Sunday, 18 May 2025
PoliticsQUIZ

‘ธรรมนัส’ สั่งยุติโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรม ‘จะนะ’ เสียดาย ครม.เห็นชอบกับแผนงาน แต่ต้องให้ ศอ.บต. และ สศช. ศึกษาโครงการร่วมกัน โอดในความจริง สศช. ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดำเนินการขยายผลเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ไปสู่เมืองต้นแบบ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ว่า

“ที่ประชุมเห็นชอบให้ยุติโครงการเป็นการยุติชั่วคราว เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยขั้นตอนจากนี้ จะรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมทำหนังสือถึงศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วย

“ปัจจัยหลักที่พิจารณาให้ยุติโครงการนี้ คือ ครม.เห็นชอบกับแผนงาน แต่ครม.มีเงื่อนไขว่าต้องให้ ศอ.บต.และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ศึกษาโครงการร่วมกัน แต่ สศช.ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย ศอ.บต.ทำแต่เพียงลำพัง จึงเดือดร้อนมาจนถึงวันนี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องของระเบียบและข้อกฎหมาย และอีกคณะเป็นการพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาได้ข้อสรุปแล้วว่า ทำผิดมติคณะรัฐมนตรี” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

หยุดข้องใจสัมพันธภาพ ‘ไทย - จีน’ โดย อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ | Contributor EP.8

รู้จัก 'จีน' ให้มากขึ้นในปี 2021
จากมือยุทธศาสตร์ด้านจีน แห่งประชาธิปัตย์ 
อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ เลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร 
บทสัมภาษณ์ที่จะย้ำให้เห็นว่า ‘จีน’ คือ ‘มหามิตร’ ที่ไทยควรคบไว้
พร้อมหยุดคลางแคลงในใจสัมพันธภาพ ไทย – จีน
แต่ลองมองอนาคต ไทย – จีน แบบรอบทิศ ทั้งการเมือง - เศรษฐกิจ 
ว่าจุดไหนที่ ‘ไทย’ ควรเข้าไปสอดแทรก!!

ผลลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 ครั้งย้อนหลัง รัฐมนตรีท่านไหน ถูก ‘ไม่ไว้วางใจ’ (%) มากที่สุด!!

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ 2 (2564)

1.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 206 งดออกเสียง 3 ผู้เข้าร่วมประชุม 481 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.83%

2.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 274 ไม่ไว้วางใจ 204 งดออกเสียง 4 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.35%

3.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไว้วางใจ 275 ไม่ไว้วางใจ 201 งดออกเสียง 6 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.70%

4.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไว้วางใจ 268 ไม่ไว้วางใจ 207 งดออกเสียง 7 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.95%

5.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 205 งดออกเสียง 3 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.53%

6.) ***นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไว้วางใจ 258ไม่ไว้วางใจ 215 งดออกเสียง 8 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 45% (ถูกไม่ไว้วางใจมากที่สุดในการอภิปรายรอบ 6 ครั้งล่าสุด)

7.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไว้วางใจ 263 ไม่ไว้วางใจ 212 งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 1 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 43.98%

8.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไว้วางใจ 268 ไม่ไว้วางใจ 201 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 1 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.70%

9.) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 206 งดออกเสียง 4 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.74%

10.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไว้วางใจ จำนวน 274 คน ไม่ไว้วางใจ จำนวน 199 คน งดออกเสียง 5 คน ไม่ลงคะแนน 1 คน ผู้เข้าประชุม 479 คน สัดส่วนไม่ไว้วางใจ =41.54%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ 1 (2563)

1.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 49 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 323 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 15.17%

2.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 277 ไม่ไว้วางใจ 50 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 329 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 15.20%

3.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 54 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 328 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.46%

4.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 54 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 328 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.46%

5.) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 55 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 329 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.72%

6.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไว้วางใจ 269 ไม่ไว้วางใจ 55 งดออกเสียง 7 ผู้เข้าร่วมประชุม 331 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.62%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (2555)

