Monday, 19 May 2025
PoliticsQUIZ

คมนาคมดันรถยนต์ส่วนบุคคล 7 ที่นั่งวิ่งไม่เกิน 120 ไม่ผิดกฎหมาย รถอื่น ๆ ปรับกำหนดความเร็วขึ้นตามความเหมาะสม เผยยังอยู่ในขั้นตอนรอกฤษฎีกา

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมณตรีกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถึงร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วยานพาหนะ ซึ่งจะปรับเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวงให้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม. เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในปัจจุบัน โดยขั้นตอนจากนี้จะต้องรอให้ทางกฤษฎีกาสรุปความเห็น ก่อนเสนอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

สำหรับกฎหมายฉบับนี้ กำหนดเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์ส่วนบุคคลขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 90 กม./ชม. เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. เฉพาะพื้นที่ที่มีความปลอดภัยทางกายภาพ ซึ่งจะต้องเป็นถนนที่มีมาตรฐานสูงขนาด 4 ช่องจราจรขึ้นไป ไม่มีจุดตัดหรือจุดกลับรถเสมอระดับถนน มีการแบ่งทิศทางจราจรอย่างชัดเจน และมีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น โดยกำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับช่องจราจรขวาสุดไว้ไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุชนท้ายกันในช่องทางที่รถวิ่งด้วยความเร็ว

พร้อมทำการปักป้ายกำกับความเร็วตลอดแนวเส้นทางโดยวิศวกรของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. ในเขตชุมชนหรือเขตโรงเรียน ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ในบริเวณทางโค้ง ทางแยก หรือทางกลับรถ ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. บริเวณทางตรงซึ่งสามารถทำความเร็วได้ แต่ต้องไม่เกินตามที่ป้ายกำหนด โดยผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรและขับขี่ด้วยความเร็วตามที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนตลอดการเดินทาง

สำหรับรถประเภทอื่น ๆ ได้ปรับกำหนดความเร็วขึ้นตามความเหมาะสม ทั้งรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม. ส่วนรถในขณะลากจูงรถอื่น รถสี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม. รถจักรยานยนต์ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ส่วนรถจักรยานยนต์กำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ หรือกระบอกลูกสูบรวม 400 CC ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม. รถโรงเรียนใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. และรถโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.

"โฆษกพรรคกล้า" ชี้ ภาพการเมือง พปชร. เปลี่ยนไป หลังอดีตแกนนำ กปปส. ถูกพิพากษา ยอมรับหัวใจน้อมรับกระบวนการยุติธรรม แวดล้อมนายกฯ จากนี้สาย “ทหาร - ไทยรักไทยเก่า” ยึดอำนาจ

นายธันวา ไกรฤกษ์ โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีศาลอาญาชั้นต้นพิพากษาจำคุกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ อดีตแกนนำ กปปส. คือนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ , นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องที่น่าใจหาย เพราะหากมองย้อนกลับไปในอดีต โครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่การเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด เปลี่ยนหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคที่มาจากพลเรือนออก แทนที่ด้วยผู้บริหารจาก คสช. จนวันนี้รัฐมนตรีสาย กปปส. ขุนพลหลักใน กทม. ก็ต้องมาสิ้นสภาพไป

โฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า วันนี้ภูมิทัศน์ทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นแกนนำพรรคระดับรัฐมนตรี ก็เคยอยู่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยกันทั้งนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในเส้นทางอำนาจต่อไป ส่วนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาบอกกับสื่อมวลชนว่า ปรับ ครม. เที่ยวนี้ ไม่มีโควต้า กปปส. มีแต่โควต้า พปชร.เท่านั้น

“โครงสร้างพรรคพลังประชารัฐ จากวันเลือกตั้งถึงวันนี้ เปลี่ยนไปมาก ภาพหลักของพรรค รอบตัวนายกฯ กลายเป็นแค่สายทหาร-ไทยรักไทยเดิม” นายธันวา กล่าว

