Saturday, 24 May 2025
PoliticsQUIZ

ไทยสั่งระงับวีซ่า 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' นักวิชาการสหรัฐฯ อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น, ผู้ดูแล 'The Isaan Record' ที่ฝังตัวทำงานในไทยกว่า 35 ปี เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการต่างชาติที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ม.112 และวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ของไทยมาโดยตลอด

จากเฟซบุ๊ก ของประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ของ หนังสือพิมพ์ ข่าวสดอิงลิช (ที่ปิดตัวไปแล้ว) ได้โพสต์แจ้งข่าวดังนี้

"ด่วน! นักวิชาการ ม.ขอนแก่น เดวิด สเตร็คฟาส David Streckfuss บอกผมว่าถูกระงับใบอนุญาตทำงาน (work permit) กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังอยู่เมืองไทยมา 35 ปี (แต่งงานกับคนไทยและมีลูกสอง) หลังจัดงานรวมพลศิลปินและนักเขียนอีสาน เดวิด เคยเขียนหนังสือวิชาการเกี่ยวกับ ม.112 พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Routledge ชื่อ "การนำความจริงขึ้นพิจารณาคดีในประเทศไทย: การหมิ่นประมาท ล้มล้างการปกครอง และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" และเกี่ยวข้องกับสื่ออีสานเรคคอร์ด แกบอกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 คนไปพบผู้บริหารมหาลัย บอกคำสั่งมาจากหน่วยเหนือ"

"อ.David Streckfuss เป็นหนึ่งในชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่กล้าพูดความจริงที่หลายคนไทยไม่กล้าพูด หรือไม่กล้ายอมรับ ถ้าแกไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ก็แปลว่าสังคมไทยคงไม่มีที่ยืนให้กับคนเห็นต่างในบางเรื่อง"

"อ.เดวิดอยู่ไทยมา 35 ปี แต่งงานกับคนไทยมีลูกสอง เป็นศิษย์ อ.สุลักษณ์ Sulak Sivaraksa เป็นพลังสำคัญให้กับสื่อภูมิภาค อีสานเรคคอร์ด ที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อสู้และอัตลักษณ์ชาวอีสาน และเขาเขียนตำราวิชาการที่สำคัญเกี่ยวกับ ม.112 - คนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยเช่นนี้ควรได้รับรางวัลจากสังคมไทย แต่เขากำลังจะไม่มีที่ยืนเพราะรัฐไทยผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบีบให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นยกเลิกใบอนุญาตจ้างงาน #ป #เดวิด"

สำหรับ "เดวิด สเตร็คฟัสส์" (David Streckfuss) ทำงานกับ สำนักข่าว The Isaan Record ตั้งแต่ปี 2556 และเป็นนักการศึกษาระหว่างประเทศมาเกือบสามทศวรรษ ขณะเดียวกันก็เป็นนักวิชาการอิสระ เขียนบทความให้กับ The New York Times, Wall Street Journal, Asian Nikkei Review และ Al Jazeera เป็นครั้งคราว

โดยล่าสุด เดวิด สเตร็คฟัสส์ ได้ไปร่วมงานเสวนาของ สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย FCCT เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 ร่วมกับ เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ ทนายสิทธิมนุษยชน และ ส.ส.รังสิมันต์ โรม โดยมีคู่ดีเบต เป็น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และ ศาสตรา โตอ่อน

การสั่งระงับวีซ่าทำงานในครั้งนี้ ส่งผลให้ นาย เดวิด สเตร็คฟัสส์ ต้องออกนอกประเทศไทย


ที่มา: https://www.facebook.com/336295587309275/posts/801053557500140/

https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/3065470637014100

‘บิ๊กตู่’ ลั่นไม่มีเคอร์ฟิว - ล็อกดาวน์ หวั่นกระทบประชาชนในวงกว้าง พร้อมยอมรับรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง เมื่อตัดสินใจใช้มาตรการต่าง ๆ ออกไป ปลุกคนไทยสู้โควิด ย้ำอีกครั้ง ‘พวกเราต้องชนะไปด้วยกัน’

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 16 เมษายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ว่า ตนรู้สึกเจ็บปวด และต้องรับผิดชอบจากการแพร่ระบาดของโควิด ตนไม่ต้องการให้ใครตายสักคน ไม่อยากให้ครอบครัวต้องเสียใจ เพราะตนเป็นคนรักครอบครัว

ทั้งนี้จากการระบาดมาจนถึงระยะที่ 3 ทางรัฐบาลได้นำแนวทางทั้งหมดมาประมวล วิเคราะห์ โดยรับฟังความเห็นจากบุคลากรทางการแพทย์ จากทางสาธารณสุข กรมควบคุมโรค จนนำมาถึงการประชุม ศบค.ใหญ่ ในวันนี้