1.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 308 ไม่ไว้วางใจ 159 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 9 ผู้เข้าร่วมประชุม 480 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 33.13%

2.) ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 287 ไม่ไว้วางใจ 157 งดออกเสียง 25 ไม่ลงคะแนน 11 ผู้เข้าร่วมประชุม 480 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 32.71%

3.) พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.คมนาคม ในขณะนั้น) ไว้วางใจ 284 ไม่ไว้วางใจ 160 งดออกเสียง 25 ไม่ลงคะแนน 11ผู้เข้าร่วมประชุม 480 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 33.33%

4.) พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.คมนาคม ในขณะนั้น) ไว้วางใจ 284 ไม่ไว้วางใจ182 งดออกเสียง

5.) ไม่ลงคะแนน 10 ผู้เข้าร่วมประชุม 481 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 37.84%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2554)

1.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกกรัฐมนตรี วางใจ 249 ไม่วางใจ 184 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 23 ร่วมประชุม 467 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.40%

2.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี วางใจ 249 ไม่วางใจ 185 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 22ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.45%

3.) นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วางใจ 245 ไม่วางใจ 185 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 22 ร่วมประชุม 464 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.87%

4.) นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ วางใจ251ไม่วางใจ 186 งดออกเสียง 9 ไม่ลงคะแนน 23 ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.66%

5.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วางใจ 246 ไม่วางใจ 182 งดออกเสียง 17 ไม่ลงคะแนน 21ร่วมประชุม 466 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.06%

6.) นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วางใจ 247 ไม่วางใจ 185 งดออกเสียง 16 ไม่ลงคะแนน 22 ร่วมประชุม470 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.36%

7.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วางใจ 250 ไม่วางใจ 188 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 23 ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

8.) นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม วางใจ 248 ไม่วางใจ 188 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 22 ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

9.)นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วางใจ 243 ไม่วางใจ188 งดออกเสียง 16 ไม่ลงคะแนน21 ร่วมประชุม 468 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.17%

10.)นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ วางใจ 247 ไม่วางใจ 188 งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 21 ร่วมประชุม469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2553)

1.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 186 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 21 ผู้เข้าร่วมประชุม 464 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

2.)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 245 ไม่ไว้วางใจ 187 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 21 ผู้เข้าร่วมประชุม 464 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.30%

3.)นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไว้วางใจ 244 ไม่วางใจ 187 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 22 ผู้เข้าร่วมประชุม 465 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ =40.22%

4.) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไว้วางใจ 239 ไม่วางใจ190 งดออกเสียง 15 ไม่ลงคะแนน 21 ผู้เข้าร่วมประชุม 465 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.86%

5.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 236 ไม่วางใจ 194 งดออกเสียง 14 ผู้เข้าร่วมประชุม 22 ผู้เข้าร่วมประชุม 466 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ =41.63%

6.) นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไว้วางใจ 234 ไม่วางใจ 196 งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 22 ผู้เข้าร่วมประชุม 465 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.15%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2552)

1.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 176 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 449 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.20%

2.)นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 174 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 38.93%

3.)นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไว้วางใจ237 ไม่วางใจ 184 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 13 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.16%

4.)นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ246 ไม่วางใจ 167 งดออกเสียง 20 ไม่ลงคะแนน 14 ผู้เข้าร่วมประชุม 446 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 37.44%

5.)นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 174 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 38.93%

6.) นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 168 งดออกเสียง 18 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 37.58%


ที่มา: Wikipedia

นพ.ยง ภู่วรวรรณ เผยเหตุไม่ฉีดวัคซีนโควิดให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และเด็กต่ำกว่าอายุ 18 ปี เหตุมีความเสี่ยงสูง ขณะที่ข้อมูลผลข้างเคียงยังมีไม่มากพอ แต่ในอนาคตอันใกล้ได้ฉีดทุกคนแน่

