Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ พบส่วนใหญ่หนุนเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมาย แม้ไม่สนใจเล่น ชี้ผลดีการเก็บภาษี ผลเสียเป็นหนี้ คนไม่ทำงาน ภาระสังคม

จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายครั้งพบว่าบ่อนพนันเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ของการแพร่เชื้อ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหลากหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นควรกวดขันไม่ให้มีบ่อนผิดกฎหมาย หรือควรมีการเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมาย เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน 

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณี ‘การเปิดบ่อนพนัน’ ในหัวข้อ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ จำนวน 1,929 คน สำรวจวันที่ 27 ม.ค. – 5 ก.พ. 2564 พบว่า จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามสถานที่ต่าง ๆ ประชาชนให้ความสำคัญกับกรณีการแพร่ระบาดจากการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานเถื่อนมากที่สุด ร้อยละ 92.55 รองลงมาคือ การแพร่ระบาดจากบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ร้อยละ 86.30 

โดยมองว่าการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายนั้นไม่ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ได้ ร้อยละ 51.63 และเห็นว่าช่วยได้ ร้อยละ 30.12 ผลดีของการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมาย คือ ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี ร้อยละ 81.97 ผลเสียคือ เป็นหนี้ คนไม่ทำงาน เป็นภาระให้ครอบครัว ร้อยละ 69.22  ภาพรวมเห็นด้วยหากจะมีการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย ร้อยละ 50.70 แต่ไม่สนใจไปใช้บริการ ร้อยละ 83.14 

เป็นกระแสที่ถกเถียงกันในสังคมมาช้านานสำหรับประเด็นการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย แม้ผลสำรวจจะเห็นด้วยกับการเปิดบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ต้องมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตามแก้กันอีกในอนาคต   

นายยุธยา อยู่เย็น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากปัญหาการลักลอบเล่นพนันในบ่อนต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยนั้น ส่งผลให้สังคมไทยตื่นตัวและเฝ้าจับตามองการรายงานสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เป็นสิ่งที่ยากต่อการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย เพราะผู้ติดเชื้อมักไม่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลเพราะกลัวความผิด ตลอดจนการตั้งข้อสงสัยต่อประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำถามเดิมที่ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ควรมีการเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยเสียที 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลในประเด็นดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมาย เนื่องจาก เป็นการสร้างรายได้แก่ประเทศในการจัดเก็บภาษี ลดปัญหาการทุจริต การเก็บส่วย หรือ มาเฟีย ตลอดจนทำให้ควบคุมได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็ยังคงต้องไขข้อข้องใจแก่ประชาชน ถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง อาทิเช่น ปัญหาหนี้สิน การมอมเมาประชาชน ตลอดจนการเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน เป็นต้น

‘ธนกร’ โวลั่น ประชาชนปลื้มผลงานรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ ‘เราชนะ’ เยียวยา 41 ล้านคน เหน็บฝ่ายค้าน ซักฟอกอย่าดีแต่โม้ ไม่เอาประเภทสาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ ขอแบบเน้น ๆ และเนื้อหาสร้างสรรค์ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ ชี้แจงได้สบาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19นั้น ในโครงการเราชนะ รัฐบาลจะช่วยเหลือเยียวยาจำนวน 41 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.8 ล้านคน กลุ่มผู้ใช้แอพกระเป๋าตังค์จำนวน 17 ล้านคน และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อีก 9 ล้านคน รวมทั้งกลุ่มอื่นๆ อีก 1.2 ล้านคน สำหรับในส่วนผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโอนเงินให้แล้วล็อตแรก สร้างความพอใจให้ประชาชนอย่างมาก
สำหรับทุกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และโครงการ ม.33 เรารักกัน จะสามารถช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ เป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ฝากขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งมั่นช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
นายธนกร กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านโหมโรงฉายหนังตัวอย่างกันอย่างเต็มที่ประเภทบู๊ล้างพลาญ โดยประกาศจะล้มรัฐบาลให้ได้ รัฐบาลก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกประเด็น โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์นั้นพร้อมมาก เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดอะไร และบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์ ส่วนกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า วางตัว 15 ส.ส.อภิปรายแบบจัดหนัก ข้อมูลแน่น หลักฐานชัดนั้น ขอให้ข้อมูลแน่นจริงๆ อย่าน้ำท่วมทุ่ง ขอให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ อย่าอภิปรายแบบสาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ รัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกประเด็น จะได้ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ รวมไปถึงจะได้แสดงผลงานของรัฐบาลไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตนมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนเข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโควิด-19

กว่า 1 ปีที่โลกเผชิญ ‘โควิด-19’ ไวรัสมรณะที่ทำให้โลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่โรคระบาดเกิดขึ้น ณ ‘เมืองอู่ฮั่น’ แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัย ‘สามก๊ก’

โคโรน่าไวรัส​ &​ อูฮั่น​ &​ หูเป่ย​ &​ สามก๊ก
เล่าปี่ผู้รวบรวมแคว้นตะวันตก​ เกงจิ๋วและเฮ็กจิ๋วเป็น​ " สถาปนาจ๊กก๊ก"

ซุนกวน​ ผู้สอบทอดอำนาจจากพ่อและพี่ชาย​ สืบสานดินแดนด้านตะวันออก​เฉียงใต้​แห่งกังตั๋ง เป็นแคว้น​  "เป็นง่อก๊ก"
โจโฉ​ ผู้รวบรวมดินแดนทางเหนือ​กำราบเมืองต่างๆเป็นปึกแผ่น "สถาปนาวุยก๊ก"

