Sunday, 20 April 2025
Politics

'พีระพันธุ์' แจงปลดล็อกโซลาร์รูฟท็อป ลดภาระประชาชน ลั่นไม่สนใจนายทุนพลังงาน เหตุไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร

เมื่อวันที่ (6 ม.ค. 68) ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ ที่ถามโดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา ที่ถามถึงเรื่องมาตรการสนับสนุนตลาดพลังงานสะอาดผ่านโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ว่าการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันปล่อยมลพิษมากที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไฟฟ้าไปเป็นพลังงานสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งที่ผ่านมาถูกเอื้อให้กับกลุ่มทุน ที่รัฐบาลซื้อพลังงานหมุนเวียน ที่เริ่มตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลาที่รัฐบาลจะซื้อก็อ้างเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ซี่งตนตั้งคำถามทุกครั้งว่าเป็นความมั่นคงของประเทศหรือของใครกันแน่ เพราะปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงกว่าความต้องการหรือหลักการสำรองไฟฟ้าอยู่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มภาระค่าไฟให้กับประชาชนทั่วประเทศ มีโรงงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเลย แต่ยังได้เงินจากประชาชนผ่านค่า FT ที่สำคัญคือการรับซื้อนั้น ไม่มีการประมูล ตนเห็นด้วยกับความกล้าหาญของนายพีระพันธุ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อไฟฟ้าและให้ชะลอการรับออกไป แต่เรายังต้องติดตามว่าจะกลับมาดำเนินการต่อหรือไม่ 

นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาลที่ไปถ่ายรูปในสนามกอล์ฟใช่หรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ เรื่องนี้ท่านมองเห็นถึงโครงสร้างการรับซื้อพลังงานสะอาดหรือไม่ เช่น โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop)จะมีการขยายการรับซื้อจากภาคประชาชนเหมือนกับกลุ่มทุนหรือไม่ รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้การขออนุญาตใช้เวลานาน ท่านจะทำอย่างไร จะมีมาตรการจูงใจภาคครัวเรือนเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น และจะมีวิธีลดภาระอย่างไร

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้ชี้แจงว่า ตนยืนยันว่าส่วนตัวไม่ทราบมาก่อนว่ามีการผูกขาดพลังงาน เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง จึงยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ในทันทีทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ยอมรับว่าตนหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง ยังมีข้อผูกพันทางกฎหมาย มันไม่ใช่ทันใจที่เราอยากทำ  ซึ่งนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมามีความชัดเจนอยู่แล้วว่า จะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดย 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่มีนโยบายขึ้นค่าไฟฟ้าและตรึงราคาค่าแก๊สไว้ตลอด ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถลดราคาได้ แต่ได้พยายามไม่ให้ขึ้นไปมากกว่านี้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อประเด็นปัญหานี้ ถ้าติดตามการทำงานของตน มันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว

“ส่วนตัวผมไม่ชอบเรื่องความไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้อง และไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้น นโยบายเรื่องนี้ ตนขออนุญาตกราบเรียนว่าเรามีความคิด ผมกับท่าน ตรงกันอยู่แล้วที่จะดำเนินการ สำหรับประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน ผมเห็นด้วยกับท่าน ผมคิดอีกแบบ  ความมั่นคงทางพลังงานไม่ใช่เพียงแค่การทำให้มีพลังงานในปริมาณที่มากขึ้น แต่ความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงต้องทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองในการมีไฟฟ้าใช้ได้ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ ประเทศเราที่เหมาะสมที่สุดคือแสงอาทิตย์ ดังนั้น จึงควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน อย่าพูดถึงขายเลยครับ เอาแค่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ไม่ต้องพะวงว่าอีก 4 เดือน ค่าไฟจะปรับเท่าไหร่ ปัจจุบันที่ต้องปรับเพราะไฟฟ้าผลิตจากแก๊ส เราเจอภาวะราคาตลาดโลก ทำให้กำหนดราคาไม่ได้คงที่ ผมก็พยายามศึกษา เพราะเป็นสัญญาที่ทำข้อตกลงไว้แล้ว” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่าตนไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องแยกส่วนการไฟฟ้าไปอยู่ในกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทย เพราะเมื่อมีการแยกระหว่างการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ต้องรับไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นฝ่ายผลิตแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายขาย ทุกขั้นตอนต้องมีกำไร หากไม่มีกำไรก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ตนอยากจะหาทางแก้ปัญหา แต่ทั้งหมดนี้ สว. และ สส. เป็นผู้บัญญัติกฎหมาย รู้หรือไม่ กฎหมายไฟฟ้าฝ่ายผลิตกำหนดตั้งแต่ปี 2511 ดังนั้น ควรมีการปรับแก้ ปัญหาพลังงาน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็น แต่ประเด็นคือใครจะเป็นคนทำ