วันนี้ (23 ก.พ.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ “วัคซีนโควิด-19” ถึงเหตุผล ทำไมวัคซีน Sinovac ฉีดให้กับผู้มีอายุ 18 - 59 ปี ว่า จากการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ข้อมูลของวัคซีน Sinovac ยังมีข้อมูลการฉีดวัคซีนในผู้ที่อายุเกิน 60 ปี มีจำนวนน้อย

จากการศึกษาในระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 3 มีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี อยู่เกือบร้อยละ 4

ดังนั้น ทางคณะกรรมการ จึงอนุญาตให้ฉีดในภาวะฉุกเฉิน กับผู้ที่มีอายุ 18 - 59 ปี เช่นเดียวกัน ทำไมไม่ให้เด็กต่ำกว่าอายุ 18 ปี ก็เพราะยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาในกลุ่มอายุดังกล่าว

ในทางปฏิบัติจึงจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ที่ถูกกำหนดไว้ และในอนาคตข้างหน้าเมื่อมีข้อมูลการฉีดในผู้สูงอายุมากเพียงพอ ก็จะขยับการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุต่อไป

ในวันข้างหน้า หรือในระยะเวลาอันใกล้ มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะขยับอายุขึ้นไป เมื่อมีข้อมูลมากพอ

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ที่มีอายุ 60 ปี หรือมากกว่า และมีความเสี่ยงสูง ที่จะติดเชื้อหรือป่วยเป็นโรคโควิด-19 และเกิดอันตรายได้สูง อย่างเช่นคุณหมอจังหวัดมหาสารคาม ก็สามารถที่จะให้ได้ แต่จะต้องประเมิน ประโยชน์ที่จะได้จากวัคซีน มากกว่าอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น โดยแพทย์ได้ให้ข้อมูลทั้งหมด และเจ้าตัวยินดีรับความเสี่ยง ก็สามารถทำได้ ด้วยความยินยอมของผู้นั้น

โดยความเห็นส่วนตัว ในระยะเวลาอันใกล้ ข้อมูลการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุ ก็จะมีเพิ่มขึ้นและคงจะได้ฉีดกันทุกคน อดใจรอ


ที่มา : https://web.facebook.com/story.php?story_fbid=5272855232757051&id=100000978797641&_rdc=2&_rdr

ธนาธร​ จึงรุ่งเรืองกิจ​ ประธานคณะก้าวหน้า​ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว​เกี่ยวกับความในใจช่วง​ 1​ ปีที่ผ่านมาหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบว่า...

ครบรอบ 1 ปียุบพรรคอนาคตใหม่ - ความในใจจากวันนั้นถึงวันนี้

ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังมากนัก - แม้แต่คนใกล้ชิด - ถึงความรู้สึกส่วนตัวจากกรณีถูกยุบพรรค เหตุผลหนึ่งคือในฐานะผู้นำ ผมรู้สึกว่าผมจะแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นไม่ได้ กลัวว่าทั้งทีมงาน ในส่วนกลางและในจังหวัดต่าง ๆ, ผู้สนับสนุน และเพื่อน ส.ส. จะหมดกำลังใจ

วันนั้น ผมมีความเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ ว่าการผลักดันวาระประชาธิปไตยผ่านระบบรัฐสภาจะอ่อนแอลง ผมเป็นห่วงเพื่อน ส.ส. อนาคตใหม่ที่ย้ายไปพรรคก้าวไกลว่าพวกเขาจะยืนได้หรือไม่ท่ามกลางกระแสการเมืองที่โหดเหี้ยมต่อฝ่ายประชาธิปไตย

