆ

ด้านผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า มีความวิตกต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ค่อนข้างมากสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในเดือนมกราคม 2564 ที่ลดลงอย่างทันที ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางระดับที่ 50 หรือลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งอย่างชัดเจน ในขณะที่ในเดือนธันวาคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยกลางระดับที่ 50 ทั้งนี้สำหรับแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ายังคงมีความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยกลาง

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนมกราคม ลดลงมากและรวดเร็ว จากที่ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนธันวาคมยังอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นการจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่หดตัวลงอย่างมาก เมื่อเทียบดัชนีประเภทร้านค้าทั้งสามประเภท ดูเหมือนว่าผู้ประกอบการค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ต รู้สึกวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มากกว่าผู้ประกอบการร้านค้าสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตกลับมีความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น สูงกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อมาตรการภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 เดือนข้างหน้า

พร้อมกันนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการประเภท ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในเดือนมกราคม มีความเชื่อมั่นดีขึ้นสวนทางกับทิศทางของดัชนีความเชื่อมั่นร้านค้าประเภทอื่น ๆ ที่ลดลงอย่างรุนแรง

สะท้อนได้ว่าร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการปรับวิถีทำงานจากที่บ้าน (WFH) ทำให้มีความนิยมในการปรับภูมิทัศน์ภายในที่อยู่อาศัย ประกอบกับช่วงจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณก่อสร้างภาครัฐ และวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างมีการปรับราคาที่สูงขึ้น

ผลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ประเภทร้านอาหาร ภัตตาคาร และเครื่องดื่ม มีความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างมีนัยยะชัดเจน มากกว่าร้านค้าประเภทอื่นๆ และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ค่อนข้างมากและเมื่อเทียบกับความเชื่อมั่นในเดือนธันวาคม 2563 ก็ยังลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะร้านอาหารมักเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดเวลาการให้บริการและจำนวนการให้บริการแต่ละรอบที่ลดลงจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

นายญนน์ กล่าวว่า การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ จากมุมมองผู้ประกอบการ คือ 1.) ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบด้านยอดขาย ที่ลดลง 10-30% 2.) ผู้ประกอบการกล่าวว่า ด้วยยอดขายที่หายไป สภาพคล่องที่เหลืออยู่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อีกไม่เกิน 6 เดือน หากไม่มีมาตรการเยียวยาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงเป้า 3.) ผู้ประกอบการกว่า 80% ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงมากว่า 25% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ปี 2563

สำหรับข้อ 4.) หากเปรียบเทียบยอดขายจากมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" เมื่อช่วงสิ้นปี 2563 (วงเงิน 30,000 บาท) เมื่อเทียบกับมาตรการช้อปช่วยชาติ (วงเงิน 15,000 บาท) ในปี 2561 - 2562 ผู้ประกอบการ 55% ตอบว่า มียอดขายเท่าเดิมและน้อยกว่าเดิม ขณะที่ผู้ประกอบการ 43% ตอบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่ถึง 25% และมีเพียง 2% ที่ตอบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 25%

ขณะที่ 5.) ผู้ประกอบการกว่า 90% อยากให้ภาครัฐเปิดโอกาสให้เข้าร่วมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน อาทิ โครงการคนละครึ่ง 6.) ผู้ประกอบการเสนอแนะให้ภาครัฐช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน ด้วยมาตรการภาษีลดภาระค่าใช้จ่าย และ สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) แก่ผู้ประกอบการโดยเร็ว เนื่องจากด้วยสภาพคล่องที่เหลืออยู่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม ข้อ 7.) ผู้ประกอบการอยากให้ภาครัฐประกาศการจ้างงานเป็นรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich เล่าเรื่อง คนเนรคุณสองแผ่นดิน

"แม่รักลูกไม่เท่ากัน

ลูกชายคนเล็ก แม่รักมากที่สุด ได้ดั่งใจ สนใจทำมาค้าขายอย่างเดียว แต่งงานกับหญิงสาวลูกพ่อค้าตระกูลดังร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ

ปีแรกเปิดบริษัทค้าที่ดิน ทำกำไรเข้ากงสีได้ 800 ล้านบาท ปีสอง ทำกำไรได้อีก 800 ล้านบาท ปีที่ 3 ต้องการทำให้ได้ 1,000 ล้านบาท ทำสารพัดวิธี ตั้งแต่ให้สินบนเพื่อให้ได้ที่ดินของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่แปลงนี้แปลงแรกหรอกที่ทำ เป็นแปลงที่สองที่พยายามจ่ายสินบน ยังมีปัญหาใช้คนยังกะขี้ข้ากดขี่แรงงาน ไม่ยอมจ่ายโบนัสพนักงานจนเดือนเมษายนก็ทำมาแล้ว

