Tuesday, 8 July 2025
PoliticsQUIZ

เทพไท เสนอ ศบค.ปลดล็อกสนามบินดอนเมือง แก้ปัญหาคน กทม.แห่ไปใช้สนามบินอู่ตะเภา

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการล็อคดาวน์สนามบินของ ศบค.ว่า จากการที่ ศบค.ประกาศล็อคดาวน์สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ห้ามไม่ให้มีการเดินทางโดยเครื่องบิน จากพื้นที่ควบคุมสีแดงเข้ม ไปยังสนามบินในภูมิภาคต่างๆ แต่กลับมีการเปิดใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง ให้มีการเดินทางด้วยเครื่องบินไปยังสนามบินของจังหวัดต่างๆได้

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางกลับนครศรีธรรมราช โดยการใช้บริการของสายการบินนกแอร์ จากสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ไปยังสนามบินนครศรีธรรมราช และเดินทางกลับจากสนามบินนครศรีธรรมราช มาที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาโดยมีผู้โดยสารร่วมเดินทาง เที่ยวบินละประมาณ 60 คน ผมได้สอบถามข้อมูลจากผู้โดยสาร จากเจ้าหน้าที่ของสายการบิน  พบว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่ 99% เป็นคนที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯทั้งสิ้น 

ดังนั้นเป้าหมายของ ศบค.ที่ต้องการล็อคดาวน์สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อไม่ให้คนกรุงเทพเดินทางไป สู่พื้นที่ต่างจังหวัด ไม่สามารถเป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ กลับยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนในการเดินทางด้วยซ้ำไป เพราะการเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน ที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง รวมเวลาไปกลับเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ทำให้สิ้นเปลืองเวลาการเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ของประชาชนอีกด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามที่มีต่อ ศบค.ก็คือ ทำไม ศบค.ไม่เปิดให้มีการใช้สนามบินดอนเมือง หรือสนามบินสุวรรณภูมิ ให้มีสายการบินต่างๆ บินไปสู่สนามบินในต่างจังหวัดเสียเลย

จึงขอเรียกร้องมายัง ศบค.ได้ทบทวนมาตรการล็อคดาวน์การใช้สนามบินเสียใหม่ และควรจะเปิดให้มีการใช้บริการสนามบินดอนเมืองได้ตามปกติ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ที่มีภารกิจจำเป็น จะต้องเดินทางในช่วงที่มีการประกาศล็อคดาวน์ ของ ศบค.โดยเร็วที่สุด

“บิ๊กตู่”ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วม-น้ำหลาก “สั่ง”ทุกส่วนราชการเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ พร้อมเข้าช่วยเหลือทันที

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการไปยังทุกส่วนราชการให้เตรียมแผนการเคลื่อนย้ายคนและสัตว์ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมไปยังพื้นที่ปลอดภัย หลังกองอำนวยการน้ำแห่งชาติและกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดินถล่ม น้ำล้นอ่างเก็บน้ำและน้ำล้นตลิ่ง ในช่วงวันที่ 25 - 30 สิงหาคม 2564 โดยประกาศของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 8/2564ได้ประกาศเตือน เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดินถล่ม น้ำล้นอ่างเก็บน้ำ และน้ำล้นตลิ่ง บริเวณประเทศไทยตอนบน - ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 26 ส.ค. - 3 ก.ย. จากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

มีพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังน้ำหลาก ดินถล่ม  ภาคเหนือในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในจังหวัดเลย บึงกาฬ สกลนคร หนองคาย อำนาจเจริญ และอุดรธานี ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ภาคตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี และภาคใต้ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา และภูเก็ต  นอกจากนี้ ระดับน้ำในลำน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นล้นตลิ่งและท่วมขังบริเวณที่ลุ่มต่ำ รวมทั้งเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน บริเวณ 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึงอุบลราชธานี  ทั้งนี้ สอดคล้องกับกรมอุตุนิยมวิทยา ได้พยากรณ์อากาศระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2564 - 1 กันยายน 2564 ประเทศไทยจะมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ 

