Saturday, 24 May 2025
PoliticsQUIZ

"ศุภชัย" เผย! พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือแจ้ง กกต.เลื่อนประชุมสามัญใหญ่ 64 ที่ชาติชายฮอลล์แล้ว ป้องกันแพร่ระบาดโควิด - 19

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรค พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือที่ 04/011/2564 ลงวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2564 เรื่องขอเลื่อนประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ของพรรคภูมิใจไทย แจ้งกับนายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยระบุว่า คณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยเห็นชอบให้จัดประชุมสามัญใหญ่ประจำปี 2564  ในวันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2564 เวลา 08.00 - 13.30 น. ที่อินดอร์ สเตเดียม (ชาติชายฮอลล์) โดยเชิญคณะกรรมการบริหารพรรค รัฐมนตรีหัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และสมาชิกพรรค รวม 1,500 คน เข้าร่วมงาน 

อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยขณะนี้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัดทั่วประเทศ การจัดประชุมใหญ่ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในวงกว้างได้ ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อการควบคุมและการป้องกันการแพร่ระบดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกพรรค และไม่เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ให้ตกอยู่ในภาวะวิกฤตมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม พรรคภูมิใจไทยจึงขอเลื่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ออกไปก่อน และหากสถานการณ์คลี่คลายลง พรรคภูมิใจไทย จะได้เร่งจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคทันทีในโอกาสแรก เพื่อเป็นไปตาม มาตรา 39 มาตรา 43 และมาตรา 61 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ต่อไป

“ศรีสุวรรณ” เตรียมร้อง "บิ๊กตู่” เอาผิดจริยธรรม ผช.รมต.ยุติธรรม หลังคน พปชร.แฉ ส่งคนสอบแทน

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ตามที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม (ผช.รมต.) เกิดความขัดแย้งกันกรณีออกมาเปิดโปงว่ามี ผช.รมต.ให้คนไปเรียนภาษาอังกฤษและให้สอบแทน ตามหลักสูตร ป.เอก ของสถาบันภาษา ม.รามคำแหง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ โดยมีการเผยแพร่หลักฐานเป็นเอกสารทางราชการจากสถาบันภาษา ม.รามคำแหงด้วย 

ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม แม้เป็นเรื่องภายในของพรรคพปชร.และผช.รมต.คนดังกล่าวไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น การสอบสวนเอาผิดจะต้องดำเนินการตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง 2551 เป็นหลัก ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืนหลายข้อ อาทิ ข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 10 ที่กำหนดไว้ขัดเจนว่า ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม คุณธรรมและศีลธรรม ทั้งโดยส่วนตัวและโดยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสาธารณชน วางตนให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ประมวลจริยธรรมดังกล่าวกำหนดให้นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่กํากับดูแลการประพฤติปฏิบัติตนของข้าราชการการเมืองท่ีนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้เป็นไปตามระเบียบในกรณีที่พบว่ามีการประพฤติ ปฏิบัติตนที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบนี้ จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ดําเนินการลงโทษเพื่อสร้างบรรทัดฐานของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มิได้เป็น ส.ส.ต่อไป โดยจะไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล

"แรมโบ้" โต้ "หญิงหน่อย" ทำประโยชน์เพื่อชาติ-ปชช. ซัด! อย่าใช้ปากโจมตีคนทำงาน

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่านายกรัฐมนตรี ไร้ประสิทธิภาพบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และวัคซีน และให้หยุดโทษประชาชน พร้อมทบทวนการทำงานตัวเอง ว่า นายกฯไม่เคยกล่าวโทษใคร ไม่เคยโทษประชาชน ซึ่งการแก้ไขปัญหานอกจากเป็นหน้าที่ของรัฐบาลแล้ว จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน นักการเมืองฝ่ายค้าน ไม่ใช่คอยซ้ำเติม จ้องโจมตีทำลายล้างโดยไม่สนใจจะแก้ไขปัญหาช่วยกัน