ในระยะยาวหากพรรคใหม่ไม่สามารถยืนหยัดได้ แปลว่าพวกเราแพ้ย่อยยับ

เราตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา เพื่อหวังใช้ช่องทางรัฐสภา หาทางออกให้กับประเทศ เมื่อเราถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ผมก็กลัวว่าพรรคก้าวไกลจะไม่หนักแน่นพอที่จะยืนยันในวาระสำคัญๆ ของชาติ กลัวว่าแรงเสียดทานจากสังคม แรงกดดันจากอำนาจเผด็จการ จะทำลายอุดมการณ์อนาคตใหม่ กลัวว่าพวกเขาจะทิ้งอุดมการณ์ไประหว่างทาง

หนึ่งปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีทีมงานและเพื่อน ส.ส. กลุ่มหนึ่ง ตัดสินใจไม่เดินทางไปกับพรรคก้าวไกลต่อ ซึ่งผมเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะปัญหาความขัดแย้งทางความคิดและการปฏิบัติการภายในพรรค, แรงกดดันทางสังคมที่รุนแรง หรือผลประโยชน์ที่หอมหวาน

แต่ ส.ส. ส่วนใหญ่ที่เหลือยังหนักแน่นกับอุดมการณ์อนาคตใหม่ และได้แสดงให้สังคมเห็นถึงความหนักแน่นนี้ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

วันนี้ ผมไม่มีบทบาททางการเมืองในระบบแล้ว แต่ผมไม่เคยเสียใจเลยที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา เราทุกคนล้วนเป็นอิฐก่อนต่อไปของการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เท่าเทียมเสมอภาค ผมก็เป็นเพียงอิฐอีกก้อนให้คนที่เดินข้างหลังก้าวต่อไปถึงจุดหมาย

วันครบหนึ่งปีของการยุบพรรคอนาคตใหม่ ตรงพอดีกับการจบลงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การทำงานของพรรคก้าวไกลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ทำให้ผมหมดห่วง ผมเฝ้าติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพวกเขาอย่างชื่นชม

พวกเขาทำได้ดีมาก

พรรคก้าวไกลแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีวิสัยทัศน์ กล้าหาญและหนักแน่น ไม่แพ้อนาคตใหม่เลย วันนี้จึงเป็นวันที่ผมรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ต้องแบกอะไรไว้บนหลังมากมายเหมือนก่อน พวกเขามั่นคง แข็งแกร่ง และเดินต่อไปได้อย่างสง่างาม

ผมสบายใจและมั่นใจว่าอย่างน้อยในสภา ก็ยังมีพรรคการเมืองที่พร้อมจะยืนอย่างมั่นคงในหลักการประชาธิปไตย กล้าหาญพอที่จะยืนบนผลประโยชน์ของประชาชน เพื่ออนาคตของประเทศ

หมดหน้าที่ของผมในสภาแล้ว พวกเขาถือคบไฟ วิ่งไปต่ออย่างมั่นคง

ผมต้องกล่าวเป็นพิเศษถึงคุณพิธา ลิ้มเจริซรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เขาเป็นคนที่ถูกกดดันและถูกคาดหวังมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โบราณกล่าวไว้ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน พิธาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เขากล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาใจกลางการเมืองไทยอย่างมีวุฒิภาวะ เขามีความเป็นผู้นำและมีไหวพริบ ไม่เพียงแค่จะนำพรรคก้าวไกล แต่จะนำประเทศไทยในอนาคต

วันนี้ ผมเผชิญหน้ากับวันครบรอบ 1 ปีการยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างสงบ ไม่มีความรู้สึกโกรธหรือเคียดแค้นที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เพราะรู้ว่าพวกเขาทำไม่สำเร็จ พวกเขายุบอุดมการณ์ไม่ได้ ผมไม่มีความรู้สึกรุ่มร้อน เป็นห่วงการเมืองในสภาเหมือนเดิม เพราะก้าวไกลได้ยืนอย่างสง่าผ่าเผยให้สังคมเห็นแล้ว

