Tuesday, 8 July 2025
PoliticsQUIZ

ประมง -เจ้าท่า ไฟเขียวลดขั้นตอนยื่นขอใบอนุญาตใช้เรือ

นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมง และกรมเจ้าท่า ได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางในการดำเนินการเพื่อลดขั้นตอนการขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอออกใบอนุญาตใช้เรือประมง โดยปรับเปลี่ยนขั้นตอนใหม่ให้ชาวประมงสามารถยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือ ณ หน่วยงานกรมเจ้าท่าเพียงจุดเดียว เมื่อกรมเจ้าท่าได้รับคำร้องแล้วจะจัดส่งข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศของทั้ง 2 หน่วยงานโดยอัตโนมัติ ภายใต้กรอบการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพเช่นเดิม ล่าสุดอยู่ระหว่างการร่วมกันพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถรองรับหลักการตามที่ได้เห็นชอบร่วมกัน คาดว่าจะเปิดใช้ระบบได้ช่วงต้นเดือนต.ค. นี้ 

ทั้งนี้ในการประชุมโครงการอบรมสัมมนาอาสาสมัครป้องกันปราบปรามประมงผิดกฎหมาย แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับซึ่งจัดโดยสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) ชาวประมง ได้เสนอให้กรมประมงลดขั้นตอนในการขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอรับใบอนุญาตใช้เรือประมง เนื่องจากมีขั้นตอนในการดำเนินการหลายขั้นตอน และต้องใช้ระยะเวลานานทำให้เกิดความล่าช้า และมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐมีหน่วยงานกลางที่สามารถรับคำร้องและคำขออนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำการประมงได้ในจุดเดียว และขอให้ลดจำนวนเอกสารที่ซ้ำซ้อนโดยพิจารณาเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาการขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอออกใบอนุญาตใช้เรือประมงนั้น เดิมกำหนดให้ชาวประมงต้องมายื่นคำขอกับกรมประมงเมื่อได้หนังสือรับรองแล้วก็นำไปยื่นขอต่อใบอนุญาตใช้เรือกับกรมเจ้าท่าส่งผลให้ ชาวประมงจะต้องติดต่อไปมาระหว่าง 2 หน่วยงานเกิดความยุ่งยาก และสร้างภาระแก่ชาวประมง โดยได้ข้อยุติร่วมกันในการลดภาระของชาวประมง ซึ่งมีเรือจำนวนกว่า 60,000 ลำในปัจจุบัน

“หากเริ่มดำเนินการใช้ระบบฯ จะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวประมงเป็นอย่างมาก และกรมประมงยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับลดขั้นตอนในกระบวนงานอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ชาวประมงต่อไป นอกจากนี้ วิธีการที่ปรับเปลี่ยน ยังเป็นวิธีที่สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ที่ต้องลดการเคลื่อนที่ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้ออีกด้วย”

“บิ๊กตู่”ประชุม .ศบค. เตรียมคลายล็อก ให้นั่งกินอาหารในร้านได้ 50% ของจำนวนที่นั่ง ห้าง-เสริมสวย-นวดฝ่าเท้า-สวนสาธารณะ คงเวลาเคอร์ฟิวส์  ประชาชนเดินทางข้ามจังหวัดได้ แต่ยังขอความร่วมมือเท่าที่จำเป็น คงพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)  29 จังหวัดเช

ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 13/2564 ผ่านระบบ Video Conference เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ตามที่ ศบค.วงเล็ก เสนอ  โดยจะมีการพิจารณามาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ประกอบด้วย 

1.ร้านอาหารที่มีการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือ เปิดแอร์อนุญาตนั่งรับประทานในร้านได้คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่นั่งในร้าน 2.ร้านอาหารที่ไม่มีการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือไม่เปิดแอร์ ให้นั่งได้ 75  เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่นั่งในร้าน  ทั้งนี้ การเปิดให้ประชาชนนั่งรับประทานอาหารในร้าน โดยจะต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ที่ประชุมเห็นว่า เนื่องจากยังมีประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงต้องนำไปหารือในที่ประชุมใหญ่ศบค.ใหญ่อีกครั้ง

นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์หรือสถานประกอบการอื่น ที่มีลักษณะคล้ายกัน ร้านสะดวกซื้อ ให้เปิดดำเนินการได้ตามปกติจนถึงเวลา 20.00 น. โดยผู้ให้บริการจะต้องปฏิบัติได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว และจะต้องมีการตรวจคัดกรองด้วยชุด ATK  เป็นระยะและมีมาตรการเข้มผู้เข้าใช้บริการ

ขณะที่ร้านเสริมสวย หรือตัดผม  ร้านนวด เปิดได้ตามปกติ แต่นวดได้เฉพาะฝ่าเท้า นอกจากนี้สวนสาธารณะ ลานกีฬา สนามกีฬาหรือสถานที่ออกกำลังกาย ที่เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง ยกเว้นฟิตเนส และอาคารในสถานศึกษา เปิดได้ตามปกติ แต่ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสถานศึกษาพิจารณา 