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังกำชับให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ติดตามสภาพอากาศและสภาพน้ำตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ และระบบสื่อสารสำรอง จัดชุดเคลื่อนที่เร็วเพี่ออพยพประชาชนรวมถึงสัตว์เลี้ยงได้ทันทีหากเกิดสถานการณ์ ขณะเดียวกันขอให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ใกล้เคียงติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำของภาครัฐอย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามได้ตลอด 24 ชั่วโมงที่เว็บไซต์ สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาสำนักพยากรณ์อากาศ http://www.metalarm.tmd.go.th/monitor/thailand และ ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ http://nwcc.onwr.go.th/ ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำและพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้าด้วย 

ราเมศ ย้ำ ตำรวจไม่มีสิทธิพรากชีวิต ปชช กก กฎหมายพรรค ติดตามคดี คลุมถุง อย่างใกล้ชิด

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเลขานุการกรรมการกฎหมายพรรค ได้กล่าวถึงคดีที่ตำรวจ ใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะจนมีผู้เสียชีวิตว่า

พรรคได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ การเรียกร้องให้เร่งขอศาลออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ดำเนินการจนนำไปสู่การจับกุมได้ทั้งหมด ส่วนเนื้อหารายละเอียดในสำนวนไม่ก้าวล่วงการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวน แต่อยากย้ำว่าการรวบรวมพยานหลักฐาน การตั้งข้อหา ต้องสอดคล้องต้องกันกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย พรรคจะจับตาดูเรื่องนี้ต่อไป การตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาถือว่าตั้งหลักได้ถูกต้องตามหลักการและข้อเท็จจริงแล้ว ต่อจากนี้ก็จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ละเอียดที่สุด เพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษถึงที่สุด

นายราเมศ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เกี่ยวข้องกับสิทธิของความเป็นมนุษย์ สิทธิมนุษยชน ถึงแม้ประชาชนจะทำผิดกฎหมายจริงก็ต้องดำเนินการตามครรลองของกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิพรากชีวิตของประชาชนได้ ถ้าประชาชนทำผิด ตำรวจก็สอบสวนสั่งฟ้อง ส่งพนักงานอัยการ ส่งศาลหากผิดถึงขั้นประหารชีวิตก็ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้กับประชาชน

นายราเมศกล่าวตอนท้ายว่ามีร่าง พระราชบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนคดีอาญา ที่มีความจำเป็นต้องผลักดันให้สำเร็จ มีความสำคัญมากต่อการปฏิรูปตำรวจ กรณีที่ตรงกับเรื่องนี้เช่น เมื่อมีตำรวจกระทำผิดต่อประชาชนไม่ควรให้ตำรวจด้วยกันสอบสวน แต่ควรให้หน่วยงานอื่นร่วมกันทำหน้าที่พนักงานสอบสวนตั้งแต่เรื่มต้นคดี ไม่ว่าจะเป็น ดีเอสไอ ปปช ปปท ฝ่ายปกครอง เพื่อเป็นหลักประกันให้กับประชาชนได้ว่าจะไม่มีการทำคดีที่มีตำรวจเป็นผู้ต้องหาโดยมีอคติ

"บิ๊กตู่" สั่ง ศธ.เบรกโรงเรียนเอกชนอย่าหักเงินเยียวยาเป็นค่าเทอม

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองหลายช่องทางว่าโรงเรียนบางแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนแจ้งกับผู้ปกครองว่า จะหักเงินเยียวยา 2,000 บาทกับผู้ปกครองที่ค้างค่าเทอมสำหรับภาคเรียนที่ 1 ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี จึงกำชับกระทรวงศึกษาธิการให้ติดตาม ตรวจสอบระบบการจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของการช่วยเหลือเยียวยา โดยโรงเรียนมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับผู้ปกครองเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด โดยเบื้องต้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครอง เป็นช่องทางให้ผู้ปกครองแจ้งเรื่องมาที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับกระบวนการจ่ายเงินเยียวยาผู้ปกครอง จะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เมื่อสำนักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนที่กระทรวงการคลัง จะส่งต่อให้กรมบัญชีกลาง เพื่อโอนเงินเยียวยาทั้งหมดมาให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการ จะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ในการโอนเงินไปยังสถานศึกษาในระบบ เพื่อจ่ายเงินให้กับผู้ปกครองทั้งการผ่านบัญชีธนาคารและการจ่ายเป็นเงินสดในกรณีที่ไม่สามารถโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารได้

