Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

สะเทือนวงการเงินดิจิทัล และอาจจะรวมถึงโลกการเงินเลยก็ได้ เมื่อ Tesla ได้ยื่นข้อมูลต่อคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ซื้อ Bitcoin มูลค่า 45,000 ล้านบาท

โดยบริษัทได้กล่าวว่าการซื้อ Bitcoin ในครั้งนี้ เป็นการกระจายเงินสดสำรองของบริษัทไปลงทุนใน สินทรัพย์ดิจิทัล ทองคำ และ ETF ทองคำ

ทั้งนี้ในเดือนที่แล้ว บริษัท Tesla ได้อัปเดตนโยบายการลงทุน ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเพิ่มผลตอบแทนของเงินสดสำรองซึ่งเป็นส่วนเกินจากเงินสำรองเพื่อสภาพคล่องในการดำเนินงานปกติ โดยบริษัทบอกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และBitcoin อาจเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้เงินสดของบริษัทในระยะยาวได้

แต่อีกเรื่องที่น่าทึ่งต่อเนื่องจากข่าวนี้ คือTesla กล่าวว่า จะเริ่มรับชำระเงินค่าซื้อผลิตภัณฑ์ของ Tesla ด้วยBitcoin ได้ในอนาคต ซึ่งหลังจาก Tesla ประกาศข่าวเรื่องดังกล่าวออกไป ก็ทำให้ราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตรา +9% และถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ทันที

หลังจากข่าวนี้ออกมา ก็ดูท่าจะไปกระตุกต่อมคันของ เจ้าพ่อสตาร์ทอัพเมืองไทยอย่าง กระทิง พูนผล ที่ออกมาให้มุมมองต่อสินทรัพย์แห่งการแลกเปลี่ยนใหม่ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น โดยมี Tesla เป็นตัวเร่งว่า…

“มันส์มาก ๆ ช่วงนี้ จากเหรียญหมา (Dogecoin) มา Tesla <> BTC ต่อไปสงสัยจะมีเงินสกุล Musk เอาไว้ใช้จ่ายในนิคมบนดาวอังคารในอีก 15 ปีข้างหน้า”

เรื่องนี้กำลังจะบอกอะไรเรา?

ทรัพย์สินที่เรียกว่า ‘เงินสด’ อาจจะค่อยๆ ด้อยค่าลงหรือไม่?

เพราะหากผู้ผลิตที่มีสินค้า พร้อมจะลงเอยกับทรัพย์สินบางประเภทที่มิใช่เงินตรามากขึ้น อาจจะเปลี่ยนระบบการเงินโลกแบบครั้งใหญ่กันเลยทีเดียว

อย่างในประเทศไทยเอง หากยังพอจำกันได้เกือบๆ 10 ปีก่อน ก็เคยมีกรณี 'พระสมเด็จแลกรถเบนซ์' ของ นายวสันต์ โพธิพิมพานนท์ เจ้าของเบนซ์ทองหล่อ ซึ่งยินดีที่จะรับพระสมเด็จแท้ๆ พระเครื่องชุดเบญจภาคี รวมทั้งพระเครื่องยอดนิยมชุดอื่นๆ มาแลกกับรถเบนซ์ได้ แต่ย้ำว่าต้องเป็นพระแท้เท่านั้น เพียงแต่ตั้งแต่แผนการตลาดครั้งนั้นเกิดขึ้น ก็ยังไม่มีใครนำพระชุดเบญจภาคีที่ขึ้นชื่อว่าสวยสมบูรณ์แลกรถเบนช์ไปได้ทั้งคัน หรือต้องให้ทั้งรถและเพิ่มทั้งเงินก็ยังไม่เคยมี

อนาคตการแลกเปลี่ยน ด้วยเงินตรา อาจจะหายไปหรือไม่? ต้องติดตามดู…


ที่มา:

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/206384

https://www.sec.gov/.../00015645902.../tsla-10k_20201231.htm

https://seekingalpha.com/.../3659395-bitcoin-flirts-with...