ต่อจากนี้ไป ผมจะยังทำงานการเมืองต่อไปเช่นเดิม และขอยืนเคียงข้างพรรคก้าวไกล ในวันที่เขาต้องการคำปรึกษาหรือกำลังใจ ผมขอยืนข้างหลังพวกเขาร่วมกับประชาชน ในวันที่พวกเขาต้องการการสนับสนุน และจะยืนข้างหน้าพวกเขา เมื่อพวกเขาเผชิญภัยอันตราย

ขอให้ทุกคนเดินหน้าอย่างกล้าหาญ ประชาชนจะปกป้องคุณเอง

ห่วงสุดท้ายที่ยังติดในใจ คือความเป็นห่วงต่อเพื่อนกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ขอบคุณที่ตัดสินใจเดินร่วมทางกันวันนั้น แม้เป็นเวลาสั้น ๆ แต่ก็เป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับทุกคน และขอโทษที่ทุกคนต้องคดีความไปด้วย สิ่งนี้ยังเป็นห่วง ที่ยังติดในใจผมถึงทุกวันนี้

ในวาระครบรอบ 1 ปียุบพรรคอนาคตใหม่นี้ ผมขอขอบคุณผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรค, สมาชิกพรรค, ผู้สนับสนุน และผู้ออกเสียงลงคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่ทุกคนอีกครั้ง ขอบคุณทุกการโอบกอด ขอบคุณทุกการจับไม้จับมือ ขอบคุณน้ำทุกขวด ขนมทุกชิ้น ดอกไม้ทุกดอก ผ้าขาวม้าทุกผืน รูปวาดทุกใบ และกำลังใจทุกดวง ที่ทุกคนมอบให้ระหว่างทาง มันเป็นการเดินทางที่วิเศษ และผมจะจดจำมันตลอดไป


ที่มา: https://www.facebook.com/382592748811072/posts/1046862262384114/

‘บิ๊กตู่’ ย้ำคนไทยทุกคนจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิดฟรีทุกคน ‘ยัน’ วัคซีนทุกล็อต ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. พร้อมย้ำเปิดรับวัคซีนโควิดทุกราย

เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 23 ก.พ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ถึงความคืบหน้า การจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 โดยเฉพาะวัคซีนซิโนแวค 2 แสนโด้ส ที่จะมาถึงในวันที่ 24 ก.พ.ว่า “ความคืบหน้า การจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 วัคซีนซิโนแวค 2 แสนโด้ส ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ (24 ก.พ.) จะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามแผนการได้ภายใน 3 วันครับ

สำหรับคนไทยจะได้ฉีดวัคซีนฟรีทุกคน ซึ่งเราได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย และการบริหารจัดการทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว ขอให้รอฟังการชี้แจง ศบค. ต่อไป

ทั้งนี้ วัคซีนล็อตสองจำนวน 8 แสนโด้ส และล็อตสาม 1 ล้านโด้ส จะตามมาในเดือนมีนาคมและเมษายน โดยส่วนหนึ่งจะใช้สำหรับฉีดเข็มที่ 2 ให้ผู้ที่ได้รับโด้สแรกไปแล้ว

ในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน เราจะได้รับวัคซีนแอสตร้า เซเนก้า 26 ล้านโด้ส และจะตามมาอีก 35 ล้านโด้ส

วัคซีนของแอสตร้า เซเนก้าขึ้นทะเบียนแล้ว นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ได้ส่งเอกสารบางส่วนแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วน ของโมเดอร์นาและไฟเซอร์ที่ได้ส่งตัวแทนมาพูดคุย แต่ยังไม่ได้ส่งเอกสารมาครับ

จะเห็นว่าเราเปิดรับวัคซีนจากทุกบริษัท ที่ผ่านมาได้มีการประสานงานกันมาโดยตลอด บางส่วนอยู่ในขั้นตอนการขอเอกสาร บางส่วนอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งหมดเราไม่ปิดกั้น