ความตอนหนึ่ง​ จากการบันทึกจดหมายเหตุ​ของ โจโฉ​แพ้ทัพ​" ศึกผาแดง​ " ตามหนังดัง​สร้างโดย​ จอห์น​ ซู​ เรื่อง​  Red​ Cliff
เล่าปี่​ และซุนกวน​ ร่วมมือกันยัน​โจโฉ​ ที่เมือง​จีบี้​ (Chibi) ด้านล่างของเมือง​อูฮั่น​ มณฑลหูเป่ย​ จนโจโฉแตกทัพพ่ายแพ้ยับเยิน​ โจโฉอ้างว่าเพราะทหารติดโรคระบาดตายกันเป็นเบือ​ ที่เมืองอูฮั่น​ มณฑล​หูเป่ย

แต่ทางเล่าปี่ และซุนกวน​ บอกว่าแพ้เพราะการทหาร​ และกลยุทธ์
ดังนั้นเมืองอูฮั่น​ และเมืองรอบๆ​ ในมณฑลหูเป่ย​ กลางแผ่นดินจีน​ เคยมีโรคระบาด​ ประมาณ​ 2,000​ ปีที่แล้ว​ อาจจะไม่ใช่ครั้ง​แรก​ ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นกลางแผ่นดินจีน



Cr : รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ
https://youtu.be/g8yGrer0RGY
.
https://youtu.be/pd0bqLQrtdE