“ท่านนายกฯ แพทองธารก็กำชับผมด้วยซ้ำไป ผมไม่อยากให้เข้าใจผิด ท่านนายกฯเศรษฐามาถึงนายกฯแพทองธารได้กำชับผมมาโดยตลอดให้ช่วยแก้ปัญหา” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ชี้แจงรายละเอียดว่า เวลาประชาชนจะขอติดแผงโซลาร์ต้องขออนุญาตถึง 5 หน่วยงาน ซ้ำซ้อน และยุ่งยากมาก รวมถึงต้องรอเป็นปี ตนในฐานะกำกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพลังงานก็ได้สั่งการแก้ระเบียบไปแล้ว วันนี้การแก้กฎหมายไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน อีกนานกว่าจะเข้า ครม. รวมถึงเรื่องการหาเงินทุน

“ผมไม่ทราบหรอก เพราะผมไม่ใช่นายทุน  แต่วันนี้มันเกิดกับพี่น้องประชาชน ผมต้องแก้ไข แล้วถ้าหากว่าท่านติดตามข่าวสารเหมือนที่ท่านพูด ท่านจะเห็นเลยว่าอะไรที่ส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ผมสั่งระงับทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับใคร ผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็เหมือนกับท่านครับ เรามาเป็นผู้แทนมาทำงานให้กับประชาชน ครั้งหนึ่งในชีวิตทำตรงนี้ทำให้ดีที่สุด ผมทำทุกอย่างภายใต้นโยบายรัฐบาลและตามแนวทางคือเพื่อความมั่นคงทางพลังงานให้กับประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘อัครเดช’ หนุนตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออกจากกฎหมาย ชี้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คงโดนชี้หน้าว่าทำร้ายประเทศไทย

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ในส่วนของการตัดนิยามคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออกจากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า

คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองเป็นศัพท์ตามที่ได้มีการลงนามในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่มีความหมายว่าเป็นคนกลุ่มดั้งเดิม ก่อนที่จะมีกลุ่มใหม่เข้ามายึดครองพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มอินเดียแดงในทวีปอเมริกา

ด้วยความเชื่อมโยงของประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่โบราณกาล ไม่มีการรุกล้ำดินแดนของใคร เราจึงไม่มีกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง ตนขอย้ำว่าบนแผ่นดินนี้ เรามีเผ่าเดียว คือ เผ่าไทย

แต่กลุ่มที่พูดมาทั้งหมดที่มีความหลากหลาย คือ กลุ่มชาติพันธุ์ ที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ เราออกกฎหมายฉบับนี้เพื่อคุ้มครองความเป็นตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรวมถึง สิทธิที่ดินทำกิน สิทธิในการเข้าถึงการศึกษา และความเป็นคนไทยจะสามารถสำเร็จได้ด้วยกฎหมายฉบับนี้

นอกจากนี้ถ้อยคำดังกล่าวยังมีข้อห่วงใยหลายประการ ที่อาจจะเปิดช่องให้มีการใช้เป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกดินแดนของประเทศแห่งนี้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่หากมันเกิดขึ้นในอนาคต คนรุ่นหลังคงชี้นิ้วมาที่รัฐสภาแห่งนี้ว่าเป็นกลุ่มคนที่เปิดช่องให้มีการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย 

วันนี้ขอให้มีการถอยโดยการตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออก ประเทศแห่งนี้จะได้รับความมั่นคง จะได้มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย บนแผ่นดินที่มีความหลายหลากทางชาติพันธุ์ ทางวัฒนธรรม ทางประเพณี 

ทั้งนี้ การออกกฎหมายโดยคงนิยามดังกล่าว จะยิ่งตอกย้ำความแตกต่างในประเทศไทย รัฐสภาแห่งนี้ควรจะเน้นการออกกฎหมายที่สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศ ไม่ใช่ตอกย้ำความแตกต่างมากยิ่งขึ้น

“ทุกชาติพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร เราล้วนแต่เป็นเผ่าไทย ตนยืนยันว่าตนเคารพทุกสิทธิ ทุกวัฒนธรรม แต่การออกกฎหมายโดยตัดคำว่าชนเผ่าพื้นเมืองออกจะทำให้ประเทศได้รับความมั่นคงมากยิ่งขึ้น และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของหลากหลายชาติพันธุ์ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น” นายอัครเดช กล่าวในตอนท้าย

‘ชวน’ ยืดอกรับเป็น สส. อยู่สภานานสุดในสภา ย้ำ! เข้ามาสมัยเดียวกับพ่อ ‘ทักษิณ’ แต่ตั้งใจเป็นนักการเมือง

‘ชวน’ กรีดกลับ หลังโดน ‘ทักษิณ’ แขวะคนสูงวัยยังสมัครเป็น สส. ยืดอกเป็น สส.อยู่สภานานสุด เข้ามาสมัยเดียวกับพ่อ ‘ทักษิณ’ แต่ สส.อายุมากสุดเป็นของเพื่อไทย ย้ำ ตนตั้งใจเข้ามาเป็นนักการเมือง ไม่ใช่เพื่อปกป้องธุรกิจครอบครัว

เมื่อวันที่ (9 ม.ค. 68) นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึง นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย พาดพิงถึงคนสูงวัยแต่ยังสมัครเป็น สส. ว่า ตนสมัครผู้แทนราษฎรเมื่ออายุครบ เป็นผู้แทนอายุน้อย สมัยนั้นมี ตน และนายอุทัย พิมพ์ใจชน ตนสมัครและได้เป็นผู้แทนพร้อมกับบิดาของนายทักษิณ และเป็นต่อเนื่องมาทุกสมัย จนถึงปัจจุบัน ตนไม่ได้เข้ามาเพื่อธุรกิจ แต่ตั้งใจเป็นนักการเมือง เพื่อจะได้ทำงานเป็นปากเสียงให้ประชาชน ดังนั้น การเข้าการเมืองจึงไม่ได้หวังผล เพื่อดูแลธุรกิจ เพราะไม่ได้มีธุรกิจที่จะต้องปกป้อง หรือเอาประโยชน์ให้ครอบครัว

“เมื่อผมเป็นผู้แทนมาต่อเนื่อง ความคิดว่าอายุมากแล้วให้เลิก ไม่ได้คิด คิดแค่ว่ายังทำงานได้อยู่ ถ้าผมทำธุรกิจแล้วได้กำไร แล้วเลิกนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่อายุมากแล้วยังทำงานได้อยู่ และในสภาฯ นี้คนที่อายุมากที่สุดไม่ใช่ผม คนที่อายุมากที่สุด คือพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และรองมาคือ นายไพโรจน์ โล่สุนทร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพทั้งคู่ ท่านอาจไม่ได้ทำงานเท่าผม แต่เป็นผู้ใหญ่ที่อายุมากแล้วยังสมัครอยู่ ผมก็อยากจะบอกว่ามีคนอีกสองคนซึ่งอยู่ในพรรคของท่านอายุมากกว่าผม แต่คนเหล่านั้นก็ทำประโยชน์ให้บ้านเมือง” นายชวน ระบุ

นายชวน กล่าวอีกว่า ตนอยู่เป็นผู้แทนก็มีประโยชน์ตรงที่บางเรื่องคนรุ่นใหม่ไม่ทราบ นายทักษิณ ก็บอกว่า เขาคือนักการเมืองรุ่นใหม่ แต่ตนเป็นนักการเมืองรุ่นเก่าที่ไม่โกง ไม่ซื้อเสียง ยึดมั่นหลักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และระบบรัฐสภา ซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือหลักกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่ให้สัมภาษณ์ไป ไม่เคยอาฆาตแค้นนายทักษิณ เคยพูดครั้งหนึ่งว่าถ้านายทักษิณทำประเทศเหมือนธุรกิจตัวเอง ทำอะไรไม่ถูกต้อง ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่ เคยพูดเมื่อ 17-18 ปีที่แล้ว ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แน่นอนที่สุดใครก็ตามทำอะไรไม่ถูกต้องกับบ้านเมืองจะมีปัญหา