โดย ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบจำนวนจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)  29 จังหวัดเช่นเดิม แต่ใช้มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล Univerasal Prevention  และเห็นชอบการรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่เดิมกำหนดไม่เกิน 5 คน ขยายเป็น 25 คน

สำหรับ Universal Prevention หรือการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล ประกอบด้วย

1. ออกจากบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น

2. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และผู้มีโรคเรื้อรัง หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน เว้นแต่จำเป็น (น้อยครั้งและใช้
เวลาสั้นที่สุด)

3. เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร ในทุกสถานที่

4. สวมหน้ากากอนามัยและทับด้วยหน้ากากผ้าตลอดเวลา ทั้งที่อยู่ในและนอกบ้านที่มีคนมากกว่า 2 คน

5. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าที่สวมใส่อยู่ รวมทั้งใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น

6. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ส้วม ไอจาม หรือสัมผัสวัตถุ/สิ่งของ ที่ใช้ร่วมกัน

7. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ

8. แยกของใช้ส่วนตัวทุกชนิด ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น

9. เลือกทานอาหารที่ร้อนหรือปรุกสุกใหม่ ควรทานอาหารแยกสำรับ หากทานร่วมกันให้ใช้ซ้อนกลางส่วนตัว

10. หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง เช่น สัมผัสผู้ที่อาจติดเชื้อ หรือมีอาการ ควรได้รับการตรวจด้วย ATK เพื่อยืนยันว่ามี
การติดเชื้อหรือไม่ หรือไปรับการตร ม.บ.

นอกจากนี้ จะเปิดบริการรถสาธารณะ โดยต้องจำกัดจำนวนผู้โดยสารไม่เกินร้อยละ 75 และคนขับรถจะต้องได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และเปิดให้เดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งผู้โดยสารจะต้องแสดงเอกสารการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม หรือผลตรวจโควิด-19 ด้วย

ขณะเดียวกัน ยังผ่อนคลายให้ประชาชนสามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ สำหรับประชาชนที่มีความจำเป็นเท่านั้น แต่ยังต้องขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางข้ามจังหวัดหากไม่มีความจำเป็น  และยังห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้นยังคงอยู่ โดยมาตรการผ่อนคลายต่างๆ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไป

ป.ป.ช.​ สั่ง จทน.ตรวจสอบทรัพย์สิน ผกก.โจ้ -ส่วนปม กระทำผิดต่อหน้าที่ รอ สตช. ดำเนินคดีแล้วเสร็จ ก่อนส่งมาให้ป.ป.ช.

นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ​ (ป.ป.ช.)​ ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.  เปิดเผยว่า​ ที่ประชุมคณะกรรมการ​ ป.ป.ช.เมื่อวันที่​ 26​ ส.ค.ได้รับทราบรายงานการตรวจสอบเรื่องของ พ.ต.อ.ฐิติสรรค์ อุทธนผล  หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสววรรค์  หลังก่อเหตุใช้ถุงคลุมศีรษะผู้ต้องหาคดียาเสพติด โดย ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนครสวรรค์ได้รายการการตรวจสอบ ว่าเป็นเรื่องการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามมาตรา  61 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. ประกอบกับขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ทาง ป.ป.ช.จึงได้ชะลอการดำเนินการพิจารณาเรื่องดังกล่าวไว้ เพื่อรอการดำเนินคดีเสร็จสิ้น ทั้งนี้​ ทาง สตช.จะต้องส่งเรื่องนี้มาให้ ป.ป.ช.ดำเนินการภายใน 30 วัน  เบื้องต้นได้มีการประสานกับทาง สตช. ไว้แล้ว 

เมื่อถามถึงเรื่องทรัพย์สินของ​ พ.ต.อ.ฐิติสรรค์​ ที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายร้อยล้าน   ทั้งบ้าน และรถหรูมากมาย แบบนี้ป.ป.ช.สามารถตรวจสอบกรณีร่ำรวยผิดปกติได้หรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า หลังปรากฎเป็นข่าว ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มอบหมายให้สำนักตรวจทรัพย์สิน ของสำนักงาน ป.ป.ช.ไปดำเนินการประมวลข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นทันที ดูที่มาของทรัพย์สิน เพื่อดูว่าเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่  โดยป.ป.ช.จะเร่งดำเนินการเนื่องจากมีกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน 

เมื่อถามว่าตามกระแสข่าวระบุว่ามีการฝากเงินไว้กับนอมินีหลัก 200 ล้านบาท ป.ป.ช.จะตรวจสอบลงลึกไปถึงขั้นนั้นหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ถ้ามีการยกเป็นเรื่องไต่สวนกรณีร่ำรวยผิดปกติแล้ว ก็จะต้องตรวจสอบทุกเรื่อง ซึ่งจะต้องขอให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปที่สามารถชี้ช่องเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินของ พ.ต.อ.ฐิติสรรค์ สามารถส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ได้ ซึ่งตามกฎหมายกำหนดว่าหาก ป.ป.ช.สามารถส่งเรื่องร้องขอให้ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ก็จะมีเงินรางวัลให้กับผู้ชี้ช่องเบาะแสด้วย

