Monday, 19 May 2025
PoliticsQUIZ

ศาลอาญาไม่ให้ประกัน ‘เพนกวิน’ หลังแม่หอบเงินล้านบาทขอปล่อยตัว ชี้ผู้ร้องเคยยื่นหลายครั้งแล้ว รวมทั้งศาลอุทธรณ์ก็ไม่อนุญาต เนื่องจากเกรงจะไปก่อเหตุร้าย และไม่ได้กระทบต่อการศึกษาอย่างชัดเจน

ความคืบหน้ากรณีนางสุรีรัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน เดินทางมายื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวนายพริษฐ์ ที่ไม่ได้รับการประกันตัว 2 คดี สำนวนแรกเป็นหมายเลขดำที่ อ.286/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์เป็นจำเลยเพียงคนเดียว กรณีชุมนุมม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14 - 15 พ.ย. 2563 บริเวณแยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน สำนวนที่ 2 หมายเลขดำที่ อ.287/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์กับพวกเป็นจำเลย กรณีชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจ เมื่อวันที่ 19 - 20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก, ขอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างเหตุผลว่านายพริษฐ์ หรือเพนกวิน กำลังจะใกล้สอบแล้วนั้น

ล่าสุด ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งว่า คดีนี้ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ร้องอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า เกรงว่าจำเลยจะไปก่อเหตุร้ายอีก หลังจากนั้นผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยชั่วคราวอีกหลายครั้ง

ทั้งนี้ศาลเห็นว่าการที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและได้ให้เหตุผลไว้แล้ว โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการยุติว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลชั้นต้นนั้นถูกต้องแม้กฎหมายจะอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ แต่การยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ ซึ่งจะมีผลให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้นั้น ต้องปรากฏว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์แห่งคดีได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าในเหตุลักษณะคดี เช่น มีการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วปรากฏพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 อนุสอง หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวกับจำเลยอันแสดงว่าจำเลยนั้นจะไม่หลบหนีหรือไม่สามารถไปก่อเหตุร้ายอื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ศาลไม่จำต้องระบุเหตุผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ใหม่ เพราะเท่ากับจะเป็นการคัดลอกข้อความที่ศาลนี้และศาลอุทธรณ์ได้เคยมีคำสั่งไว้แล้ว ยิ่งเมื่อศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง หากศาลจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่มีเหตุ ย่อมเป็นการวินิจฉัยคดีตามอำเภอใจไม่เป็นแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 อาจเจ็บป่วยเพราะมีโรคประจำตัวนั้น ขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยจริงจนถึงขนาดไม่สามารถรักษาพยาบาลภายในเรือนจำได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 เป็นนักศึกษานั้นมีเพียงเหตุผลให้คาดคะเนได้ว่าจะไม่สะดวกในการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่าจะกระทบต่อการเรียนของจำเลยที่ 1 อย่างชัดเจนร้ายแรงอย่างไร

ส่วนการดูแลครอบครัวและการประกอบอาชีพของจำเลยอื่นก็เป็นเหตุความขัดข้องทั่วไปของบุคคลซึ่งต้องคดียังไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมว่าจำเลยทั้งหมดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจนถึงขนาดที่จะมีผลเพราะให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง


ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000021155

“กอ.รมน.” แจง ใช้โซเชียล สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แก้ไขปัญหาได้ตรงตามความต้องการของปชช. ชี้กรณีเฟซบุ๊กลบบัญชี เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวองค์กร

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณา(กอ.รมน.) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. ได้เปิดเผยว่า ตามที่สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้นำเสนอข่าวการสั่งปิด Facebook และปิดบัญชีรวมทั้ง Page Facebook โดยได้ลบ 185 บัญชี และกลุ่มที่ตรวจจับได้ว่าสมัครเข้ามาเพื่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO มีส่วนเชื่อมโยงกับกองทัพไทย และกอ.รมน. ได้โพสเนื้อหาสนับสนุนกองทัพ, สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์, เรียกร้องความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, โจมตีกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยไม่ได้เปิดเผยว่าบัญชีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐ นั้น

กอ.รมน.ขอชี้แจงให้ได้รับทราบว่า กอ.รมน.ไม่ทราบถึงการถูกถอดบัญชี Facebook ตามที่เป็นข่าว เนื่องจากการใช้งานของเฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นบัญชีส่วนบุคคล ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กร (กอ.รมน.) การลบบัญชีจากเฟซบุ๊ก ถือเป็นการลบบัญชีส่วนบุคคล ปัจจุบันเฟซบุ๊กของ กอ.รมน. ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า กอ.รมน. ไม่มีนโยบายให้หน่วยดำเนินงานตามที่เป็นข่าว จากนโยบายของ กอ.รมน. มีหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานกลางขับเคลื่อนประสานงาน ในการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อน ซึ่งกอ.รมน.ได้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงานมาโดยตลอด

และ การใช้งานของโซเชียลมีเดียของ กอ.รมน. มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ กิจกรรม ผลงาน ของ กอ.รมน. สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมรับทราบ ความต้องการของประชาชน เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้กับประชาชนได้ตรงตามความต้องการ และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ปัจจุบัน กอ.รมน.ได้มี  Call Center 1374  รับแจ้งเหตุความมั่นคง เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ฝ่ายค้านไม่ตัดใจ เชื่อ ‘แอมมี่’ อาจบริสุทธ์ หลังเลขาฯ เพื่อไทย ติดใจเพลิงไหม้พระบรมฉายาลักษณ์ อาจแค่ลุกลาม ส่วนก้าวไกล ชี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าแอมมี่ทำผิด

ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลอาญาออกหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ The bottom blues’ คดีเกี่ยวกับการเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมนั้น พรรคฝ่ายค้านจะให้การช่วยเหลือหรือยื่นประกันตัวหรือว่า

“เท่าที่ตนทราบข่าวล่าสุด ยังไม่ยืนยันว่าควบคุมตัวหรือยัง อีกทั้งทางตำรวจยังไม่แถลงข่าวการจับกุม หากมีการจับกุมที่ชัดเจน คงจะต้องมีการหารือเพื่อช่วยเหลือในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งต้องดูข้อกล่าวหาและประเด็นต่างๆ เพราะจากการติดตามข่าว คือ มีเหตุเพลิงไหม้ และ ‘ลุกลาม’ ไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งในเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ซึ่งเราก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบ”

ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ใน ‘ขั้นกล่าวหา’ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านายไชยอมรทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อย่างไรก็ตามในอดีตที่ผ่านมาที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลเข้าไปมีบทบาทในการช่วยประกันตัว เป็นการทำในฐานะประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้โอกาสออกมาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ส่วนจะถูกหรือผิดก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรามีจุดยืนที่ว่าเราควรเคารพสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมของทุกฝ่าย และให้สันนิษฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยจนถึงที่สุด
.
“เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดไปแล้ว เราอยากให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจคิดต่อประเด็นการชุมนุมที่ผ่านมา การแสดงออกทางการเมืองที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็นความขัดแย้งทางความคิด ทั้งนี้ เมื่อเป็นความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองก็ควรใช้กระบวนการทางการเมืองในการแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถยุติหรือมีทางออกได้ หากใช้กฎหมายปราบปรามอย่างเข้มงวดโดยมองเหมือนปัญหาการก่ออาชญากรรม ก่อคดีอาญาปกติ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิด”
 


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224477

ดาบตำรวจ สน.วังทองหลาง คุมม็อบบ้านนายกฯ 28 ก.พ.64 ติดโควิด-19 ก่อนมาถูกสั่งกักตัวแล้วคาดเช็คไทม์ไลน์ อาจจะติดจากกลับเยี่ยมบ้านสมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.64 พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร ผกก.สน.วังทองหลาง เปิดเผยว่า จากการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เบื้องต้นของดาบตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สน.วังทองหลาง พบว่า ติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ให้กักตัวอยู่ที่พักเพื่อรอรถโรงพยาบาลมารับตัวไปตรวจซ้ำอีกครั้ง หากพบเชื้อต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวและรักษา

ดาบตำรวจรายนี้ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง เมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 และพบกับเพื่อนในละแวกบ้าน กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มี.ค.64เพื่อนได้โทรมาแจ้งว่าติดเชื้อโควิด ดาบตำรวจจึงไปตรวจหาเชื้อและพบว่าติดโควิด-19

พ.ต.อ.เอกภพ ยังระบุว่า ขณะนี้ได้สั่งทำความสะอาดพื้นที่บริเวณโรงพัก และสิ่งของที่ดาบตำรวจสมยศสัมผัสทั้งหมด พร้อมสั่งกักตัวชุดควบคุมฝูงชนที่ใกล้ชิดดาบตำรวจแล้ว

ทั้งนี้ดาบตำรวจได้ปฎิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนในหลายพื้นที่ รวมทั้งล่าสุดที่พล.1 รอ.ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 28 ก.พ.64