"การตัดสินใจอะไรต่าง ๆ ผมเจ็บปวด ห่วงใยผู้มีรายได้น้อย อะไรหลายอย่างไม่สามารถตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่งได้ ตนเป็นคนรับผิดชอบ ต้องทำให้ดีที่สุด พร้อมปลุกคนไทยว่า พวกเราต้องชนะให้ได้ ยืนยันว่าไม่มีการเคอร์ฟิว ไม่มีการล็อกดาวน์ แต่อาจจะปรับเวลาเปิด-ปิดร้านบางส่วน เมื่อเราหย่อนวินัย สนุกสนาน วันนี้เราเห็นแล้วการ์ดตกเป็นอย่างไร มีการชุมนุมต่อต้าน นั่นคืออันตรายทั้งสิ้น ไม่ได้ว่าผิดกฎหมาย แต่อันตรายไปถึงครอบครัวท่าน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า จากที่เสนอมาเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก มีคำ 3-4 ประโยค ที่อยากจะฝากไว้ นั่นก็คือ "ประเทศไทยต้องชนะ เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม ยามมีข้าวน้ำ ต้องการผู้เป็นที่รัก ยามเกิดปัญหา ต้องการบัณฑิต”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการจัดหาวัคซีนนั้น ขณะนี้กำลังติดต่อซื้อวัคซีนเพิ่มเติมหลายยี่ห้อ เช่น สปุตนิก วี ของรัสเซีย และไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทคของสหรัฐฯ เป็นต้น

ก่อนที่จะย้ำชัดเจน ก่อนจบการแถลงข่าวว่า "ไม่เคอร์ฟิว - ไม่ล็อกดาวน์"

ทั้งนี้ ในส่วนของผลการประชุม ศบค.นั้น ได้ยกระดับมาตรการการควบคุมโรค โดยมีสาระสำคัญ ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันเกิน 50 คน รวมถึงการปิดสถานบริการหรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ า สถานประกอบกิจการ อาบอบนวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยให้สั่งปิดสถานที่ดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวอย่างน้อยสิบสี่วัน

พร้อมทั้งกำหนดจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ พื้นที่สีแดง 18 จังหวัด ส่วนอีก 59 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม

โดยพื้นที่สีแดงนั้น ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี จังหวัด เชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระยอง จังหวัดสงขลา จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอุดรธานี

ซึ่ง 18 จังหวัด ถือเป็นพื้นที่สีแดง อยู่ในความควบคุมสูงสุด จะมีมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย

- การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในร้าน ได้ไม่เกิน เวลา 21.00 น. แต่ขายได้จนถึง 23.00 น.ในลักษณะของ การนำไปบริโภคที่อื่น

- การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุรา ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน

- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้นๆ จนถึงเวลา 21.00 น.โดยให้จำกัดจำนวน ผู้ใช้บริการและงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยกเว้นส่วนที่เป็นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมและสวนสนุก ที่งดการให้บริการ

- ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้นๆ แต่ไม่เกินเวลา 23.00 น. สำหรับร้าน หรือสถานที่ ซึ่งตามปกติเปิดให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้เริ่มเปิดดำเนินการได้ในเวลา 04.00 น.

- สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนส สามารถเปิดให้บริการได้ไม่เกิน เวลา 21.00 น. และสามารถจัดการจัดการแข่งขันกีฬาได้โดยจำกัดจำนวนผู้ชม ในสนาม

สำหรับ พื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่สีส้ม 59 จังหวัด กำหนดให้

- การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้การบริการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มและ การบริโภคในร้านได้ ไม่เกินเวลา 23.00 น.

- การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุรา ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน

- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ จนถึงเวลา 21.00 น. โดยให้จำกัดจำนวน ผู้ใช้บริการและงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยกเว้นส่วนที่เป็นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมและสวนสนุก ที่งดการให้บริการ

นอกจากนี้ รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือ ชะลอการเดินทางในช่วงเวลานี้โดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในเขต พื้นที่ควบคุมสูงสุดซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรคที่อาจท าให้เสี่ยงหรือมีโอกาสติดโรค ส่วนการจัดกิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ ขอความร่วมมือให้ประชาชนเลื่อนหรือ งดการจัดกิจกรรมสังสรรค์ งานเลี้ยงหรืองานรื่นเริงในช่วงเวลานี้ก่อน

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” อวดเก่งทำประเทศวิกฤติซ้ำ ชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำคิดติดโควิดพุ่ง - ตายรายวัน

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกวัน แสดงว่ามาตรการที่รัฐบาลออกมาล้มเหลว ไม่ได้ผล เพราะจากวันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศมาตรการต่าง ๆ ผลที่ตามมาคือ ปิดโอกาส ประชาชนในการทางทำมาหากิน