'สุทธวรรณ' แนะ 3 มาตรการคู่ขนานคลายล็อก ห่วงสถานการณ์ยังวิกฤตสูง รัฐต้องขยับด้วยความระมัดระวัง 

นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล และ ส.ส.เขตจังหวัดนครปฐม กล่าวถึงมติ ศบค.ชุดเล็กเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการร้านค้า ซึ่งล่าสุดผ่านที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ มาแล้วนั้น สะท้อนสิ่งที่น่ากังวลที่สุดภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้คือ การออกมาตรการที่แกว่งไปมา ไม่ว่าจะเป็นการสั่งล็อกหรือคลายล็อกก็ตาม จะเห็นว่าพอระบบสุขภาพเริ่มวิกฤตก็ตื่นตระหนกเร่งออกมาตรการเข้มงวดโดยไม่เตรียมแผนเยียวยารองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจไว้ ต่อมา พอฟากเศรษฐกิจกำลังแบกรับผลกระทบจากมาตรการเข้มงวดและการดูแลช่วยเหลือแบบทิ้งขว้างไม่ชัดเจนไม่ไหวและกดดันไปที่รัฐบาลมากเข้าก็จะคลายล็อกทันที เหมือนกับว่าวิกฤตสาธารณสุขจบลงแล้ว ทั้งที่ขณะนี้ในแต่ละวั กราฟผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตชันขึ้นทุกที เหมือนรถที่กำลังไต่ไปตามไหล่เขาสูงชันและเสี่ยงขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะที่ควรควบคุมความเร็วให้เหมาะสม แต่กลับยิ่งแตะคันเร่งเหมือนคนไร้สติไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็ไม่ปาน

อย่างไรก็ตาม สุทธวรรณ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเสนออะไรให้รัฐบาลนี้นำไปวางแผนเพื่อนำพาประชาชนออกจากวิกฤตได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำได้สูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ในสถานการณ์ตอนนี้ ความจริงทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่ควรทำที่สุดคือ การล็อกดาวน์ให้สนิทภายใต้การเยียวยาอย่างถ้วนหน้า อุดหนุนเม็ดเงินให้ผู้ประกอบการลงไปถึงรายย่อยกระทั่งพ่อค้าแม่ค้าขายข้าวแกงตามฟุตบาทเพื่อให้เขายังสามารถพยุงธุรกิจได้ ต้องช่วยเหลือค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ทให้ประชาชนทำงานและเรียนหนังสือจากที่บ้านได้จริง

"แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครเชื่อว่า หากล็อกดาวน์สนิทแล้ว พวกเขาจะได้รับการดูแลเยียวยาจากรัฐบาลได้ แม้รัฐบาลจะกู้เงินซ้ำแล้วซ้ำเล่ามามากกว่าหนึ่งล้านล้านมาแล้วก็ตาม พวกเขาต้องอยู่กับความเจ็บช้ำน้ำใจที่พึ่งพารัฐแบบนี้ไม่ได้มาแล้วเกือบ 2 ปี จึงไม่แปลกใจที่จะมีเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจให้คลายล็อก เพราะถ้าไม่มีรายได้เขาก็ตายเหมือนกัน สู้ไปว่ากันดาบหน้าหาวิธีเอารอดตัวรอดกันเองให้ได้ยังจะมีหวังกว่าการเชื่อใจรัฐบาลแบบนี้"

อย่างไรก็ตาม สุทธวรรณ ชี้ว่า เมื่อรัฐบาลบีบให้สถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องคลายล็อกเพื่อเพิ่มโอกาสรอดให้ประชาชนได้ทำมาหากิน หากแต่ยังคงต้องระวังและคำนึงถึงสถานการณ์ทางสาธารณสุขเช่นกัน จึงอยากเสนอแนะ 3 มาตรการไปยังรัฐบาลที่ต้องทำควบคู่ไปกับประกาศคลายล็อกของ ศบค. ซึ่งมาตรการเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องสนับสนุนความช่วยเหลือลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ อุปกรณ์ หรือการวางระบบต่างๆให้พร้อม เพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขที่ยังวิกฤตสูงในขณะนี้มากเกินไป 

1. การจัดหาชุดตรวจ ATK ฟรีสำหรับประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้มต้องแจกสัปดาห์ละ 2 ครั้งต่อคน และเร่งหาวิธีให้การเข้าถึงชุดตรวจที่ผ่าน อย.แล้วมีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่าย เพราะการคลายล็อกมีโอกาสทำให้การติดเชื้อสูงขึ้น แต่การตรวจเจอเชื้อเร็ว รักษาเร็วจะทำให้มีความเสี่ยงต่อชีวิตต่ำและเป็นการตัดวงจรการกระจายเชื้อ เพื่อไม่นำไปสู่การเกิดคลัสเตอร์ใหม่