สำหรับไทม์ไลน์มีดังนี้

18 ก.พ. กลับบ้านกระทุ่มแบนแวะพบเพื่อนที่ติดเชื้อก่อนหน้า แล้วกลับกรุงเทพฯ
19 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชนที่รัฐสภา รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
20 ก.พ. ไปคุมฝูงชนรัฐสภา รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
21 ก.พ. เวรพัก อยู่บ้าน
22 ก.พ. เวรพัก อยู่บ้าน
23 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 08.00-16.00 กลับบ้าน
24 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 08.00-16.00 กลับบ้าน
25 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 16.00-24.00 กลับบ้าน
26 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 16.00-24.00 กลับบ้าน
27 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชน กก.สวัสดิภาพเด็กและสตรี
28 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชนที่ พล.1 รอ. รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
1 มี.ค. ไปเตะบอล ที่ รฟม. พระรามเก้า
2 มี.ค. เพื่อนในกลุ่มโทรบอกว่าติดเชื้อ เลยไปตรวจที่ รพ.รามคำแหง 15.30 และมากักตัวที่แฟลตตำรวจ
3 มี.ค. ผลเบื้องต้นเป็นบวก = กักตัว


ที่มา:
https://www.posttoday.com/politic/news/647008

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้ถ้าจะฉีดวัคซีนโควิดสร้างภูมิคุ้มกันกลุ่ม ต้องฉีดให้ประชากรในประเทศเกือบ 50 ล้านคน วัคซีนที่ใช้จะต้องมีร่วม 100 ล้านโดส ขณะที่ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 64 นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ วัคซีนโควิด จำนวนผู้ฉีดวัคซีนเท่าไหร่จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ดังนี้..

ภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะช่วยป้องกันการระบาดของโรคที่ติดต่อระหว่างคนสู่คน

การจะป้องกันได้ จะขึ้นอยู่กับว่าโรคนั้น ติดต่อง่ายหรือยาก

โรคติดต่อง่าย ก็จะต้องการภูมิคุ้มกันกลุ่ม ในอัตราที่สูง

โรคติดต่อยาก ก็จะใช้อัตราภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต่ำกว่า

โควิด 19 มีอัตราการติดต่อปานกลาง

เมื่อคำนวณภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต้องการ จะพบว่าอยู่ประมาณ 60%

การให้วัคซีนโควิด ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทาน ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้าสมมุติว่าวัคซีนโควิด มีการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ 80%

จำนวนผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีน ให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะมากกว่า 60% ขึ้นไปอีก จะอยู่ที่กว่า 70%

ดังนั้นการให้วัคซีนในประชากรไทย เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งในอนาคต จะต้องรวมเด็กด้วย และชาวต่างชาติทั้งหมด ที่อยู่ในประเทศไทย คิดยอดรวมประมาณ 70 ล้านคน

ภูมิต้านทานไม่ว่าจะจากการติดเชื้อ หรือการได้รับวัคซีน ที่เกิดขึ้นต้อง เกือบ 50 ล้านคน

ดังนั้น ความต้องการในการฉีดวัคซีนทั้งประเทศ ถ้าคนละ 2 เข็ม วัคซีนที่ใช้ก็จะต้องใช้ ร่วม 100 ล้านโดส ถ้าขณะนี้ยังไม่นับเด็ก ก็จะต้องใช้ถึง 85 ล้านโดส

ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการหาวัคซีนเพิ่มเติม อีกเป็นจำนวนมาก

กลุ่มประชากรเด็ก จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีน จนกว่าจะมีการศึกษาขนาด และวิธีการใช้ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค

และในอนาคตในปีหน้า ก็ยังไม่ทราบว่า มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มอีกหรือไม่

การให้วัคซีน ในหมู่มากสำหรับประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติ วิกฤตการระบาดของโรค ให้ได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่และสังคม จะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

สุดฮือฮา เมื่อ “มวยไทย” กีฬาประจำชาติไทย ถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่ประเทศโปแลนด์ นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้

เรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจาก สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ในฐานผู้กำกับดูแลเรื่องกีฬามวยไทย ที่อนุญาติให้นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันได้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี) ได้บรรจุชนิดกีฬาที่ไม่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์เพิ่มเติม เพื่อเปิดเวที และสร้างโอกาส รวมทั้งประสบการณ์ให้นักกีฬา ได้แสดงความสามารถในชนิดกีฬาต่าง ๆ ให้ทั่วโลกได้เห็น