พลเอกประยุทธ์มีทุกอย่างทั้งงบประมาณและเครื่องมือในการทำงาน แต่ทำงานไม่เป็นสุดท้ายงบประมาณจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทที่ไปกู้มาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน ผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงเงินกู้ก็ประสบความลำบาก หลายคนสู้ไม่ไหวฆ่าตัวตายหนีปัญหาเป็นจำนวนมาก กรณีการเยียวยาที่ผ่านมาผลที่ออกมาคือประชาชนเข้าไม่ถึง หรือมีปัญหาในการจ่ายเงินไม่มีทุนทำต่อ จนหลายคนฆ่าตัวตาย รัฐบาลไม่ปรับวิธีการเยียวยา ก็จะมีคนฆ่าตัวตายตามมาเป็นจำนวมมาก

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ใครท้วงติงอะไร ก็มองว่าเป็นการเมืองหาทางโจมตีรัฐบาล แม้คำแนะนำจากฝ่ายค้านจะมีประโยชน์ที่จะพาประเทศฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้ รัฐบาลกลับไม่ฟังไปฟังแต่คำคนใกล้ชิดที่คอยเชลียร์เพื่อหวังผลทางการเมืองและการอยู่ในอำนาจของคนใกล้ชิดผู้นำประเทศ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากความไม่รู้และไม่ฟังคำแนะนำจากคนอื่น หากพลเอกประยุทธ์เร่งในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ปัจจุบันคนไทย 77 ล้านคนได้รับวัคซีนเพียง 5 แสนคนซึ่งน้อยมาก และประชาชนยังคงต้องรอไปจนถึงเดือนมิถุนายนถึงจะได้รับวัคซีน รัฐบาลไม่เคยยอมรับผิดว่าบริหารวัคซีนล้มเหลวทำคนไทยเสี่ยงตายรายวัน ตัวเลขคนติดโควิดพุ่งเกือบ 2,000 คนต่อวัน และมีประชาชนตายเพราะโควิดทุกวัน พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ควรโทษคนอื่น ไม่ปัดสวะให้พ้นตัวต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามรถและรับฟังคนอื่นบ้างอย่าอวดเก่งอยู่คนเดียว” นายสงครามกล่าว

นาทีนี้ถ้าไม่พูดถึง 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' ชาวต่างชาตินักจัดกิจกรรมที่ถูกคาดว่าได้รับเงินผ่านจากสหรัฐอเมริกา มาดำเนินกิจกรรมสั่นคลอนประเทศไทย ก็ถือว่าไม่ทันกระแสความดัง

หลังจากฝรั่งนายนี้ได้ถูกเด้งออกจากอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของภาคอีสาน เริ่มมีคนตั้งข้อสงสัยกันว่าเขาคือใคร และเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนี้...

จากเฟซบุ๊กเพจ 'Neo Fighter' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เดวิด สเตร็คฟัสส์ ผ่านมุมมองของ 'ไบรอัน เบอร์เลติก' ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปว่า...

ก่อนหน้านี้ลุงสนธิ ได้ออกมาพูดถึงสเตร็คฟัสส์ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิมาแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องและข้อมูลของลุงสนธิทำให้คนไทยส่วนใหญ่ได้ตื่นตัวขึ้นมาว่าบุคคลคนนี้คือใคร ทำไมถึงมาทำงานตรงนี้ได้ ประวัติเป็นมาอย่างไร และในที่สุดก็ถึงบางอ้อกับฝรั่งที่ชื่อ เดวิด สเตร็คฟัสส์!

ด้านเจ้าตัวได้ออกมาแถลงว่า เขาไม่รู้จักประวัติองค์กรที่เข้ามาให้เงินการสนับสนุนทางกลุ่มอีสานเรคคอร์ดของเขา แค่รู้จักชื่อเสียงและเป็นเพียงผู้สนับสนุนเฉยๆ... (ลิเกโรงใหญ่มาก) ซึ่งหลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์แบบนั้น ทำให้ไบรอัน เบอเลติก ได้งัดเอาข้อมูลชิ้นดีอันเป็นหลักฐานที่มัดตัวสเตร็คฟัสส์พ่อพระเอกลิเกหลังโรงไว้แน่นเลยทีเดียว

ซึ่งข้อมูลที่ไบรอันเอาออกมาแสดงนั้นล้วนมีความเกี่ยวพันทางอาชกรรมทางลับ ๆ ของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น ซึ่งฝั่งตรงข้ามที่พยายามทำลายประเทศไทยนั้นไม่เคยเอ่ยหรือพูดถึงข้อเท็จจริงของ NED หรือเหล่าองค์กรปรสิต NGOs ที่ทำกับนานานับประเทศในโลกใบนี้เลยแม้แต่นิด

เพราะฉะนั้นคนไทยต้องออกมาปกป้องชาติของตนเองให้มากที่สุด ตื่นรู้ตื่นสู้ให้มากที่สุด ไบรอันเป็นเพียงผู้เปิดฉากเปิดหน้าเอาความจริงมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้เพียงเท่านั้น เราจงช่วยไบรอันเปิดโปงเหล่าองค์กรปรสิตฝุ่นใต้ตีนสหรัฐออกมาให้มากที่สุด...


