Monday, 19 May 2025
PoliticsQUIZ

“ภูมิใจไทย” เปิดเวที “ชำแหละค่ารถไฟฟ้า ที่เหมาะสม” สะท้อนปัญหาค่าโดยสารราคาแพง เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ ด้าน ‘สิริพงศ์’ ลั่น ! จับตา กทม.อย่างใกล้ชิด ขู่ประกาศขึ้นราคาเมื่อไหร่ - ฟ้องเมื่อนั้น

ขณะที่ “กรมราง-รฟม.-นักวิชาการ-ผู้บริโภค” ประสานเสียง ค่าโดยสารถูกลงได้อีก ชี้ไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ประธานเปิดการเสวนา เรื่อง “ชำแหละค่ารถไฟฟ้า ที่เหมาะสม” ที่จัดขึ้นโดยพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.จังหวัดศรีษะเกษ เขต 1 พรรคภูมิใจไทย, นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.), นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.), นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค, นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการขนส่งมวลชน มูลนิธิผู้บริโภค และนายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI ร่วมเสวนา

นายศุภชัย กล่าวว่า ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ได้มุ่งเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในหลายรูปแบบ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวก และรองรับการเดินทางของประชาชน ในส่วนของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ก็นับเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ของประเทศไทยที่มีการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบ “รถไฟฟ้า” ที่กลายเป็นโครงข่ายการเดินทางหลัก เพื่อให้สอดรับกับการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งภาคการค้า การลงทุน ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล รวมถึงเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการค้าหลักของกลุ่มประเทศในภูมิภาค

“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้นี้ การเดินทางโดยโครงข่ายรถไฟฟ้าถือเป็นการขนส่งสาธารณะหลักของประชาชนชาว กทม. และปริมณฑล รวมถึงประชาชนในจังหวัดอื่นๆ ที่เดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่ต้องแบกรับภาระค่าเดินทางที่มากเกินไปอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน รายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย และกลายเป็นหนี้สินในท้ายที่สุด” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวต่ออีกว่า ตามที่มีการประกาศจากส่วนราชการ จะมีการคิดอัตราค่าโดยสารตลอดสายในราคาสูงถึง 104 บาท หรือหากเดินทางไป-กลับ รวมค่าโดยสารต้องจ่ายถึง 208 บาท แต่ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในเขต กทม. อยู่ที่ 331 บาท อีกทั้งเงินเดือนสำหรับผู้ศึกษาจบในระดับปริญญาตรี เริ่มต้นเฉลี่ย อยู่ที่เดือนละ 15,000 บาท เท่านั้น พรรคภูมิใจไทย จึงได้จัดงานเสวนา เรื่อง “ชำแหละค่ารถไฟฟ้าที่เหมาะสม” ขึ้น เพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ที่อยู่ในวงการคมนาคม ขนส่ง นักวิชาการ ผู้ใช้บริการและภาคประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น เพื่อสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งหาแนวทางการแก้ไขปัญหา และเป็นเสียงสะท้อนเพื่อนำไปสู่การพิจารณาของภาครัฐ ภาคเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นประโยชน์ของประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการระบบขนส่งเป็นหลัก

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.จังหวัด ศรีสะเกษ เขต 1 พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ตนในฐานะ ส.ส. ซึ่งมีหน้าที่รับฟังปัญหาของประชาชน ทั้งนี้ ในส่วนของรถไฟฟ้า โดยเฉพาะค่ารถไฟฟ้านั้น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้ให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพของประชาชนทุกคน ไม่เพียงแค่ชาว กทม. เท่านั้น แต่ชาวต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานหรือดำรงชีวิตในเขต กทม. และปริมณฑล ไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ดังกล่าว ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ที่ต้องแบกรับภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าในอัตราสูง โดยมองว่า ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังมีราคาแพงเกินไป

ทั้งนี้ ตามที่มีการออกประกาศของ กทม. เรื่องปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาทตลอดสาย เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 และในประกาศระบุไว้ว่า มีผลวันที่ 16 ก.พ. 2564 จนเป็นเหตุให้ตนและ ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ไปดำเนินการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อให้พิจารณายับยั้งการขึ้นราคา พร้อมทั้งให้พิจารณาว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากมองว่า เรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้า เป็นเรื่องสำคัญของประชาชน อีกทั้ง ระบบรถไฟฟ้า ควรเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงได้ และไม่เป็นภาระของประชาชน