นายชวน กล่าวด้วยว่า ขอยืนยันว่า ตนยังอยู่ทำหน้าที่ปกติ ยังพอมีความจำอยู่ ยังไม่ถึงขั้นความจำเลอะเลือนหรือจำอดีตไม่ได้ อาจไม่ปราดเปรื่องเหมือนคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่รู้ในอดีตยังจำได้ เช่น เรื่องภาคใต้ บางเรื่องกองทัพไม่มีข้อมูล ถ้าอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายใช้วิธีจัดการให้ได้เดือนละ 10 คน ก็ให้ไปถาม พล.ท.เรวัตร รัตนผ่องใส อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นคนเดียวที่บอกว่าเป็นเรื่องแบ่งแยกดินแดน ทำได้ยาก วันนี้ พล.ท.เรวัตร ไม่มีโอกาสได้เป็นแม่ทัพภาค ทหารควรยกย่องคนเช่นนี้เป็นวีรบุรุษ เพราะกล้าคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

‘แดง-ส้ม’ เกมการเมืองหักเหลี่ยมโหด กับทางลัดแก้ รธน. สุดท้ายอาจกลายเป็นลับลวงหลอก

รัฐธรรมนูญ 2560 มีทั้งหมด 16 หมวด  หมวดที่15 คือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  มีเพียง 2มาตราคือมาตรา 255 และ 256

เมื่อวันที่ (8 ม.ค.68) ที่ผ่านมา มติวิป 3 ฝ่าย (รัฐบาล  -วุฒิสภา-สภาผู้แทนราษฎร) เห็นพ้องให้จะพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรธน.ฉบับพรรคประชาชน ที่จะแก้ไขมาตรา 256 (ว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการแก้ไขรธน.) และเพิ่มให้มีหมวด 15/1 การจัดทำการจัดรธน.ฉบับใหม่  ในวันที่ 13 -14ก.พ. โดยเปิดโอกาสให้มีการเสนอร่างแก้ไขในทำนองเดียวกันได้จนถึง 16 ม.ค.

วันเดียวกัน (8 ม.ค.) พรรคเพื่อไทยเสนอร่างประกบพรรคประชาชน...กลายเป็นร่างแดงประกบร่างส้ม..

ความเป็นมาเป็นไปกรณีนี้ สรุปได้สั้น ๆ ว่าพรรคส้มต้องการเดินหน้าจัดทำรธน.ฉบับใหม่  ด้วยเส้นทางลัด..จุดสตาร์ทไม่ต้องทำประชามติ นั่นคือ

-แก้ไข หมวด 15 ให้มีหมวด15/1  ว่าด้วยการจัดทำรธน.ฉบับใหม่
แก้มาตรา 256..ลดอุปสรรคการแก้ไข-จัดทำรธน.เช่นการโหวตวาระ 1 วาระ 3 ใช่แค่เสียงข้างมากรัฐสภา ซึ่งต้องมีเสียงสส.ไม่น้อยกว่า 2ใน 3 (เดิมต้องมีเสียงสว.1ใน3)

ส่วนประเด็นที่จะต้องถามประชามติ ร่างพรรคส้มระบุให้มีเพียงกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรธน.หวด 15 เท่านั้น ตัดทิ้งกรณีแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆตามรธน...

ทั้งนี้กรณีหัวใจสำคัญที่ตามร่างพรรคส้มคือเพิ่มหมวด 15/1 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสสร.200คน ไปยกร่างรธน.ฉบับใหม่ให้เสร็จ...

ตามกระบวนท่าดังกล่าวหากไฟเขียวผ่านตลอดจะลงประชามติเพียง 2 ครั้งคือ ครั้งแรกตอนแก้หมวด 15 มาตรา 256 และครั้งที่สอง ตอนที่สสร.ยกร่างเสร็จแล้ว...

ดูตามนี้แล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไรยุ่งยาก...แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...เพราะนี่คือเส้นทางลัด คือช่องทางธรรมชาติที่ผิดปกติ..ซึ่งสว.ส่วนใหญ่ขยับตัวแล้วว่าจะไม่เล่นด้วย  ขณะที่ซีกพรรคการเมือง..พรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ ก็อ่านไม่ยากว่า..ไม่เอาดีกว่า..

น่าแปลกที่พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาลยอมมาเล่นเกมนี้กับพรรคประชาชน...ผู้สันทัดกรณีหลายฝ่ายมองว่าเบื้องลึกน่าจะเป็นเกม 'ลับลวงหลอก' ของพรรคเพื่อไทยมากกว่า  เพราะน่าจะรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายจะไปไม่รอด ต้องจอดป้ายตายอยู่ปากซอย..แต่จำเป็นต้องร่วมเกมก็เพื่อรักษาคะแนนแฟนคลับไม่ให้พรรคส้มตีกินคนเดียว....

พยากรณ์ได้ล่วงหน้าว่า..หากมีการบรรจุร่างแก้ไขฉบับ 'แดง-ส้ม' ดังกล่าว จะมีการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และท้ายสุดเรื่องจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญอีกจนได้..