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3975460309201489&id=140063372741221

https://youtu.be/lMdcR7r3-Nk

“เทพไท” แนะ รัฐบาล สั่ง คลัง - สศช. หรือ กมธ.ติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้1.9ล้านล้านบาท แถลงความคืบหน้ากับประชาชน

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทยได้ออกมาวิจารณ์โครงการกู้ครบรอบ 1 ปี เพื่อเยียวยา - ฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล สูญหาย ล้มเหลว ยิงไม่ตรงเป้า สวยแต่รูปจูบไม่หอม ว่า เป็นเรื่องที่สังคมต้องการคำตอบว่า จำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้มาเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่เกิดจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็น 1 ปีแล้ว สังคมก็อยากจะได้คำตอบว่าจำนวนเงิน 1.9 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลได้นำไปใช้ในโครงการอะไรบ้าง และมีความคืบหน้าอย่างไร ซึ่งรัฐบาลก็ควรจะให้คำตอบกับประชาชน ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบภาระเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาลด้วย 

นายเทพไท กล่าวว่า "ตนเห็นว่ารัฐบาลสามารถสั่งการให้กระทรวงการคลัง หรือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  แถลงความคืบหน้าการใช้เงินกู้ดังกล่าว ต่อประชาชนได้ หรืออาจจะประสานงานให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานฯ

ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ทั้ง 3 ฉบับ ให้แถลงข่าวในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารโดยตรง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมือง และเกิดความสงสัยในสังคม รัฐบาลจึงควรจะรายงานความคืบหน้าการใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ จากจำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา"

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ได้โพสต์ข้อความชวนคิดในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปก่อนหน้า ได้โพสต์ข้อความชวนคิด โดยอิงจากบทความของสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

'ทวิตเตอร์' ได้เปิดตัวอีโมจิใหม่ สำหรับกลุ่มพันธมิตรชานม (Milk Tea Alliance) ที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของชาวเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน โดยกลุ่มพันธมิตรนี้ ได้รวบรวมเอากลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านปักกิ่ง (anti-Beijing) ในเกาะฮ่องกง และประเทศไต้หวัน พร้อมกับกลุ่มรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย และประเทศเมียนมาไว้ด้วยกัน

ในเนื้อหายังบอกอีกว่า สิ่งที่สำนักข่าวบีบีซี (BBC) ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีอยู่ 2 อย่างที่เหมือนกัน คือ

1.) กลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้เกลียดประเทศจีน

2.) พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านทาง กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED)

ทุกคนสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนนี้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทุกคนเข้าไปที่เว็บไซต์ของกองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ ของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED) แล้วเข้าไปดูที่ข้อมูลภายใต้รายชื่อของแต่ละประเทศเหล่านี้ เช่น ประเทศไทย , ประเทศเมียนมา ที่พวกเขายังคงเขียนชื่อเดิม ประเทศพม่า และ เกาะฮ่องกง ครับ

ทวิตเตอร์ กล่าวว่า “ในเวลาที่เกิดการก่อความไม่สงบหรือการปราบปรามอย่างรุนแรงขึ้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างอิสระ (Open Internet) สำหรับการอัพเดต ณ เวลาที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว, เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการให้บริการที่จำเป็นต่างๆ”

จากส่วนหนึ่งของบทความนี้ ที่ทางทวิตเตอร์ได้กล่าวไว้คือ “เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้” หมายความว่า ทางทวิตเตอร์กำลังบอกทุกคนว่า ทางทวิตเตอร์กำลังเซ็นเซอร์ข้อมูลบางส่วนออกจากระบบเครือข่ายของพวกเขา ทวิตเตอร์กำลังไล่ระงับผู้ใช้งานที่ต่อต้านเรื่องเล่าของประเทศสหรัฐฯ ที่ผมได้เคยยกตัวอย่างมามากมายกับข้อมูลเหล่านี้ผ่านคลิปที่ผมได้เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูป: แลนด์ เดสทรอยเยอร์ (YouTube: Land Destroyer) ของผม