“ถึงแม้ว่า ล่าสุด กทม. จะประกาศเลื่อนการปรับขึ้นราคาดังกล่าว และศาลได้มีคำสั่งทุเลาการยื่นฟ้องนั้น ผมยังเชื่อว่า โอกาสที่ กทม. จะขึ้นราคาค่าโดยสาร ยังมีแน่นอน ผมจะเฝ้าจับตามอง และติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะประกาศของ กทม. ระบุไว้ว่า เลื่อน ไม่ได้ยกเลิก ซึ่งหลังจากนี้ ถ้า กทม.มีประกาศอีกเมื่อไหร่ เราก็จะไปฟ้องร้องอีก เพราะราคา 104 บาทตลอดสาย ไม่ใช่ขนส่งมวลชนสาธารณะที่ทุกคนใช้ได้ เป็นแค่บางคนที่มีฐานะเข้าถึงได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ” นายสิริพงศ์ กล่าว

ขณะที่ นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า วิธีการคิดคำนวณค่าโดยสารทั่วโลก มี 3 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.อัตราเดียวกันทั้งหมด 2.คิดตามระยะทาง และ 3.คิดตามโซน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้คิดค่าโดยสารในรูปแบบตามระยะทาง บวกด้วยค่าแรกเข้า ทั้งนี้ การเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้า จุดประสงค์หลัก คือ การเดินทางสะดวก ราคาไม่แพง และทุกคนต้องเข้าถึงได้ และควรหารายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ มาชดเชยรายได้ และลดค่าโดยสารให้กับประชาชน โดยมองว่า ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังมีราคาแพงเกินไป

ขณะที่นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ระบบรถไฟฟ้าของ รฟม. ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มีการกำหนดหลักเกณฑ์ระหว่างคู่สัญญาไว้ ทั้งนี้ การคิดอัตราค่าโดยสารของ รฟม. นั้น คิดตาม MRT Assessment Standardization ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ทั้งนี้ ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันนั้น รวมระยะทาง 48 กิโลเมตร (กม.) มี 38 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 17-42 บาท (คิดค่าโดยสาร 12 สถานี) ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วง ให้บริการ 16 สถานี คิดค่าโดยสารในอัตรา 14-42 บาท อีกทั้งหากใช้บริการข้ามระบบ หรือระหว่างสายสีม่วงเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงิน รวม 54 สถานี ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 70 บาทตลอดสายเท่านั้น โดยเมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถือว่าค่าโดยสารของ รฟม. ถูกกว่าเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลืองในอนาคต จะใช้วิธีการคำนวณอัตราค่าโดยสารในรูปแบบแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ตามที่ BTS จะหมดสัญญาสัมปทานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในปี 2572 นั้น มองว่า เป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากโครงการดังกล่าว รัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการโดยสมบูรณ์ และสามารถบริหารจัดการโครงการ แล้วมาชดเชยค่ารถไฟฟ้าได้ ซึ่งจะทำให้ค่ารถไฟฟ้ามีราคาที่ถูกลง ซึ่งจะทำให้หลายโครงข่ายมีค่าโดยสารในรูปแบบเดียวกัน

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า ราคาค่ารถไฟฟ้าในปัจจุบันไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และถือว่าแพงที่สุดในโลก โดยเมื่อพิจารณาจากตัวเลขอ้างอิงโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) ที่ระบุว่า ค่ารถไฟฟ้าของประเทศไทย มีอัตรา 26-28% ของค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่ หากใช้ราคา 65 บาท จะอยู่ที่ 30 กว่า% ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านจะอยู่ที่ 3-9% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มองว่า การคิดคำนวณค่ารถไฟฟ้าไม่ควรยึดหลักดัชนีผู้บริโภค โดยไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ อีกทั้ง ควรมีการกำหนดเพดานราคาสูงสุดของค่ารถไฟฟ้าทั้งระบบด้วย

นอกจากนี้ ควรมองว่า ระบบรถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก แต่ในปัจจุบันกลับมองว่า เป็นการให้บริการทางเลือก

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลของกระทรวงคมนาคม ระบุว่า หากเก็บค่าโดยสารสูงสุดที่ราคา 49.83 บาท กทม.จะมีกำไรส่งให้รัฐในปี 2602 อยู่ที่ 380,200 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลของ กทม. ระบุว่า หากเก็บค่าโดยสารที่ราคา 65 บาท กทม.จะมีกำไรส่งรัฐในปี 2602 อยู่ที่ 240,000 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลของสภาฯ คำนวณว่า หากเก็บค่าโดยสารที่ 25 บาท จะมีกำไรส่งรัฐในปี 2602 อยู่ที่ 23,200 ล้านบาท โดย กทม. อ้างว่า การคำนวณของกระทรวงคมนาคม คำนวณรายได้จากจำนวนผู้โดยสารสูงกว่า กทม. คำนวณ