เรายินดีที่ภาคเอกชนมีแนวคิดช่วยจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ผู้ที่ต้องการ อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตวัคซีนหรือผู้นำเข้าจะต้องขอจดทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนก่อน ซึ่งทาง อย.ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก มาช่วยในการตรวจสอบเพื่อความรวดเร็วในการขึ้นทะเบียน

วัคซีนที่จะใช้ฉีดในประเทศไทยทุกล็อต จะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. เพราะเราต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคนไทยเป็นอันดับแรก

ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา จะเห็นว่า เราตั้งใจวางมาตรการอย่างเป็นระบบ เพราะทั้งหมดเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของพี่น้องคนไทยทุกคนในประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ต้องรัดกุม มีแผนงานที่เป็นขั้นเป็นตอนตามแผนของรัฐที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด และเพื่อให้การฉีดวัคซีนได้ผลในการป้องกันการระบาดได้เต็มประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ส่วนสำคัญเรื่องหนึ่งในกระบวนการ คือการป้องกันตัวเองครับ ที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ขอให้ทุกคนยังคงสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่างทางสังคม เรื่องนี้จะช่วยให้ปลอดภัยจากโควิดได้ดีที่สุดครับ”

‘บิ๊กป้อม’ ชี้ ปัญหาภัยแล้ง แก้ปัญหา - เตรียมรับมือแล้ว ถึงแม่น้ำโขงน้ำน้อยไม่หวั่น เร่งกระทรวงทรัพยากรฯ ศึกษาระบบนิเวศน์น้ำโขง ยันอีสานตอนล่างน้ำยังเพิ่ม แต่เชื่อรับมือภัยแล้งได้เหมือนที่ผ่านมา

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาภัยแล้วว่า ได้มีการสั่งการให้แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวแล้ว รวมถึงมีการเตรียมการรับมือไว้พร้อมแล้ว แม้ว่าแม่น้ำโขงมีน้ำน้อย แต่มีการเตรียมการไว้แล้ว

และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังศึกษาระบบนิเวศของแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนไป ยืนยันว่าไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของพื้นที่ภาคอีสานตอนล่างมีน้ำเพิ่มมากขึ้น ยืนยันปีนี้รับมือภัยแล้งได้เหมือนปีที่ผ่านมา

กรมจัดหางานจับจริง!! หลังเปิดให้นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวออนไลน์ 3 สัญชาติ ‘กัมพูชา - ลาว - เมียนมา’ ให้ทำงานและอยู่ในไทยเป็นกรณีพิเศษ หากพบฝ่าฝืนจ้างโดยไม่มีใบอนุญาติ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มุ่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อบริหารจัดการให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ได้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนแรงงาน และสามารถตรวจสอบควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นระบบ

ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน โดยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ได้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการยื่นบัญชีรายชื่อและแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ กับกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกแล้ว ปรากฏว่า…

...มีคนต่างด้าว 3 สัญชาติมาขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 654,864 คน แบ่งเป็น กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ซึ่งมีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 133,910 ราย เป็นคนต่างด้าว 596,502 คน แยกเป็น สัญชาติกัมพูชา 180,476 คน ลาว 63,482 คน และเมียนมา 352,544 คน

ขณะที่กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง มีคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลบุคคล 58,362 คน แยกเป็น สัญชาติกัมพูชา 23,203 คน ลาว 3,626 คน และเมียนมา 31,533 คน

อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการสำนักงานจัดหางานพื้นที่กรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ให้มีการประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ในทุกช่องทางมาโดยตลอด เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติที่ยังไม่มีนายจ้างทราบแนวทางการดำเนินการ ตลอดจนบทลงโทษ หากไม่ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลการทำงานของคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้หากตรวจพบการฝ่าฝืนกฎหมาย นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ

“สำหรับนายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าวที่ยื่นบัญชีรายชื่อตามขั้นตอนที่ 1 แล้ว ต้องดำเนินการ ดังนี้