‘สามารถ ราชพลสิทธิ์’ ผิดหวังรฟม. ไม่สู้ต่อในชั้นศาลปกครองสูงสุด ชิงล้มประมูลคัดเลือกชนร่วมลงทุนรถไฟฟ้าสายสีส้ม อ้างถ้าสู้ต่อทำให้เสียเวลา หลังถูกบีทีเอสฟ้องใช้เกณฑ์คัดเลือกใหม่ ส่อไม่เป็นธรรม เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยระบุว่า
ล้มสายสีส้ม
สู้ไม่สุดซอย ถอยดีกว่า
น่าเสียดายที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สู้ไม่สุดซอย ถอยเสียก่อน ไม่รอฟังคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด สร้างความผิดหวังให้กับผู้เกาะติดการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้ไม่รู้ว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ
ในที่สุด รฟม. ได้ประกาศล้มการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มอย่างไม่เกรงกลัวต่อข้อครหาของผู้ติดตามการประมูลที่ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการประมูลไทย
รฟม. ประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มีผู้ซื้อเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) 10 ราย หลังจากปิดขาย RFP แล้ว มีเอกชนเพียงรายเดียวร้องขอให้เปลี่ยนเกณฑ์การคัดเลือกจากเดิมที่จะต้องพิจารณาความสามารถด้านเทคนิคก่อน หากสอบผ่านก็จะพิจารณาข้อเสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม. ใครให้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล เป็นเกณฑ์ใหม่ที่จะพิจารณาความสามารถด้านเทคนิคพร้อมกับข้อเสนอผลตอบแทน ใครได้คะแนนรวมสูงสุดก็จะเป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งอาจทำให้ผู้เสนอผลตอบแทนสูงสุดไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะการประมูลก็ได้ ทำให้ รฟม.ไม่ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้
เกณฑ์ใหม่ทำให้ประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุดจริงหรือ?
รฟม. อ้างว่าเกณฑ์ใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ กล่าวคือการคัดเลือกผู้ชนะการประมูลด้วยการพิจารณาความสามารถด้านเทคนิคพร้อมกับข้อเสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม. จะทำให้สามารถคัดเลือกผู้ชนะการประมูลที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง เนื่องจากโครงการนี้ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เพราะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์และอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา รฟม. ไม่ได้พิจารณาแค่เพียงข้อเสนอผลตอบแทนเท่านั้น
แต่ผมมีความเห็นว่าเกณฑ์ใหม่สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เนื่องจากเกณฑ์ใหม่ไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำด้านเทคนิคไว้ นั่นหมายความว่าผู้ที่ได้คะแนนด้านเทคนิคไม่ว่าจะต่ำเพียงใดก็จะได้รับการพิจารณา และอาจได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะถ้าเขาเสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม. สูงมาก เป็นผลให้ รฟม. ไม่ได้ผู้ชนะการประมูลที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงตามที่ รฟม. ต้องการ
นอกจากนี้ เกณฑ์ใหม่จะเปิดโอกาสให้กรรมการคัดเลือกช่วยเอกชนรายใดรายหนึ่งให้เป็นผู้ชนะก็ได้ กล่าวคือเมื่อกรรมการฯ เห็นข้อเสนอด้านเทคนิคพร้อมๆ กับข้อเสนอผลตอบแทน ทำให้รู้ว่าจะต้องให้คะแนนอย่างไรจึงจะทำให้เอกชนรายนั้นเป็นผู้ชนะ เช่น หากต้องการช่วยเอกชน A ซึ่งเสนอผลตอบแทนต่ำกว่า ให้ชนะเอกชน B ซึ่งเสนอผลตอบแทนสูงกว่า กรรมการฯ ก็อาจให้เอกชน A ได้คะแนนด้านเทคนิคสูงกว่าเอกชน B เพื่อทำให้เอกชน A ได้คะแนนรวมสูงกว่า ซึ่งจะได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะทั้ง ๆ ที่เสนอผลตอบแทนต่ำกว่า ทำให้ รฟม. ไม่ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้
ต่างกับเกณฑ์เดิมที่ให้ความสำคัญกับความสามารถด้านเทคนิคเป็นอย่างมาก โดยจะพิจารณาความสามารถด้านเทคนิคก่อน ซึ่งจะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 85% ถ้าได้น้อยกว่าก็ถือว่าสอบตก รฟม. จะไม่พิจารณาข้อเสนอผลตอบแทนต่อไป ทำให้ผู้ชนะการประมูลเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงสามารถทำการก่อสร้างในพื้นที่ใดก็ได้ และในขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ รฟม. ได้ผู้ชนะการประมูลที่เสนอผลตอบแทนสูงที่สุดด้วย
สรุปได้ว่า เกณฑ์ใหม่จะไม่ทำให้ประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ รฟม. จึงต้องใช้เกณฑ์เดิมในการประมูลโครงการที่ต้องการผู้ชนะการประมูลที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง ดังเช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ผมขอย้ำว่าเกณฑ์เดิมมีความเหมาะสมกับโครงการของ รฟม. มากกว่าเกณฑ์ใหม่อย่างแน่นอน
คงเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ทำให้ผู้แทนสำนักงบประมาณซึ่งร่วมเป็นกรรมการฯ “ยืนหนึ่ง” ค้านการใช้เกณฑ์ใหม่ตลอดมา
รฟม. เคยใช้เกณฑ์พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคพร้อมกับข้อเสนอผลตอบแทนมาก่อน!
อันที่จริง รฟม. เคยใช้เกณฑ์พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคพร้อมกับข้อเสนอผลตอบแทนมาก่อน แต่เป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยใช้ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ หลังจากนั้น รฟม. ไม่ใช้เกณฑ์นี้อีกเลย เพราะรู้ว่าเกณฑ์นี้ลดความสำคัญของข้อเสนอด้านเทคนิค ไม่เหมาะสมกับโครงการที่มีความซับซ้อน ดังนั้น ในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าต่อมา รฟม. จึงเลือกพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคก่อน หากสอบผ่านจึงจะพิจารณาข้อเสนอผลตอบแทน หากสอบตกก็จะไม่พิจารณาข้อเสนอผลตอบแทน ซึ่งถือว่าเป็นการให้ความสำคัญต่อข้อเสนอด้านเทคนิคอย่างแท้จริง ทำให้ได้ผู้ชนะการประมูลที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง และให้ผลตอบแทนแก่ รฟม.สูงที่สุดด้วย แต่อะไรทำให้ รฟม. ต้องกลับไปใช้เกณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับโครงการที่มีความซับซ้อนดังเช่นโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มอีก?
บีทีเอสฟ้องศาลปกครองกลาง
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสเห็นว่าการเปลี่ยนเกณฑ์การประมูลทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง จึงฟ้องศาลปกครองกลางโดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนเกณฑ์ใหม่ หรือไม่ให้ รฟม. ใช้เกณฑ์ใหม่ และขอให้ศาลทุเลาการใช้เกณฑ์ใหม่ก่อนที่จะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือไม่ให้ รฟม. ใช้เกณฑ์ใหม่ในระหว่างที่รอการพิจารณาของศาล ในที่สุดศาลได้มีคำสั่งให้ทุเลาการใช้เกณฑ์ใหม่ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น โดยศาลได้ระบุไว้ในคำพิพากษาตอนหนึ่งว่า การเปลี่ยนเกณฑ์การประมูล “จึงเป็นคำสั่งที่น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชอบด้วยกฎหมาย” รฟม. ไม่เห็นด้วย จึงเดินหน้าสู้ด้วยการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดโดยขอให้ศาลมีคำสั่งระงับคำสั่งทุเลาของศาลปกครองกลาง
รฟม. สู้ไม่สุดซอย
แต่ยังไม่ทันที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งลงมา รฟม. ได้ชิงล้มการประมูลไปก่อน น่าเสียดายที่ รฟม. สู้ไม่สุดซอย โดยอ้างว่าถ้าสู้ต่อไปจะทำให้เสียเวลานาน แต่ถ้าล้มประมูลจะเสียเวลาน้อยกว่า แต่ผมเห็นว่าถ้าสู้ให้สุดซอยก็จะทำให้รู้ว่าการที่ รฟม. เปลี่ยนเกณฑ์การประมูลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? และเกณฑ์ใหม่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติจริงหรือไม่?
อันที่จริง ถ้า รฟม. ทนรอคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดต่อไปอีกสักหน่อย ซึ่งคาดว่าในอีกไม่นานศาลน่าจะมีคำสั่งลงมา และถ้าศาลมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง นั่นหมายความว่า รฟม. ไม่สามารถใช้เกณฑ์ใหม่ได้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ในกรณีศาลปกครองสูงสุดมีความเห็นเหมือนกับศาลปกครองกลางเช่นนี้ โอกาสที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นคงยากมาก ดังนั้น รฟม. จึงสามารถเดินหน้าประมูลต่อไปโดยใช้เกณฑ์เดิมได้ ซึ่งสามารถประหยัดเวลาได้เมื่อเปรียบเทียบกับการล้มประมูลแล้วเปิดประมูลใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้า รฟม. ไม่เปลี่ยนเกณฑ์ประมูลก็จะไม่เสียเวลาเลย ใช่ไหม?
ข้อสงสัยและข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง



Cr : เพจ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์

คิวต่อไป !! ‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้องผู้ว่าฯ กทม. สอบโครงการก่อสร้างแก้มลิงสวนเบญจกิติ 138 ล้าน มีพิรุธ หลังพบเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่ และไม่ทราบเอาดินซึ่งเป็นทรัพย์สินกทม. ไปกองไหว้ไหน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงบึงน้ำบริเวณสวนเบญจกิติเพื่อจัดทำเป็นแก้มลิง เพื่อกักเก็บน้ำให้ได้ 137,000 ลบ.ม. โดยได้จัดทำ TOR และปิดประมูลโครงการและลงนามในสัญญาก่อสร้างกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วในมูลค่าโครงการ 138 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.62-10 ต.ค. 63 ที่ผ่านมานั้น ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดใน TOR และสัญญาว่าจ้างส่วนหนึ่งระบุว่า จะต้องขุดดินในบริเวณบึงรับน้ำตามแบบความลึกไล่ระดับตามที่กำหนด พร้อมขนย้ายดินออกไปทิ้ง ณ ที่กำหนด ฯลฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณ ถ.รัชดาภิเษก ช่วง ถ.สุขุมวิท - ถ.พระราม 4 และบริเวณ ซ.สุขุมวิท 16 โดยสามารถรองรับน้ำส่วนเกินมากักเก็บไว้ให้ได้ 137,000 ลบ.ม. ตามสัญญา
“ แต่ปรากฏว่าขณะนี้ได้สิ้นสุดสัญญาว่าจ้างไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่มีการส่งมอบงานโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในช่วงแรกบริษัทผู้ได้งานมีการจ้างผู้รับเหมาช่วงในการขุดขนดินออกไปทิ้งนั้น คือ บ.ทรัพย์ทรายทอง จก. แต่กลับมีปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างกันขึ้นมา ผู้รับจ้างช่วงจึงนำข้อมูลมาร้องเรียนกับสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยว่า จำนวนดินที่จะต้องขุดลอกอาจไม่ได้ความลึกตามที่กำหนด หรือให้ได้ปริมาตรของการกักเก็บน้ำตามสัญญา และยังมีข้อพิรุธอีกหลายประการ หลังจากมีการเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่เข้ามาแทนที่ โดยไม่มีใครทราบว่าดินเหล่านั้นเอาไปกองไว้ที่ใด เพราะดินเหล่านั้นถือเป็นทรัพย์สินของ กทม. จะนำไปขายให้เอกชนนำไปถมที่ไม่ได้ ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอาจจะไม่รู้ก็ได้” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงจะนำความไปแจ้งและร้องเรียนต่อผู้ว่าฯ กทม. ให้ตรวจสอบปริมาตรดินและปริมาตรน้ำเป็นไปตามสัญญาจ้างครบ 100% หรือไม่  มีการแอบลักดินไปขายให้เอกชนหรือไม่ และได้มีการดำเนินการสั่งปรับตามเงื่อนไขการผิดสัญญาการส่งมอบงานไปแล้วหรือไม่ อย่างไร และหากพบว่ามีการเกี้ยเซียะหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้สั่งดำเนินการลงโทษต่อไป แต่หากผู้ว่าฯเพิกเฉย สมาคมฯจะนำความไปร้อง สตง. และ ป.ป.ช. ต่อไป
นอกจากนั้น จะได้นำชาวบ้านในซอยถาวรธวัช 1 ที่คัดค้านโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนและก่อสร้างทางยกระดับข้ามแยกถาวรธวัชและถนนซอยรามคำแหง 24 เขตบางกะปิ เนื่องจากถูกลิดรอนสิทธิการเวนคืนที่ดินจาก กทม. แต่จะเป็นโครงการที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรมากนัก แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับชาวชุมชน ซึ่งขัดต่อกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เดินทางไปยื่นคำร้องและคัดต้านโครงการดังกล่าวในวันจันทร์ที่ 8 ก.พ.เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานผู้ว่าฯ กทม. ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า

ขอแสดงความยินดี! ‘โค้ชอ๊อด’ เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หลังได้รับเลือกเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ FIVB อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้

จาก เฟซบุ๊คของคุณปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์ ระบุว่า

ยินดีด้วยครับ

"โค้ชอ๊อดของพวกเรา" นายเกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ได้รับการเลือกตั้ง (elected) ให้เข้าดำรงตำแหน่งบอร์ดบริหารของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ FIVB (FIVB Board of Administration Member) อย่างเป็นทางการจากการประชุม FIVB World Congress ครั้งที่ 37 เมื่อวานนี้

โดยก่อนหน้านี้ โค้ชอ๊อดได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามารับตำแหน่งบอร์ดบริหารสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเซีย หรือ AVC ทำงานในตำแหน่งรองประธานบริหาร โซนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Executive Zonal Vice President representing Southeastern Zone) และยังได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเซีย (AVC Secretary-General) ด้วย

สำหรับสมาชิกในบอร์ดบริหาร FIVB ที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในที่ประชุม FIVB World Congress (ซึ่งดำเนินการประชุมผ่านทางออนไลน์เป็นครั้งแรกของโลก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19) นั้น จะมีจำนวนทั้งสิ้น 24 คนรวมทั้งสมาชิกสุภาพสตรีอีก 2 คน รวมเป็น 26 คน ประกอบไปด้วย

6 คนจากโซนเอเซีย AVC (ไทย-จีน-ญี่ปุ่น-อิหร่าน-ออสเตรเลีย-คุกไอส์แลนด์)

3 คนจากโซนอาฟริกา CAVB

8 คนจากโซนยุโรป CEV

3 คนจากโซนอเมริกาใต้ CSV

4 คนจากโซนอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง NORCECA

2 สุภาพสตรี ที่ได้รับการเลือกตั้ง gender-in-minority member ประกอบด้วย เมริย่า หลุยส์ อดีตดาวตบแชมป์โอลิมปิกสามสมัยจากคิวบา ได้เสียงโหวต 137 เสียงและ มาร์กาเร็ต เออร์นานเดส จากสก๊อตแลนด์ ได้ 120 เสียง

ซึ่งทั้ง 26 คนนี้จะทำงานในบอร์ดบริหารของ FIVB ร่วมกับประธาน FIVB คนปัจจุบัน คือนายอารี กราซ่าและประธานวอลเลย์บอลภาคพื้นทวีปทั้งห้าทวีปด้วย โดยจะมีช่วงการทำงานในบอร์ดบริหาร FIVB เป็นระยะเวลา 4 ปีของรอบโอลิมปิก Olympic cycle คือระหว่างปี 2021-2024


ที่มา : FB ปรีชาชาญ วิริยานุภาพพงศ์ (Preechachan Wiriyanupappong)