https://u.today/breaking-tesla-gets-15-billion-worth-of…

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158699084935609&id=648910608

'บิ๊กตู่' ตบอก! ลั่นพร้อมทุกวันรับมือศึกซักฟอก โยนถาม 'ไพบูลย์' ปมยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติฝ่ายค้าน เชื่อรัฐมนตรีทุกคนชี้แจงได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนายกฯ กล่าวว่า ให้ไปถามนายไพบูลย์ เอง

เมื่อถามย้ำว่า เห็นควรเลื่อนหรือไม่ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการคว่ำการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบพร้อมส่ายหัว และกล่าวเพียงว่า "ผมพร้อมที่จะอภิปราย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ พร้อมไปติวกับพรรคพลังประชารัฐร่วมกับ 10 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ระหว่างวันที่ 13 - 14 ก.พ.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมคงไปติวให้เขามากกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูล ชี้แจงไปหมดแล้ว ใครทำอะไรไว้คิดดี ๆ แล้วชี้แจงไป เขาว่ามาก็ชี้แจงไป ผมเชื่อว่าชี้แจงได้ในหลายๆ เรื่อง เพราะอยู่ที่ผลงานมากกว่า ส่วนในเรื่องกฎหมายก็ให้ว่ากันมา และก็ต้องทน เพราะในสภาเขาพูดอะไรก็ได้ แต่ระวังอย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน"

เมื่อถามย้ำถึงกรณีนายไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มีความเห็น เขาทำได้หรือไม่ ใครทำได้ก็ทำไป ถ้าเขาไปยื่นศาลก็ฟังศาลแล้วกัน แต่ผมเองไม่มีปัญหาอะไรผมเองไม่มีปัญหากับการไม่ไว้วางใจไว้วางใจ" ก่อนตบที่หน้าอกตัวเองแล้วยืนยืนกับสื่อว่า "พร้อมตลอด พร้อมทุกวัน"

แม้จะออกมาขอโทษต่อสังคมไปแล้ว สำหรับ ‘แอน จักรพงษ์’ ผู้บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จํากัด (มหาชน)หลังจากได้ไปออกรายการทีวีรายการหนึ่ง และมีการพูดจากพาดพิงนางงามจักรวาลคนดัง แคทรีโอนา เกร จนทำให้ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์

แต่ดูเหมือนประเด็นภาคต่อยังไม่จบ เมื่อ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ พิธีกรชื่อดัง ผู้จัดการประกวดนางงามเวทีมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ทนไม่ไหวออกมาตอบโต้เรื่องนี้อย่างรุนแรง โดยประกาศขอแบน แอน จักรพงษ์ ด้วยการไม่ให้มาออกทุกรายการที่ตนทำอยู่ พร้อมประโยคทิ้งท้ายแรงๆ ว่า “ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด”

ล่าสุดแอน จักรพงษ์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแฉถึงพฤติกรรมของ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรชื่อดังอย่างดุเดือดโดยระบุว่า

เรียนคุณ ณ.... ดิฉันแอน จักรพงษ์ มีความรู้สึกเซอร์ไพรส์กับการกระทำของคุณที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงตัวดิฉันซึ่งเป็นลูกค้าที่อุดหนุนคุณมาตลอดระยะเวลา 4 ปีและเป็นเงินหลายล้านบาท เพื่อการออกสื่อประชาสัมพันธ์ในรายการทอล์กโชว์ของคุณ ซึ่งดิฉันเป็นแขกรับเชิญมากกว่า 7 เทปแล้ว...รวมถึงการให้เกียรติไปเป็นกรรมการงานประกวดนางงามของคุณในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา...

มากไปกว่านั้นคือ การที่เคยพาคุณไปแนะนำตัวกับคู่ค้าของดิฉันในต่างประเทศด้วยความรักและจริงใจเพื่อการขยายงานของคุณให้ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น โดยดิฉันยกย่องให้คุณเป็นบุคคลที่มีคุณค่ากับเพื่อนฝูงนักธุรกิจของเจเคเอ็นตลอดมาและเราสองคนก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมอ...