ภาพแห่งความประทับใจ 'ตู่ นันทิดา' ก้มกราบมารดาหลังการประชุมสภาเสร็จสิ้น

หลายท่านคงรู้จัก “ตู่ นันทิดา” แก้วบัวสาย ในฐานะอดีตนักร้องและนักแสดง แต่ในวันนี้ อดีตนักร้องได้ผันตัวเข้ามาสู่การเป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ที่นอกจากจะเป็นครั้งแรกในการรับตำแหน่งนี้แล้วยังเป็นนายก อบจ. สมุทรปราการ หญิง คนแรกอีกด้วย ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้นจากพี่น้อง ชาวสมุทรปราการ

ซึ่งในวันนี้ได้เกิดภาพแห่งความประทับใจ ของ “ตู่ นันทิดา” หลังจากการเข้าประชุมสภาสามัญ สมัยที่ 1 ประจำปี 2564 เสร็จสิ้นลง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ หรือ “ตู่ นันทิดา” ในชุดเครื่องแบบข้าราชการเต็มยศ ได้ก้มลงกราบ นางประทุมมาศ แก้วบัวสาย ผู้เป็นมารดา ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับข้าราชการ อบจ. สมุทรปราการ ที่ได้เห็นภาพ อบจ. ป้ายแดงท่านนี้ ได้แสดงความกตัญญู กับผู้เป็นมารดา

นอกจากนี้ทั้งทางด้านข้าราชการ อบจ.สมุทรปราการพร้อมด้วยนายสราวุธ แก้วบัวสาย พี่ชาย และนางสิรยา ธนาพรพล พี่สาว ยังได้มาร่วมแสดงความยินดี ภายในห้องทำงาน และร่วมอวยพรให้ “ตู่ นันทิดา” กับตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย

อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน เปิดโต๊ะเจรจา 5 ตัวแทนชาวกระหร่าง กรณี ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ด้านชาวกระหร่างยื่น 7 ข้อเสนอ พร้อมยืนยันขออยู่ที่เดิม

นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายณัฐวุฒิ เพ็ชร์พรหมศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วย นายพิชัย วัชรวงษ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่3 และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี​ ตั้งโต๊ะเจรจาและรับฟังปัญหาการบุกรุกป่าจากชาวกระหร่างบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน ที่บริเวณศาลาพอละจี บ้านบางกลอย หมู่ที่​ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้​ มีนายประเสริฐ พร้อมด้วยตัวแทนชาวหร่างอีก 4 คน และ มีนายนิรันด์ พงษ์เทศ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่​ 1 บ้านบางกลอง และชาวบ้าน ร่วมเจรจา โดยมีฝ่ายปกครอง ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายจงคล้าย เผยว่า จากการที่คณะทำงานแก้ไขปัญหากรณีบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน ที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งขึ้น ลงพื้นที่ทำงานหาข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสอบพื้นที่จากทางอากาศและได้บันทึกภาพไว้ และเมื่อนำมาประเมินเบื้องต้นพบว่า มีการบุกรุกป่าบริเวณ บ้านบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน เพิ่มมากขึ้น ทั้งที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวกันแล้ว

แต่พบว่า มีพื้นที่ป่าถูกบุกรุกป่าด้วยการแผ้วถาง และเผาป่า กว่า 120 ไร่ และเห็นที่ชัดที่สุดคือ ตามซอกเขา หลายจุด จุดละประมาณ 15 ไร่เศษ จากนั้นเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายได้เปิดยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ระหว่างวันที่ 22 - 24 ก.พ. โดยเจ้าหน้าที่สนธิกำลังกว่า 80 นาย ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปลงจุดบุกรุกป่าต้นน้ำบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน พร้อมเข้าร่วมเจรจาโดยใช้หลักละมุนละม่อม ปราศจากความรุนแรงโน้มน้าวให้ชาวกระหร่างลงมาที่บริเวณบ้านบางกลอยล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐจัดสรรพื้นที่ไว้ให้ชาวกระหร่างทำกิน เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่า

นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เผยว่า การเดินทางมาเจรจาในครั้งนี้ เบื้องต้นเพื่อมารับฟังปัญหาและความต้องการที่ชาวกระหร่าง ร้องขอ หากการร้องขอนั้นสามารถทำได้เลยก็จะทำ แต่สิ่งไหนที่ไม่สามารถรับปากในวันนี้ได้ก็จะนำไปรายงานให้คณะทำงานได้ประชุมหาทางแก้ไขเพื่อให้ปัญหายุติลง ขณะที่ ตัวแทนชาวกระหร่าง ได้ยื่นหนังสือข้อเจรจาให้กับเจ้าหน้าที่โดยมีวัตถุประสงค์ 7 ข้อ คือ

1.) พวกเราชาวบ้านบางกลอยขอยืนยันที่จะอยู่พื้นที่เดิมที่เคยอยู่มาก่อน

2.) คนที่ไม่มีความประสงค์จะกลับขึ้นไป ขอให้ช่วยเหลือเรื่องพื้นที่ทำกิน

3.) การปฏิบัติยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชรที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 22 - 23 ก.พ.ที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเนื่องจากอุปกรณ์ส่องสว่างได้รับความเสียหาย

4.) ขอให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการในช่วงนี้ จนกว่ากระทรวงทรัพยากรฯจะส่งคณะทำงานมา

5.) ขอให้เจ้าหน้าที่ และบางสื่อเสนอข่าว กล่าวหาว่า พวกเราไม่ใช่คนไทย

6.) ให้มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิทั้งภาครัฐและนักวิชาการ กรณี เรื่องการทำไร่หมุนเวียน

7.) จะรอจนกว่าคณะทำงานที่ส่งมาจากกระทรวง ซึ่งอาจจะได้ข้อยุติ

ข้อเรียกร้องดังกล่าว นายจงคล้าย ยืนยันว่า จะนำเสนอให้กับคณะทำงานได้รับทราบและนำไปปฏิบัติเพื่อลดปัญหาการบุกรุกป่าต้นน้ำเพชร ต่อไป

ขณะเดียวกันประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี และภาคีเซฟแก่งกระจานป่าของโลกได้เดินทางไปยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ. แก่งกระจานกล่าวหาว่า...

พบเห็นการกระทำความผิดอาญาโดยมีนายนอแอ๊ มีมิลูก นายคออี้ พร้อมพวก กลับขึ้นไปบุกรุกพื้นที่พิพาท ณ.ปัจจุบันซึ่งเป็นพื้นที่ที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแล้วว่า เป็นพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน อาจเป็นการละเมิดมาตรา 16 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504

ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดทางอาญา จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนและ ดำเนินคดีต่อ กลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีทั้งตัวการและ ผู้สนับสนุน การกระทำความผิด โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ 2562


ที่มา: https://mgronline.com/local/detail/9640000019019

ศาลอาญาเตรียมพร้อมอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ประกันสุเทพกับพวกหรือไม่ เช้านี้ ทนายรุดติดตาม

เมื่อเวลาเวลา 8.30 น.วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 64 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสวัสดิ์ เจริญผล ทีมทนายความ เดินทางมาติดตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภายหลังศาบอาญามีคำพิพากษาจำคุกเเกนนำ กปปส.เเละส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประกัน ว่าในวันนี้ทางทนายจะไม่มีการดำเนินการยื่นเอกสารใดๆแล้วเพียงแต่อยู่ในขั้นของการรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จะมีการปล่อยตัวจำเลยทั้ง 8​ คน ซึ่งมีการถูกควบคุมตัวมาแล้ว 2 วัน

นายสวัสดิ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สมควรแล้วที่ทางศาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวจำเลยทั้ง 8 คน เพราะการถูกพิพากษาในครั้งนี้เป็นผลจากการชุมนุมตั้งแต่ปีพ.ศ 2556 และสิ้นสุดการชุมนุมเมื่อปีพ.ศ.2557 พฤติการณ์ทั้งหมดของผู้ที่ถูกตัดสินถือเป็นการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง มาโดยตลอดจนกระทั่งวันที่ศาลมีคำสั่งพิพากษาตัดสินให้จำเลยมีความผิด