“ทำไม กทม. ถึงต้องหวังมีกำไร เนื่องจากการเป็นการให้บริการขนส่งสาธารณะกับประชาชน ซึ่งควรพิจารณานำกำไรที่ได้ มาเฉลี่ยเป็นค่ารถไฟฟ้าให้ถูกลง ซึ่งถ้า กทม. ทำไม่ได้ รัฐก็ไม่ควรต่อสัญญา ควรชะลอให้ผู้ว่า กทม.คนใหม่เข้ามาตัดสินใจ เพราะดิฉันเชื่อว่า ราคาจะถูกลงได้ นอกจากนี้ ควรมาทบทวนทั้งระบบ โดยจะต้องมีราคาที่ถูกลง หรือไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ และบอกมาเลยว่า ต้องมีสัญญาสัมปทานกี่ปี ค่ารถไฟฟ้าถึงลดลงได้ ตอนนี้ถือเป็นโอกาสของผู้ว่า กทม. คนปัจจุบัน ย้ำว่า ถ้าทำไม่ได้ ต้องไม่ต่อสัญญา” นางสาวสารี กล่าว และว่า เราชื่นชมมากเลยที่ พรรคภูมิใจไทย และ นายสิริพงศ์ ไปฟ้องคดี เพราะการตัดสินใจจะฟ้องเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการมาก

ขณะที่ นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการขนส่งมวลชน มูลนิธิผู้บริโภค กล่าวว่า จุดยืนของมูลนิธิฯ ยืนยันว่า ระบบรถไฟฟ้าต้องเป็นขนส่งมวลชนหลัก ไม่ใช่ระบบขนส่งทางเลือก ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้รับคำตอบจาก กทม. ในวิธีการคิดค่าโดยสารว่า มีสูตรคำนวณอย่างไร ขณะเดียวกัน ไม่เห็นด้วยกับการเร่งรีบในการต่อสัญญาสัมปทานของ กทม. กับภาคเอกชน เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 8 ปี ควรมาร่วมกันพิจารณาทางออกให้ชัดเจนก่อน

นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI กล่าวว่า จากการศึกษาข้อมูลประเทศไทยติดอันดับในเรื่องของอัตราค่าโดยสารที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยหลายด้าน โดยอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ ถือว่ามีอัตราค่าโดยสารที่สูง และเมื่อเทียบกับมาตรฐานระดับต่างประเทศ ก็ยังถือว่าสูงมากเช่นเดียวเช่นกัน

คลังฯ เตรียมหารือ ขยายโครงการคนละครึ่งเฟส 3 คาดครอบคลุมสิทธิ์เดิม 15 ล้านคนไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ วงเงินเยียวยาสูงสุด 3,500 นาน 3 เดือน แต่ต้องดูตามความเหมาะสม พร้อมเล็ง! ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% จูงใจต่างชาติลงทุนในไทย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง ขยายมาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่มาตรการเฟส 1-2 จะครบกำหนดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ว่า จะขยายต่อไปเลยหรือไม่ หรือเป็นช่วงเวลาใด และจะครอบคลุมผู้ที่ได้สิทธิ์เดิม 15 ล้านคนที่ได้สิทธิ์เดิมไม่ต้องมาลงทะเบียนใหม่ หรือ จะเปิดลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด ให้สิทธิ์กับทุกคนที่อยากได้

“ตอนนี้ต้องออกแบบโครงการให้ชัดเจนก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ถ้าฝ่ายนโยบายเห็นว่า จะไม่มีโครงการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ออกมา ก็สามารถเสนอโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ได้ ซึ่งหลักการต้องใกล้เคียงกับของเดิม แต่จะดูเวลาที่เหมาะสม ว่าจะให้ต่อเนื่องไปเลย หรือ จะเว้นช่วงไว้ แล้ว จะให้สิทธิ์กี่คน จำเป็นต้อง 15 ล้านคนไหม หรือจะให้ 30 ล้านคนเท่าเราชนะ แต่ถามใจคือ ใครอยากได้ต้องได้หมด” นายกฤษฎา กล่าว

ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งเฟส 3 ต้องแก้ข้อบกพร่องเดิม ที่มีในโครงการเฟส 1-2 เช่น จะต้องรวมภาคบริการจากเดิมให้ซื้อได้เฉพาะสินค้า ซึ่งจะต้องขอหารือกับธนาคารกรุงไทยว่า มีภาคบริการเข้าร่วมโครงการในฐานข้อมูลมากน้อยแค่ไหน และสาเหตุที่ควรขยายมาตรการเฟส 3 ออกไป เพราะเห็นว่าต้องการรักษาแรงส่งให้เศรษฐกิจฟื้นฟูต่อไปได้ เป็นการช่วยเหลือทุกภาคส่วน ร้านค้ารายเล็ก ทั้งสินค้าและบริการกว่า 2 ล้านราย ให้มีส่วนร่วมช่วยกันจับจ่ายใช้สอยคนละครึ่งกับรัฐบาล