โฆษกรัฐฯลั่น “บิ๊กตู่” พร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภาฯ “วอน” พท. ไม่ควรเล่นเกมส์นอกสภาฯ ล่ารายชื่อ ปชช.  “ดักคอ” แคมเปญชวนคนไทยไล่รัฐบาลมีช่องว่าง อาจมีการปั่นยอดให้สูงได้ “โว” มี ปชช. ขอผุดแคมเปญหนุนนายกฯ ทำงานต่อบ้าง แต่ห้ามไว้ไม่อยากให้เกิดภาพขัดแย้ง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยผุดแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้นไม่ควรกระทำและไม่เหมาะสม เป็นการเล่นเกมส์นอกสภาฯเพื่อกดดันรัฐบาลต่อ และการลงชื่อทางไลน์นั้นสามารถปั่นตัวเลขให้สูงได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เพียงพอ โดยในสมัยที่ตนเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำโครงการชิมช็อปใช้นั้น ก็ยังพบว่ามีรายชื่อผีโผล่มา ซึ่งจะต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนจากหลายหน่วยงาน ดังนั้น สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็อาจจะนำตัวเลขสูงๆ มาโจมตีรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร น่าจะใช้สภาฯ ในการตรวจสอบจะดีกว่า

นายธนกร กล่าวว่า มีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตน โดยระบุว่าอยากจะขอเปิดแคมเปญสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ยาว ทำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อไป แต่ตนได้ขอร้องไว้ เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน โดยรัฐบาลพยายามทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้กับพฝประชาชน คาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลาย 

“ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภาฯ ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาฯ หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาฯ ได้  ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง ที่สำคัญ รัฐบาลจะใช้เวทีสภาฯ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนอีกด้วย” นานธนกร กล่าว

“ปชป.” นัดถกส.ส. 31 ส.ค.ก่อนศึกซักฟอกจะเริ่มขึ้น มั่นใจไม่มีอะไรน่าห่วง เผย”เฉลิมชัย”ยันตอบข้อกล่าวหาได้ เพราะหยึดหลักทำงานเพื่อประเทศ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล ว่า ตนได้นัดประชุม ส.ส. ของพรรคในวันที่ 31 ส.ค. เวลา08.30 น. ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเริ่มในเวลา 09.30 น. เพื่อสรุปการเตรียมความพร้อมของพรรคอีกครั้ง ทั้งนี้เมื่อดูเนื้อหาที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค ถูกอภิปรายแล้ว ไม่น่ามีอะไรมาก ซึ่งนายเฉลิมชัยยืนยันว่าสามารถตอบชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้เพราะยึดหลักการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มีเป้าหมายให้ประชาชนได้ประโยชน์  ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงมั่นใจว่าจะสามารถนำเสนอข้อมูลต่างๆ มาทำให้ ส.ส. ในสภาฯ และประชาชนที่ติดตามการอภิปราย เข้าใจได้อย่างชัดเจน และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจจาก ส.ส. เสียงข้างมาก หลังจากได้ฟังคำชี้แจงต่างๆ แล้ว 

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนผลการลงมติว่าใครจะได้รับความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจด้วยคะแนนเสียงเท่าไหร่นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะโดยทั่วไปของการลงมติไม่ไว้วางใจจากการอภิปรายที่ผ่านมาในอดีต เสียงไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านมักได้เสียงไม่พอเอาชนะเสียงของฝ่ายรัฐบาล แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ฝ่ายค้านทำงานสมศักดิ์ศรี มีข้อมูลเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นตามข้อกล่าวหาหรือไม่ และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะสามารถชี้แจงแสดงเหตุผลหักล้างข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้อย่างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