สำหรับหลักการที่จะไม่มีการปล่อยตัวศาลจะพิจารณาจากหลัก​ 4​ ข้อประกอบด้วย

1.) จำเลยมีการพยายามหลบหนีหรือไม่

2.) มีการยุ่งเกี่ยวกับพยานหรือไม่

3.) มีการทำผิดในเรื่องอื่นหรือไม่

และ 4.) หลักประกันมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ซึ่งที่ผ่านมาหลักประกันที่ทางทนายยื่นไปประกอบไปด้วยเงินสด

ซึ่งจากที่ทีมทนายได้มีการวิเคราะห์ร่วมกันกับจำเลยทั้ง 8 คน สรุปว่าที่ผ่านมาทั้งหมดไม่เคยมีใครมีพฤติการณ์หลบหนี ทุกคนมีการมาพบเจ้าหน้าที่ตามนัด ทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมีหลักประกันที่น่าเชื่อถือและไม่เคยมีใครปฏิเสธอำนาจของศาล

ฉะนั้นแล้วทั้งหมดจึงอยู่ในข่ายที่สมควรได้รับการประกันตัว ถึงแม้วันนี้จะยังไม่ทราบว่าศาลจะพิจารณาคำสั่งอนุญาตประกันเมื่อใด แต่ถ้าศาลมีการอนุญาตให้ประกันแล้วขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นในส่วนของ การให้หมายปล่อยและราชทัณฑ์จะมีการตรวจสอบ การใช้เวลาน้อยหรือมากขึ้นอยู่ที่ขั้นตอนของทั้งสองส่วนซึ่งทางทนายไม่อาจละเมิดได้ ส่วนคำตอบจะเป็นอย่างไร ทนายและจำเลยก็ยินดีน้อมรับ

ส่วนเหตุการณ์เมื่อวานนี้​ (25 ก.พ.) ที่ศาลไม่มีคำสั่งให้ประกันทางทนายไม่ มีการพูดคุยกับจำเลยทั้ง 8 คนเนื่องจากเลยเวลาเข้าเยี่ยมของราชทัณฑ์แล้วเพียงแต่โทรศัพท์แจ้งทางญาติที่เฝ้ารออย่างมีความหวัง

ส่วนเรื่องของโรคประจำตัวทางราชทัณฑ์การแจ้งผ่านทนายว่าสามารถมีการฝากยาไว้ให้จำเลยทั้ง 8 คนได้ แต่อย่างไรก็ตามในเรือนจำเองมีโรงพยาบาลที่จะคอยอำนวยความสะดวกในอาการเจ็บป่วยอยู่แล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า โดยเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาทางศาลอาญาได้มีการประสานทำความเข้าใจว่ากรณีการจำคุกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกว่าที่ผ่านมาทางศาลอาญายังไม่มีคำสั่ง​ "ไม่ให้ประกันตัว" แต่มีคำสั่งว่า เห็นควรส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ปล่อยตัวหรือไม่ ดังนั้นจะไม่ใช่การยื่นขอประกันใหม่ แต่เป็นการรอฟังผลการพิจารณาจากทางศาลอุทธรณ์เท่านั้น โดยขณะนี้มีรายงานว่าทางศาลอาญาเตรียมความพร้อมที่จะอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในช่วงเช้านี้

ทำไม 'กปปส.' ได้ประกันวันหยุด ? ระเบียบตีตราชัดไม่มีเส้นใหญ่ เพื่อคุ้มครองสิทธิ ผู้ต้องหา จำเลยได้รวดเร็ว

ไม่นานมานี้​ เจ้าของเฟซบุ๊ก​ Tanakorn​ Wongpanya ได้โพสต์ข้อมูลกรณีการได้ประกันตัวในช่วงวันหยุดของกลุ่มแกนนำ​ กปปส.​ ซึ่งอาจจะเกิดข้อสงสัยจากสังคมว่าสามารถทำได้ด้วยหรือไม่นั้นว่า... 