1.) กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง คนต่างด้าวต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 จากนั้น สธ.ส่งผลการตรวจโรค และ ตม.ส่งข้อมูลการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ให้กกจ.ออกใบอนุญาตทำงานต่อไป นายจ้างชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์และหลักฐานการชำระเงิน ภายในวันที่ 16 มิ.ย.64 และนายจ้างพาคนต่างด้าวไปขอจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง กรุงเทพฯ กำหนด ภายใน 30 ธ.ค. 64

2.) กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง คนต่างด้าวต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค ไปขอจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง กรุงเทพฯ กำหนดภายในวันที่ 16 มิ.ย.64 นายจ้างที่ประสงค์จ้างคนต่างด้าวที่จัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) เข้าทำงาน ยื่นบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว

ผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์ และหลักฐานการชำระเงิน ภายใน 13 ก.ย.64 และนายจ้างพาคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง/กรุงเทพฯ กำหนดภายใน 28 ก.พ. 65 กรณีคนต่างด้าวทำงานในกิจการประมงทะเลต้องไปยื่นขอทำหนังสือคนประจำเรือ ณ ที่กรมประมงกำหนด เป็นขั้นตอนสุดท้าย ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ นายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

แรมโบ้ ป้องบิ๊กตู่ ปมฉีดวัคซีน จวก โอ๊ค คงว่างมาก หรือ กินยาผิดขนาด จนมึนเมายา

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์แสดงความเห็นเรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ควรรีบร้อนฉีดเป็นคนแรก ผู้นำประเทศควรเสียสละ ฉีดเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่เอาตัวรอด ว่า ในคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ที่บอกว่าพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 คนแรกถ้าฉีดได้ ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน หลักเกณฑ์ต่างๆ

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯ ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น ก็เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ว่าวัคซีนที่นำเข้ามานั้นมีความปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมายังมีประชาชนบางส่วน ยังมีความกังวลในเรื่องของความไม่ปลอดภัยหากจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ขณะที่ในบางประเทศผู้นำได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกเช่นกัน เพราะว่าต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในประเทศ

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา และให้ความสำคัญกับประชาชนก่อน เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ให้ประชาชนมีความปลอดภัยสูงสุดในการที่จะได้รับวัคซีน ยืนยันนายกฯ ไม่เคยคิดที่จะเอาตัวรอด หรือเอาเปรียบใคร โดยที่ผ่านมาก็ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง อีกทั้งยังเร่งจัดหาวัคซีนให้คนไทยโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่มีอยู่

นายสุภรณ์ กล่าวว่า คนที่เป็นผู้นำประเทศเขาก็คิดเช่นนี้ คิดถึงประชาชนก่อน ซึ่งคนอย่างนายพานทองแท้ แม้จะเกิดมาเป็นลูกและหลานของอดีตผู้นำก็คงไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะพ่อและอา ของนายพานทองแท้ตอนเป็นผู้นำประเทศไม่เคยคิดถึงใคร คิดถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเองมากกว่า ซึ่งหากนายพานทองแท้ ยังไม่เข้าใจการทำงานของนายกฯ ก็ไม่ควรที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ประชาชนเข้าใจในตัวนายกฯ ผิดไป และทำลายบรรยากาศบ้านเมืองในขณะนี้

"ช่วงนี้นายพานทองแท้ คงว่างมาก หรือไม่ก็คงกินยาผิดขนาดจนมึนเมายาหรือเปล่า จึงได้ออกมาแขวะนายกฯ บ่อยๆ สงสัยว่ากลัวคนไทยจะลืมพ่อและอาที่ทิ้งปัญหาอะไรไว้ให้กับประชาชน แม้แต่ชาวนาก็ไม่ละเว้น ถ้าขืนออกมาปั่นกระแสให้ตัวเองบ่อยๆเช่นนี้คงไม่เป็นผลดี เพราะคนที่เจ็บปวดและทุกข์ใจที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อและคุณอา ที่จะต้องถูกคนไทยขุดเรื่องราวการทุจริตในอดีตขึ้นมาพูดและสาปแช่งอีกต่างหาก ถ้าสงสารคุณพ่อและคุณอาก็ควรจะหยุดวาทะกรรมใส่ความคนอื่นได้แล้ว เพราะยิ่งพูดยิ่งทำให้คนไทยลืมวีรกรรมอัปยศที่ได้กระทำไว้กับประเทศไทย และคนไทยของอดีตผู้นำประเทศทั้งสองคนไม่ได้เลย" นายสุภรณ์ กล่าว