‘บิ๊กตู่’ ออก Podcast แจงทุกข้อสงสัยเรื่องวัคซีนโควิด-19 ลั่น ตัวเองเดือดเนื้อร้อนใจตลอด ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังจัดหาวัคซีนจากบริษัทอื่นไม่ได้มีแค่แอสตราเซเนก้า-ซิโนแวค ยันสยามไบโอไซเอนซ์มีความพร้อมผลิตแล้ว ยอมรับผลข้างเคียงฉีดวัคซีนโควิดเกิดขึ้น ล้านคนอาจตาย

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ผ่าน PM POSCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ทางเพจไทยคู่ฟ้า ว่า นอกจากชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนแล้ว มีเรื่องการจัดซื้อและแจกจ่ายวัคซีนของประเทศไทยที่หลายคนติดตามและกังวล เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตนเดือดเนื้อร้อนใจ ยิ่งกว่าท่านอีก เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ คำถามที่ว่าเหตุใดประเทศไทยไม่จัดซื้อวัคซีนครอบคลุมจำนวนที่เหมาะสม และแผนฉีดวัคซีนในประเทศไทยล่าช้าเกินไปหรือไม่ รัฐบาลมีแผนแจกจ่ายวัคซีนในระยะยาวอย่างไรนั้น ขอเรียนว่าความพยายามในการจัดหาวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ริเริ่มตั้งแต่ ส.ค. 63 ภายหลังเห็นเงื่อนไขต่างๆ ของผู้ผลิตวัคซีน Covax ในลักษณะการจองวัคซีนล่วงหน้า โดยที่ยังไม่ทราบผลการทดลองในมนุษย์

ประเทศไทยขณะนั้นยังไม่มีกลไกลจัดหาวัคซีนที่มีเงื่อนไขจ่ายเงินก่อนและมีโอกาสไม่ได้วัคซีนหากการวิจัยล้มเหลว สถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมควบคุมโรคได้ปรึกษาหน่วยงานด้านกฎหมายในประเทศ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อัยการสูงสุด สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ได้รับหนังสือตอบกลับจากกรมบัญชีกลางว่าไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ได้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จึงมีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ตามมาตรา 18 ของ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เพี่อให้สามารถจองวัคซีนล่วงหน้าได้ตามกฎหมาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวแผนการฉีดวัคซีนจะกระจายทุกกลุ่มประชากรตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับวัคซีนที่มีจะการส่งมอบ ส่วนคำถามที่ว่าแผนการฉีดวัคซีนเพียงร้อยละ 21.5 ของจำนวนประชากร ไม่สามารถภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่สังคมได้ ถือเป็นการใช้งบไม่คุ้มค่า และไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงหรือไม่นั้น ขอเรียนว่าวันนี้เราจะจัดหาเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ตั้งเป้าไว้เท่านั้น ตอนนี้เราได้มาเท่าไหร่ก็ฉีดไปเท่านั้นก่อน เราไม่หยุดยั้งในการหายี่ห้ออื่น ที่จะจัดหาได้เพิ่มเติม วันนี้เราจัดหาได้จำนวน 63 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรประมาณ 31.5 ล้านคน และจะจัดหาเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มเป้าหมายตามความสมัครใจ ไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไร ไม่ทำอะไรต่อเลย แต่คิดตลอดเวลา ส่วนที่ว่าหากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ทำตามข้อตกลงมีแผนดำเนินการอะไรต่อไปนั้น คำตอบคือ การจัดหาวัคซีนจากบริษัทอื่นสามารถดำเนินการได้ และกำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดไม่ให้องค์การเภสัชกรรมที่มีโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นผู้ผลิตวัคซีนแทนบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่ต้องรอโรงงานให้พร้อมก่อนผลิต ซึ่งใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4 เดือนนั้น ขอชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดกันหรือไม่ เพราะองค์การเภสัชกรรมไม่สามารถผลิตวัคซีนชนิด Viral vector ได้ เนื่องจากวัคซีนไม่เหมือนกัน และสยามไบโอไซเอนซ์ไม่ได้รอเพื่อทำโรงงานให้พร้อม แต่ที่รอคือการผลิตจริงตามมาตรฐานของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่ ธ.ค. 63 เพื่อให้มีการขึ้นทะเบียนโดย อย.ไทย และเตรียมความพร้อมของบริษัท ที่วันนี้เขาพร้อมทั้งหมด เมื่อได้วัคซีนมาจะดำเนินการได้ทันที เราก็จะเป็นสายการผลิตหนึ่งในประเทศไทยและอาเซียนของแอสตราเซเนก้า และยังมีบริษัทอื่นที่ร่วมมือกับแอสตราเซเนก้าในการผลิตที่ภูมิภาคอื่นอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่ให้สยามไบโอไซเอนซ์ที่มีผลประกอบการขาดทุน 500 กว่าล้านบาทผูกขาดการผลิตวัคซีนในประเทศไทยรายเดียว จะสามารถผลิตได้ทันเวลาหรือไม่นั้น ต้องเข้าใจว่าการที่เราจะเอาวัคซีนมาผลิตเองในประเทศ ต้องขึ้นอยู่แอสตราเซเนก้าซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้คัดเลือกเอกชนที่จะร่วมดำเนินการกับเขา เขาจะพิจารณาความสามารถ บุคลากร และเครื่องมือที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีของแอสตราเซเนก้า ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการเดิม และท่านทราบดีอยู่แล้วว่าสยามไบโอไซเอนซ์ตั้งมาเมื่อไหร่ เป็นวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงตั้งไว้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีวัคซีนที่จำเป็น ไม่ได้หวังผลกำไร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้กีดกันไม่ให้บริษัทเอกชนนำเข้าวัคซีนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน รัฐบาลโดย อย.ยินดีให้ทุกบริษัทมาขอขึ้นทะเบียน ซึ่งได้มีการเปิดช่องทางพิเศษ โดยปัจจุบันมีผู้มาขอขึ้นทะเบียนแล้ว 3 รายและได้รับทะเบียนแล้ว 1 ราย คือ บริษัท แอสตร้า เซเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่เหลือก็ขอให้ยื่นมา ถ้าเข้ากับกติกา หลักเกณฑ์ที่ตนได้เคยกล่าวไปแล้ว ก็จะได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมดในระยะต่อไป