นายเสกสกล กล่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์ ควรมีข้อเสนอแนะที่ดีมาช่วยรัฐบาล ยืนยันว่านายกฯให้ความสำคัญกับประชาชน ไม่เหมือนบรรดานักการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน รวมถึงคุณหญิงสุดารัตน์ พรรคไทยสร้างไทย ที่ออกพูดกล่าวโจมตี ไม่ให้กำลังใจการทำงานนายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เคยหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวหาเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจิตใจของบุคลากรที่ทำงานทุ่มเทอย่างหนัก ซึ่งคุณหญิง เคยเป็นอดีตรมว.สาธารณสุข ต้องออกมาช่วยเหลือประเทศ อะไรที่สามารถลงมือทำได้ก็ขอให้ลงมือทำบ้าง ไม่ใช่ใช้ปากพูด กล่าวโทษคนอื่นอย่างเดียว การติติงนายกฯและรัฐบาลไม่ได้ห้าม แต่การกล่าวหาใส่ความทุกเรื่องทำให้ตนต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเพราะบางเรื่องไม่เอาความจริงมาพูด แต่กล่าวหาใส่ความเพื่อให้ประชาชนเกลียดชังนายกฯและรัฐบาล อย่างนี้ถือเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ได้หรือไม่

“บิ๊กบี้” กักตัว14วัน -ตรวจแล้วไม่พบเชื้อ หลังนายพลสำนักงานฯติดโควิด ยกระดับเข้มมาตรการ ลดจำนวนคนในที่ตั้งหน่วย เผย รพ.สนาม ทบ.รองรับทหารจาก รพ. พระมงกุฎฯ ที่เพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 มีรายงานว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้กักตัวที่บ้านพักภายใน กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) เป็นระยะเวลา14 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 23 เมษายน พ.ศ.2564 เนื่องจากสัมผัสใกล้ชิดกับนายทหารชั้นยศนายพลภายในสำนักงานผู้บังคับบัญชา (สำนักงาน ผบ.ทบ.) ที่ตรวจพบเชื้อ โควิด-19 เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว ผลออกมาเป็นลบ แต่ยังคงกักตัวต่อไป จนกว่าจะครบกำหนด 

สำหรับทหารทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานฯ ช่วงก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง รวมถึง ครอบครัว คนที่ใกล้ชิด ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อทั้งหมด และได้กักตัวตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีหนังสือด่วยแจ้งไปยัง นขต.ทบ. ระหว่างที่ผบ.ทบ.เวิร์คฟอร์มโฮมตั้งแต่เริ่มวันหยุดเทศกาลสงกรานต์เป็นต้นมา ยังคงสั่งการหน่วยขึ้นตรง ทบ.สนับสนุนภารกิจการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของรัฐในหลายจังหวัด และเร่งรัดจัดตั้งโรงพยาบาลสนามกองทัพบก 2 แห่ง ที่ค่ายธนะรัชต์ และ อาคารรับรองทบ. (เกียกกาย) โดยเฉพาะที่เกียกกาย ได้จัดไว้รองรับผู้ป่วยที่เป็นกำลังพลและครอบครัวที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ 

ไล่ตั้งแต่กรณีของกลุ่มทหารม้า จากกิจกรรมเตะฟุตบอล และร่วมรับประทานอาหาร งานวันสถาปนาหน่วย กองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ (ม.พัน 3 รอ.) ซึ่งมีนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) ติดเชื้อ รวมถึงเคสอื่น ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น โดยจุดประสงค์ของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ทบ.เพื่อต้องการจะแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขของประเทศที่กำลังรับมือกับจำนวนผู้ป่วยรายวันที่เพิ่มขึ้นหลักพันคน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทบ. ยังได้แจ้งหน่วยขึ้นตรง ทบ. จัดกำลังพลปฎิบัติงาน ณ ที่ตั้งหน่วยน้อยที่สุด ในอัตราส่วนแค่ 1 ใน 4 ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. เป็นต้นไป และผู้ที่เข้ามาปฏิบัติงานต้องไม่ใช่กำลังพลที่เดินทางกลับต่างจังหวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย

ปชป.เป็นกำลังให้บุคลากรทางการแพทย์ - จนท.รัฐ ขอบคุณที่เสียสละดูแลปชช.