โดย มวยไทย ถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในทวีปยุโรปทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซี่งการแข่งขันครั้งนี้ จะมีชิงเหรียญทองประกอบด้วย ประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม

สำหรับการแข่งขัน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” นั้น เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ที่จัดต่อเนื่องทุก 4 ปี ซึ่งดำเนินการแข่งขันมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 25 มิ.ย. 2023 ที่ เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะทำให้คนทั่วโลก ได้รู้จักมวยไทยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

หากย้อนกลับไปราว ๆ 2 ปีที่แล้ว ชื่อของ อี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย และเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ของพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าโด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่พอสมควร

เพียงแต่เป็นความโด่งดังในเชิง ‘ลบ’ ไปนิด หลังจากมีซีนเด็ดพิพาทระหว่างเขา กับ ‘เพนกวิน’ หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่น่าจะทำให้สังคมคนรุ่นใหม่บางกลุ่มมองเขาเป็นศัตรู

อย่างไรก็ตามในวันที่เขาได้มีโอกาสมานั่งคุยกับ THE STATES TIMES เขาบอกแบบเปิดใจว่า ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับกันรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของชาติกลุ่มนี้มากกว่า

ว่าแต่ ชนวนเหตุ ของเหตุพิพาทคืออะไร?

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562 ตอนที่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ายื่นหนังสือพร้อมมอบพจนานุกรมภาษาไทยให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการสภาผู้แทนราษฎร และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงาน พร้อมระบุว่า อยากให้นายชวน นำพจนานุกรมไปศึกษาคำว่า ออกเสียงลงคะแนน กับ นับคะแนนใหม่ เนื่องจากมีความแตกต่างกัน พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ตนเองเคยทำงานในสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย หากมีการลงคะแนนเสร็จแล้วจะต้องยึดถือผลคะแนนนั้นไม่สามารถนับใหม่ได้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีความเคารพนับถือนายชวนมาก จึงไม่อยากให้เสื่อมเสีย

แทนคุณ ซึ่งยืนฟังอยู่ จึงได้ขึ้นมาพูด พร้อมระบุว่า ขอคืนพจนานุกรมให้นายพริษฐ์ เนื่องจากมองว่าเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้มากที่สุด เพราะยังขาดความเข้าใจในภาษาไทย ย้ำว่า ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งนายชวนปฎิบัติตามข้อบังคับทุกขั้นตอน และไม่ควรนำข้อบังคับการประชุมของมหาวิทยาลัยมาเปรียบเทียบกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพราะมีกติกาต่างกัน รวมถึงมองว่านายพริษฐ์ไม่ควรพูดพาดพิงบุคคลอื่น หรือ หากจะพาดพิงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ

แม้วันนั้น แทนคุณ จะพูดทิ้งท้ายว่า ดีใจที่คนรุ่นใหม่สนใจการเมือง แต่เขามองว่าไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด เนื่องจากระหว่างการแถลงข่าว ข้างเวทีแถลงข่าวมีคนคอยบอกและสนับสนุนให้พริษฐ์แถลงข่าวต่อกับสื่อมวลชน ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย (เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562) แบบนั้น ทำให้เขาไม่สบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่า ถ้อยคำและวิวาทะในวันนั้น ถูกมองเป็นการประกาศศึกกับคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม จนน่าจะมี ‘กรุ๊ปทัวร์’ ย่อยๆ มาไล่ขยี้ อี้ แทนคุณ กันตั้งแต่วันนั้น

แม้จะถูกตั้งแง่จากคนรุ่นใหม่ตั้งแต่วันนั้น แต่กลับกันในใจของเขาพยายามเฝ้ามองพฤติกรรมของเยาวชน คนรุ่นใหม่ในบริบทที่พัฒนามาเป็นผู้ชุมนุมม็อบคณะราษฏรว่า สิ่งที่พวกเขาทำกำลังตัดบันไดทางลงของตน เพราะเหตุการณ์การชุมนุมกำลังนำพาเด็กๆ ไปจบในสถานที่ที่ไม่พึงประสงค์อย่าง ‘คุก’

และมันก็ดูจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

เขาเล่าให้ฟังว่า เขาอยากแนะ ‘ทางลง’ ให้กับผู้ชุมนุม ที่ควรทำได้เลยทันที จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปไล่กรีดแผลบางอย่างที่มิควรกรีด ตั้งแต่...หยุดการล่วงเกินต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกรูปแบบ ทุกเวที โดยอยากขอร้องให้น้องๆ ที่มีเจตนาดี อยากทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ โดยบริสุทธิ์ใจ ถอนตัวจากทุกการชุมนุมที่มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยถ้อยคำและท่าทีหรือการแสดงออกที่หยาบคาย เสียดสีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมประณาม หรือเตือนสติผู้ที่กำลังกระทำการจาบจ้วงนั้นอยู่ให้หยุดพฤติกรรมนั้นเสีย