แต่อะไรคือ แรงจูงใจที่ทำให้คุณพักนี้ต้องออกมาพูดถึงคนดังหลายคนในเชิงลบตลอดเวลาคะ? คำว่ากตัญญูต่อลูกค้ามีความหมายสำหรับคุณไหมคะ? ดิฉันสร้างบริษัทขึ้นมาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ มาถึงปัจจุบันนี้ก็มีรายรับรวมเกือบจะ 10,000 ล้านบาทแล้ว พร้อมกับกำไรและเงินสดนับพันล้าน ซึ่งปีนี้ผลประกอบการก็ยิ่งดีขึ้นไปอีกหลายเท่า...

คำว่าลูกค้าและผู้มีพระคุณที่อุดหนุนเราคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...ไม่นานมานี้ ดิฉันพลาดพลั้งเกินเลยอะไรไปบนหน้าจอระหว่างการถ่ายทอดสด ในรายการแฉ ก็ออกมาขอโทษอย่างจริงใจกับคนไทยทั้งประเทศแล้วรวมถึงศิลปินท่านนั้น ภายใต้สังกัด TV 5 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยจดหมายอย่างเป็นทางการในฐานะที่เป็นคู่ค้าซื้อละครกัน

แต่หลังจากนั้นคุณกลับทับถมดิฉัน ด้วยคำเขียนที่ว่า ‘ผมขอแบนคนนี้...ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด’ วัตถุประสงค์ของคุณคืออะไรคะ? ได้อะไรจากการเหยียบย่ำซ้ำเติมนี้คะ? เราผิดใจอะไรกันหรือคะ? ลูกค้าทุกคนของคุณต่อไปจะกล้าอุดหนุนไหมคะ? ความเป็นสุภาพบุรุษของคุณที่ดิฉันเคยรู้จักมันหายไปไหนคะ? หวังว่าคุณจะรับฟังสิ่งที่แอนเขียนวันนี้เพราะมันจะดีต่อธุรกิจของคุณ ด้วยความห่วงใยและเคารพเหมือนเดิม แอน จักรพงษ์


แหล่งข่าว

https://www.facebook.com/annejkn.official/posts/2907308876204075

https://www.thaipost.net/main/detail/92331

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2026599

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2025873

ททท.คาดบรรยากาศท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนปีนี้เงียบเหงา แม้รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ คาดมีคนเดินทางท่องเที่ยวเพียง 2.3 แสนคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนแค่ 602 ล้านบาท

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ ระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ. 2564 ว่า บรรยากาศโดยรวมของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา โดยจากการสำรวจพบว่า มีคนเดินทาง 2.35 แสนคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนแค่ 602.20 ล้านบาท โดยทั่วประเทศมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 15% เท่านั้น

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ไม่เพียงกระทบต่อความเชื่อมั่น และความปลอดภัย ทำให้ต้องงดหรือชะลอการเดินทางท่องเที่ยว แต่ยังฉุดให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนกลับมาซบเซาอีกครั้ง ส่งผลต่อรายได้ที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายค่อนข้างมาก  

ททท. ด้วยประเมินว่า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายๆ พื้นที่มีแนวโน้มลดลง และภาครัฐมีมาตรการผ่อนคลายพื้นที่ ทำให้ 60 จังหวัดเมืองหลัก และเมืองรอง มีความพร้อมรองรับการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนประมาณ 65.38% แต่เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวมีจำกัด 

ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงน่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้ และเน้นกิจกรรมตามวิถีแห่งศรัทธาด้วยการไหว้พระ เทพเจ้า ขอพร และแก้ปีชงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน โดยจากการวิเคราะห์การพูดคุยในสังคมออนไลน์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 6 ก.พ. 64 เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ พบว่า จังหวัดที่โดดเด่นมีการพูดถึงค่อนข้างมากคือ นครนายก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เหมาะกับการเดินทางแบบกลุ่มครอบครัว

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ชำแหละการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม หนุนใช้ ‘เกณฑ์เดิม’ ดีกว่า ‘เกณฑ์ใหม่’ เพราะเป็นโครงการที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยระบุว่า

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เกณฑ์เดิม "ดีกว่า" เกณฑ์ใหม่

คาดว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะใช้เกณฑ์ใหม่ในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งใหม่แทนการประมูลเดิมที่ถูก รฟม.ยกเลิกไป แต่ผมมั่นใจว่าเกณฑ์ใหม่สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เพราะอะไร?