'รศ.หริรักษ์' โพสต์ข้อความตั้งคำถาม ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจคดีผู้กำกับโจ้มากนัก ทั้งที่ไทยไม่ติด 1 ใน 10 อัตราการเสียชีวิตจากตำรวจ

แม้ข่าวฉาวของ 'อดีตผกก.โจ้' ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเป็นประเด็นที่สังคมต่างตามติด แต่ที่น่าคิดยิ่งกว่า คือ เหตุการณ์นี้ ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องน่าสนใจที่บรรดาสื่อยักษ์ระดับโลกหลาย ๆ สำนักต่างตามมาเกาะติดเรื่องนี้ 

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr เกี่ยวกับประเด็นนี้ให้ชวนคิดตามว่า...

สำนักข่าว The Standard รายงานว่าสำนักข่าวระดับโลกหลายแห่งคือ Washington Post, AP,  BBC, Bloomberg ต่างนำเสนอข่าวคดี "ผู้กำกับโจ้" และบอกว่าสำนักข่าว AP ชี้ว่า การใช้ความรุนแรงและทุจริตของตำรวจ ไม่ใช่เรื่องที่พบได้ยากในไทย

เติมให้อีกก็ได้ว่า ยังมี The Guardian และสื่อญี่ปุ่นด้วยที่เสนอข่าวนี้ นับว่าเป็นการทำให้ตำรวจไทยเสียชื่อไปทั้งโลก

หากเข้าไปใน Google ใส่คำว่า "Police torture and kill" พบว่า มีเรื่องของ "ผู้กำกับโจ้" แห่งประเทศไทยขึ้นมาเป็นตับ แทบไม่มีประเทศอื่น 

>> คิดในมุมกลับ เราน่าจะตั้งคำถามเหมือนกันว่า เพราะอะไรที่สื่อระดับโลกเหล่านี้ให้ความสนใจขนาดนี้ กับเรื่องราวที่ตำรวจไทยคนหนึ่ง ทำให้พ่อค้ายาเสพติดที่ไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งในประเทศไทยต้องเสียชีวิตจากการทรมาน

>> ประหนึ่งว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน หรือเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง จึงต้องป่าวประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ กระนั้นหรือ? 

ลองเข้าไปดูในเว็บที่ชื่อ World Population Review ดูว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะตำรวจในประเทศต่าง ๆ ในปี 2021 ปรากฏตัวเลข 10 อันดับแรกมีดังนี้... 

1.) Brazil – 6,160
2.) Venezuela – 5,287
3.) Philippines – 3,451
4.) India - 1,731
5.) Syria – 1,497
6.) United States – 1,099
7.ฉ Nigeria – 841
8.) El Salvador - 609
9.) Afghanistan – 606
10.) Pakistan – 495                           

ประเทศไทยไม่ติด 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ แล้วทำไม เรื่องนี้จึงต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก? 

สังเกตว่า สื่อระดับโลกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสื่ออเมริกัน ถ้าไม่ใช่อเมริกัน ก็เป็นสื่อของประเทศที่จับมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเหนียวแน่น เช่น อังกฤษและญี่ปุ่น ไม่เห็นว่าสื่อของจีนและสื่อของรัสเซียให้ความสนใจกับข่าวนี้

เช่นเดียวกับสื่อไทยที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล สื่อระดับโลกเหล่านี้ มักชอบลงเรื่องที่เป็นลบต่อประเทศไทย สำนักข่าวของไทยก็ปั่นกระแสกันเต็มที่ ไม่ทราบว่าต้องการเปิดช่องให้มีการโยงเรื่องลบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของรัฐบาลไทยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้นักการเมืองฝ่ายค้านก็กำลังทำเช่นนี้อยู่อย่างแข็งขัน 

ปรากฏการณ์นี้ ยิ่งทำให้น่าเชื่อยิ่งขึ้นว่า สหรัฐอเมริกาได้เข้าแทรกแซงการเมืองไทยมานานแล้ว แน่นอนว่า เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ หรือ National Interest ของสหรัฐอเมริกาเอง ไม่ใช่ทำเพื่อช่วยให้ประเทศไทยมีสังคมที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