ขณะเดียวกันก็ควรสนับสนุนการมีส่วนร่วมกับกลไกรัฐสภา โดยเลือกแกนนำที่มีเหตุมีผลเป็นตัวแทน มุ่งนำประเด็นที่เป็นไปได้จริงและมีผลต่อประชาชนส่วนรวมจำนวนมาก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะนำไปสู่การเสนอข้อชี้แนะและแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง โดยที่ไม่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเงื่อนไข หรือนำไปสู่ความขัดแย้งต่อการทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำลายอนาคตของตัวเองและครอบครัว เพราะตอนนี้มีผู้ที่ไม่พอใจในสิ่งที่น้อง ๆ หลายคน ที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คึกคะนอง จากการรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จนเริ่มทนไม่ไหวจนและกำลังบานปลายเป็นการปะทะหักหาญกัน

สุดท้าย ควรสื่อสารตรงในข้อสงสัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากน้องๆยังมีข้อเสนอที่ต้องการจะสื่อสารหรือส่งต่อความคิดเห็น เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขอให้ส่งไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันโดยตรง ได้แก่ สำนักพระราชวัง สำนักงานองคมนตรี เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ดูจะเป็นข้อเสนอที่หากไม่มองแบบเอนเอียง ก็ถือเป็นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้เสรีภาพของน้องๆ ไม่สูญหายไป แต่เป็นการใช้เสรีภาพ ในทิศทางที่สร้างสรรค์อันจะนำมาซึ่งพลังและการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง

“คนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้ผิด แต่พวกเขาต้องรู้จักวิธีการจัดลำดับความสำคัญ บางทีเรื่องใหญ่ของ ‘เขา’ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของ ‘ทุกคน’

“ยิ่งไปกว่านั้นการวิพากษ์วิจารณ์ กับด่าก็ไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าอิสรภาพและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพในทางการเมือง ทำไปทำมากลายเป็นทำลายเสรีภาพของคนอื่น และเสรีภาพทางความคิดที่ปราศจากความรับผิดชอบ มันก็ไม่ได้ต่างจากคนที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่เก่ง ซึ่งเรื่องนี้น่ากลัวที่ผมพยายามอยากให้ทุกคนคิดก้าวออกจากจุดที่ไม่ถูกต้อง

“ผมไม่อยากให้อนาคตของชาติต้องเดินตามเส้นทางจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวชี้ไว้ เราเป็นคนไทย ต้องหาให้เจอว่าควรมีการเมืองแบบของเราอย่างไร อย่าเป็นนักก็อปปี้ที่ซื่อสัตย์ หรือนักบริโภคที่ซื่อตรงจนเกินไป”

ติดตามประสบการณ์เส้นทางการเมืองสไตล์ ‘แทนคุณ จิตต์อิสระ’ และมุมมองคิดที่น่าตามจากมิติการเมือง เศรษฐกิจ และพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ ได้ที่ Contributor EP.8 >> https://www.facebook.com/watch/?v=1074229983079722


อ้างอิง: https://www.thaipost.net/main/detail/82278

คลังเผย! กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน - พิเศษ ที่ลงทะเบียนเราชนะกลุ่มแรก รับเงินงวดแรกวันนี้ 4,000 บาท พร้อมรองวดต่อไป12 - 19 - 26 มี.ค. รวม 7,000 ส่วนกลุ่มสอง รอคัดกรองสิทธ์ิ 19 มี.ค. รอรับงวดแรก 6,000 บาท !

หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษเปิดให้ ลงทะเบียนร่วมโครงการเราชนะ โดยไม่ต้องลงทะเบียนผ่าน www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ - 21 ก.พ. กระทรวงการคลัง ได้แจ้งว่ามีผู้ผ่านการคัดกรองแล้วจำนวน 5 แสนคน

ดังนั้นในวันนี้ กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษ ที่ลงทะเบียนในโครงการเราชนะตั้งแต่วันที่ 15 - 21 ก.พ. ซึ่งเป็นกลุ่มรอบแรก ที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองแล้วจะรับเงินงวดที่ 1 จำนวน 4,000 บาทหลังจากนั้นทุกวันศุกร์ กระทรวงการคลัง โอนเงินเพิ่มอีก 1,000 บาท ในวันที่12 มีนาคม , วันที่19 มีนาคม และ วันที่ 26 มี.ค. รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 บาท

โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะได้เลย สำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนเราชนะ ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. - 5 มี.ค. รับทราบผลการคัดกรองสิทธิ์ครั้งแรกในวันที่ 19 มี.ค. กลุ่มที่ 2 เมื่อผ่านการคัดกรองได้รับเงิน ครั้งแรกจำนวน 6,000 บาท หลังจากนั้นก็จะได้รับเงินในวันศุกร์ที่ 26 มี.ค. อีกจำนวน 1,000 บาท

เฟสบุ๊คชื่อ Pat Sangtham ได้โพสต์ ถึงการดีเบต ของฝ่ายต่อต้าน และสนับสนุน ม.112 ผ่านงานเสวนาวิกฤติการเมืองไทยและการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112

ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT: Foreign Correspondent's Club of Thailand)

โดยระบุว่า ALIEN SALIVA – น้ำลายเอเลี่ยน: การเข้ามาวิจารณ์กฎหมายไทย ของเดวิด สเตร็คฟัสส์ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าประเทศไทย มีประชาธิปไตยมากพอ ที่จะให้คนต่างชาติเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรี

สิ่งที่สเตร็คฟัสส์ อ้าง เช่นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นการอนุมานเอาเอง จากการอ่านและค้นคว้า เพราะสเตร็คฟัสส์ไม่ได้อยู่เมืองไทย ทุกอย่างได้มาจากการอ่าน ไม่ได้เข้าใจถึง ความรู้สึกของคนไทย (sentiment) ไม่ได้รู้ถึงผลกระทบทางอารมณ์ (emotional impact) ต่อเหตุการณ์ ณ ตอนนั้น แล้วโยงเข้าเรื่องกฎหมายปกป้องกษัตริย์ของไทย ที่มีมาถึงปัจจุบัน และไม่แตะเรื่อง "ศรัทธาทางจิตวิญญาณ" ใดๆ อาจจะด้วยเจตนาที่จะไม่พูดถึง หรือเพราะไม่เข้าใจมิติของศรัทธาเนื่องจากมาจากสภาพแวดล้อม ที่ศรัทธาแต่ตัวเอง

แล้วก็ย้อนแย้งตัวเอง จากการที่คุณหมอวรงค์พูดถึง กฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ ในประเทศต่างๆ เช่นญี่ปุ่น มาเลเชีย เดนมาร์ค โดยอ้างว่า แม้กฎหมายในประเทศยุโรปเช่น สวีเดน และเดนมาร์ค ว่าด้วยการหมิ่นประมาทประมุขของประเทศ จะมีโทษแรงกว่ากฎหมายไทยถึง 3 เท่า แต่จะเห็นได้ว่า "นานแค่ไหนแล้ว ทีมีคดีเรื่องการหมิ่นประมาทประมุขของประเทศ... เอิ่ม ก็มีเหมือนกัน แต่มีเพียงปีละ 3 - 4 คดี"

ตกลง จะย้อนแย้งตัวเองไปทำไม ในเมื่อ กฎหมายในยุโรปลงโทษแรงกว่าไทย และมีคดีให้เห็น

กฎหมายไทย หรือรัฐธรรมนูญไทย ร่างขึ้นและผ่านประชามติ โดยคนไทย เพราะกฎหมายมีหน้าที่ปกป้อง รักษาผลประโยชน์ให้กับคนไทย ดูแลสิทธิ บนพื้นฐานของพฤติกรรมไทย ความเชื่อแบบไทย ค่านิยมและศรัทธาของคนไทย จึงเป็นเรื่องแปลกที่คนต่างชาติ จะออกมาวิจารณ์กฎหมายไทย ราวกับเป็นแผ่นดินแม่

ถ้ามีชาวต่างชาติอื่นๆ ออกมาวิจารณ์กฎหมายไทยอย่างสเตร็คฟัสส์ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนไทยและชาติต่างๆ ออกมาวิจารณ์กฎหมายของสหรัฐอเมริกาบ้างจะได้ไหม เราจะได้ฟังคำวิจารณ์จากรัสเซีย เวเนซูเวลล่า อัฟกานิสถาน เกาหลีเหนือ มาเลเชีย ฯลฯ กันสนุกแน่นอน


ที่มา : เฟซบุ๊ก Pat Sangtum

https://web.facebook.com/watch/live/?v=206302414606417&ref=watch_permalink

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top