แม่รักลูกชายคนเล็กสุดนี้ดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่สนใจการเมือง หาเงินเก่งสุด ๆ ว่านอนสอนง่าย หัวอ่อน

พอมีคดีขึ้นมา แม่ก็ทุกข์ใจหนักมาก ห่วงลูกชายคนเล็กคนนี้มากที่สุด รักสุดหัวใจ รักมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่ตัวเองคลอดออกมาทุกคน

"แม่" ไม่ได้คิดเลยว่า จริง ๆ แล้วคดีบุกรุกที่ป่าของชาติของตัวเองนั้น จะทำให้ตนเองได้เข้าคุกตอนแก่ได้โดยง่าย ๆ หลักฐานมัดแน่นมากที่สุด ทั้งภาษีดอกหญ้า ทั้ง น.ส.2 ก. แม่ยังคิดว่าตัวเองสบายๆ ส่วนหนึ่งอาจจะไม่มีสำนึกคิดว่าตัวเองคงวิ่งคดีในศาลได้ อย่างที่เคยทำมาเสมอ อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเกิดจากความรักและแสนห่วง กลัวลูกชายคนเล็กสุดที่รักจะต้องติดคุก ห่วงลูกรักลูกมากกว่ารักและห่วงตัวเอง

สำหรับลูกชายคนโต เป็นลูกชังที่แม่ไม่ชอบเลย แต่ในความเป็นแม่ลูก ก็ตัดไม่ได้ ขายไม่ขาดหรอก ลูกชายคนโตแม้จะเก่งในเชิงค้าขาย ไล่คนงานออกได้ทั้งโรงงานเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรและอยู่รอด มีความอำมหิตผิดไปจากเตี่ยที่รักลูกน้องและดูแลลูกน้องเป็นอย่างดี

ไอ้ลูกชายคนโตคนนี้เวลาทะเลาะกับคนในบ้าน คนในบ้านหนีปิดประตู มันก็วิ่งเอาขวานมาจามประตูจะเข้าไปทะเลาะต่อ

แล้วก็มีความทะเยอทะยาน อยากเป็นฮีโร่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้

ลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจ แต่ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ ก็ต้องปกป้องลูก ไม่รัก แต่ก็ห่วง และตัดไม่ขาด แม่เองก็ต้องยอมรับเหมือนกันกับคนสนิทว่ารักลูกไม่เท่ากัน

พอลูกก่อเรื่องแต่ละที แม่ก็ต้องวิ่งเต้นเส้นสาย หาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ให้มาช่วยลูกให้หลุดพ้นคดี ในความเป็นแม่ ลูกจะเลวอย่างไรก็ยังรัก และตัดไม่ขาดหรอก

เมื่อสิบปีก่อน ลูกชายทำหนังสือขาย แต่เป็นหนังสือผิดกฎหมาย เขาจะดำเนินคดี แม่ก็ไปหาผู้ใหญ่ให้ช่วย ผู้ใหญ่ท่านยอมช่วย แต่ขอสัญญาว่าจะไปสั่งสอนลูกชายคนโต ไม่ให้ล้มเจ้า

พอแม่ไปพูด ลูกชายคนโตผู้ก้าวร้าว ก็ "ตัดขาด" ความเป็นแม่ลูกทันที แล้วไม่พูดกับแม่เป็นปี ๆ ไม่ยอมให้แม่เข้าบ้านตัวเอง ไม่ยอมให้แม่พบหลาน สุดท้ายแม่ทนไม่ได้ มาขอโทษลูกชายบังเกิดเกล้า ขอคืนดี และต้องสนับสนุนลูกทุกทาง เพราะกลัวลูกจะตัดแม่ตัดลูก

เออ มันเนรคุณแม่มันได้ อย่าได้แปลกใจที่มันจะเนรคุณทุกแผ่นดิน ไม่ว่าจะแผ่นดินของบรรพบุรุษ หรือแผ่นดินเกิด

ไอ้คนเนรคุณสองแผ่นดินและเนรคุณมารดา ยังมีปมอะไรกับพ่อมันที่เป็นคนดีแต่อายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความเลวระยำของลูกชาย รีบตายไปก่อนด้วยโรคมะเร็ง แต่พ่อตั้งโรงงานไว้ให้ ลูกก็แปลกเอาประวัติและคุณงามความดีของพ่อออกจากเว็บไซต์ของบริษัทที่พ่อตั้งมาเองออกจนหมด

เฮ้อ บ้านเมืองเรามีกรรม ได้คนเนรคุณบิดามารดา และคนเนรคุณสองแผ่นดิน มาปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

กรรมหนักของประเทศจริง ๆ"


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159249623242728&id=784302727

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000012149

‘คนตกงาน’ เข้ามาตรการเราชนะ ส่วน ‘คนยังมีงาน’ สามารถเข้ามาตรการ ม.33 เรารักกัน แต่สำหรับ ‘คนเพิ่งตกงาน’ จะเข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือในมาตรการใดของรัฐกันดี?

ช่วงนี้มาตรการต่าง ๆ ของรัฐทยอยออกมาช่วยเหลือประชาชนมากมาย แต่ด้วยวัตถุประสงค์ที่อยากช่วยเหลือ ‘คนทุกกลุ่ม’ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความทับซ้อน หรือเกิดความสับสนขึ้นได้

ยกตัวอย่างมาตรการสุดฮอต 2 โครงการนี้ ‘เราชนะ’ และ ‘ม.33 เราช่วยกัน’ ก็มีส่วนที่ทับซ้อนกัน

โดยโครงการเราชนะ มุ่งช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน ไม่มีงานทำ เพราะผลกระทบโควิด - 19 ส่วน ม.33 เรารักกัน มุ่งช่วยเหลือผู้ที่ยังมีงานประจำทำ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากกโควิด - 19 เช่นเดียวกัน ทีนี้ยังมีเคสกรณีของ ‘คนที่เพิ่งตกงาน’ ซึ่งก็เป็นที่น่าสนใจว่า แล้วคนกลุ่มนี้ ต้องเข้ามาตรการใดในการช่วยเหลือของรัฐ?

ล่าสุดทางสำนักงานประกันสังคม ได้ชี้แจงเงื่อนไขต่างๆ ของกรณีทำนองนี้ออกมาแล้ว The States Times รวบรวมรายละเอียดมาให้ทราบกันดังนี้..

รัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ลาว มีรัฐบาลโดยกระทรวงการเงินถือหุ้น 100% มาตลอด จะมีการเปิดประมูลซื้อ-ขายหุ้นออกมา 49% ภายในกุมภาพันธ์นี้ นับเป็นการแปรรูปกิจการของภาครัฐ ของสปป.ลาว

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

12 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่แค่เป็นวันตรุษจีน ของชาวเชื้อสายจีนเท่่านั้น แต่ยังเป็นวันสำคัญของ นักลงทุนใน สปป.ลาวด้วย เพราะต้องจับตาว่านักลงทุนเจ้าไหนบ้าง!!!จะยื่นซอง ประมูลซื้อ-ขายหุ้น 49% ของรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ลาว

กำหนดยื่นซองประมูลและเปิดซอง ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคาร 2 กรมคุ้มครองวิสาหกิจรัฐลงทุนและการประกันภัย กระทรวงการเงิน บ้านโพนไซ เมืองไซเสดถา นครหลวงเวียงจันทน์

รัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ลาว เคยเป็นส่วนหนึ่งของกิจการไปรษณีย์และโทรคมนาคม ซึ่งเริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2518 โดยตั้งเป็นกระทรวงไปรษณีย์โทรคมนาคม และเปลี่ยนเป็นกระทรวงขนส่งไปรษณีย์ในปี 2525

ปี 2529 ลาวได้มีการปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐ โดยยุบกระทรวงขนส่งไปรษณีย์ กระทรวงก่อสร้าง และกระทรวงคมนาคม รวมเป็นกระทรวงเดียว คือ กระทรวงคมนาคม ขนส่ง ไปรษณีย์ และก่อสร้าง

ปี 2530 มีการปรับโครงสร้างอีกครั้ง โดยจัดตั้งเป็นกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง แยกกิจการไปรษณีย์ออกมาจัดตั้งเป็นบริษัทไปรษณีย์โทรคมนาคม

ปี 2538 ได้แยกกิจการไปรษณีย์และกิจการโทรคมนาคมออกจากกัน โดยกิจการโทรคมนาคมได้ร่วมทุนกับบริษัทชินวัตร อินเตอร์เนชั่นแนล ตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจผสมลาวโทรคม ซึ่งปัจจุบันคือ บริษัทลาวโทรคมนาคม เจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ Lao GSM

ส่วนกิจการไปรษณีย์ได้ตั้งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ลาว มีรัฐบาลโดยกระทรวงการเงินถือหุ้น 100% มาตลอด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่จะมีการเปิดประมูลขายหุ้นออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ นับเป็นการแปรรูปกิจการของภาครัฐ ของสปป.ลาว

ภารกิจในปัจจุบัน รัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ลาวให้บริการรับส่งจดหมาย พัสดุภัณฑ์ ธนาณัติ และรับชำระค่าบริการสาธารณูปโภค.