นายกฤษฎา กล่าวว่า ส่วนวงเงินที่จะให้เบื้องต้น คาดว่าจะไม่ได้ให้ 500 บาท เหมือนเฟส 2 ซึ่งอาจจะน้อยเกินไป แต่หากจะให้ รายละ 3,000-3,500 บาท นาน 3 เดือน ก็ต้องดูว่า มีเงินเหลือพอหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ เงินกู้จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนวงเงินเยียวยา 5.5 แสนล้านบาท ใช้ไปเกือบหมดแล้ว จึงเหลือวงเงินในส่วนฟื้นฟูอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท ที่จะนำมาใช้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายว่า จะจ่ายเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม

ส่วนข้อเสนอของ นายสุพัฒนพงษ์ ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% เพื่อจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยนั้น ต้องไปพิจารณาว่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งแล้ว อัตราภาษีไทยสูงเกินไปหรือไม่ เช่น สิงคโปร์ อยู่ที่ 18% แต่บางประเทศก็สูงกว่าไทยมาก ในมุมมองคือ ถ้าลดภาษี ก็ช่วยเรื่องของการแข่งขัน จูงใจลงทุนเพิ่มขึ้นได้ แต่การเสนอต้องทำเป็นแพ็คเกจ ถ้าลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ก็ต้องจัดเก็บรายได้จากตัวอื่นมาทดแทนด้วย

สำนักงานวิจัยแห่งชาติ เผยคนกรุงเริ่มการ์ดตก หลัง AI ตรวจพบคนเริ่มใส่แมสลดลงอย่างต่อเนื่อง เขตยานนาวา มีคนสัญจรที่ไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องมากที่สุดถึง 19.32% จ่อรายงานศบค.เร่งกระตุ้นให้คนกลับมาใส่แมสให้ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายธนารักษ์ ธีระมั่นคง สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เปิดเผยรายงานผลการติดตามการใส่หน้ากากอนามัยโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)โดยเตรียมข้อมูลรายงานให้ศบค.ชุดเล็กทราบ ว่า มีแนวโน้มน่าเป็นห่วง เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯใส่หน้ากากอนามัยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ที่ไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องรวมกันสูงถึง 3.97%

ถึงแม้ว่าตัวเลขการใส่หน้ากากอนามัยโดยรวมยังสูงอยู่ที่ 96 % แต่โดยรวมทั้งเดือนที่ผ่านมา มีข้อมูลชัดเจนว่าประชาชนมีความระมัดระวังน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และช่วงวันหยุดยาวเนื่อง มีคนออกมาทำกิจกรรมร่วมกันเป็นจำนวนมาก โดยใส่หน้ากากอนามัยน้อยลง มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการแพร่ระบาด จึงอยากขอความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อให้มากขึ้น

ระบบปัญญาประดิษฐ์ เอไอมาสต์ นี้ ได้เพิ่มพื้นที่ในการเฝ้าระวังตรวจจับการใส่หน้ากากอนามัยมาเป็น 31 จุด ครอบคลุม 30 เขตทั่วกรุงเทพฯ โดย พบว่าเขตยานนาวา มีประชาชนผู้สัญจรที่ไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องมากที่สุดถึง 19.32% หรือสูงถึง 1 ใน 5 คน โดยถัดมาเป็นเขตบางคอแหลมที่มีอัตราการใส่หน้ากากไม่ถูกต้องหรือไม่ใส่หน้ากากอนามัยสูงถึง 10.15%

นอกจากนี้ ยังมีเขตที่อัตราการไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องสูงกว่า 5% มีมากถึง 11 เขต และมากที่สุดตั้งแต่เริ่มใช้ระบบการประเมินนี้

ภาพโดยรวมแล้ว 2 สัปดาห์ล่าสุดใกล้เคียงกับช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ โดยช่วงเช้าประชาชนใส่หน้ากากอนามัยมากกว่าในช่วงบ่าย ซึ่งแสดงถึงความระมัดระวังน้อยลงในตอนเย็นของแต่ละวัน นอกจากนี้ในวันหยุดโดยเฉพาะวันอาทิตย์จะมีแนวโน้มอัตราการไม่ใส่หน้ากากหรือใส่หน้ากากอนามัยไม่ถูกต้องสูงสุดในทุกสัปดาห์ และในช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลต่าง ๆ ก็มีอัตราการไม่ใส่หรือใส่ไม่ถูกต้องสูงขึ้นมาก

นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า "หลังจากที่ได้ใช้เทคโนโลยีเอไอมาประเมินมาได้ 2 เดือนตั้งแต่เดือนมกราคม อว.พบว่าอัตราการใส่หน้ากากอนามัยลดลงเรื่อย ๆ น่าเป็นห่วง จึงอยากกระตุ้นและรณรงค์ขอความร่วมมือการสวมใส่หน้าการอนามัย และขอให้ประชาชนระมัดระวังมากขึ้น” ทั้งนี้สถานการณ์เรื่องโรคโควิดของประเทศดีขึ้นมาก “ขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มใช้วัคซีนแล้ว โดยมีจำนวนผู้ฉีดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"

หลังจากกรณีการจับกุม นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ หัวหน้าการ์ดวีโว่ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ รัชโยธิน ทางเพจ 'Potato Corner Thailand' ร้านเฟรนช์ฟรายส์ชื่อดังของ 'พีช พชร' ที่ได้โพสต์ข้อความเพื่อทำการตลาด

“Potato Corner ฟรายส์คลุกผงเจ้าแรกแห่งไทย โดนแจ้งข้อหาฟรายส์อร่อยเกินไป เบื้องต้น “น้องโตโต้” (นามสมมติ) ได้ถูกจับกุมที่ร้าน Potato Corner สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 6"

โดยทางแบรนด์ได้อธิบายว่าได้ใช้มาสคอตประจำร้านชื่อว่า “น้องโตโต้” เป็นคาแรกเตอร์มันฝรั่ง สื่อถึงสินค้าหลักที่เป็นเฟรนช์ฟรายส์มาโดยตลอด

แต่ด้านดราม่ากลับมองว่าแบรนด์ได้ล้อเล่นกับความเป็นความตายของคนๆ หนึ่ง และได้ติดแฮชแท็ก #แบนPotatoCornerThailand จนเชื่อได้ว่าร้านของหนุ่มพีชอาจต้องถูกวิกฤติแบนหนักแน่ ๆ

อย่างไรก็ตามได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ Atom SP โพสต์ภาพลูกค้าเข้าแถวต่อคิวยาวหน้าร้าน หวังลิ้มรส Potato Corner เฟรนช์ฟรายส์ชื่อดังของพระเอกไฮโซทายาทห้างดัง แต่กลับต้องถามชาวเน็ตกลับว่า ติดแฮชแท็ก #แบนPotatoCorner แบนยังไงทำไมขายดีขึ้น

โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ระบุว่า...

ทัวร์ตั้งใจขับรถมากิน #potatocorner แต่ โดยมีคนต่อแถวชั่วคราว 50 คิวโดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มากกว่าเกินกฎหมาย

#มันแบนยังไงของมันวะ

#ว๊ากคนอยากกินไม่ได้กิน


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000022189

‘หมอยง’ ไขข้อสงสัย ถึงเหตุผลไม่ให้เอกชนนำเข้าวัคซีนเอง เพราะบริษัทผู้ผลิตจะไม่เจรจาตรงกับเอกชน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Yong Poovorawan’ ว่า...

โควิด วัคซีน มีคนถามมามากมาย ทำไมไม่ให้เอกชนนำเข้า

ต้องเรียนว่า วัคซีนโควิด ในปัจจุบันทั่วโลก จะขึ้นทะเบียนแบบใช้ในภาวะฉุกเฉิน EUA (Emergency Use Authorization) เกือบทั้งหมด

ดังนั้นการใช้ในแต่ละประเทศ รัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องรับผิดชอบเอง บริษัทผู้ผลิตจึงจะไม่เจรจากับภาคเอกชน และไม่เข้ามารับผิดชอบร่วมด้วย ในกรณีที่เกิดมีอาการแทรกซ้อน หรืออาการไม่พึงประสงค์

การส่งมาจำหน่ายในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จึงต้องการติดต่อกับภาครัฐเท่านั้น

ภาคเอกชน เมื่อติดต่อกับบริษัทผู้ผลิต บริษัทจะไม่ติดต่อด้วย จะต้องได้รับการรับรอง ร้องขอ หรือสั่งจองจากภาครัฐ หรือตัวแทนภาครัฐเช่น องค์การเภสัช หรือหน่วยงานอื่น ที่ภาครัฐมอบหมายเท่านั้น ทั้งๆ ที่วัคซีนหลายบริษัทขณะนี้ อยากขาย เพราะได้ราคาดีมาก

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหลังจากที่ประเทศทางตะวันตกได้ให้วัคซีนกับประเทศของตัวเองมากพอแล้ว วัคซีนก็จะเริ่มล้น และบริษัทก็ต้องการจะขายเอากำไร อย่างในอเมริกาตั้งเป้าการฉีดให้ได้ตามเป้าหมายภายในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นปริมาณการใช้วัคซีนก็จะลดลง บริษัทที่ผลิตถึง 3 บริษัท ก็ต้องการส่งออก หรือขายนั่นเอง