“วัคซีนที่ออกมาทั้งหมด นี้ผมจะพูดให้ชัดว่าผลตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่ เพราะต้องรอให้ครบ 1 ปี แต่ตอนนี้เรามีผลเบื้องต้นว่าอย่างน้อย ผลข้างเคียงไม่เยอะ ยอมรับได้ซึ่งผลข้างเคียงก็ต้องมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราคุ้นเคยกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งผลข้างเคียงเราก็มีข้อมูลอยู่ว่าฉีดไปล้านคน อาจจะตาย 1.1 คน ซึ่งเราก็ไม่อยากให้มีใครตายสักคน ขอให้เข้าใจด้วย ทั้งนี้ หากดูข้อมูลปัจจุบันของวัคซีนโควิด-19 ถ้านับเป็นล้านคนจะตายประมาณ 11 คน นี่คือสถิติที่ถือได้ว่ายอมรับในทางการแพทย์ ซึ่งถ้าฉีดวัคซีนโอกาสติดเชื้อก็มี แต่โอกาสที่จะป่วยน้อยลงเราก็มีข้อมูลอยู่ หรืออาจจะเป็น แต่ไม่รุนแรง หรือโอกาสที่จะป่วย และอัตราการตายน้อยลงกว่าคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

แต่อย่างหนึ่งที่เรายังบอกไม่ได้คือฉีดไปแล้วจะป้องกันการแพร่เชื้อและป้องกันการติดโรคได้หรือไม่ ตรงนี้ยังบอกไม่ได้ข้อมูลยังไม่พอ ทุกอย่างต้องได้รับการทบทวนกลั่นกรองและติดตาม ผ่านการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาหมดแล้ว วัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด และบริษัท โมเดอร์นา จำกัด ผล 95% บริษัท แอสตร้า เซเนก้า จำกัด ผล 90% บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด บริษัท ซิโนฟาร์ม จำกัด ผล 70% ถ้าเป็นอย่างนี้บางคนบอกว่าไม่อยากฉีด แต่ในทางแพทย์ถือว่าเท่ากัน เพราะเราถือมาตรฐาน 50 % ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ตั้งเององค์การอนามัยโลก( WHO) เป็นผู้กำหนดขึ้น

อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้หวัดที่เราฉีดกันทุกปีได้ผล 50% เอง ก็ต้องเข้าใจข้อเท็จจริงตรงนี้ว่าคืออะไรไม่เช่นนั้นก็จะกังวลกันไปหมด ตอนนี้เราอาจจะได้วัคซีนจากประเทศจีนมาอาจจะได้ผล 70% แต่ยืนยันว่าไม่ได้แตกต่างกันเกิน 50% ก็เป็นที่ยอมรับได้อยู่แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นทำให้การแพร่ระบาดลดลง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าถามว่ากลุ่มไหนที่ควรได้รับวัคซีนก่อนนั้น คำตอบคือเราต้องดูปริมาณวัคซีนที่ได้รับเข้ามาจากการสั่งจองซึ่งเป็นการทยอยนำเข้ามา แม้แต่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ก็ต้องทยอยผลิตตามระยะเวลาขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ การจองรอบแรกจำนวน 26 ล้านโดส บวกกับอีก 35 ล้านโดส ก็อาจมาจากการผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาคือปริมาณวัคซีนที่เราได้รับทั้งการผลิตเองและการนำเข้า

สำหรับบุคคลที่จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนมี 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่มีโรคร่วม เช่นเบาหวาน ความดัน เป็นต้น กลุ่มที่สามคือกลุ่มผู้สูงวัยโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคร่วม โรคประจำตัว คนเหล่านี้ถ้าติดเชื้ออาการจะรุนแรงมีอัตราการตายสูง ซึ่งการฉีดวัคซีนอย่างน้อยก็เพื่อการป้องกัน ทั้งนี้จะพิจารณาความเสี่ยงส่วนตัวของผู้สูงวัยรวมทั้งมีโรคร่วม และ ความเสี่ยงในพื้นที่ เช่นที่จังหวัดสมุทรสาครก็น่าจะครอบคลุมพิจารณาถึงกลุ่มแรงงานและประชาชนในพื้นที่จะต้องพิจารณาวัคซีนให้เหมาะสมถือเป็นแผนที่เตรียมไว้ขั้นต้น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งการรับวัคซีนและการแพร่ระบาด จะพิจารณาดูว่าจังหวัดใดมีความเสี่ยง จังหวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราจะดูถึงความจำเป็น ทุกคนมีความต้องการทั้งหมดแต่ต้องเข้าใจว่าเรามีวัคซีนจำนวนจำกัด ทั่วโลกมีบริษัทที่ผลิตวัคซีนไม่ถึง 10 บริษัทซึ่งคาดการณ์ว่าเกือบปีถึงจะฉีดวัคซีนได้ทั้งโลก เรื่องเหล่านี้ต้องคิดและใคร่ครวญให้ดีว่าจะเชื่อใคร แม้ประเทศไทยจะมีการติดเชื้อสูงขึ้นแต่ถือว่าน้อยมากหากเทียบกับหลายๆ ประเทศ