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ต้องใช้เกณฑ์ใหม่เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เนื่องจากจะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ยังคงเปิดให้บริการ จะต้องตัดเสาเข็มสะพานลอยโดยไม่ปิดการจราจร และที่สำคัญ จะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นการก่อสร้างที่ซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง จะใช้เกณฑ์เดิมไม่ได้

เกณฑ์เดิมไม่ดีจริงหรือ?

ตามเกณฑ์เดิมเอกชนจะยื่นข้อเสนอ 4 ซอง ดังนี้

ซองที่ 1 ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ

คณะกรรมการคัดเลือกจะประเมินข้อเสนอด้านคุณสมบัติว่ามีครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 2 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 2 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิค

มีคะแนนเต็ม 100% แบ่งเป็น 5 หมวด ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้คะแนนในแต่ละหมวดไม่น้อยกว่า 80% และจะต้องได้คะแนนรวมของทุกหมวดไม่น้อยกว่า 85% หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 3 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 3 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 3 ข้อเสนอด้านผลตอบแทน

ผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม.มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล แล้วจึงเปิดซองที่ 4 ของผู้ชนะการประมูลต่อไป

ซองที่ 4 ข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ รฟม.

แต่หลังจากปิดการขายเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) แล้ว รฟม.ประกาศเปลี่ยนการใช้เกณฑ์ประเมินเป็นเกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าเกณฑ์เดิมคัดเลือกผู้ชนะโดยการดูเฉพาะคะแนนผลตอบแทนเท่านั้น หากเอกชนรายใดรายหนึ่งเสนอผลตอบแทนให้ รฟม.ต่ำกว่าอีกรายเพียงเล็กน้อย

แต่เอกชนรายนั้นได้คะแนนด้านเทคนิคสูงกว่า จะทำให้ รฟม.เสียโอกาสในการได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

แต่ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกณฑ์เดิมได้ให้ความสำคัญด้านเทคนิคไว้สูงสุดแล้ว เพราะให้คะแนนไว้เต็ม 100% พร้อมทั้งกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ 85% นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 85% จึงจะสอบผ่าน และจะต้องได้คะแนนในหมวดย่อยอีก 5 หมวด หมวดละไม่น้อยกว่า 80% ผู้ยื่นข้อเสนอที่สอบผ่านถือว่ามีความสามารถด้านเทคนิคสูงมาก สามารถทำการก่อสร้างงานประเภทไหนก็ได้

การกำหนดคะแนนรวมด้านเทคนิคไว้ 85% ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจากหัวลำโพง-ท่าพระ มีเส้นทางผ่านเยาวราชซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ และต้องลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ รฟม.กำหนดคะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 70% เท่านั้น แม้กำหนดคะแนนสอบผ่านด้านเทคนิคไว้เพียง 70% แต่ผู้รับเหมาที่ชนะการประมูลก็สามารถทำการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงฟันธงว่าเกณฑ์เดิมดีมากอยู่แล้ว รฟม.ไม่ควรยกเลิกแล้วเปลี่ยนไปใช้เกณฑ์ใหม่

เกณฑ์ใหม่ดีจริงหรือ?