ดังนั้น ตามหลักความจริงแล้ว ภาคเอกชนจะไม่สามารถที่จะนำเข้ามาได้เลย ถึงแม้จะเป็นตัวแทน ให้ทางบริษัทผู้ผลิตมาขึ้นทะเบียนกับ ‘อย.’ ก็ตาม เพราะทางบริษัทจะไม่สนใจ ที่จะมาขึ้นทะเบียน ถ้าหากภาครัฐไม่ร้องขอ บริษัทจะต้องการหนังสือรับรองแสดงเจตจำนง (LOI) จากทางภาครัฐ หรือตัวแทนภาครัฐเท่านั้น

จนกว่าในอนาคต ที่ได้ขึ้นทะเบียนเต็มรูปแบบ และรับประกันความผิดชอบแล้ว ภาคเอกชนจึงจะสามารถนำเข้ามาได้ หรือนำมาขึ้นทะเบียนได้ อย่างวัคซีนหลายชนิดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่อยู่นอกแผนการให้วัคซีนแห่งชาติ เช่นวัคซีนผู้ใหญ่ป้องกันปอดบวม วัคซีนเด็ก 5 โรค 6 โรค เพราะใช้ในยามปกติอยู่แล้ว และขึ้นทะเบียนได้ในภาวะปกติ

ทางออกที่จะให้ภาคเอกชน ได้ร่วมจัดซื้อ ลงทุน หรือบริการวัคซีน ช่วยภาครัฐได้ โดยเฉพาะพวกนายทุนใหญ่ๆ ที่ส่งฝากถามผมมา

ภาคเอกชนจะต้องรวมตัวกัน เจรจากับภาครัฐ และทางฝ่ายรัฐ หรือตัวแทนภาครัฐ จะต้องเป็นคนเจรจากับบริษัทวัคซีน จะต้องรับรอง หรือมีเงินกองทุน รับผิดชอบ กรณีมีปัญหาของวัคซีน เช่น อาการไม่พึงประสงค์ เพราะถือว่าเป็นการแบ่งเบาภาครัฐ ภาครัฐจะต้องออกหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) Letter of Intent หนังสือนี้จะต้องเป็นของภาครัฐ หรือตัวแทนภาครัฐเท่านั้น แสดงเจตนาต่อคู่สัญญาก่อนที่จะเซ็นสัญญาร่วมกัน ถ้าไม่มีหนังสือแสดงเจตจำนง บริษัทวัคซีนต่างๆก็จะไม่มาขึ้นทะเบียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่ภาคเอกชน จะนำเข้ามา

โดยหลักการแล้ว บริษัทใหญ่ๆ นายทุนใหญ่ๆ ก็อยากจะช่วยเหลือภาครัฐนำเข้าวัคซีน ที่เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอ ที่ต้องการให้เศรษฐกิจฟื้นเร็ว แต่ในความเป็นจริง ภาคเอกชน หรือนายทุนที่จะช่วยเหลือ เช่น โรงงานต่างๆ สภาอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยว ถ้าทางภาครัฐ ไม่เข้าร่วมเจรจา กับบริษัทวัคซีนแล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะมีการนำเข้ามาในช่วงนี้ จนกว่าจะมีการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน

ดังนั้นหลายคนที่ถามมาว่า ทำไมภาคเอกชน ที่อยากนำเข้า แต่ไม่สามารถนำเข้ามาได้ คงจะได้เข้าใจ

ถ้าผมเข้าใจผิดที่กล่าวมาข้างต้น ผมก็ยินดีน้อมรับ ที่จะแก้ไข ข้อคิดเห็น และความถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=5344163615626212&id=100000978797641

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย! ยอดลงทะเบียน ม.33เรารักกัน แล้วกว่า 8.2 ล้านคน ทั้งยังเปิดให้ผู้ประกันตนที่ไม่เคยลงทะเบียน ไม่มีสมาร์ทโฟน พกบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ลงทะเบียนที่ สปส. ทั่วประเทศ

โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงผลการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.- 7 มี.ค.64 จากเป้าหมายดำเนินการ 9.27 ล้านคน ปรากฏว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,208,286 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มี.ค.64 เวลา 23.00 น.) คงเหลืออีกประมาณ 1 ล้านกว่าคนในจำนวนนี้ ประกอบไปด้วย ผู้ที่รับเงินในโครงการเราชนะไปแล้ว ผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท และผู้ที่มีปัญหาอื่น ๆ ทางเทคนิค เช่น ชื่อ - นามสกุล ไม่ตรงกับฐานข้อมูลสำนักทะเบียนราษฎร หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูลผู้ประกันตน ลงทะเบียนช้า ไม่มีสมาร์ทโฟน