จึงน่าสนใจไม่น้อยว่าการแปรรูปครั้งนี้ จะเกิดผลทำให้เศรษฐกิจและกิจการไปรษณีย์ของลาวคล่องตัวมากน้อยแค่ไหน เพราะแม้จะเปิดประมูลแค่ 49 % แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และกิจการไปรษณีย์ซึ่งอยู่ในประเภทขนส่ง การแข่งขันในตลาดเสรีนั้นมีความตื่นตัวมาก การปรับตัวครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญของภาคธุรกิจของสปป.ลาว เช่นกัน


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

‘หมอธีระ วรธนารัตน์’ ย้ำโควิดรอบนี้ สาหัส คุมยากและกระจายตัวเร็ว แนะแนวทางการสู้ศึก ต้องขันน็อตให้แน่นทั้งเรื่องนโยบาย ระบบตรวจคัดกรอง และการป้องกันตัวของประชาชน คาดต้องใช้เวลาราว 6-8 สัปดาห์ คุมการระบาดอยู่หรือไม่

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ “โควิด-19” ผ่านทางเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat โดยระบุว่า

สถานการณ์ทั่วโลก 8 กุมภาพันธ์ 2564

ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคมเป็นต้นมา แนวโน้มการติดเชื้อต่อวันของโลกค่อยๆ ชะลอตัวลงมาอยู่ในระดับช่วงปลายตุลาคมปีที่แล้วราวเกือบห้าแสนคนต่อวัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการล็อคดาวน์ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรป ยังไม่ใช่ผลจากการฉีดวัคซีน เพราะจำนวนการฉีดยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดในแต่ละประเทศ กว่าจะเริ่มเห็นคาดว่าน่าจะเป็นช่วงมีนาคมเป็นต้นไปในบางประเทศ

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 328,545 คน รวมแล้วตอนนี้ 106,629,569 คน ตายเพิ่มอีก 7,682 คน ยอดตายรวม 2,325,703 คน

อเมริกา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 86,767 คน รวม 27,594,868 คน ตายเพิ่มอีก 1,543 คน ยอดตายรวม 474,669 คน

อินเดีย ติดเพิ่ม 4,109 คน รวม 10,831,279 คน

บราซิล ติดเพิ่ม 26,845 คน รวม 9,524,640 คน

รัสเซีย ติดเพิ่ม 16,048 คน รวม 3,967,281 คน

สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 15,845 คน รวม 3,945,680 คน ยอดตายรวมขณะนี้ 112,465 คน

อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน

แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น

แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่องแบบทรงตัว

เกาหลีใต้ และไทย ติดเพิ่มหลายร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง เวียดนาม และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่กัมพูชา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

ล่าสุดแอฟริกาใต้ประกาศหยุดแผนการฉีดวัคซีนของ Astrazeneca/Oxford ไว้ แม้จะได้วัคซีนมาหลักล้านโดสแล้วก็ตาม เนื่องจากทราบผลการศึกษาเบื้องต้นที่ชี้ว่า วัคซีนอาจไม่ได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการน้อยถึงปานกลางจากไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่คือ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่ระบาดในประเทศ โดยจะหันไปใช้วัคซีนของ Pfizer/Biontech และ Johnson&Johnson แทน

นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดหาวัคซีนที่มีความหลากหลาย เพื่อให้สามารถมีตัวเลือกในการจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างทันเวลา เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน

ทั้งนี้มีข่าวว่าทาง Astrazeneca/Oxford ก็กำลังทำการศึกษาวิจัยดัดแปลงวัคซีนให้สู้กับสายพันธุ์แอฟริกาใต้ใหม่ โดยอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง คงต้องเอาใจช่วยและติดตามกันต่อไป

วิเคราะห์สถานการณ์ของเรา...

การเรียงตำแหน่งของกลยุทธ์ หรือที่เราเรียกว่า Strategic alignment นั้นมีความสำคัญมาก และส่งผลต่อความสำเร็จในการสู้ศึก

เราเรียนรู้จากระบาดซ้ำครั้งนี้ว่า หนักหนาสาหัส

เอาอยู่ เพียงพอ...ล้วนเป็นความคาดหวังที่ดูแล้วไม่ใช่ความจริง

กุญแจแห่งความสำเร็จในการสู้ศึกระลอกแรกนั้นคือ การสั่งการ และจัดการอย่างเป็นระบบ ทิศทางเดียวกัน และสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งประเทศได้พร้อมกัน