โปรดใช้วิจารณญานของท่านเอง อย่าได้รีบเชื่อผมนะครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4713151062028745&id=100000016923106


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

“แรมโบ้”ลั่นรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีเพิ่ม “ เต้น-บก.ลายจุด"ข้อหาปลุกระดมป่วนเมืองสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ทำผิดพ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ร.บ. โรคติดต่อและความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา116 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจัดชุมนุมคาร์ม็อบ คอลเอาท์ ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด พร้อมพวก พร้อมประกาศชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 2 ก.ย.ว่า ตนเองได้มอบให้ทนายความรวบรวมหลักฐานความผิดของนายณัฐวุฒินายสมบัติและพวก เพื่อเข้าแจ้งความเพิ่มเติมในหลายกระทง ความผิดต่างกรรมต่างวาระ เนื่องจากพบว่าการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมของนายณัฐวุฒิ ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณที่จัดกิจกรรมรวมถึงทำให้คนที่ใช้รถใช้ถนนได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อผิดกฎหมายอาญามาตรา 116และอื่นๆ ตลอดจนมวลชนที่ออกมาชุมนุมได้พกพาอาวุธปืน ระเบิดไฟ ระเบิดปิงปอง และอาวุธนานาชนิด ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง จะปฎิเสธเป็นคนละกลุ่มไม่ได้เด็ดขาด เพราะแกนนำทั้งสองเป็นคนประกาศเชิญชวนมวลชนออกมาลงถนนจะปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนการประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 2 กันยายนนั้น ขอให้นายณัฐวุฒิและพวกคิดด้วยว่าจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน โดยอย่าคิดเอาเองว่าคนทั้งประเทศเห็นใจและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายณัฐวุฒิและพวก เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แก้ไขปัญหาให้กับประเทศอยู่ ยิ่งในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่กำลังลดจำนวนลงและกำลังคลายล็อคหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจประเทศเดินไปได้ นายณัฐวุฒิไม่ควรจะนำประเด็นผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมาเป็นข้ออ้างในการที่จะขับไล่นายกฯ เพราะไม่มีใครอยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น อีกทั้งนายกฯก็สามารถแก้ได้ดีทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ ถึงอย่างไรนายณัฐวุฒิก็ต้องแกล้งทำโง่ทำเป็นไม่รับรู้เพราะมีธงในใจรับงานจากนายใหญ่มา ใครก็อ่านทางออก

"การหลอกลวงชักจูงปลุกระดมป่วนเมืองให้คนลงมาสู่ถนน ทำผิดกฎหมายและหวังจะเหยียบข้ามศพประชาชนอีกครั้งเพื่อไปเอารางวัลตอบแทนจากนายใหญ่ ให้ตนเองร่ำรวย แกนนำประเภทนี้ ฝากประชาชนช่วยทบทวนและอย่าไปให้เครดิต ในสมองวันๆคิดแต่เผาบ้านเผาเมือง ทำลายประเทศ ไม่มีจิตสำนึกความรักบ้านรักเมือง ขอเพียงได้รับรางวัลจากนายใหญ่ สู้แล้วรวย สู้แล้วได้เป็นรัฐมนตรี ชีวิตทั้งชีวิตมีอาชีพทำได้แค่นี้ ทำอาชีพอื่นไม่เป็น สุดท้ายแห่งชีวิตคงมีจุดจบ คือไม่หนีออกนอกประเทศเหมือนแกนนำคนอื่นๆก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกอีกรอบอย่างแน่นอน ขอประชาชนอย่าไปเป็นเครื่องมือให้กับคนเลวที่คิดแต่จะทำลายชาติบ้านเมือง ไม่มีจิตสำนึกที่จะคิดหวังดีต่อบ้านเมือง” นายเสกสกล กล่าว

นายกฯ ย้ำ ศบค. ผ่อนคลายพื้นที่สีแดงเข้ม เดินทางข้ามจว.ได้ สั่งหน่วยงานเข้มมาตรการเฝ้าระวังโรค