นายสุชาติ ยังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการสำหรับผู้ประกันตนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและยังไม่เคยลงทะเบียนเลย ขอให้เข้ามาติดต่อเพื่อลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศที่ท่านสะดวกในวันที่ 15 - 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาเพื่อลงทะเบียนขอรับสิทธิด้วย

โดยสำนักงานประกันสังคมจะจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องการลงทะเบียน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ไม่ผ่านสามารถขอทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ในวันที่ 15 - 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม

‘บิ๊กป้อม’ ขอบคุณคนคอนที่ลงคะแนนให้พรรคพปชร. ทุกคน ส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคได้รับชัยชนะเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ลั่นเป็นเรื่องประชาธิปไตย เชื่อไม่ทำให้ผิดใจกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมินตอบกระทบการปรับครม.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ผู้สมัครของพรรคพปชร. ชนะเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า ขอบคุณคนใต้ที่ลงคะแนนให้พรรคพปชร. ขอบคุณทุกคน

เมื่อถามว่าหลังจากนี้ทิศทางทางการเมืองในภาคใต้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ก็ว่ากันไป ไม่มีการโกรธกัน ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคปชป. หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี เป็นเรื่องของประชาธิปไตย

หลังจากนี้ หากมีการเลือกตั้งภาคใต้อีกพรรคพปชร. จะส่งลงแข่งขันหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่แน่ ก็แล้วแต่ว่าเรามีความพร้อมหรือไม่ เมื่อถามว่า การชนะเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า พรรคพปชร. ก็มีนิมิตหมายที่ดีมาตลอด เมื่อถามว่า ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเรื่องปัญหาการรณรงค์หาเสียงมาที่พรรคพปชร. หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่มีเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ผู้สมัครของพรรคพปชร. ได้รับเลือกเข้ามาจะกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถาม

ผลสำรวจกระแทก ‘ยูเอ็น’ เสียงข้างมาก คนไทยหนุน ตำรวจจัดการ ‘ม็อบ’ พังประเทศ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ‘ยูเอ็น ฟัง’ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,633 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-6 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.2 ระบุว่า ม็อบทำลายทรัพย์สินราชการ ทำลายเงินภาษีของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 3.8 ระบุว่า ไม่ทำลาย ที่น่าพิจารณา คือ

ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.7 ต้องการให้ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคง จับกุมกลุ่มม็อบที่ทำลายทรัพย์สินจากเงินภาษีของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 3.3 ไม่ต้องการ นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.9 สนับสนุนการทำงานของตำรวจในเหตุการณ์ ม็อบ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ร้อยละ 95.9 เช่นกันระบุว่า ตำรวจ จัดการม็อบ 28 ก.พ.ได้ดีกว่ามาตรฐานสากล และดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก ร้อยละ 95.4 ระบุว่า การพาคนและม็อบลงถนนจะนำไปสู่ความแตกแยกและการสูญเสียของคนในชาติ ร้อยละ 94.1 ระบุว่า มีนักวิชาการอยู่เบื้องหลังหนุนม็อบ สั่นคลอนสถาบันหลักของชาติและของประชาชน และร้อยละ 92.3 ระบุว่า มีต่างชาติอยู่เบื้องหลังหนุนม็อบ สั่นคลอนสถาบันหลักของชาติและของประชาชนคนไทย ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.6 ระบุว่า การทำหน้าที่ของตำรวจในการควบคุมม็อบ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาทำได้ดี ขณะที่ร้อยละ 3.4 ระบุว่า ทำได้ไม่ดี

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ‘ยูเอ็น ฟัง’ เป็นหัวข้อของโพลนี้ที่”เปิดใจประชาชน”ต่อสถานการณ์ม็อบ และการพาคนลงถนนที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นชัดเจนว่า ม็อบและการพาคนลงถนนนำไปสู่ความรุนแรงบานปลายและการสูญเสีย ขบวนการเบื้องหลัง คือ ต่างชาติ นักการเมือง นักวิชาการ และกลุ่มผู้หลบซ่อน (Unknown) ยุยง ปลุกปั่น กลุ่มเยาวชน ให้เกิดความเกลียดชังและจ้องทำลายสถาบันหลักของชาติและของประชาชน เพื่อให้คนในชาติอ่อนแอและทำร้ายทำลายทรัพย์สินจากเงินภาษีของประชาชนจนเหลือแต่ซากหักพัง

และแหล่งทุนต่างชาติก็จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ชาติและของประชาชนคนไทยเอาไปยึดครองในช่วงจังหวะคนไทยอ่อนแอและสูญเสียขาดพลังต่อรอง เมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดแบบนี้แล้ว คนไทยทุกคนต้องรู้รักสามัคคี ความสุขประชาชน คือ รู้เท่าทันเกมสงคราม (War Game) ม็อบนี้ไม่ตกเป็นเหยื่อของเกมนี้ที่ถูกคนไทยบางคนไปร่วมขบวนการกับต่างชาติ ยุยงปลุกปั่นคนรุ่นใหม่ที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ คาดคิดไม่ถึง จึงตกเป็นเครื่องมือทำลายทรัพย์สมบัติชาติกันเอง ดังนั้นทุกคนจึงต้องรักและสามัคคีกัน เพื่อความสุขประชาชน และช่วยกันพูดต่อให้ ‘ยูเอ็น ฟัง’