เกณฑ์ใหม่พิจารณาซองที่ 1 (คุณสมบัติ) เช่นเดียวกับเกณฑ์เดิม แต่พิจารณาซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) และซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) พร้อมๆกัน โดยให้คะแนนรวมซองที่ 2 และซองที่ 3 เท่ากับ 100% แบ่งเป็นคะแนนซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) 30% และคะแนนซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) 70% สำหรับคะแนนด้านเทคนิคนั้น รฟม.ไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้

นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะได้คะแนนด้านเทคนิคต่ำเพียงใดก็ถือว่าสอบผ่าน อีกทั้ง การให้คะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 30% เป็นการลดความสำคัญด้านเทคนิคลงมา ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของ รฟม.ที่ต้องการใช้เกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าจะทำให้ได้ผู้ยื่นข้อเสนอที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องใช้เป็นเกณฑ์ที่ รฟม.เคยใช้มาแล้วในอดีตนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ รฟม.คงเห็นว่าไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่ซับซ้อน จึงทำให้ รฟม.เลิกใช้เกณฑ์นี้หันมาใช้เกณฑ์เดิม (แยกซองเทคนิคออกจากซองผลตอบแทน) หรือเกณฑ์ที่ประกาศใช้ในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งแรก

สรุป

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องการใช้ไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟาสายสีส้มที่มีเส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน วิ่งผ่านใต้สะพานลอย (ต้องตัดเสาเข็มที่รองรับสะพานลอย) ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา

เกณฑ์เดิมจะทำให้ รฟม.คัดเลือกได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงเหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการนี้ และจะทำให้ รฟม.ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ รฟม.จึงควรพิจารณาใช้เกณฑ์เดิมในการเปิดประมูลครั้งใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdrhttp://https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdr

สหรัฐอเมริกากำลังกลับมาสวมบทบาทตำรวจโลกอีกครั้ง หลังจากเบาบางลงในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ โดย นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

สถานการณ์ในพม่าจะออกหัวออกก้อยยังไม่ชัดเจน แต่มิตรประเทศที่ดี คงได้แต่เอาใจช่วยให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และมิตรประเทศที่ดีต้องไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แต่ฝ่ายบริหารใหม่ของสหรัฐฯ เริ่มทำตัวเป็น ‘ตำรวจโลก’ ทันที โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตสหรัฐในพม่า ประกาศชัดเจนว่าจะขอยืนเคียงข้างประชานชาวพม่า ซึ่งต่อต้านทหารพม่าที่ยึดอำนาจ ประกาศสนับสนุนการชุมนุมอย่างสันติ

สหรัฐฯ ใช้สองมาตรฐาน ทีคนอเมริกันชุมนุมคัดค้านการทารุณกรรมที่ตำรวจกระทำต่อคนผิวสีจนเสียชีวิต และตามด้วยสโลแกน Black life matter ที่ดังไปทั่วโลกและตามด้วยการคัดค้านผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอเมริกันถืออาวุธเดินขบวนชุมนุม ทางการสหรัฐประกาศฉุกเฉิน ใช้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะติดอาวุธป้องกันสถานที่ราชการ และใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม

...แต่ไม่มีชาติใดไปสั่งให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับฟังเสียงประชาชนเลย!!

สหรัฐฯ อาจจะอินกับบทตำรวจโลกมาก จนนางแมร์เคิล นายกเยอรมัน พูดเมื่อ 26 มกราคมที่ผ่านมาว่า การทูตของไบเดนคือ สงครามเย็นแห่งพันธมิตร และระบุด้วยว่า สหรัฐไม่มีสิทธิที่จะบีบบังคับประเทศอื่นๆ ให้ปฏิบัติตามในการรับใช้สหรัฐ

และนางแมร์เคิลยังเน้นว่า ประเทศอื่นๆ อย่าเข้าร่วมในการครองความเป็นเจ้า Hegemonic ของสหรัฐฯ

พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมาย ฝรั่งจ้องตาเป็นมัน ‘อยากได้’ แต่ผู้นำพม่าขายให้จีนไม่ใช่ฝรั่ง ถ้าจะได้ทรัพยากรที่สำคัญต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศจากทหาร

หนทางเดียว คือ ให้พลเรือนอย่าง นางอองซาน เป็นผู้นำประเทศ ที่ต้องพึ่งฝรั่งอย่างเดียว ทหารก็ไม่เอา ชนกลุ่มน้อยก็ไม่ไว้ใจ ขี่ง่ายกว่าเยอะ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ มันคือข้ออ้างในการเข้าแทรกแซง

จับตาบทบาท ‘ตำรวจโลก’ อย่ากระพริบตา


ที่มา: https://www.facebook.com/100005279737218/posts/1558571360995507/

วัคซีน | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร : EP.7

‘วัคซีน’ กลายเป็นคำแห่งปี ที่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่น่าจะเป็นคำที่ทุกประเทศในโลกต่างเฝ้ารอ เพราะอย่างที่ทราบกันดี โรคอุบัติใหม่ที่ชื่อ COVID-19 ยังลุกลามบานปลายไม่มีทีท่าว่าจะถึงตอนจบ หนทางหนึ่งในการยับยั้งมันลงได้ นั่นคือ การมีวัคซีนป้องกัน

วันนี้ เวลานี้ วัคซีน กลายเป็นของสำคัญ แต่หากย้อนเวลากลับไป การเริ่มต้นของวัคซีนนั้น ก็เกิดจากการพยายามป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มาครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อยังเป็นของสำคัญ เราจึงต้องทำความเข้าใจ และเรียนรู้ที่มาของการผลิตตัวยาที่บรรจุอยู่ในเข็มเหล่านี้

The States Times Story อีพีนี้ จึงนำสาระน่ารู้ของ ‘วัคซีน’ พร้อมประเด็นร้อนๆ ที่หลายคนยังคงคาใจ กับกรณี ‘วัคซีนโควิดที่สั่งซื้อให้คนไทย’ รับฟังกันให้เคลียร์ ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน...

.

 

‘รังสิมันต์ โรม’ เปิดหลักฐาน อัด ‘สิระ’ บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลเท็จ ปมกล่าวหาตนบุกรุก ‘เกาะงำ’ ทำร้ายประชาชน เตรียมฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ซัดหวังดิสเครดิตก้าวไกล ก่อนอภิปรายไม่วางใจหรือไม่

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมเปิดหลักฐานภาพถ่ายในการลงพื้นที่ จากกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส. ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมแถลงข่าวว่ามีประชาชนที่เกาะงำ จ.ภูเก็ต มาร้องเรียนว่าถูกผมข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่นั้น

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่เกาะงำ 2 ครั้งด้วยกัน คือช่วงเดือนมกราคม 2562 และ เดือนกันยายน 2562 ตอนที่ลงพื้นที่ดังกล่าวครั้งแรก เป็นช่วงการหาเสียง ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพารา ซึ่งอยู่ฝั่งของเกาะภูเก็ต ว่าชาวบ้านไม่สามารถไปเยือนเกาะดังกล่าวได้ เพราะเมื่อเดินทางไปแล้ว มีการใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ข่มขู่ว่าจะทำร้าย ซึ่งชาวบ้านพารามีความกังวลว่า อาจจะมีกระบวนการให้นายทุนมายึดครองเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัว ตนจึงถือโอกาสนั้นลงพื้นที่ดังกล่าว พบว่าเป็นเกาะที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ไม่พบเห็นใครอยู่ในเกาะดังกล่าว

โดยหลังจากนั้นตนลงพื้นที่เกาะงำอีกครั้ง คือเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2562 ซึ่งชาวบ้านบ้านพารา ยืนยันกับผมว่าอีกครั้งว่ามีความพยายามเอาเกาะงำนี้เป็นเกาะส่วนตัวจริง จึงมาร้องยังผมเพื่อขอให้ช่วย ผมลงจึงลงพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งการลงครั้งนี้เป็นการลงร่วมกับทางป่าไม้ เหตุที่ลงพร้อมกับป่าไม้ เพราะตนทราบว่า ทางชาวบ้านน่าจะประสานลงพื้นที่กับทางป่าไม้มาอีกทางหนึ่ง จึงได้มีการลงพื้นที่ร่วมกัน เพราะมีชาวบ้านมาร้องเรียนว่ามีคนบุกรุกพื้นที่เกาะ มีอาวุธปืนยิงไล่คนที่เข้าใกล้ ตนจึงลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น จึงได้พบกับครอบครัวดังกล่าว ทางป่าไม้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้จริง มีการปลูกบ้านอยู่อาศัย ทางป่าไม้จึงแจ้งกับทางครอบครัวดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่ภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด

โดยตนขอยืนยันว่าตัวผมไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับที่ดินบนเกาะงำเลยแม้แต่น้อย และภายหลังจากที่ลงพื้นที่ครั้งนั้น ตนก็ยังไม่เคยได้ไปที่เกาะแห่งนั้นอีก ในการที่ลงพื้นที่นั้น เบื้องต้นมีการกล่าวว่าจะมีการเอาเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัวจากนายทุน สิ่งที่ผมทำคือการแก้ไขปัญหาความขัดเเย้งเพื่อไม่ให้เกิดความรุนเเรง อีกทั้งกรณีนี้ต่างจากเรื่องสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่าหรือกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเขตป่า

ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่ามีการคุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็ก ตนขอยืนยันว่าไม่ได้มีการแตะเนื้อต้องตัวเด็กแม้แต่น้อย ตนเองคงไม่มีความสามารถทำแบบนั้น ณ เวลานั้นตนเป็น ส.ส. ได้เพียง 6 เดือน ที่สำคัญเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน จะเอาเด็กไปขังไว้สำนักงานป่าไม้ ข้าราชการที่ไหนเขาจะยอมให้ตนทำเช่นนั้น โดยตนมั่นใจว่าการลงพื้นที่ในครั้งนั้นในบ้านของชาวบ้านมีกล้องวงจรปิด หากมีหลักฐานที่ตนกระทำอย่างที่นายสิระ เเละนายชัยยันต์ กล่าวหาจริง ผมขอให้นำภาพหลักฐานมาชี้เเจง

นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ ไม่ว่าการหยิบเรื่องดังกล่าวมาโจมตีผมในจังหวะเวลานี้จะเป็นไปด้วยมูลเหตุจูงใจอะไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในทุกประเด็น ทุกกระบวนการ และหากว่านี่คือขบวนการใส่ร้ายป้ายสีตน นั้นเพราะว่ารัฐบาลกังวลใจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เเละคิดว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อไม่ได้ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเครดิตพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ผมผิดหวังจากใจจริงว่าคนที่ยืนข้างคุณสิระ คือคุณชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ร่วมทำงานด้านอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมกับกัน โดยตนจะดำเนินคดีการทางกฎหมายกลับอย่างแน่นอน พร้อมมั่นใจว่าตนไม่มีประโยชน์ส่วนได้เสียกับคดีเกาะงำ และหวังให้ยุติขบวนการยึดครองเกาะของนายทุนเป็นพื้นที่ส่วนตัว

 

VietJet สายการบินราคาประหยัดของเวียดนาม เผยรายได้ปี 2020 มีกำไรหลังหักภาษีแล้ว 90 ล้านบาท โชว์ศักยภาพสายการบินเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่มีกำไร และไม่ต้องปรับลดพนักงานในช่วงวิกฤติโควิด-19

แม้ในปีที่ผ่านมา VietJet จะเปิดให้บริการเที่ยวบินได้เพียง 78,462 เที่ยว ซึ่งลดลงจากปี 2019 ที่ให้บริการ 139,000 เที่ยว แต่ VietJet ก็ยังทำกำไรได้ถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 90 ล้านบาท ขณะที่สายการบินอื่นๆ ตกอยู่ในภาวะขาดทุนหรือต้องปิดกิจการ

กุญแจสำคัญของ VietJet อยู่ตรงไหน?