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ได้ผ่อนคลายมาตรการบางส่วน ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้การขนส่งสาธารณะข้ามจังหวัด โดยเฉพาะการการเดินทางเข้า-ออกจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้มให้สามารถดำเนินการ โดยกำหนดจำนวนผู้โดยสารไม่เกิน 75% ของความผู้โดยสาร ของพาหนะแต่ละประเภท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามกำกับดูแลการกลับมาเปิดให้บริการทั้งในส่วนของรถโดยสารสาธารณะ รถตู้ รวมถึงอากาศยาน ให้ดำเนินตามมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคที่ยังต้องเข้มงวด และต้องเป็นไปตามแนวปฏิบัติในข้อกำหนดออกตามความในมาตรา9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 32 ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2564  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนของประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเป็นต้องเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงเวลานี้ ก็ขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด ตามแนวทางการป้องกันโรคในทุกกรณีทุกโอกาส หรือ Universal Prevention และขอให้ติดตามข้อมูลก่อนการเดินทางว่าจังหวัดปลายทางที่จะเดินทางไปนั้นมีมาตรการป้องกันโรคอย่างไร ผู้เดินทางจากพื้นที่ต่างๆ จะต้องปฏิบัติตนอย่างไร เนื่องจาก ศบค. ผ่อนคลายให้เกิดการเดินทางได้มากขึ้น แต่ทุกจังหวัดก็ยังมีมาตรการเฉพาะพื้นที่

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนประชาชนซึ่งเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการเดินทางกลับไปรักษาตัวภูมิลำเนา ยังขอให้เป็นการเดินทางตามระบบในโครงการรับคนกลับบ้านหรือรับผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา โดยประสานงานผ่านสายด่วน สปสช. 1330 กด 15  ไม่เดินทางกลับเอง ทั้งนี้เพื่อการส่งตัวปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป 

“ศบค.เริ่มผ่อนคลายให้ระบบขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงเข้มเริ่มกลับมาให้บริการได้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงหน่วยงานในพื้นที่ให้ร่วมกันติดตามดูแลการให้ดำเนินมาตรการต่างๆของผู้ให้บริการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับทั้งประชาชนและพนักงานผู้ให้บริการ และหากดำเนินการไปได้ราบรื่นก็จะนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการต่างๆที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อไปได้” น.ส.ไตรศุลี กล่าว 

นายกรัฐมนตรี นำถกครม. ก่อนรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันพรุ่งนี้  กำชับคณะรัฐมนตรี พร้อมตอบทุกประเด็น 

ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference โดยการประชุมในวันนี้ขยับจากเดิมที่ต้องประชุมในวันอังคารที่ 31 ส.ค.เนื่องจากที่ประชุมวิปรัฐบาลร่วมกับวิปฝ่ายค้าน กำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวม 4 วัน โดยเริ่มวันที่ 31 ส.ค. – 3 ก.ย.และลงมติวันที่ 4 ก.ย. ดังนั้น จึงเลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีจากวันอังคารที่ 31 ส.ค.มาเป็นวันจันทร์ที่ 30 ส.ค.นี้ ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีจะกำชับในที่ประชุม ให้เตรียมความพร้อมในการเข้าประชุมสภาษและตอบทุกข้อสงสัยในการอภิปรายวันพรุ่งนี้(31 ส.ค.) หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าต้องสร้างความเข้าใจ การรับรู้ถึงการทำงานของรัฐบาล ให้กับประชาชน

นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.จะมีการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 สถานการณ์เตียง รวมไปถึงสถานการณ์การกระจายวัคซีน ต่อที่ประชุมครม.เพื่อรับทราบถึงทิศทางในปัจจุบัน  รวมไปถึงเรื่องที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบ จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หลังจากที่ประชุมศบค.ได้มีมติเห็นชอบผ่อนคลายมาตรการในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 กันยายนนี้

นอกจากนี้ที่ประชุมจะพิจารณากรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของอาเซียน หรือ ASEAN Investment FacilitationFramework : AIFF )  รวมไปถึงขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565 )  และการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ าตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2 / 2564


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top