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล อสม. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทุกคนได้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขอบพระคุณทุกท่าน ที่ได้เสียสละ ขอให้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ประชาชนคนไทยทุกคนจะเป็นกำลังใจ และอยู่เคียงข้าง ทุกคนคือด่านหน้าที่มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ทุกช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุกคนยังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่ย่อท้อขอชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

นายราเมศ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนจะช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้คือ การปฏิบัติตนตามหลักวิธีการในการป้องกัน และคำแนะนำจากรัฐด้วยความมีวินัย การไม่รวมกลุ่มกันสังสรรค์ การเว้นระยะห่าง การล้างมือ การใส่หน้ากาก ลดกิจกรรม ลดการเดินทาง เพื่อลดการติดเชื้อใหม่ ๆ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นและที่สำคัญควรรับฟังข่าวสารจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เป็นหลัก เพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องป้องกันความสับสน 

ขอเป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกคน ฝ่ายการเมืองไม่ควรคิดว่าตนเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล แต่หน้าที่ที่สำคัญของทุกคนคือความสามัคคีในการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนคนละไม้คนละมือ หยุดโจมตีรัฐบาลในเรื่องการทำงานในสถานการณ์โควิดบ้างก็จะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไม่ให้ติติง ไม่ให้เสนอแนะ แต่ควรทำอย่างสร้างสรรค์ รัฐบาลพร้อมรับฟังอยู่แล้ว ประชาชนก็จับตาดูอยู่เช่นกัน

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กติง ‘ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ถึงการออกมาเคลื่อนไหวในช่วงหลังๆ โดยมีใจความว่า...

อานนท์!!

-อานนท์ !! เธอคงคิดว่า เธอสำเร็จวิชาสถิติ ดูฟ้าดูดาว ทำนายโชคชะตาได้ เธอคงภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งเธอโด่งดังจากการได้ฆ่าเด็กทางทีวี แต่เรื่องนั้นปราชญ์มิได้สรรเสริญเธอหรอก เธอควรให้ความรู้กับเด็ก มากกว่าที่จะใช้สถานะที่เหนือกว่าเข้าข่มเด็ก เธอทำเหมือนผู้ใหญ่ที่ไล่เตะเด็กกลางตลาดสด อานนท์!! มิใช่ชัยชนะของเธอหรอก แต่เป็นความพ่ายแพ้ของเธอต่างหาก

-อานนท์ : เธอนี่แหละจะทำให้สถาบันสำคัญพลอยหม่นหมองด้วยอวิชชาของเธอ ด้วยการที่เธอสงวนความรักนั้นไว้เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว และเธอบังอาจ กล่าวหาสำนักวิชาเก่าแก่สำนักหนึ่งว่ามิได้รักสถาบันหลัก ทั้งที่ สำนักนี้อยู่ค้ำชูประเทศนี้มาตลอด ศิษย์สำนักนี้ ยอมพลีชีวิตเพื่อสถาบันอันเป็นที่รักได้ทุกคน

-อานนท์!! เธอสร้างความแตกแยก สร้างความร้าวฉานโดยเหตุอันไม่สมควรเลย เธอทำเพราะกิเลสที่หมักหมมในกมลสันดาน ด้วยความอยากได้ใคร่ดีในชื่อเสียง และด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของเธอ

-อานนท์ !! บัดนี้ เรารู้แล้ว เธอคือนักโหน โหนโน่น โหนนี่ สุดท้ายเธอบังอาจโหนฟ้า และแบ่งแยกดิน

-อานนท์!! เราประจักษ์แล้ว ว่าเธอมิใช่ปราชญ์หรอก แต่เธอเป็นเปรตมากกว่า โทษของเธอเป็นมหันตโทษ เธอจะถูกลงโทษจากองค์พระแม่ธรณี

-อานนท์ ! จงหยุดความอหังการ์ ของเธอเสีย ณ บัดนี้ หาไม่แล้ว ก็จงรอวันธรณีสูบเธอลงสู่นรก !!


ที่มา: https://www.facebook.com/134404053297395/posts/5308287625908986/

ดราม่าค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลัง 198 องค์กรผู้บริโภคล่ารายชื่อ ค้าน กทม.ต่อสัมปทานให้บีทีเอส อ้าง!65 บาทแพงไม่มีที่มาที่ไป ชี้เก็บค่าแค่ 25 บาทก็มีกำไร ด้าน กทม.สวนกลับ เหตุใดไม่ไปไล่บี้ใต้ดิน-สีม่วง ยกรัฐจ่ายค่าก่อสร้างให้หมดแล้ว เหตุใดยังเก็บแพง

วันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 ภายหลังเครือข่าย 198 องค์กรผู้บริโภคออกโรงล่ารายชื่อคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้กับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด(มหาชน)หรือบีทีเอสซีผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว โดยระบุว่า การกำหนดอัตราค่าโดยสารที่กำหนดสูงสุด 65 บาทตลอดสายแพงเกินไป สร้างภาระต่อผู้บริโภค และแม้องค์กรผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพยายามสอบถามถึงที่มาของตัวเลข 65 บาท แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบใด ๆ  นั้น 

แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด วิสาหกิจของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย เปิดเผยว่า หากสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียวสิ้นสุดลงในปี 2572 และโครงการได้โอนกลับมาเป็นของรัฐแล้ว ถึงเวลานั้น รัฐบาลหรือ กทม.จะกำหนดค่าโดยสารอย่างไรก็ย่อมทำได้ จะจัดเก็บค่าโดยสารแค่ 10 - 15 บาท หรือ 15 - 25 บาทตลอดสายสามารถกำหนดได้ทั้งสิ้นเพียงแต่ค่าโดยสารที่ต่ำติดดินขนาดนั้น จะทำให้โครงการไปรอดหรือไม่ และ กทม.จะนำเงินจากไหนไปจ่ายค่าก่อสร้างและค่าจ้างบริหารการเดินรถ และซ่อมบำรุง ทั้งต้องไม่ลืมว่า แม้สัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว จะสิ้นสุดลงในปี 2572 แต่ กทม.ก็ยังมีสัญญาจ้าง BTS ให้บริหารจัดการเดินรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย(อ่อนนุช-แบร่ิง-สมุทรปราการ และพหลโยธิน-คูคต) ต่อไปอีก 12 - 13 ปี สิ้นสุดปี 2585  

ซึ่งหากรัฐหรือ กทม.จะหักดิบไม่ต่อสัญญาจ้างบริหารกับ BTS เพื่อให้สิ้นสุดพร้อมกันในปี 72 เลยแม้จะทำได้ แต่ก็คงจะเกิดปัญหาฟ้องร้องกันตามมาแน่และหากรัฐและกทม.จะเปิดประมูลหาเอกชนรายใหม่เข้ามาบริหารจัดการทั้งโครงการ สุดท้ายก็จะกลับไปยังจุดเร่ิมต้นที่ว่า อัตราค่าโดยสารที่จัดเก็บควรเป็นเท่าใด สูงสุด 25 บาทตลอดสายตามที่องค์กรผู้บริโภคเรียกร้องได้หรือไม่ จะทำให้โครงการไปรอดหรือไม่ เพราะหากจะพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ระยะทางแค่ 28 กม. ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่วันนี้จัดเก็บค่าโดยสารเพียง 15 - 35 บาทต่ำกว่าสายอื่น ๆ แต่แอร์พอร์ตลิงค์ มีสภาพเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายต่างประจักษ์กันดี เพราะนับแต่เปิดให้บริการมาจนปัจจุบัน แอร์พอร์ตลิงค์ขาดทุนอย่างหนัก ไม่มีเงินจัดซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนตามวงรอบ จนต้องถอดอะไหล่อีกคันมาสลับสับเปลี่ยนเพื่อให้ขบวนรถพอจะวิ่งได้ แต่สุดท้ายก็ต้องประเคนแถมพ่วงไปกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินให้บริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกในเครือซี.พี.เพราะการรถไฟฯไม่สามารถจะแบกรับภาระได้ในส่วนของค่าโดยสารรถไฟฟ้า 25 บาทที่องค์กรผู้บริโภคกำลังตีปี๊บกันอยู่เวลานี้ 

แหล่งข่าว กล่าวว่า คงต้องย้อนถามกลับไปว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และคำนวณมาจากผู้เชี่ยวชาญที่ไหนถึงได้กำหนดราคาออกมาต่ำติดดินชนิดที่รถเมล์แอร์ยังสู้ไม่ได้ หากจะอ้างว่า อ้างอิงมาจากสำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและจรจร(สนข.) กระทรวงคมนาคม หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) องค์กรผู้บริโภคคงต้องย้อนกลับไปตรวจสอบให้ดีว่า ข้อมูลดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ปชป.และอดีตรองผู้ว่า กทม.เพิ่งงัดข้อมูลในเอกสารคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีบุรี ระยะทาง 35.9 กม.ของรฟม.เอง ที่ระบุอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีส้ม ส่วนตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีบุรี) ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 ที่ราคา 17 - 62 บาท ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ถูกกระทรวงคมนาคม และรฟม.แย้งก่อนหน้านี้ว่า “แพง” จนรับไม่ได้ ซึ่งเมื่อเจอย้อนศรเข้าไปตรง ๆ ฝ่ายบริหาร รฟม.กลับอ้างว่า เป็นแค่ตุ๊กตาที่ให้เอกชนใช้ยื่นข้อเสนอร่วมลงทุน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันเท่านั้น
 