2. กรณีทานอาหารในร้าน หรือใช้บริการบางประเภทในร้านที่อากาศปิดหรือเป็นห้องแอร์ เช่นร้านทำผม ร้านเสริมสวย นอกจากมาตรการลดความแออัดแล้ว ผู้มาใช้บริการต้องแสดงตนว่าได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม หรือ 2 เข็ม จึงเข้ารับบริการได้ โดยนำหลักฐานการได้รับวัคซีนไปแสดงต่อร้านค้าหรือจุดบริการ จะเป็นแอพพลิเคชัน หรือเอกสาร จะต้องชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

3. ด้านสาธารณสุข ความสะอาดและความเรียบร้อย ภาครัฐจะต้องมีกระบวนการเข้าไปสนับสนุนช่วยเหลือ เช่น อุปกรณ์เจลแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ชุดตรวจ ATK ที่ปัจจุบันยังหากซื้อยากและราคาแพง ซึ่งการปรับปรุงร้านให้ได้มาตรฐานมีต้นทุนสูง แต่ร้านจำนวนมากขาดรายได้มานาน รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือในการฟื้นฟูกิจการไม่ว่างบประมาณ องค์ความรู้ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ด้วย

"ยิ่งรัฐบาลบริหารอย่างปล่อยปละละเลยลอยตัวเหนือปัญหามานาน ปัญหาที่ต้องไล่ตามจัดการก็ยิ่งมาก ใช้งบประมาณก็ยิ่งมาก บุคลากรก็ยิ่งทำงานอย่างเหนื่อยล้าและเสี่ยงขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหาจะน้อยกว่านี้มากถ้าไม่ใช่รัฐบาลประยุทธ์เป็นผู้บริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเชื่อและฟังพวกเราบ้าง ป่านนี้คงมีวัคซีนหลากหลายให้เลือกและสามารถกระจายลงไปได้มากกว่านี้ เราคงเห็นการเยียวยาที่เหมาะสมถ้วนหน้าเพื่อให้สามารถใช้มาตรการปิดช่วงที่ควรปิด และเปิดช่วงที่ควรเปิดได้ ไม่ใช่การบริหารไปตามเสียงด่าอย่างรัฐบาลนี้ทำ และเราคงจะมี ATK เพื่อรุกตรวจได้มากกว่านี้และคงมีการวางระบบ Home Isolation เพื่อรองรับปัญหาภาระผู้ป่วนล้นเกินโรงพยาบาลและระบบสาธารณสุข ลดผู้ป่วยสีเหลือง สีแดง และลดผู้เสียชีวิตลงได้มากกว่านี้ 

ดังนั้น เมื่อมี มติ ศบค.ชุดใหญ่ให้มีการคลายล็อคมากขึ้นแล้ว ก็อยากฝากข้อเสนอ 3 ข้อ ที่ดิฉันเสนอแนะไปด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อประคับประคองสถานการณ์ที่ท่านก่อไว้ก็ตาม แต่แนวทางนี้อย่างน้อยก็จะช่วยชะลอการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ในวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่ได้ลดลงจนถึงระดับที่วางใจ แต่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า กิจการห้างร้านก็ลำบากกันมากจริงๆ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผ่อนคลายให้พวกเขาลืมตาอ้างปากได้ แม้จะมีข้อจำกัดอยู่มาก แต่หากรัฐช่วยเหลือเต็มที่ เชื่อว่าผู้ประกอบการจะให้ความร่วมเป็นอย่างดี จึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ให้รัฐบาลไตร่ตรองอย่างรอบด้านไม่ว่าจะขยับมาตรการอะไรออกมาเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในประเทศนี้เดินไปพร้อมกับการรักษาเศรษฐกิจได้ "

'กรณ์' เบรกกู้เพิ่ม 1 ลล. ใช้ 5 แสนล. ให้ดีก่อน แนะ ทำระบบราชการ ให้ทันรับมือวิกฤตดีกว่า

นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวในรายการถามอีกกับอิก ถึงกรณีธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อพยุงเศรษฐกิจว่า ที่ผู้ว่าแบงก์ชาติออกมาพูดถึงการกู้เพิ่มครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่คาดไม่ถึง ซึ่งอีกทางหนึ่งก็สบายใจได้ว่า สถานะทางการคลังของประเทศ สามารถแบกรับหนี้สาธารณะได้อีกหนึ่งล้านล้านบาท โดยไม่ต้องมีความกังวลในแง่ของเสถียรภาพ แต่ก็ต้องตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบัน

“การที่ผู้ว่าแบงก์ชาติ บอกว่า 1 ล้านล้านกู้ได้ เป็นสัญญาณให้รัฐบาลว่า ถ้าจำเป็นต้องกู้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ เหลืออยู่ที่ว่าจะกู้ตอนไหน กู้แล้วไปทำอะไร เพราะเท่าที่ดูสถานการณ์ปัจจุบัน ความจำเป็นยังไม่มี เพราะ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้าน มีการเบิกจ่ายใช้ไปประมาณร้อยละ 20 หรือประมาณ 1 แสนล้าน เหลืออีก 4 แสนล้าน ก็ควรมีแผนงาน และประเมินผลการใช้เงินส่วนนี้ต่อดัชนีเศรษฐกิจ แล้วพิจารณาว่าต้องกู้หรือไม่ เพราะในตัวงบประมาณปี 65 เอง ก็ต้องกู้ 4 แสนล้านอยู่แล้ว ในอีก 1 ปีข้างหน้า