จากเว็บบล็อกของทางทวิตเตอร์ กับบทความเมื่อเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 2020 ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ทางทวิตเตอร์ได้พบบัญชีมากกว่า 900 บัญชี ที่ได้ถูกระงับลบออกจากระบบเครือข่ายของทางทวิตเตอร์ เนื่องจากสามารถ “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง (reliably link)" กับกองทัพบกได้

เวลาที่ใครใช้คำอย่าง “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง" นั้น หมายความว่าคนๆ นั้นไม่มีหลักฐาน และไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงให้ดูได้ เพราะถ้ามีหลักฐานจริง ทางทวิตเตอร์คงนำมาแสดงให้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบัญชีเหล่านั้นมันเชื่อมโยงกับกองทัพบกจริง พวกเขาจึงใช้คำนี้เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานครับ กองทัพบก คือ กลุ่มคนที่ยืนหยัดเพื่อประเทศของเขาและต่อต้านคนที่มาก่อการจลาจลและปลุกปั่นที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงพวกม็อบหัวรุนแรง แต่ทางทวิตเตอร์กลับระงับและลบบัญชีของพวกเขาทิ้ง

บทความในเว็บไซต์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) เป็นอีกหนึ่งตัว อย่างที่ผมอยากจะกล่าวถึงนะครับ “ทวิตเตอร์ระงับบัญชีของไทยรอยัลลิสต์ ที่เชื่อมโยงถึงการมีอิทธิพลเพื่อจูงใจในการรณรงค์” และเช่นเคย ทวิตเตอร์ใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทวิตเตอร์ก็แค่ระงับบัญชีของผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้นบนทวิตเตอร์ และนี่คือเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Networks) ของประเทศสหรัฐฯ ครับ

ผมได้เคยชี้ถึงประเด็นที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง ว่าเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ นั้น ได้ร่วมงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งทุกคนจะสามารถเห็นผลงานนั้นได้จากบทความในเว็บ ไซต์ของ สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) ที่ทางประเทศสหรัฐฯ ร่วมมือกับทางทวิตเตอร์ กับบทความหัวข้อที่ว่า ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเจรจากับทวิตเตอร์เรื่องอิหร่าน” ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวไว้เมื่อวันอังคารว่า พวกเขาได้ติดต่อไปยังทวิตเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อขอให้พวกเขาชะลอการอัพเกรดที่จะลดเวลาการให้บริการในช่วงเวลากลางวันกับชาวอิหร่านที่กำลังถกกันเรื่องการเลือกตั้ง”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประเทศสหรัฐฯ กำลังดำเนินการการปฏิวัติสี (Colour Revolution) อย่างรุนแรง อยู่ในประเทศอิหร่าน พวกเขาได้ใช้ทวิตเตอร์ในการประสานและวางแผนงาน และไม่ต้องการให้เกิดการสะดุดหรือหยุดชะงักการใช้งานระหว่างที่พวกเขากำลังปฏิบัติการกันอยู่

ผมอยากจะขอยกบทความจากเว็บไซต์ของนิวยอร์ค ไทมส์ (New York Times) เมื่อปีค.ศ. 2011 นี้ขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากมันเป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันมีการยอมรับอยู่หลายประเด็นด้วยกัน ภายใต้หัวข้อ ”กลุ่มองค์กรต่างๆของสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนการการลุกฮือของชาวอาหรับ” พวกเขาออกมายอมรับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านเหล่านั้นทั้งหมด การลุกฮือในครั้งนั้นไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นแบบอย่างฉับพลัน กระทันหัน หรือที่ไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันเองของกลุ่มชาวอาหรับ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการถูกฝึกอบรมมาก่อนหน้านั้นนานหลายปีแล้วครับ และจากบทความเดิม ยังมีการยอมรับเกี่ยวกับการฝึกอบรมดังกล่าว ที่ระบุว่า ”ผู้นำเยาวชนของชาวอียิปต์บางคนได้เข้าร่วมการประชุมเทคโนโลยีในปี ค.ศ. 2008...”

“...และบรรดาผู้ให้การสนับสนุนการประชุมนี้ ได้แก่ เฟสบุ๊ค (Facebook) , กูเกิล (Google) , เอ็มทีวี (MTV - Music Television) , โรงเรียนกฏหมายโคลัมเบีย (Columbia Law School) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ” บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเหล่านี้ได้ร่วมงานกันมาเป็นเวลาสิบปีแล้วและยังคงร่วมงานกันอยู่ การที่ทวิตเตอร์ได้ทำอีโมจิเพื่อกลุ่มพันธมิตรชานมนั้น เพราะกลุ่มพันธมิตรชานมเป็นโครงการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐครับ

ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต็มไปด้วยรัฐบาลของแต่ละประเทศที่สร้างความสัมพันธ์กับประเทศจีนมาเนิ่นนานและจะไม่มีวันที่จะตัดความสัมพันธ์ที่ว่านั้น เพราะเพียงแค่ประเทศสหรัฐฯ สั่งให้ทำ ดังนั้น ประเทศสหรัฐฯ จึงต้องสร้างกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ เพื่อใช้ในการโค่นรัฐบาลเหล่านั้น แล้วเปลี่ยน แปลงระบอบการปกครองโดยตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาแทนที่เพื่อให้ตัดความ สัมพันธ์กับประเทศจีนลงครับ

และจากข้อความของทวิตเตอร์ที่ได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับการทำอีโมจิ เพื่อกลุ่มพันธมิตรชานม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนายเนติวิทย์ ที่ทุกคนคงจำเขาได้ เขาเป็นนักเคลื่อนไหวชาวไทยคนหนึ่งที่ได้ไปพูดบรรยายในงานเวทีเสรีภาพออสโล (Oslo Freedom Forum) ซึ่งสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ได้ไปร่วมทำข่าวและยอมรับเองผ่านการรายงานว่า

“นี่อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการปลุกจิตวิญญาณในตัวของนักเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากการเรียนการสอนจากที่นี่ไปจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลให้ได้อย่างถาวรนั้น คนที่มาที่นี่จะต้องมีระเบียบ ต้องทุ่มเทกับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน นักเคลื่อนไหวที่นี่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกับการจัดการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในฮ่องกง ณ ปัจจุบัน แผนการของพวกเขาคือการนำผู้คนนับพันออกมาลงถนน ที่จริงแล้วมันได้เกิดขึ้นจากที่นี่เมื่อเกือบสองปีก่อน”

นี่คือทุกแง่มุมที่นักข่าวบีบีซีได้พยายามบอกกับทุกคน เกี่ยวกับนักเคลื่อน ไหวเหล่านี้ รวมไปถึงที่ทางทวิตเตอร์ให้การสนับสนุนพวกเขา พวกเขาพยายามทำให้เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองทั้งหมด นักเคลื่อนไหวทุกคนได้มารวมตัวกันเอง แต่มันไม่ใช่เลยครับ พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนและได้รับการสนับสนุนและกำกับโดยกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันในวอชิงตันดีซี

นี่คือความอันตรายของการปล่อยให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ ครอบครองพื้นที่ทางข้อมูลในประเทศของทุกคน ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่อนข้างที่จะติดหรือพึ่งกับการใช้งานบนเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์มากเกินไป พวกเขาจำเป็นจะต้องสร้างและพัฒนาแพลต ฟอร์มของตัวเองและผลักดันให้เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ ของประเทศสหรัฐฯ ออกไปจากพื้นที่ข้อมูลของทุกคนครับ

ไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉเฟซบุ๊ก


ที่มา: https://www.facebook.com/105777441608823/posts/119955130191054/

 

“สิระ” ซัด “จตุพร” โหนกระแสเด็ก หลังโดนเสื้อแดงเท เย้ย หวังจะเป็นหัวหน้าสุดท้ายตกม้าตาย ไม่มีใครเชื่อลมปาก เชื่อ ทุกวันนี้ไม่กล้าส่องกระจก เพราะเจอแต่คำว่าตกอับขึ้นเต็มหน้า

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาเรียกร้องให้ มีการอนุญาตให้แกนนำราษฎรที่ถูกคุมขังได้รับสิทธิ์การประกันตัวว่า ประชาชนดูก็รู้ว่านายจตุพรไปไม่รอด ไม่เหลือภาวะผู้นำทางความคิดอีกแล้ว การชุมนุม 2 - 3 วันที่ผ่านไป ภายใต้แกนนำหลักอย่างนายจตุพร ปลุกระดมมวลชนไม่ขึ้น มีคนมาร่วมหรอมแหรมหลัก 10 เพราะไม่มีใครเชื่อคำพูดที่ไร้สัจจะวาจาของนายจตุพรอีกแล้ว สุดท้ายนายจตุพรก็ต้องมาโหนกระแสพึ่งบรรดาเด็กที่ติดคุกทั้งหลายให้มาเรียกมวลชนให้ จากที่เคยประกาศตัวขึงขัง หวังจะสถาปนาตัวเองเป็นหัวหน้า แต่กลับต้องมาเดินตามตูดเด็ก ตนอยากถามนายจตุพรว่า หน้าฉาบปูนซีเมนต์กี่ชั้น ถึงได้หนาขนาดนี้ ไม่อายตัวเองก็น่าจะอายหมาบ้าง ทำร้ายประเทศชาติให้ย่อยยับมานานเท่าไหร่แล้ว 