"หากจะอ้างว่า เมื่อเป็นโครงการของรัฐแล้ว ย่อมสามารถกำหนดค่าโดยสารได้ต่ำ แล้วทำไมรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงิน ที่ รฟม.ให้สัมปทาน บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้า(BEM) และสายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่ ที่รฟม.ว่าจ้างให้ BEM บริหารจัดการและซ่อมบำรุง (O&M ) วันนี้ถึงกำหนดค่าโดยสารไว้สูงสุดถึง 44 บาท ทั้งที่รัฐบาลได้ลงทุนค่าก่อสร้างให้หมดทุกบาททุกสตางค์ไปแล้ว เอกชนแค่ซื้อรถมาวิ่งให้บริการเท่านั้น เหตุใด รฟม.ถึงไม่ลดค่าโดยสารเหลือ 10 - 25 บาทเป็นตัวอย่างเสียเลยวันนี้ เก็บค่าโดยสารสูงสุดแค่ 25 บาทก็มีกำไรทันทีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ จะไปตั้งค่าโดยสารเท่ากับหรือใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าบีทีเอสของ กทม.ที่ 15 - 44 บาททำไม ในเมื่อรัฐจ่ายค่าก่อสร้างให้หมดแล้ว  แถมบริษัทเอกชนไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้แก่ รฟม.ด้วยอีก ขณะที่รถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น เอกชนต้องแบกภาระลงทุนเอง และหากขยายสัมปทาน 30 ปี ก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ กทม.อีกกว่า 200,000 ล้านบาทด้วย” แหล่งข่าว ระบุ

แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ กทม. กำลังเผชิญ อยู่ในปัจจุบัน ก็คือ กทม.ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะจ่ายหนี้ค้างค่าก่อสร้าง และค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายให้คู่สัญญาเอกชนได้ เฉพาะหนี้ค้างที่ถึงกำหนดที่ถูก บมจ.บีทีเอสยื่นโนตี๊สมาแล้วในเวลานี้ ก็มากกว่า 30,000 ล้านเข้าไปแล้ว และยังจะต้องจ่ายหนี้ค้างที่ว่านี้รวมกว่า 68,000 ล้านกับค่าจ้างเดินรถอีกปีละกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งหากคิดไปถึงปี 2572 ก็ตกร่วม ๆ 100,000 ล้านบาท ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ กทม.ร้องแรกแหกกระเชอขอให้รัฐ และกระทรวงการคลังช่วยเหลือ ช่วยหาเม็ดเงินมาจ่ายหนี้ค้างเหล่านี้ให้ที ซึ่งหากรัฐบาลและกระทรวงคลังเจียดเม็ดเงินให้ กทม.จ่ายหนี้ค้างเหล่านี้ไปถึงปี 2572 ได้ ถึงเวลานั้น รัฐหรือกทม.จะเอาโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวนี้ ใส่ตะกร้าล้างน้ำเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาบริหารกันอย่างไรก็ทำได้ จะกำหนดอัตราค่าโดยสารอย่างไรก็ย่อมได้

‘บิ๊กตู่’ เรียกถกทีมเศรษฐกิจ และฝ่ายกฎหมาย รัฐบาล หารือ 4ประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทั้งแผนฟื้นฟูการบินไทยเข้า ก่อนชง ครม. - ช่วยเหลือโควิด รอบ 3 -แก้หนี้ครู และ กยส. -สรุปแอปพลิเคชันลงทะเบียนรับวีคซีน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เรียกประชุม นัดพิเศษ ทีมเศรษฐกิจ และ ฝ่ายกฎหมายรัฐบาล  อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ สมช. และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย 

ซึ่งมีวาระการหารือที่สำคัญ 4 เรื่องคือ แผนฟื้นฟูการบินไทย ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันอังคารที่ 17 เม.ย.นี้ นอกจากนี้ ยังหารือถึงแผนบรรเทาผลกระทบโควิดรอบที่ 3 รวมทั้งการแก้ปัญหาหนี้ กยส. และหนี้ครู รวมทั้ง ข้อสรุปการลงทะเบียนรับวัคซีน ผ่านแอปพลิเคชัน ที่ธนาคารกรุงไทย รับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ นายกรัฐมนตรีจะยังไม่มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยได้รับการประสานว่าการชี้แจงจะมีภายหลังการประชุม ศบค.ในช่วงเย็น