โดยที่เราก็หวังว่าการฉีดวัคซีน การบริหารจัดการโควิด จะส่งผลทำให้เราเปิดเศรษฐกิจเปิดประเทศได้ เริ่มจะมีรายได้เข้ามาใส่กระเป๋าประชาชน ถ้าเราทำได้เร็ว ทำได้ดี อาจจะไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่มเติม และการพิจารณาว่าจะกู้หรือไม่ในสถานการณ์วิกฤตขนาดนี้ แบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ต้องทำงานเป็นทีม ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างที่เป็นอยู่” อดีต รมว.คลัง กล่าว  

นายกรณ์ กล่าวว่า ช่วงที่รัฐบาลกู้ 1 ล้านล้านบาทครั้งแรก มีนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านรวมทั้งตนเอง กังวลว่าอาจจะไม่พอ และยังกังวลว่าถ้าเบิกจ่าย พ.ร.ก.ที่สองคือ 5 แสนล้านบาทครบถ้วนแล้ว จะดันหนี้สาธารณะเทียบกับจีดีพีขึ้นไปเกือบ ๆ จะชนเพดาน อยู่ที่ระดับร้อยละ 58 ถ้าเทียบกับการกู้ยืมเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปี 65 ที่สภาฯ เพิ่งอนุมัติไป ทำให้หนี้สาธารณะทะลุเพดานร้อยละ 60 แน่นอน

ซึ่งมีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีอาจต้องปรับ เงื่อนไขตามกฎหมายวินัยทางการคลัง ให้เพดานหนี้สาธารณะขึ้นไปอีกที่ร้อยละ 70 เพราะมีแนวโน้มว่ายังขาดดุลประมาณ 4-5 แสนล้านบาท ไปอีกระยะหนึ่ง ยังไม่เห็นสัญญาณที่จะจัดงบสมดุลได้อีกหลายปี

นายกรณ์ ยังกล่าวถึงการคาดการณ์รายรับปี 2565 ว่า การตั้งสมมุติฐานรายได้ของรัฐบาลอาจจะสูงเกินไป อย่างปี 2564 จะเห็นว่ารายรับของรัฐบาลต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหวังว่า ปี 65 จะไม่ต่ำกว่านี้ จนเป็นเหตุที่ต้องให้กู้เพิ่มอีก ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมาพิจารณากันอย่างละเอียดว่าการออก พ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท เป็นจังหวะที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งจากความเห็นผู้ว่าแบงค์ชาติ ที่บอกว่าถ้าจะกู้ก็กู้ได้ เงินมี และข้อดีอีกอย่างของประเทศไทย มีหนี้สาธารณะจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มากนักเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจ ประเทศอื่น ๆ

หลายประเทศหนี้สาธารณะเท่ากับร้อยละ 100 ของจีดีพีเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่ของเราอยู่ที่ร้อยละ 50 กว่า ข้อดีอีกอย่างคือหนี้สาธารณะกว่าร้อยละ 98 เป็นการกู้เงินบาทภายในประเทศ ลดความเสี่ยงลงไปมาก ผิดกับอินโดนีเซียที่กู้เงินเป็นเงินดอลลาร์ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน ทำให้ความเชื่อมั่นในเงินรูเปียห์ ของอินโดนีเซียลดลง

ส่วนกรณีที่ผู้ว่าแบงก์ชาติบอกว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย จะทำให้เกิดหลุมดำขนาดของรายได้จะหายไปราว 2.6 ล้านล้านบาท อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า หลุมดำมันมีอยู่แล้วจากการล็อกดาวน์ และการห้ามรับนักท่องเที่ยว และอื่น ๆ เราไม่มีรายได้มาเป็นปีแล้ว ผู้หาเช้ากินค่ำไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ เจ้าของร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงแรม ท่านจึงมองว่าต้องอัดฉีดงบประมาณเข้ามา หนึ่งในประเด็นปัญหาที่ผ่านมา คือการขับเคลื่อนนโยบายของแบงก์ชาติเองด้วย

ผู้ว่าฯ บอกจะกู้ 1 ล้านล้านอัดฉีดเข้าไป แต่หากเราย้อนไปดู การออก พ.ร.บ.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท จริง ๆ มันมีการออกกฎหมายอีกสองฉบับ เป็น พ.ร.ก. เช่นเดียวกัน คือ พ.ร.ก. เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเวลาผ่านไปนานหลายเดือน มีเสียงสะท้อนชัดเจนว่าเขาเข้าไม่ถึงเงินส่วนนี้ เพราะโครงสร้างการปล่อยสินเชื่อจากแบงก์ชาติผ่านธนาคารพาณิชย์ มันจึงเป็นปัญหาคอขวด ทั้งความเสี่ยง และความพร้อมในการรับความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์