“การมีวัคซีนป้องกันแต่ก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันได้ 100% เพราะวันนี้เป็นกันทั้งโลก แต่วัคซีนก็เป็นความหวัง ผมเชื่อว่าการผลิตวัคซีน การพัฒนา จนกว่าจะนำมาฉีดให้กับคนทั่วโลกอย่างน้อยต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี และไม่ใช่ว่าต้องรอวัคซีนเพียงอย่างเดียว มาตรการสำคัญสูงสุดที่ผมได้ย้ำเสมอคือการขอความร่วมมือทั้งจากประชาชน เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบธุรกิจ สถานประกอบการ ต้องช่วยกันรับผิดชอบ และที่ทำได้เลยและป้องกันได้ทันทีคือการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ การใช้แอลกอฮอล์เจล การเว้นระยะห่างทางสังคม ทั้งนี้ในส่วนของประชาชนขอความร่วมมือว่าอย่าเข้าไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง มีการชุมนุมอยู่ใกล้ชิดกัน หรือการดื่มสุราบางครั้งก็สนุกสนานจนเกินเลย และขอการลงทะเบียนขึ้นทะเบียนออนไลน์ ทั้งเว็บไทยชนะและแอพพลิเคชั่นหมอชนะ ก็ต้องขอความร่วมมือเพื่อจะได้ตามตัวได้ว่ามีการแพร่กระจายไปในพื้นที่ใดบ้าง ถือเป็นความรับผิดชอบทางสังคมของทุกคน เพราะเราคือคนไทย ประเทศไทย และนี่คือวัคซีนอีกประเภทหนึ่งเป็นวัคซีนที่ทุกคนทำได้เอง นอกจากการรอวัคซีนที่จะนำมาผลิตภายในประเทศรวมทั้งจากต่างประเทศ เป็นวัคซีนที่ทำจากตัวของทุกคนในการป้องกัน ขอให้ทุกคนได้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดออกมา ซึ่งไม่มีใครอยากทำให้ทุกคนลำบากหรือเดือดร้อน แต่เมื่อมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของประชาชนจึงต้องร่วมมือกันไม่เช่นนั้นก็ไปไม่ได้ทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

รมช.ศธ. ชวน ส่งต่อความรัก-สานสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่าน Facebook Live ในกิจกรรม “วาเลนไทน์สไตล์ wow wow” ปี 2 แบบล็อกดาวน์ ไม่ล็อกรัก เผยคนสองคนพบกันเพราะพรหมลิขิต อยู่ร่วมกันได้ต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจ

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีตรงกับวันวาเลนไทน์ หรือ วันแห่งความรัก ซึ่งความรัก ถือเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่จำกัดรูปแบบเพศและอายุ ความรักสามารถส่งต่อให้กันได้หลากหลายรูปแบบ ทั้ง เป็นผู้ให้ความรัก ผู้รับความรัก หรือแม้แต่เป็นสื่อกลางให้กับคู่รักได้สุขสมหวังในความรัก ในปีนี้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โดยศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาทั่วประเทศ พร้อมเป็นสื่อกลางในการแบ่งปันความรัก ในกิจกรรม “วาเลนไทน์สไตล์ wow wow” เพื่อส่งเสริมความรักและความสัมพันธ์ในครอบครัวหลากหลายรูปแบบ ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยจะมีการจัดกิจกรรมผ่านทางระบบออนไลน์ ที่จะมีการชวนคู่รักเล่นเกมส์ชิงของรางวัล ผ่านทาง Facebook Live ของแต่ละจังหวัด โดยแต่ละจังหวัดนั้นก็จะมีการจัดกิจกรรมในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดยะลา ที่มีการจัดกิจกรรม โพสต์ปุ๊บ ลุ่นรับปั๊บ กับกิจกรรม “One Picture million Feelings" ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสุมทรสาคร ที่มีการจัดกิจกรรม Valentine’s Online Style New Normal เป็นต้น

ครูพี่โอ๊ะขอชวนทุกคนมาร่วมกันส่งต่อความรัก แบบ “วันวาเลนไทน์สไตล์ WOW WOW แบบล็อกดาวน์ ไม่ล็อกรัก” เพราะการที่คนสองคนได้มาพบกันถือเป็นพรหมลิขิตและบุญพาวาสนาส่งที่คนสองคนมีต่อกัน แต่การที่จะครองรักครองเรือนให้ยั่งยืนต่อไปตราบนานเท่านาน ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ความรัก ความเข้าอกเข้าใจ ความใส่ใจ และยอมรับในกันและกันอย่างต่อเนื่อง” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

รมว. คลัง ปลื้มสินค้า OTOP ศรีสะเกษ มียอดขายกว่า 6 พันล้านบาท โดยสินค้าประเภทผ้ามีเป้าหมายการจำหน่าย 1 พันล้านบาท สามารถจำหน่ายได้ถึง 978,342,747 ล้านบาท พร้อมเปิดรับออเดอร์สั่งซื้อออนไลน์ ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พร้อมด้วย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดศูนย์ OTOP จ.ศรีสะเกษ โดยมี นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ เป็นผู้กล่าวรายงาน และมีนายสำรวย เกษกุล นายวิชัย ตั้งคำเจริญ นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต รอง ผวจ.ศรีสะเกษ พล.ต.ต.สันติ เหล่าประทาย ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ นายวิทยา วิรารัตน์ ประธานสภาวัฒนธรรม จ.ศรีสะเกษ นายจรินทร์ รอบการ พัฒนาการ จ.ศรีสะเกษ และหัวหน้าส่วนราชการ นำกลุ่มผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP จ.ศรีสะเกษ ให้การต้อนรับ และร่วมจำหน่ายสินค้า OTOP เป็นจำนวนมาก

นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า จ.ศรีสะเกษ ได้ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุนการผลิตและจำหน่ายสินค้า OTOP เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก แก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และสืบสานรักษาต่อยอด ให้ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ในการขับเคลื่อนงาน จ.ศรีสะเกษ ได้มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน และการสร้างแบรนด์สินค้าใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น การฝึกอบรมทักษะการแส่ว การนำวัสดุธรรมชาติมาย้อมผ้า ภายใต้แนวคิด "ศรีสะเกษธานี ผ้าศรี...แส่ว" ซึ่งการจำหน่ายสินค้า OTOP ในปี 2563 มียอดการจำหน่าย จำนวน 6,125,553,509 บาท โดยสินค้าประเภทผ้ามีเป้าหมายการจำหน่าย 1 พันล้านบาท จำหน่ายได้ 978,342,747 ล้านบาท และในปี 2564 ได้นำยุทธศาสตร์การพัฒนา ย้อม ทอ แส่ว ออกแบบ แปรรูปและจำหน่าย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายพันล้านบาท โดยใช้ศูนย์ OTOP เป็นสถานที่บริการนักท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกจังหวัด รวมถึงเป็นสถานที่รับออเดอร์ออนไลน์ และเป็นที่รวบรวมการสั่งซื้อออนไลน์อีกช่องทางหนึ่ง

ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานมีการบูรณาการขับเคลื่อนกับทุกภาคส่วนทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงการนำนโยบายของรัฐบาลมาใช้ในระบบการซื้อขาย เช่น โครงการช้อปดีมีคืน โครงการคนละครึ่ง และโครงการไทยชนะ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ยอดการผลิต และจำหน่ายสินค้า OTOP ทุกประเภท มีการหมุนเวียนซื้อ-ขาย ลดลงเพียงเล็กน้อย ดังนั้น ทางศูนย์ OTOP จ.ศรีสะเกษ จึงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินค้า OTOP ของ จ.ศรีสะเกษ อย่างครบวงจร โดยเปิดให้บริการประชาชนผู้สนใจทั่วไป ภายใต้แนวคิด "มาหน้าร้านเราขาย สั่งออนไลน์เราส่ง" อันเป็นการสร้างช่องทางการกระจายสินค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษอย่างยั่งยืน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า นับว่าเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก ที่ยอดการจำหน่ายสินค้า OTOP จ.ศรีสะเกษ มียอดการจำหน่ายสูงถึง 6,125,553,509 บาท ทำให้เศรษฐกิจของ จ.ศรีสะเกษดีขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งมีการผลิตผ้าเบญจศรี ภายใต้แนวคิด"ศรีสะเกษธานี ผ้าศรี...แส่ว" จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษให้มีความอยู่ดีกินดี มีความสุข สนองนโนบายของรัฐบาลเป็นอย่างดียิ่ง

สำหรับโครงการเราชนะ มีการลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ร้านค้าที่เข้าไปร่วมก็มีมาก ได้รับการตอบรับที่ดีมาก โครงการเราชนะ เราตั้งเป้าครอบคลุมเอาไว้ 31.1 ล้านคน ถ้าบวกโครงการประกันตนตามมาตรา 33 เข้ามาอีกประมาณ 9 ล้านกว่า รวมแล้วจะประมาณ 41 ล้าน นั่นคือเป้าหมายในการครอบคลุมให้ทั่วถึง ส่วนร้านค้านั้นได้มีการหารือกับกระทรวงมหาดไทยก็จะมีการเชิญชวนร้านค้าเข้ามาให้ได้อีกประมาณ 1 ล้านราย

ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนเป็นอย่างมาก ขอฝากในเรื่องมาตรการ การ์ดไม่ตก เนื่องจากว่าการแพร่ระบาดยังไม่จบ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงก็ยังมีการตรวจเชิงลึกอยู่ จึงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็คงจะต้องงดกิจกรรมในการเดินทาง เรื่องการเข้มงวดกับตนเองในเรื่องการสวมหน้ากากเมื่อออกไปในที่ชุมชนและหมั่นล้างมืออยู่เสมอ จะเป็นการช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้


ภาพ / ข่าว ศิริเกษ หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษ

ประชาธิปัตย์ เชื่อประชาชนไว้วางใจ เลือกคนของพรรค ในการเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช เขต 3 ระบุผลงานเป็นที่ประจักษณ์ ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ด้าน ‘จุรินทร์’ สั่งลุยเต็มสูบ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่พรรคได้ส่ง นายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรค ว่า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้เรียกประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคใต้ พูดคุยเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียง โดยกำชับให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดความสุจริตในการหาเสียง นำเสนอนโยบายและผลงานที่เกิดขึ้นเป็นประจักษ์แล้ว ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ

โครงการประกันรายได้ ที่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 ทราบดีว่าประกันรายได้ราคายางพารา เป็นอีกโครงการสำคัญที่ผ่านมาเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางเป็นอย่างมาก รวมถึงประกันรายได้ชาวสวนปาล์ม พี่น้องเกษตรกรก็ชื่นชอบ พอใจในผลงานของพรรค ที่ทำให้วิถีชีวิตของพี่น้องเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เชื่อว่าผลสำเร็จในการทำงานของพรรคที่ไปทำหน้าที่ในรัฐบาลแทนประชาชน จะเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของพี่น้องในเขต 3

หัวหน้าพรรคย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของคนทุกรุ่น เรามีคนรุ่นใหญ่รุ่นอาวุโส รุ่นกลาง รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าเราพร้อมทำงานให้ประชาชนทุกคนทุกรุ่น

นายราเมศ กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวของนายพงศ์สินธุ์ ก็จะได้เปรียบกว่าคนอื่น ที่คลุกคลีอยู่กับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ผ่านการทำหน้าที่ การทำงานให้กับประชาชนมามาก ด้วยความ มุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท ถือว่าเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ในการเมืองระดับชาติ ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 3 ไว้วางใจให้เป็น ส.ส.เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top