ในขณะที่ระลอกสองนั้น ใช้แนวทางยืดหยุ่น และให้จัดการกันเองในแต่ละพื้นที่ โดยอาศัยการทำงานของหน่วยงานต่างๆ การตอบสนองจึงอาจไม่เหมือนระลอกแรก

หากใช้ความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นแสงสว่างชี้ทาง โดยดูจากบทเรียนการเผชิญการระบาดซ้ำของประเทศต่างๆ จะช่วยให้เราวางแผนจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะรู้ว่าธรรมชาติของการระบาดเป็นเช่นไร โอกาสสำเร็จในการสู้ศึกมีมากน้อยเพียงใด และสู้รบแบบใดจะมีโอกาสแพ้ชนะมากน้อยแตกต่างกันเท่าใด

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังกันไปแล้วว่า จะสู้สำเร็จ มักต้องมีนโยบายที่เคร่งครัดและทันเวลา ระบบการตรวจคัดกรองที่ครอบคลุม มาก และต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือของประชาชนอย่างพร้อมเพรียง

การระบาดของเราหนักหนากว่าระลอกแรก คุมได้ยาก กระจายเร็ว เพราะอาจไม่บรรลุทั้งสามข้อข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม มาถึงจุดนี้ ต้องให้กำลังใจให้มีสติ และช่วยกันสู้ต่อไป โดยทราบว่าสถานการณ์ถัดจากนี้ เฉลี่ยแล้วน่าจะต้องใช้เวลาอีกราว 6 - 8 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์ของระลอกสอง ว่าจะกดเหลือหลักหน่วย หลักสิบ หรือหลักร้อยต่อวัน ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของการศึกจะเป็นตัวทำนายหลักสำหรับศึกในครั้งถัดๆ ไป ตามบทเรียนที่เห็นจากต่างประเทศทั่วโลก

แนวทางการสู้ศึกนี้คงหนีไม่พ้นสามข้อข้างต้น ที่ต้องช่วยกันขันน็อตให้แน่นทั้งเรื่องนโยบาย ระบบตรวจคัดกรอง และความร่วมมือในการป้องกันตัวของประชาชน

แต่ที่เป็นห่วงมากคือ การละสายตาไปพยายามมองหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวต่างประเทศ เช่น การแพลมแนวคิด Vaccination passport ที่ลึกๆ คงหวังจะโกยเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศหากมีประวัติได้รับวัคซีนแล้ว แม้จะอ้อมแอ้มว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลานี้ก็ตาม

สมาธิที่หลุดไปจากการควบคุมการระบาดเป็นสิ่งที่น่ากลัวนะครับ

บทเรียนจากระลอกนี้ เราเห็นความไม่พร้อม ไม่เพียงพอ และไม่สอดคล้องกันของระบบต่างๆ เรื่องนี้ต้องยอมรับกันเสียที

จะสู้ศึกระยะยาวได้ โดยที่ประชาชนในประเทศมีสวัสดิภาพ และความปลอดภัยในชีวิต จำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบเชิงยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง ดังต่อไปนี้

หนึ่ง "ระบบตรวจคัดกรองที่มีสมรรถนะตรวจได้มาก มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกพื้นที่ และทำได้ต่อเนื่อง" ไม่ใช่เต็มที่แค่ระดับ 10,000 กว่าตัวอย่างต่อวัน ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

สอง "ระบบการดูแลรักษาที่มีทรัพยากรมากเพียงพอ" ทั้งคน เงิน อุปกรณ์ป้องกัน หยูกยา รวมถึงเตียงและสถานที่ โดยมีระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย ทั้งต่อบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชน ทั้งนี้ต้องไม่ให้เกิดภาวะที่เกินคาดหมาย และหยุดตรวจเพราะกลัวเตียงเต็ม หรือต้องมาเร่งสร้างรพ.สนามแบบกระทันหัน และมีปัญหาในการเจรจากับพื้นที่

และสาม "วัคซีนป้องกันโรค" ที่มีหลากหลาย มีประสิทธิภาพสูง ปริมาณมากพอ โดยประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างถ้วนทั่ว ก่อนหน้าที่จะคิดหามาตรการเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำในประเทศอย่างการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา

ต้องไม่ลืมว่า วัคซีนที่มีอยู่ตอนนี้ยัง "ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิดอย่างเพียงพอ" แต่ป้องกันการป่วยรุนแรง แม้การป้องกันการป่วยรุนแรงก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100% เลยสักตัวเดียว

วัคซีน Pfizer/Biontech และ Moderna ประสิทธิภาพมากสุดคือประมาณ 95% แต่เราไม่มี

วัคซีนที่เราวางแผนจะใช้นั้น Astrazeneca/Oxford มีประสิทธิภาพแบบ full dose/full dose ประมาณ 63.1% (ช่วงความเชื่อมั่น 51.8 - 71.7%)