ทำให้ไม่พิจารณาอนุมัติให้กับผู้เดือดร้อนจริง จึงไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย แม้ต่อมามีการปรับเงื่อนไขให้มันง่ายขึ้นแต่ก็ยังยากอยู่ดี ถามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีวันนี้ว่า อะไรคือปัญหาหลักของเขา คำตอบคือขาดสภาพคล่อง และไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาลและของแบงก์ชาติได้

ส่วนถ้ากู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทแล้วจะจบหรือไม่ อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า มันก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการใช้เงิน ยกตัวอย่าง เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทแรก กว่าจะเบิกจ่ายใช้เงินก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่ในส่วนของ 5 แสนล้านที่กู้เพิ่ม ตอนนี้ใช้ไปแค่ 1 แสนล้านเหลืออีก 4 แสนล้าน ก็มีคำถามว่าเงินจำนวนนี้จะเบิกจ่ายให้เข้ามาอยู่ในระบบเศรษฐกิจเมื่อไหร่ และหลังจากใช้เงินนั้นไปแล้ว เป็นจังหวะที่เศรษฐกิจของเราจะกลับเข้ามาเป็นปกติแล้วหรือยัง ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราจำเป็นต้องกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทหรือไม่

ทั้งนี้ เมื่อดูประสิทธิภาพในการใช้เงินกู้ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า เมื่อเป็นลักษณะการผันเงินตรงให้กับประชาชนส่วนนี้มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่พอโครงการที่ต้องพึ่งระบบราชการ เราจะเห็นว่าประสิทธิภาพลดลงไปมาก รัฐบาลมีความจำเป็นต้องขันน็อตเพื่อปรับระบบการทำงานในภาวะวิกฤต

ส่วนกรณีว่ามีความจำเป็นต้องเยียวยารายได้ประชาชน อีกนานแค่ไหน อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่า ให้รัฐบาลคิดเผื่อไว้เลยอย่างน้อย 3 เดือนหรือจนถึงสิ้นปี เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชนว่ารัฐบาลดูแล โดยอาจจะเป็นยอดเงิน 5,000 บาทต่อเดือน ในกลุ่มอยู่ในเขตล็อกดาวน์ เชื่อว่าเงินประมาณสามแสนล้าน ทำให้ดูแลประชาชนมีอยู่มีกินไปต่อไปได้ แต่ถ้าจะกู้มาเพื่อมาจัดสรรให้กับโครงการต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง ไม่เห็นด้วย จัดสรรไป ก็ใช้ไม่ทันอยู่ดี และเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจก็ไม่ทันเช่นเดียวกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ราเมศ เผย ไม่มีตั้งองครักษ์พิทักษ์ เฉลิมชัย ความสุจริตจะเป็นเกราะป้องกันดีที่สุด

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในส่วนของพรรคซึ่งมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายด้วยนั้นว่า

ในส่วนของพรรคไม่มีการตั้งองครักษ์พิทักษ์รัฐมนตรีแต่อย่างใด เป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่จะอภิปราย ข้อมูลที่อภิปรายต้องขอย้ำว่าต้องเป็นความจริง หากมีการบิดเบือน

ใส่ร้าย ก็จะเกิดความเสียหายกับฝ่านค้านเองได้ และหากมีการอภิปรายโดยไม่ยึดข้อบังคับการประชุม นอกเหนือญัตติ ส.ส.ของพรรคก็ต้องท้วงติงให้อยู่ในกรอบก็เป็นเรื่องปกติ นายเฉลิมชัย พร้อมชี้แจงในทุกประเด็น 

ส่วนคณะทำงานที่จะมารองรับการอภิปราย หลักการในส่วนนี้มีคณะทำงานกฎหมายสนับสนุนข้อมูลให้เป็นเรื่องปกติและตนได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าทีมในการชี้แจงทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ส่วนในสภาก็จะมี ส.ส.ในส่วนของพรรคอยู่แล้วที่จะช่วยกันติดตามการอภิปรายของฝ่ายค้านอย่างใกล้ชิด

นายราเมศกล่าวต่อว่า ไม่ได้มีความกังวลใจต่อการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทุกคนในพรรควางใจนายเฉลิมชัย ตั้งแต่ให้เป็นเลขาธิการพรรคแล้ว เมื่อเป็นรัฐมนตรีทุกคนทราบดีว่าคนชื่อเฉลิมชัยไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ที่สำคัญไม่มีเรื่องทุจริต ทุกคนในพรรคยกมือไว้วางใจทุกคน เมื่อเป็นเช่นนั้น ที่ถามว่าการอภิปรายครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อตำแหน่งเลขาธิการพรรคและตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่มีผลใดๆ แต่มีผลดีอย่างแน่นอนที่นายเฉลิมชัยจะได้ชี้แจงให้เห็นถึงผลงานและการทำงานที่มีประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย 