ในปีที่ผ่านมา รายได้เสริมของVietJet คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า ซึ่งอันที่จริงแล้ว VietJet ไม่มีเครื่องบินบรรทุกสินค้าเป็นของตัวเอง จึงต้องดัดแปลงเครื่องบินโดยสารเพื่อรองรับการขนส่งสินค้า โดยการถอดที่นั่งออกและยึดสินค้าด้วยตาข่าย

จากนั้นก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทอื่นๆ ทำให้สามารถขยายเครือข่ายการขนส่งสินค้าไปยังยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ บริษัทขนส่งสินค้ายูพีเอส โดยในปี 2020 VietJet เป็นสายการบินแห่งแรกของเวียดนามที่ได้รับอนุมัติให้ขนส่งสินค้าในห้องโดยสาร (CIPC) สามารถขนส่งสินค้าไปทั่วโลกได้กว่า 6 หมื่นตัน ทำให้รายได้จากการขนส่งสินค้าพุ่งขึ้น 75% ในไตรมาส 4/2020 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตขึ้นเพียง 16% และถือเป็นการทำธุรกิจขนส่งสินค้าที่ไปไกลได้ถึงทวีปอเมริกาและยุโรปครั้งแรก ทั้งที่เดิมเป็นแผนที่วางไว้ในอนาคต ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสายการบินที่ส่งเสริมการขายสินค้าและบริการเพื่อชดเชยรายได้จากการจำหน่ายตั๋วโดยสารที่ลดลง

ไม่เพียงแต่การปรับธุรกิจเป็นเครื่องบินขนส่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา VietJet ยังเปิดตัว VietJet Ground Services Center (VJGS) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (ฮานอย) ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดการต้นทุนสายการบินและช่วยปรับปรุงการรับรู้แบรนด์และคุณภาพการให้บริการของสายการบินดีขึ้น แถมยังเปิดตัวสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร อาทิ บัตรกำนัลพาวเวอร์พาส (Power Pass) และบัตรกำนัลพาวเวอร์พาสสำหรับชั้นโดยสารสกายบอส (Power Pass Skyboss)

ในส่วนของการลดค่าใช้จ่าย VietJet ก็ได้บริหารจัดสรรฝูงบินใหม่ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ 10% ผ่านการเจรจาขอส่วนลด 20-25% จากผู้ผลิต พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปได้ 10% โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ยังประสบความสำเร็จจากการประกันความเสี่ยงราคาเชื้อเพลิง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงได้ 25% เมื่อเทียบกับราคาตลาด

นอกจากนี้ ยังมีรายได้เพิ่มเติมจากการเปิดศูนย์บริการพิเศษภาคพื้นดินที่สนามบินนานาชาติโหน่ยบาย ในฮานอย รวมถึงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่มีมาตรการที่ขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศ และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี ขยายระยะเวลาการชำระภาษี ลดค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงเครื่องบินและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ตลอดจนได้รับการพิจารณาข้อเสนอความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลสำหรับสายการบินท้องถิ่น

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สายการบิน VietJet ไม่จำเป็นต้องปรับลดพนักงานลง แถมยังทำให้เกิดกำไรสวนทางกับสายการบินอื่นๆ ในโลก

ปัจจุบันสินทรัพย์ของ VietJet มีมูลค่ารวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้บริการเที่ยวบินในปี 2020 ที่ 78,462 เที่ยวบิน มีชั่วโมงบินรวม 120,093 ชั่วโมง รองรับผู้โดยสารกว่า 15 ล้านคน อัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคของ VietJet สูงถึง 99.64% ได้รับการจัดอันดับความปลอดภัยระดับ 7 ดาว เป็นระดับสูงสุดและได้รับการจัดอันดับจาก Airline ratings อยู่ใน 10 อันดับสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในโลกประจำปี 2020 และตอนนี้ VietJet กลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศเวียดนามแล้วกว่า 47 เส้นทาง


ที่มา:

https://www.posttoday.com/world/644433

https://brandinside.asia/vietjet-income-and-profit-in-2020/?fbclid=IwAR1SYc8XVnZMKVQIDX8jf56IPij-5sEYJ1egqdkAH9WKYTJWkOBA_y__R1E


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top