สาธารณสุข จัดงานใหญ่ ‘กัญชากัญชง 360 องศา เพื่อประชาชน’ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จ.บุรีรัมย์ 5 - 7 มีนาคมนี้

นายเเพทย์กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 5-7 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นประธานเปิดงาน มหกรรมกัญชงกัญชา 360 องศา เพื่อประชาชน ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นเเนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายในงานประกอบไปด้วย นิทรรศการทีชีวิตกับกัญชาเเละกัญชง 360 องศาเพื่อประชาชน เปิดตำรับยา อาหาร เวชสำอาง ก้าวเเรกกัญชาจากการคลายล็อก

ผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า การเสวนากัญชากัญชง กับวิทยากรที่ดีสุดของประเทศ อาทิ กฎหมายยาเสพติดกับอนาคตประเทศไทย ซึ่งมี ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน ผู้ค่ำหวอดในเรื่องกัญชา คณะที่ปรึกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการเเพทย์,จากใต้ดินสู่บนดินโดยหมอเดชา ศิริภัทร มูลนิธิข้าวขวัญ ,ประโยชน์เเละการใช้สารสกัดกัญชาทางการเเพทย์ โดยศาสตราจารย์นายเเพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,กัญชากับการรักษาโรคมะเร็ง โดย นายเเพทย์อิสระ เจียวิริยบุญญา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี,เทคนิคการใช้กัญชารักษาโรคให้ได้ผล : ประสบการณ์การรักษาคนไข้ห่างหายโรคด้วยกัญชา โดยเเพทย์หญิงจินตนา มโนรมย์ภัทรสาร สวัสดีคลีนิคเวชกรรม

นายเเพทย์กิตติ กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องการขออนุญาตปลูก ครอบครอง งานนี้เราได้ท่าน เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารเเละยา จะร่วมสัมมนาเรื่อง การกำกับดูแล การนำกัญชงเเละกัญชงไปใช้ประโยชน์ภายใต้กฎหมายใหม่ และสถาบันกัญชาทางการเเพทย์ จะบอกขอบเขตการทำงานที่ชัดเจนเดี่ยวกับกัญชงเเละกัญชา

ภายในงานยังประกอบไปด้วย จุดรับบริการตรวจรักษาฟรีที่คลีนิคกัญชาทางการเเพทย์เเบบบูรณากา รวมไปถึงการนำนวัตกรรมกัญชงสร้างมูลค่าด้วยภูมิปัญญาคนไทย ที่สำคัญที่การจัดเเสดงสินค้าผลิตภัณฑ์กัญชากัญชงจากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ที่สำคัญได้เรียนรู้เพื่อต่อยอดกับเวิร์กชอป กัญชากัญชง ฟรีทุกวัน ผู้เข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียน ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfes9QVflgacM1iTVPp5bAIA-c2-aLNdwqIwIffv1rWiNbAfQ/viewform?fbclid=IwAR3tgN_AbWFL1tw-voHxNIfH0wzEzc7PLbnuxfZAmti6tCtbyFIRwgZe2gM

“วันที่ 5-7 มีนาคม 2564 รับรองว่าเป็นการเปิดโลกใหม่ในเรื่องกัญชงเเละกัญชาในประเทศไทยเเน่นอน และงานนี้ไม่ควรพลาด” นายเเพทย์กิตติ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top