ฝนหลวงฯ เร่งทำฝนช่วยพื้นที่นาข้าว หลังพบน้ำในเขื่อนหลักยังน้อย

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ถึงแม้ขณะนี้จะเข้าสู่ฤดูฝนมาเป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว แต่น้ำที่ลงเขื่อนต่าง ๆ ยังมีปริมาณน้อยอยู่มาก พื้นที่การเกษตรโดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวที่อยู่ในระยะแตกกอ ตั้งท้อง และออกรวงต่อไป ถือเป็นช่วงที่ต้องการใช้น้ำปริมาณมาก แต่ในหลายพื้นที่ยังคงมีน้ำไม่เพียงพอ กรมฯ จึงร่วมกับกองทัพอากาศและกองทัพบก จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 13 หน่วยปฏิบัติการกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค ได้มีการติดตามสภาพอากาศเป็นประจำทุกวัน และวางแผนขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีน้ำใช้ในพื้นที่การเกษตรให้มากที่สุด 

สำหรับผลการปฏิบัติการฝนหลวงเมื่อวานนี้ ได้ขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 11หน่วยปฏิบัติการ ทำให้มีฝนตกบริเวณพื้นที่การเกษตรบางส่วนของ จ.เชียงใหม่ ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สระบุรี ลพบุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ สิงห์บุรี เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม สระแก้ว ราชบุรี รวมถึงเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้เขื่อน จำนวน 5 แห่ง และอ่างเก็บน้ำ จำนวน 7 แห่ง

ทั้งนี้จากแผนที่อากาศผิวพื้นกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อวานนี้ (26 ส.ค. 2564) มีร่องฝนหรือร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านพื้นที่ภาคเหนือไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน แต่ล่าสุดได้ขยับลงมาในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกไปทางประเทศกัมพูชา ในบริเวณร่องฝนหรือร่องความกดอากาศต่ำอากาศจะลอยตัวได้ดี และจะทำให้มีอากาศค่อนข้างร้อนกว่าพื้นที่โดยรอบ ส่งผลให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้โดนดูดเข้าไปในพื้นที่บริเวณร่องฝน ซึ่งในพื้นที่ลมชั้นบนจะเป็นลักษณะแนวโค้งจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปทางทิศเหนือ ทำให้โอกาสที่จะมีฝนในวันนี้ค่อนข้างมาก โดยทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศแจ้งเตือนบางพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงฝนตกหนักมาก บริเวณ จ.นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี และตราด ขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวติดตามข้อมูลจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด

“หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง อีก 10 หน่วย จะยังคงติดตามสภาพอากาศตลอดทั้งวัน หากสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงและเข้าเงื่อนไขในการปฏิบัติการฝนหลวง จะขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่เป้าหมายทันที”

'แรมโบ้' ซัด 'เต้น-บก.ลายจุด' ไร้จิตใต้สำนึก ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ตัวเอง ฝากเชิญชวนประชาชน ช่วยกันประณามคนที่ทำผิดกฎหมายและทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเดือดร้อนอย่าให้มีที่ยืนในสังคม

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมนปช. และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด หลังแถลงข่าวเตรียมจัดม็อบ 29 สิงหา เส้นทางนนทบุรี-ปทุมธานี ระยะทาง 50 กม. โดยตนเองยังยืนยันว่าหากแกนนำทั้ง 2 คน เคลื่อนไหวอยู่ ก็จะเข้าแจ้งความดำเนินคดี เพราะไม่ว่าจะชุมนุมที่ใดก็ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน และกลุ่มผู้ชุมนุมยังอาจสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นด้วย

นายเสกสกล ย้ำว่าขณะนี้บ้านเมืองกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และนายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมมือกันในการที่จะให้สถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง แต่คนอย่างนายณัฐวุฒิ และนายสมบัติ กลับไม่รู้สึกอะไรเลยว่าการออกมาเคลื่อนไหวจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประเทศ

“ตนเองมองว่าที่นายณัฐวุฒิ และนายสมบัติ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ว่าประชาชนจะเดือดร้อนยังไง ประเทศจะเสียหายหรือไม่ ก็เพราะว่าการออกมาเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง เพราะผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่สนใจประเทศชาติ และประชาชนอยู่แล้ว และหากคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองก็คงไม่คิดที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ อีก ดังนั้นเมื่อนายณัฐวุฒิ และนายสมบัติ ไม่มีจิตสำนึก ตนเองก็คงจะต้องเข้าแจ้งความเพิ่มอีกหลายกระทงเพื่อดำเนินคดี ให้ติดคุกติดตารางไปเลย จะได้ไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหวอีก 