ในขณะที่วัคซีน Sinovac ของจีน ผลการศึกษาระยะที่สาม ยังไม่เห็นการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ แม้จะมีข่าวออกทางสื่อมวลชนหลากหลายประเทศก็ตาม ก็จำเป็นต้องรอดูผลวิจัยโดยละเอียด

ทั้งนี้การระบาดของไวรัสที่กลายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์สหราชอาณาจักร บราซิล และแอฟริกา ก็ล้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำได้มากขึ้นทั่วโลก

โดยวัคซีนแต่ละชนิดตอนนี้ก็ยังมีข้อมูลแตกต่างกันไป วัคซีนบางชนิดพบว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนยังได้ผลกับบางสายพันธุ์ แต่วัคซีนบางชนิดกลับไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อยลงมาก

ดังนั้นหากไม่มีวัคซีนที่หลากหลายเพียงพอ และไม่มีมากเพียงพอสำหรับคนในประเทศ การเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้จะได้วัคซีนมาก่อนก็ตาม ก็ย่อมมีโอกาสนำพาเชื้อเข้ามาสู่ในบ้านได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ แต่เป็นเพียงการลดความรุนแรงของโรค

นี่คือสิ่งที่ประชาชนอย่างเราๆ ควรรู้ และช่วยกันจับตาดูความเคลื่อนไหว เรียกร้องให้เกิดมาตรการที่เน้นสวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน

ขอให้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือ อยู่ห่างๆ คนอื่นหนึ่งเมตร ลดละเลี่ยงการกินดื่มในร้าน ซื้อกลับจะปลอดภัยกว่า ลดละเลี่ยงการรวมกลุ่มกันสังสรรค์ปาร์ตี้ท่องเที่ยว

คอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบาย ควรหยุดเรียนหยุดงานและไปตรวจรักษา

ด้วยรักต่อทุกคน และเอาใจช่วยเสมอ


อ้างอิง

South Africa halts rollout of AstraZeneca vaccine. Financial Times. 8 February 2021.

AstraZeneca’s Vaccine Does Not Work Well Against Virus Variant in South Africa. New York Times. 7 February 2021.

อำนาจเจริญ ปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แห่งที่ 2 ต่อยอด ‘อำนาจเจริญโมเดล’ สร้างต้นแบบวิจัยและผลิตกัญชารักษาโรค เพิ่มโอกาสเข้าถึงการรักษาด้วยยากัญชาอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย

คุณสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่โรงเรือนกัญชาโรงพยาบาลชานุมาน ซึ่งเป็นแห่งที่ 2 ของ จ.อำนาจเจริญ พร้อมติดตามความคืบหน้าการปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลชานุมาน โดยมี นพ.ประภาส วีระพล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ นพ.ปฐมพงษ์ ปรุโปร่ง รองนายแพทย์สาธารณสุขฯ รัฐวิสาหกิจชุมชน รายงานผลการดำเนินงานความคืบหน้า

ตามที่กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยกให้จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นจังหวัดนำร่องปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพิ่มการเข้าถึงในการรักษาด้วยยากัญชาอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย ซึ่งมี รพ.สต. โรงพยาบาล ร่วมกับวิสาหกิจชุมชน ดำเนินการ 2แห่ง คือ 1.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพโนนดู่ ต.สร้างนกทา อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ 2.)โรงพยาบาลชานุมาน เพื่อวิจัยการผลิตกัญชาประโยชน์ทางการแพทย์ ภายในโรงเรือนระบบปิดตามมาตรฐานสากล เพื่อผลิตวัตถุดิบกัญชา การตรวจสอบคุณภาพ การใช้พื้นที่แปรรูป เพื่อใช้ผลิตยาสมุนไพรไทยต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังได้เยี่ยมชมอาคารระบบตากแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ โรงพยาบาลชานุมาน ณ นิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกชานุมาน อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ อีกด้วย


ภาพ : บัณฑิต สนุกพันธ์

ข่าว : ประวัติ นิธิเตชะยศสกุล

วิถีชีวิตแบบชุมชน ถ้าถอดรหัสความแข็งแกร่ง และปั้นออกมาต่อยอดในเชิงธุรกิจได้ ก็มีโอกาสสร้างโอกาสทางการท่องเที่ยวและรายได้ให้แก่คนพื้นที่ได้อย่างมาก