อดีต ส.ส.ปชป. วัชระ เพชรทอง เชื่อ “ตู่-จตุพร” ปลุกม็อบ “ตู่ชนตู่” ขึ้น รอดูพัฒนาสู่ม็อบสามัคคีไม่เอาลุง ชี้ชั้นเชิงชวนมวลชนยังเก๋า เชื่อจุดติดใหญ่เมื่อไรรัฐยกกฎหมายไล่สอยรายคน

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์การออกมาเคลื่อนไหวม็อบ 4-4-4 ภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่ม นปช.ที่มีเป้าหมายจะขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า

ตนมองว่าแม้นายจตุพรว่าจะถูกหลายฝ่ายดิสเครดิตทั่วสารทิศ แต่จะเห็นว่านายจตุพรไปตามคำเชิญของนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกลุ่มญาติฯ ซึ่งมีนักต่อสู้เดือนตุลา กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายคนทุกสีจึงย่อมมีน้ำหนักในการเคลื่อนไหว อีกทั้งนายจตุพรยังเป็นผู้ที่เจนจัดในการปลุกม็อบ นำม็อบและจบม็อบตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬ จนถึงยุคคนเสื้อแดง ยุทธปัจจัยในการนำและเคลื่อนม็อบ จึงมีประสบการณ์อย่างโชกโชน เรียกว่าแค่หลับตาก็รู้ว่าจะเดินหมากอย่างไร ดังนั้น ยุทธการณ์ “ตู่ชนตู่” จึงประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

นายวัชระ กล่าวอีกว่า ส่วนบรรดาคนเสื้อแดงที่กลับใจไปอยู่กับรัฐบาล หากนับตามฝีมือแล้วยังห่างชั้นนายจตุพรอยู่มาก แต่ก็เข้าตำราโบราณว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ภาพลักษณ์ชายชุดดำ และวลีเผาบ้านเผาเมืองอาจคาใจคนกรุงเทพฯ จำนวนมาก แต่การพุ่งเป้าล้มรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียวย่อมทำให้ได้แนวร่วมมากขึ้น จึงต้องดูจังหวะการเคลื่อนไหวที่อาจมีการประสานให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาลโดยมีการนำแบบรวมหมู่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต หรือจัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจขึ้นมาแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กปปส.หรือไม่

“สถานการณ์ความเบื่อหน่าย พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเข้าสู่ช่วงสุกงอมหรือไม่ ให้ดูที่ยุทธการเปิดไพ่ทีละใบว่ามีผู้นำมวลชน ผู้นำนักเรียนนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ ชาวนาชาวไร่ ผู้นำเกษตรกร พรรคการเมือง นักการเมือง ผู้นำแรงงานหรือกลุ่มพลังกดดันทางสังคมได้ทยอยเปิดตัวเข้าร่วมอย่างเป็นระบบหรือไม่ มีมวลชนเข้าร่วมหลังเทศกาลสงกรานต์แบบไหลมาเทมาหรือไม่ ถึงจุดนั้นรัฐบาลก็ต้องตั้งรับให้ดี ผมคิดว่ารัฐบาลคงใช้กฎหมายเป็นตัวหลักในการจัดการกับม็อบหรือผู้นำม็อบ คงจะมีการตรวจสอบเป็นรายบุคคลว่าใครมีคดีความอยู่ในชั้นไหนหรือหน่วยงานใดบ้าง แล้วใช้กำลังภายในจัดการทีละคนทีละกลุ่มเพื่อตัดกำลัง เหมือนที่กลุ่ม กปปส.เคยโดนมาแล้ว”

นายวัชระมองด้วยว่า ม็อบ “ตู่ชนตู่” จะพัฒนาสู่ม็อบ “สามัคคีคนไม่เอาลุงตู่” ในที่สุด แต่จุดจบจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามอย่ากะพริบตา เพราะคู่ชกครั้งนี้สมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ม็อบเด็กๆ คิกขุอาโนเนะ ที่ไม่รู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เพราะเมื่อสภาไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหา การอภิปรายนอกสภาและมีเป้าหมายเพื่อขับไล่รัฐบาล จึงเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรของการเมืองไทย ซึ่งอาจจบลงแบบ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อ หรือ ลาออก หรือ ยุบสภา หรือ รัฐประหาร หรือ ม็อบถูกรัฐบาลกวาดล้างพ่ายแพ้ไปก็เป็นได้


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000036009


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top