"คนประเภทนี้ ไม่ได้คิดหวังดีต่อบ้านเมือง ทำผิดกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่า และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ตนจึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยกันต่อต้านและประณามสาปแช่งคนกลุ่มนี้ เพราะการเคลื่อนไหวเป้าหมายเพียงจ้องล้มรัฐบาล ให้เครือข่ายตนเองกลับมามีอำนาจรัฐ เพื่อหาช่องทางช่วยนายใหญ่ให้พ้นคดี เป็นมุขตื้น ๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านทางออก การออกมาสร้างความวุ่นวายป่วนเมืองบ่อย ๆ เช่นนี้ ทำผิดกฎหมายชัดเจนและทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อน สุดท้ายจะต้องชดใช้กรรมเข้าไปอยู่ในคุก ต้องถูกจับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย แผ่นดินจะได้สูงขึ้น ประเทศชาติประชาชนจะได้กลับมาพบความสงบสุขเสียที"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

'ผศ.ดร.วรัชญ์' ขอความกรุณาสื่อ ระมัดระวังในการทำข่าว การใช้คำพาดหัว อย่าทำให้ 'ผู้ต้องหา' กลายเป็น 'พระเอก'

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. ได้โพสต์มุมมองเกี่ยวกับสื่อในกรณีการเผยแพร่ข่าวอดีตผกก.ก่อเหตุสะเทือนใจคนไทยว่า... 

(ก่อนจับ)
"บ้านใหญ่โต รถหรู"
"แฟนสวย ไฮโซ"

(หลังจับ)
"ซูบไปเยอะ"
"ผมผิดเอง"
"ผมอโหสิกรรมคนปล่อยคลิป"
"ผมคิดจะฆ่าตัวตาย" 
"ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ไม่ให้ลูกหลานติดยา"
"ไม่เคยทุจริต"

ขอความกรุณาสื่อ ระมัดระวังในการทำข่าว การใช้คำ ในการพาดหัว ในการเลือก Quote ของผู้ต้องหา การใช้ภาพ การสัมภาษณ์คนรอบข้าง ในการขุดประวัติ อย่าให้ "ผู้ต้องหา" กลายเป็นพระเอก เกิดแฟนคลับ หรือเห็นช่องทางที่ไม่เหมาะสม สร้างเน็ตไอดอล สร้างแฟนคลับขึ้นมาอีกเหมือนคดีอื่น ๆ ที่ผ่านมาเลยนะครับ (เปรี้ยว ลุงพล ฯลฯ) 

นี่แค่วันแรกยังขนาดนี้ คดีนี้ดูแล้วยังไม่จบง่าย ๆ จะไปอีกขนาดไหนครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000169455098/posts/4902816123067321/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

'พงศ์พรหม' โพตส์ข้อความฉะ สังคมไทยกำลังบิดเบี้ยว หลงกลวัฒนธรรม 'พวกเดียวกันเท่ากับไม่ผิด'

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า... 

นอกจากผู้บริหารองค์กรออกมาปกป้องผู้ที่ “กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวน” แล้ว
สื่อบางสื่อก็เริ่มจั่วหัว “คล้าย ๆ” เห็นใจผู้ต้องหา

ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะอะไร? 

นี่เป็นการตอกย้ำวัฒนธรรมเลวที่เป็นมะเร็งลุกลามในประเทศนี้

ในต่างประเทศ ผู้บริหารต้องไม่ออกมาปกป้อง “ผู้ต้องสงสัย” จนกว่าผล “ที่พิสูจน์ได้” จะออกมายืนยันความบริสุทธิ์

สื่อ ก็ต้องเขียนด้วย fact ไม่ใช่ใช้ประโยคที่มีการ “โน้มน้าว” คนให้หันเหความสนใจออกจาก “fact”

เศรษฐี และองค์กรตำรวจก็ต้องไม่ออกมาปกป้อง “ลูกเศรษฐี” ที่ขับรถ 20-30 ล้าน ชนตำรวจตายเหมือนหมา

ประเทศเราจะเป็นยังไง ถ้าทั้งผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และสื่อไร้วินัย และจรรยาบรรณกันอยู่แบบนี้

อีกหน่อยคนทั่วบ้านทั่วเมืองเวลาไปยิงใครตาย
ก็จะใช้วัฒนธรรมความคิดที่ว่า “พวกกูไม่ผิด” เพราะ “กูมีเหตุผลที่ดีของกู”

อ้าว อย่างนี้ 3 นิ้วเขาก็มีสิทธิ์จะไปเผาสถานที่ราชการแล้วสิครับ เหตุผลเดียวกัน

อ้าว ญาติพี่น้องคนตายเค้าก็มีสิทธิ์จะไปเผา Amarin TV แล้วสิครับ เพราะดันไปเข้าข้างตำรวจที่ฆ่าญาติเค้าตาย

แล้วจะมีกฏหมายไว้ทำไม?

นักการเมืองแย่ ข้าราชการแย่ เราก็จะไปรุมจับตัวมาโยนลงมาจากชั้น 10 กันเหรอครับ? 

นึกอะไรไม่ออก อยากขายวัคซีน อยากหลุดคดี ก็แอบไปจ่ายเงินให้สื่อใหญ่กันดีมั้ยครับ?


ที่มา : https://www.facebook.com/100000004424101/posts/4594726793870756/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top