“นายจตุพรเคยพูดไว้ว่า เป้าหมายที่สำคัญคือการไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง โดยที่จะไม่ก้าวล่วงสถาบัน แต่วันนี้กลับกลืนน้ำลาย ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้กระทำความผิดในคดี 112 พฤติกรรมของนายจตุพรแสดงให้เห็นว่าไม่มีจุดยืนใด ๆ ทั้งสิ้น ยอมทำทุกอย่าง ไม่สนถูกผิด เพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ผมอยากถามนายจตุพรว่า ที่คนเสื้อแดงเขาไม่ออกมาร่วมชุมนุม เป็นเพราะอะไร นายจตุพรต้องไปหาคำตอบให้ตัวเอง ว่าเคยไปก่อกรรมทำชั่วอะไรกับพวกเขาไว้บ้างหรือไม่ วันนี้ถ้าตนเป็นนายจตุพร คงไม่กล้าส่องกระจกมองหน้าตัวเองด้วยซ้ำ เพราะส่องไปก็จะเห็นแต่คำว่า ตกอับ อยู่เต็มหน้าไปหมด” นายสิระ กล่าว 

ส่วนกรณีที่ นายจตุพร ระบุถึงกรณีกองบัญชาการตำรวจนครบาลแจ้งดำเนินคดีจากการจัดให้มีการชุมนุมที่บริเวณ อนุสรณ์สถานพฤษภา 35 สวนสันติพร เมื่อวันที่ 4 , 5 และ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ในข้อหา ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯว่า น่ากลัวจังเลยนั้น นายสิระ กล่าวว่า นายจตุพรอย่าดีแต่ปาก กล้าพูดก็ขอให้กล้าเดินไปรับกรรมตามกฎหมายด้วย อย่าทำตัวเป็นคนประเภทที่มีปากเหมือนมีตูด คำพูดไม่ใช่เสียงตด ลูกผู้ชายพูดแล้วต้องแอ่นอกรับด้วย เพราะที่ผ่านมา เห็นชัดว่า นายจตุพรไม่เคยทิ้งพฤติกรรมเดิมๆตั้งแต่ปี 53 ที่ก่อเหตุเผาบ้านเผาเมือง ลั่นวาจาบนเวทีว่าจะรับผิดชอบจากการก่อการร้าย แต่สุดท้ายกลับชิงหาย ปล่อยคนเสื้อแดงบาดเจ็บ ล้มตาย ตัวเองเสวยสุข และตนอยากถามว่า นายจตุพรกับพวก ได้ไปชดใช้ค่าเสียหายจากการสั่งเผาตึกย่านราชปรารภตามคำสั่งของศาลเเพ่งหรือยัง

เบิกตัว “เพนกวิน” ขึ้นศาลคดี ม.112 ปราศรัยม็อบเฟส “ทนาย-แม่” ยังห่วงอดอาหารประท้วงจนอาการหนัก

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตาม ป.อาญา ม.112 กรณีจำเลยร่วมชุมนุมปราศรัยกลุ่มม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14 - 15 พ.ย. 2563 ที่แยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง โดยศาลเบิกตัวนายพริษฐ์ จำเลย ซึ่งอดอาหารประท้วง ไม่ได้รับการประกันตัวคดีชุมนุม 19-20 ก.ย. 2563 และถูกแจ้งข้อหาตาม ม.112 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยก่อนการพิจารณาคดีว่า คดีนี้คนละคดีกับที่มีการถอนทนายความ (คดีชุมนุม 19 - 20 ก.ย. 2563 ที่จำเลยยื่นถอนทนายความ) คดีนี้ตนเป็นทนายจำเลยเพียงคนเดียว กังวลว่าราชทัณฑ์จะไม่ให้พบปะกับเพนกวิน มีหลายเรื่องที่ต้องคุยกับเพนกวิน เรื่องสู้คดี จะคิดแบบเดียวกับคดีนั้นหรือไม่ จะถอนทนายความหรือไม่ ส่วนไม่ได้เจอกับเพนกวินนานแค่ไหนนั้น ตนมีทนายไปเยี่ยมเพนกวินอยู่บ้าง แต่ติดวันหยุดยาว เพนกวินเจ็บป่วยอยู่ที่สถานพยาบาลราชทัณฑ์ ที่ทราบมาปัจจุบันอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีคนมากมายติดต่อมาให้ตนคุยกับเพนกวินเลิกการอดอาหาร 