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/95172

กองสลากฯ เตรียมทดองใช้แอปฯ ซื้อ-ขาย "สลากกินแบ่งรัฐบาล" แก้ปัญหาหวยแพง นำร่องใช้กับเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย GLO official Sellers ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 56 แห่ง

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 64 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า เตรียมทดลองนำระบบแอปพลิเคชันรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ซื้อขายสลากแทนเงินสด เพื่อแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา และปัญหาการขายต่อทำกำไร โดยวิธีการซื้อขายสลากจะยังซื้อขายเป็นใบผ่านตัวแทนจำหน่ายตามปกติ เพียงแต่ชำระเงินด้วยแอปฯ แทนการจ่ายเงินสดเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นจะนำร่องใช้กับเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายสลาก 80 บาท จีแอลโอ ออฟฟิเชียล เซลเลอร์ส (GLO official Sellers) ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 56 แห่ง ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครและคัดเลือกในขณะนี้ก่อน

ทั้งนี้ การเปิดให้มีการซื้อขาย "ลอตเตอรี่" ผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้มีข้อมูลยืนยันได้ว่า มีการขายสลากในราคาใบ 80 บาทจริง และระบุตัวตนของผู้ซื้อและผู้ขายได้ว่ามีการขายให้กับใคร ขายแล้วมีการนำไปจัดรวมชุดหรือเก็งกำไรต่อหรือไม่ นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ให้นักเสี่ยงมีความมั่นใจว่า เมื่อซื้อลอตเตอรี่ไปแล้วหากเกิดถูกรางวัลขึ้นมาก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นผู้ซื้อลอตเตอรี่จากร้านนี้จริง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเกิดดราม่าหวย และฟ้องร้องกันหลายกรณี

สำหรับแอปพลิเคชันรับชำระเงินที่นำมาใช้ จะเป็นแอปฯ ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้อยู่แล้ว เช่น เป๋าตัง และ ถุงเงิน แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นแอปฯ รับชำระเงินประเภทนี้เท่านั้น อาจเป็นของสถาบันการเงินอื่นๆ ก็นำมาใช้ซื้อขายลอตเตอรี่ได้

ส่วนการรับสมัครตัวแทนจำหน่ายสลาก 80 บาท จีแอลโอ ออฟฟิเชียล เซลเลอร์ส ในกรุงเทพฯ และ นนทบุรี ซึ่งปิดไปเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา มียอดสมัครทั้งสิ้น 520 ราย แบ่งเป็นตัวแทนในเขตกรุงเทพ 460 ราย นนทบุรี 60 ราย โดยพื้นที่ที่สมัครมากสุดในกรุงเทพฯ เป็นเขตพระนครซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดค้าสลากคอกวัว ส่วนจังหวัดนนทบุรี มีอำเภอเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดค้าสลากสนามบินน้ำสมัครเข้ามามากสุด

ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากปิดรับสมัครแล้ว จะนำรายชื่อผู้สมัครเข้าตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น จากนั้นจะมีการสอบสัมภาษณ์ถึงแผนดูแลการจำหน่ายสลากไม่เกิน 80 บาท ซึ่งหากมีผู้ผ่านเกณฑ์มากกว่าเขตละ 1 ราย ก็จะมีจับสลากเลือกเพื่อหาตัวแทนเข้าร่วมเครือข่ายขายสลาก 80 บาทต่อไป โดยคาดว่าจะทราบผลได้ประมาณเดือนพ.ค.นี้ โครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายแนวทาง ที่พยายามนำมาแก้ไขปัญหาสลากขายเกินราคา โดยจะนำร่องเปิดให้เฉพาะตัวแทนผู้ค้าเดิมที่อยู่พื้นที่กรุงเทพ และนนทบุรีเข้ามาสมัครผ่านทางออนไลน์ก่อน

จากนั้นจะใช้เวลา 3 - 6 เดือนเพื่อประเมินผล หากได้ผลดีจะขยายไปยังจังหวัดอื่นต่อไป ซึ่งผู้เข้าร่วมเครือข่ายผู้ค้าจะต้องขายลอตเตอรี่ไม่เกินฉบับละ 80 บาท และจะได้รับสลากไปขายงวดละ 25 เล่มโดยมีการทำสัญญาแบบปีต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top