ทำไมได้ประกันวันหยุด

เรื่องนี้ ประธานศาลฎีกา สมัยไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ได้ลงนามออกประกาศ "ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการเปิดทำการศาลและพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในวันหยุดราชการ พ.ศ.​ 2562 

กล่าวคือ ให้ศาลชั้นต้น-อุทธรณ์-ฎีกา เปิดสั่งประกันวันหยุดเพื่อประโยชน์ยุติธรรมที่โดนคดี 

เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา/จำเลยให้ได้รับการพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยเร็ว จึงวางระเบียบเกี่ยวกับการเปิดทำการศาลในวันหยุดราชการ 

1) กรณีที่มีวันหยุดราชการติดต่อกัน 2 วันให้เปิดทำการในวันหยุดราชการวันแรกเป็นอย่างน้อย 

(2) กรณีที่มีวันหยุดราชการติดต่อกัน 3 วัน ให้เปิดทำการในวันหยุดราชการวันที่ 2 เป็นหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย 

(3) กรณีที่มีวันหยุดราชการติดต่อกันตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป ให้เปิดทำการในวันหยุดราชการวันแรกและวันที่สามเป็นอย่างน้อย แต่ต้องมีให้ศาลปิดทำการติดต่อกันถึง 2 วัน 

กับให้ศาลชั้นต้นเปิดทำการศาลในวันหยุดราชการทุกวันเพื่อพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งการพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนั้นให้หมายความรวมถึงการรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและการอ่านคำสั่ง 

นอกจากนี้ยังให้ศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกาเปิดทำการศาลในวันหยุดราชการทุกวันด้วยเพื่อพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา หรือคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว 

วันนี้ 8 กปปส. ได้ประกัน โดยยื่นขอประกันตั้งแต่วันแรก และยื่นอีกครั้งเมื่อวาน แต่ศาลสั่งลงมาในวันหยุด

ส่วนเรื่องมาตรฐานในทางปฏิบัติ กับระเบียบก็ควรเป็นธรรมกับทุกเคส เช่นนั้นเอง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10219748318165507&id=1445075492

ลุงกำนันพร้อมแกนนำกปปส.รอดนอนคุก​ หลังศาลมีคำสั่งพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คนได้ ชี้ที่ผ่านมาในศาลชั้นต้น จำเลยทุกคนไม่มีพฤติการณ์หลบหนี

ลุงกำนันพร้อมแกนนำกปปส.รอดนอนคุก​ หลังศาลมีคำสั่งพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คนได้ ชี้ที่ผ่านมาในศาลชั้นต้น จำเลยทุกคนไม่มีพฤติการณ์หลบหนี

26 ก.พ. เวลา 9.15 น.ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสวัสดิ์ เจริญผล ทีมทนายความกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังขึ้นฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในกรณีที่ทางทนายขอยื่นประกันตัวชั่วคราวกับนายสุเทพ และพวกแกนนำ กปปส.รวม​ 8 คน 

นายสวัสดิ์ กล่าวว่า​ ศาลมีคำสั่งพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คนได้ เพราะที่ผ่านมาในศาลชั้นต้น จำเลยทุกคนไม่มีพฤติการณ์หลบหนีและเคยได้รับการประกันตัว​ ซึ่งเงื่อนไขที่เพิ่มเติม คือราคาประกัน ที่เพิ่มขึ้นเป็น 800,000 บาท และห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาต จากที่ศาลชั้นต้นตีราคาประกัน 600,000 บาท 

หลังจากนี้ศาลอาญาจะมีการออกหมายปล่อยตัวหลังจากที่มีการวางเงินประกันเพิ่มซึ่งทางราชทัณฑ์ก็จะมีการถือหมายการปล่อยตัวไปที่เรือนจำตามขั้นตอนต่อไป

สุดท้ายนายสวัสดิ์ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ศาลมีคำสั่งให้มีการประกันตัวชั่วคราว ขอขอบคุณพี่น้องที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด

'เยาวชนปลดแอก'​ นัดชุมนุมรอบใหม่ รวมพลอนุสาวรีย์ชัยฯ เคลื่อนไปบ้านพักนายกฯ ค่ายกรมทหารราบที่ 1 วันที่ 28 ก.พ.นี้

เฟซบุ๊กกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศจัดชุมนุมอีกครั้ง โดยนัดหมายเดินขบวนในวันอาทิตย์ที่ 28 ก.พ. เวลา​ 15.00 น. จากอนุสาวรีย์ชัยสมาภูมิ ไปยังบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการระทรวงกลาโหมภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์

ทั้งนี้ ในเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอกยังได้ระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มวลชนจะเป็นผู้ตัดสินใจร่วมกัน ไม่มีแกนนำ ไม่มีรถห้องน้ำ ไม่มีการ์ด ไม่มีรถเวที มีเพียงมวลชนที่ไม่ใครอาจหยุดกั้น


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/924667
 

โฆษกพรรคกล้าเตือน!! หื่นกระหายแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกัน ทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเสื่อม แนะลุงตู่ 'ปรับ ครม.'​ ให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่านักการเมือง

ธันวา ไกรฤกษ์ โฆษกพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊ก Thanva Krairiksh - ธันวา ไกรฤกษ์ แสดงความเห็นถึงเรื่องการ 'ปรับ ครม.'​ ว่า...

เห็นข่าวการเตรียมเสนอชื่อรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างลง จึงขอแสดงความคิดเห็นในฐานะอดีตสมาชิกพรรค ซึ่งเคยได้เสียงกว่า 3 หมื่นคะแนนในการเลือกตั้ง “เพราะลุงตู่” สักหน่อยครับ

แม้ฐานคะแนนเดิมของส.ส.จากหลายกลุ่มหลายก๊วนจะมีจำนวนไม่น้อย แต่ต้องยอมรับว่ากระแสความมั่นใจต่อความเข้มแข็งในการปกป้องสถาบัน รวมไปถึงความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาต่างๆ สมัยรัฐบาล คสช. ของลุงตู่ เป็นปัจจัยหลักให้พลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้​ ซึ่งผมเองเคยลงเลือกตั้งมาหลายครั้ง ไม่เคยได้คะแนนถึงหมื่น แต่คราวนี้ได้เกือบ 3 หมื่น ก็เพราะลุงตู่เช่นกัน โดยสัมผัสได้ถึงความคาดหวังของประชาชนที่อยากเห็นลุงตู่นำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปตามที่ตั้งใจและสัญญาไว้

แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ตั้งรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีการปฏิรูปด้านใดที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย มีแต่ข่าวการขัดแข้งขัดขา แย่งเก้าอี้รัฐมนตรี จนมาถึงวันนี้มีรัฐมนตรีหลุดไป เพราะคำพิพากษาในคดี กปปส. ก็ยังไม่วายแสดงท่าทียื้อแย่งตำแหน่งกันอยู่เช่นเดิม... ราวกับไม่เห็นหัวผู้ที่เคยลงคะแนนให้จริงๆ

แล้วการพิจารณาตัวบุคคลที่จะมารับตำแหน่ง ควรเป็นการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ส่วนสมาชิกพรรคควรจะรู้จักการสงวนท่าทีบ้าง เพื่อให้รัฐบาลยังคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ไม่ทำเหมือนหื่นกระหายใคร่อยาก จนทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลดูเสื่อมอย่างนี้

เขียนยาวไปก็เวิ่นเว้อ ขอฝากไว้ให้พิจารณากันเพียงเท่านี้ และหวังว่าจะเห็นความเด็ดขาดในการตัดสินใจ คัดกรองตัวบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนยังรู้สึกว่า "นายกให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่านักการเมือง"

#เก็บอาการบ้างก็ได้!!


ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/politics/470192

ดำเนินคดีเณร 3 นิ้ว มหาเถรสมาคมมีมติร่วม ผิดวินัยสงฆ์ หมิ่นสังฆราช

เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีการตรวจสอบ​ 'สามเณรสหรัฐ สุขคำหล้า'​ หรือ 'โฟล์ค'​ นักศึกษาวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล สมาชิกแนวร่วมราษฎรศาลายา ที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับม็อบราษฎรว่า มีพฤติกรรมขัดต่อคำสั่งมหาเถรสมาคม (มส.) ว่า...

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดย กลุ่มคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ร่วมกับพระครูสถิตปริติวศ์ วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ เจ้าคณะแขวงบางชื่อ พระวินยาธิการ ออกตรวจตราตามที่ได้รับรายงานข่าว และแจ้งเบาะแส กรณีพบเห็นสามเณรมีพฤติกรรมขัดต่อคำสั่งมหาเถรสมาคม

เรื่องห้ามภิกษุสามเณรเที่ยวเตร็ดเตร่ และพักค้างแรมตามบ้านเรือน พ.ศ.2521 , คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538, ประกาศคณะสงฆ์ เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรพักแรมในสถานที่เป็นที่รังเกียจทางพระวินัย วันที่ 31 มกราคม 2501 และอาจเข้าข่ายขัดต่อประกาศมหาเถรสมาคม เรื่องห้ามภิกษุสามเณรไม่ให้เป็นสมาชิกในสมาคม หรือสโมสรคฤหัสถ์ ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2476

ซึ่งประกาศห้ามภิกษุสามเณรเข้าเป็นสมาชิกในสมาคม หรือสโมสรคฤหัสถ์ เพราะไม่สมควรเกี่ยวข้องในกิจที่ไม่ควรแก่บรรพชิต เป็นการสร้างความเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนา และเป็นที่ติเตียนวิพากษ์วิจารณ์ของพุทธศาสนิกชนถึงความไม่เหมาะสม ภายหลังจากที่เจ้าคณะผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่ละแวกบ้านพักนักกิจกรรมแนวร่วมราษฎร ย่านเตาปูน ตรวจสอบตามที่ได้รับรายงาน

โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ประกอบกับข้อมูลที่ได้รับจากสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า สามเณรรูปดังกล่าวคือ สามเณรสหรัฐ สุขคำหล้า หรือ โฟล์ค ไม่มีสังกัด ซึ่งเป็นบุคคลตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 57/2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 เรื่องกรณีสามเณรเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยเข้าร่วมชุมนุม และปราศรัยกับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง

ทั้งในระหว่างการชุมนุมยังแสดงพฤติกรรมละเมิดองค์แห่งพระวินัยปิฎก กล่าวติพระธรรม กล่าวติพระสงฆ์ มีความเห็นผิด ไม่เหมาะสมในสมณะแห่งพระพุทธศาสนา มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอามาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ใส่ความคณะสงฆ์ให้เสื่อมเสีย หรือแตกแยก

มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แจ้งมติมหาเถรสมาคมนี้ ไปยังเจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัด และจังหวัดทุกจังหวัต เพื่อดำเนินการตามแนวทางการลงทัณฑกรรมแก่สามเณร

พร้อมแจ้งขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งสถานีตำรวจในท้องที่ต่างๆ หากพบเห็นสามเณรดังกล่าว ให้นำเข้าพบเจ้าคณะผู้ปกครองในพื้นที่นั้นๆ เพื่อดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม แล้ว

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งข่าว และขอความร่วมมือพุทธศาสนิกชนทุกท่าน หากพบเห็นพระภิกษุสามเณที่มีพฤติกรรมเช่นดังกล่าว หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในความเป็นสมณะ และในลักษณะอื่นที่อาจเข้าข่าย และเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

โปรดแจ้งข่าว และเบาะแสมาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โทร.02-441-7992 , 02-441-7936 เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป


ที่มา:

https://www.thaipost.net/main/detail/94250

https://www.facebook.com/www.onab.go.th/posts/2511133115858641


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top