ล่าสุดโรงเรียนบ้านเขาเฒ่า หมู่ 3 ต.บางเตย อ.เมืองพังงา ได้เปิดสถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็คอินแห่งใหม่ ‘ทุ่งดอกปอเทือง’ ที่กำลังชูช่อบานสีเหลืองสวยงาม ทำให้มีนชาวบ้านในพื้นที่และใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม บันทึกภาพสวย ๆ ลงในสื่อโซเชียลต่าง ๆ โดยปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวเริ่มได้รับความสนใจ และมีผู้คนแวะเข้ามาเยี่ยมชมมากกว่า100 คน

ที่น่ารักไปกว่านั้น คือ ที่นี่จะให้เด็กนักเรียนเป็นมัคคุเทศน์น้อย พาเที่ยวชมตามจุดต่างๆ แถมยังทำหน้าที่เป็นช่างภาพถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ตามจุดถ่ายรูปต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติและของเหลือใช้ในชุมชน จนสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก

นายนิกรณ์ โยมเนียม ผอ.โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า เปิดเผยว่า “โรงเรียนบ้านเขาเฒ่าใช้แนวคิด Happy school Model โดยเริ่มต้นจากการทำโรงเรียนให้เหมือนบ้านสร้างความสุข จากคุณครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงลูกๆนักเรียน

“จากนั้นก็ขยายผลไปสู่ชุมชนผ่านอุทยานการเรียนรู้ Happy school ซึ่งแต่เดิมพิกัดดังกล่าวเป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ แต่ด้วยจำนวนเด็กนักเรียนที่ลดน้อยลง จึงไม่ได้ประโยชน์เต็มพื้นที่ จนกลายเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวของชาวบ้าน ทางโรงเรียนจึงเกิดไอเดียว่า ถ้าเรานำทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวมาทำให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ให้กับโรงเรียนและชุมชน โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมน่าจะดี จึงได้ทำการปรับภูมิทัศน์พร้อมกับปลูกต้นปอเทืองเมื่อปลายปี 2563

“ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการอบรมเด็กนักเรียนให้มีความพร้อมที่จะดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในโรงเรียน โดยเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้นปอเทือง ได้เริ่มออกดอกบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองสวยงาม จึงกลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ในพื้นที่ ขณะเดียวกันภายในโรงเรียน ยังมีการจัดมุมเรียนรู้ในการทำการเกษตรวิถีใหม่รับการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในอนาคตควบคู่กันไป

“อย่างไรก็ตามอุทยานการเรียนรู้ Happy school นี้ ไม่ใช่เป็นแค่แหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติให้กับนักเรียนที่เป็นห้องเรียนแห่งใหม่ ที่เด็กนักเรียนสามารถเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติในทุกรายวิชา

ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดรายได้ต่อชุมชนรอบข้าง ทางโรงเรียนยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองในพื้นที่ เข้ามาขายของกินของใช้ให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมดอกปอเทือง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง และทางโรงเรียนได้มีการเก็บค่าเข้าชมทุ่งดอกปอเทืองคนละ 20 บาท เพื่อนำรายได้รายได้มาเป็นทุนการศึกษาของเด็กนักเรียนและเป็นค่าใช้จ่ายในโรงเรียน

สำหรับจุดเช็คอินทุ่งปอเทืองเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00น. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่เพจเฟสบุ๊ค ‘โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า’ หรือหมายเลขโทรศัพท์ 082-803-3503


ที่มา: อโนทัย งานดี / พังงา / 081-0836530

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการต่อต้านการผูกขาด ภายใต้รัฐบาลจีน มีมติผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยเรื่องระเบียบการค้าใหม่ ที่ป้องกันการผูกขาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยย้ำว่าจะใช้กฎหมายนี้ในทุก ๆ อุตสาหกรรม

แม้จะไม่มีการเอ่ยตรงๆ แต่ก็เชื่อได้ว่าเป็นการสกัดกลุ่มธุรกิจ e-Commerce ในกลุ่ม Big Tech ของจีนโดยเฉพาะ เพราะกำลังเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในจีน หากมองในแง่มุมของการครอบครองข้อมูลฐานลูกค้าหลายล้านรายทั่วประเทศ

โดยร่างกฎหมายฉบับใหม่ มีกฏข้อห้ามในการตั้งราคาขายในกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีผลต่อการทำโปรโมชั่นเพื่อทุ่มตลาด รวมถึงการผูกขาดให้ใช้เฉพาะช่องทางการชำระเงินของบางบริษัท ที่กีดกันบริการคู่แข่ง และการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าเพื่อความได้เปรียบทางตลาด