นายกฤษฎางค์ กล่าวด้วยว่า เราเคยขอต่อศาลให้นำเพนกวินไปจองจำไว้ที่โรงพยาบาลก็ไม่ให้ เราขอให้เอาหมอมาตรวจที่ห้องพิจารณาคดี ศาลก็ไม่ให้ กังวลนาทีต่อนาที ตนรับผิดชอบคดีก็พยายามคุยกับผู้เกี่ยวข้องให้เพนกวินออกไปรักษาตัว เขาไม่สบายใจ เชื่อเรื่องการประทุษร้ายในเรือนจำ ตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร มีผู้ใหญ่เสนอผ่านตนให้คุยกับเพนกวินตนก็จะบอกให้ แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่ใจเขา การอดอาหารเขายืนยันว่าเขาไม่ได้ทำร้ายใคร เขาทำร้ายตัวเอง สิ่งที่กระบวนการยุติธรรมทำเป็นการทำร้ายคนอื่นด้วย เขาคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ด้าน นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของเพนกวิน เปิดเผยว่า วันนี้ถ้าได้พูดคุยกับเพนกวิน ไม่ถูกกีดกัน ก็จะถามไถ่ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราอยากฟังจากปากลูกเราเอง อยากรู้จริง ๆ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เป็นห่วงมาก 30 กว่าวันแล้ว ที่ได้ยินมาเขามีอาการวูบ เป็นลม น้ำตาลตกหลายครั้งแล้วในช่วงไม่กี่วัน สายน้ำเกลือมีเลือด เป็นห่วงว่าจะมีภาวะอะไรไหม จะคุยกันหลายเรื่อง พยายามจะทำทุกวิถีทางให้ดีที่สุด หลังจากวันนี้เพนกวินไม่น่าจะมีคิวขึ้นศาล อีกครั้งประมาณปลาย พ.ค. ช้าเกินไป อยากขอความเป็นส่วนตัวในการพูดคุย

ปชป.เข้มคุมโควิด - จนท.สลับ WFH เปิดทำการปกติ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโควิด19 ในส่วนของพรรค ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้กำชับให้บุคลากรของพรรคปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเคร่งครัด ขณะนี้ได้มีการให้เจ้าหน้าที่พรรคได้สลับกันทำงานที่บ้าน “Work From Home”เพื่อร่วมป้องกันและควบคุม ส่วนที่สำนักงานใหญ่ของพรรคฯ ก็จะมีการคัดกรองก่อนเข้าอาคาร ล้างมือ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ประชาชนผู้มาติดต่อก็มีการคัดกรองและต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา 

ขณะเดียวกัน นายราเมศ กล่าวต่อว่า ทุกคนทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง และรัฐบาลได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในการแพร่ระบาดรอบแรกสามารถแก้ปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม ทุกคนจึงต้องมีวินัย ใส่ใจส่วนรวม ร่วมมือกัน เชื่อว่าเราทุกคนจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยดี พรรคและสมาชิกพรรคทุกคนขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ทุ่มเททำงานกันด้วยความเหน็ดเหนื่อย ขอบพระคุณที่เสียสละเพื่อประชาชนและประเทศ

"ศรีสุวรรณ" ร้อง กกต.สอบเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่ หลับพบการซื้อสิทธิ์ - ขายเสียงอย่างโจ๋งครึ่ม

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้สอบสวนการทุจริตหรือการณซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการแข่งขันเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา

โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในเขตเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่นั้น มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างมโหฬารและโจ๋งครึ่ม เพราะมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันบริเวณหน้าหน่วยเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นดูแลอยู่ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการหรือบริหารจัดการอย่างไร 

นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีผู้นำชุมชน หรือประธานชุมชนทำหน้าที่ซื้อสิทธิ์ของลูกบ้านของตัวเองอย่างชัดเจน โดยมีหลักฐาน คือ มีการบันทึกเสียงขณะเจรจาจ่ายเงินให้กับผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคนหัวละ 1,000 บาท แต่เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งไปแล้ว เช่น ใกล้จะปิดหีบเลือกตั้ง แต่ผู้ที่อยู่ในรายชื่อที่มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ไปลงคะแนน ประธานชุมชนก็จะโทรศัพท์เรียกให้ไปลงคะแนนพร้อมเสนอจ่ายค่าเลือกตั้งอีก 2,000 บาท ซึ่งในโซเชียลมีเดียมีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่กลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดต่อกฎหมายของ กกต. และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นปี 62 อย่างชัดเจน 

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า ตนจึงนำความมาร้องต่อ กกต. ให้ดำเนินการสอบสวน โดยคลิปเสียงต่างๆที่นำมานั้นเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่จะนำไปสู่การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรืออาจจะมีการให้ใบส้มหรือใบแดงต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติการณ์เช่นนี้ และคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ที่เดียว หลาย ๆ พื้นที่ก็มีคนมาร้องเรียนและส่งพยานหลักฐานมาให้ ซึ่งตนจะทยอยมาแจ้งร้องเรียนต่อ กกต. ให้ได้รับทราบเพื่อนำไปสู่การจัดการกับผู้ที่มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเงินไปดำเนินการให้ได้มาซึ่งตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ฉะนั้น ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องช่วยกันไม่ให้นักเลือกตั้งมีพฤติการณ์เช่นนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top