สำหรับธุรกิจที่จะโดนผลกระทบเต็มๆ จากร่างกฎหมายต่อต้านการผู้ขาดฉบับล่าสุด จะมีตั้งแต่เว็บ Alibaba, Taobao, Tmall, JD.com รวมถึงแอปพลิเคชันในให้บริการทางการเงินอย่าง AliPay, WeChat หรือแม้แต่เว็บไซต์โซเชียลมีเดีย และผู้ให้บริการส่งอาหาร เรียกรถแท็กซี่ ที่จะไม่มีข้อยกเว้น

ทั้งนี้ สำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐ ได้ไห้ความเห็นว่า ร่างกฎหมายใหม่จะป้องกันกลยุทธ์เพื่อผูกขาดตลาดของบริษัทใหญ่ผ่านแพลตฟอร์มทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่ยุติธรรมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจนจากรัฐบาลจีนในการใช้กฎหมายใหม่ น่าจะเน้นไปที่การจำกัดการใช้กลยุทธ์ด้านราคา หรือเทคโนโลยีในการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือใช้ระบบอัลกอริธึมในการควบคุมตลาด ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือบริษัทที่มีดิจิตัลแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ อย่าง Alibaba และ Tencent ซึ่งบริษัทเหล่านี้กำลังเป็นบริษัทเงินทุนสุดทรงอิทธิพลอย่างมากในเศรษฐกิจของจีน และนี่ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนไม่อาจมองข้ามได้

รัฐบาลจีนส่งสัญญาณชัดเจนในเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่ ‘แจ็ค หม่า’ ประกาศตั้งบริษัท Ant Group เสนอนวัตกรรมผู้ให้บริการด้านการเงินแบบใหม่ โดยใช้ฐานลูกค้า Alibaba ในการพิจารณาสินเชื่อ แทนการกู้ในระบบธนาคารรัฐ ที่แจ็ค หม่า เคยวิจารณ์ว่าเป็นระบบที่ล้าหลังไม่ต่างจากโรงรับจำนำ

การกำเนิดของ Ant Group สร้างความฮือฮาในวงการการเงินทั้งใน และต่างประเทศเป็นอย่างมาก และคาดการณ์ว่าราคา IPO ของ Ant Group จะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่แล้วทางรัฐบาลจีนก็ออกคำสั่งด่วน สกัดการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Ant Group ตามมาด้วยข่าวการร่างกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดใหม่ และเข้าสอบสวนเครือบริษัท Alibaba ว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายการผูกขาดหรือไม่

เมื่อเดินหน้าแล้ว รัฐบาลจีนก็ไม่หยุดแค่ Alibaba แต่จัดระเบียบกับผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทั้งหมด ด้วยกฎหมายเดียวกัน เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

แต่ทั้งนี้ การเข้าถึงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ก็เริ่มเป็นสร้างความกังวลใจให้กับรัฐบาลหลายประเทศ ที่จำเป็นต้องเข้ามาจัดการก่อนสายเกินไป

ดังอย่างเช่น รัฐบาลกลางสหรัฐได้ยื่นฟ้องบริษัท Big Tech ยักษ์ใหญ่ ทั้ง Google และ Facebook ในข้อหาผิดกฎหมายผูกขาดด้านการตลาด ที่ตอนนี้กำลังพิจารณาในชั้นศาล

และรัฐบาลออสเตรเลีย ตัดสินใจผ่านกฎหมายคุ้มครองสื่อในประเทศ ยื่นฟ้องทั้ง Facebook และ Google ต้องจ่ายค่าคอนเท้นท์ให้แก่สำนักข่าวท้องถิ่นของออสเตรเลียเมื่อมีการอ้างอิงเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม ที่ทำให้ Google ออกมาขู่ระงับการใช้งานในออสเตรเลีย และกลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังจับตาว่า บริษัท Big Tech อาจมีอิทธิพลเหนือกว่ารัฐบาลทั่วโลกแล้วในขณะนี้

ส่วนรัฐบาลกลางของสหภาพยุโรปได้เคยยื่นฟ้องร้องคดีการผู้ขาดตลาดกับ Google ให้จ่ายค่าปรับไม่น้อยกว่า 9.5 พันล้านเหรียญมาแล้วตั้งแต่ปี 2017

เรื่องการผูกขาดตลาดในโลกดิจิทัลที่เกือบจะไร้พรมแดนเพื่อครอบครอง Big Data อาจเป็นเรื่องที่จริงจังกว่าที่เราคิดก็ได้


อ้างอิง:

https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215210.shtml

https://www.usnews.com/news/world/articles/2021-02-07/china-issues-new-anti-monopoly-rules-targeting-its-tech-giants

https://www.cnbc.com/2021/02/08/asia-markets-shares-of-china-tech-giants-alibaba-tencent-coronavirus-currencies-oil.html


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top