ทั้ง ๆ ที่ ถ้ายังจำกันได้ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2564 เคยมีคำวินิจฉัยกลางของศาลรธน.วินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรธน. เอาไว้ชัดเจนตอนหนึ่งว่า..

“...การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่มีผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้ว ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง...”

ถ้าไม่แถกันให้มาก..การที่จะจัดทำรธน.ฉบับใหม่..โดยไม่เริ่มด้วยการจัดทำประชามตินั้นชัดเจนว่าขัดกับคำวินิจฉัยข้างต้น..แบบเห็นๆ..ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นการร่างแก้ไขรายมาตราก็ตาม..แต่การเพิ่มให้มีหมวด 15/1 คือการยกเลิกเพื่อจัดทำรธน.ฉบับใหม่..ซึ่งต้องทำประชามติเสียก่อน..เป็นลำดับแรก..

ดังได้..ลำดับความมาก็ขอย้ำอีกครั้งว่า  กรณีการเพิ่มหมวด 15/1 และแก้รธน.256  รอบนี้เสี่ยงที่จะตายยกพวง เอาได้ง่าย ๆ..!!

‘ทักษิณ - พิธา’ ชื่นมื่น!! ร่วมงานแต่ง สส.ลำปาง ย้ำ!! ไม่คุยเรื่องการเมือง แต่คุยเรื่องบ้านเมือง

เมื่อวานนี้ (10 ม.ค. 68) เมื่อเวลา 18.00 น. ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เดินทางมาร่วมพิธีฉลองมงคลสมรสระหว่างนายธนาธร โล่ห์สุนทร สส.ลำปาง เขต 2 พรรคเพื่อไทย (พท.) บุตรชายนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร อดีตสส.ลำปาง พรรค พท. กับน.ส.รภัสสรณ์ นิยะโมสถ สส.ลำปาง เขต 4 พรรคประชาชน (ปชน.)

โดยมีบรรดารัฐมนตรี สส.จากพรรค พท.และพรรค ปชน. เดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า

ทันทีที่นายทักษิณมาถึง ได้มีรัฐมนตรี สส. อดีตสส. ของพรรค พท. มารอต้อนรับบริเวณด้านหน้าทางเข้า และมีนายอัศวิน อิงคะกุล ประธานกรรมการบริหารมิราเคิลกรุ๊ป ในฐานะเจ้าของโรงแรมอัศวินแกรนด์ คอนเวนชั่น มารอให้การต้อนรับและมอบกระเช้าดอกไม้ พวงมาลัยพร้อมด้วยกระเช้าส้ม ให้แก่นายทักษิณ

นายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ถึงการมาออกงานคู่กับนายพิธาว่า ดี ๆ เดี๋ยวก็ได้เจอกันบ้าง ไม่ได้เจอกันเลย ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ก่อนหน้านี้ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงในหลายจังหวัดในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่ได้เจอกันเลย นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ไม่ได้เจอกันเลย เดี๋ยวจะนั่งคุยกัน สำหรับประเด็นในการพูดคุยก็มี ส่วนจะได้มีการพูดคุยเรื่องการหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า คงไม่ได้คุยกันเรื่องการเมือง แต่คุยเรื่องบ้านเมือง

โดยนายทักษิณได้เขียนคำอวยพรให้คู่บ่าวสาวว่า “ขอแสดงความยินดีกับคุณธนาธรและคุณน.ส.รภัสสรณ์ ที่ได้ร่วมชีวิตกัน ขออวยพรให้มีแต่ความสุข ความสมหวัง และความสำเร็จในชีวิตคู่ตลอดไป ด้วยรักและปรารถนา”

‘พรรคประชาชน’ จัดงานวันเด็ก ‘ไอติม’ ปลื้ม!! ร่าง พ.ร.บ.ไม่ตีเด็ก ผ่านสภาฯ ย้ำ!! สร้างระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์ เพื่อประโยชน์อันสูงสุด ของเด็กทุกคน

(11 ม.ค. 68) ที่อาคารอนาคตใหม่ ‘พรรคประชาชน’ จัดกิจกรรมวันเด็ก ‘เมื่อทุกคนเลือกห้องเรียนเองได้’ โดยบรรยากาศที่อาคารอนาคตใหม่เป็นไปอย่างคึกคัก เด็ก ผู้ปกครอง และประชาชนเดินทางมาร่วมกิจกรรมตั้งแต่เช้า นอกจากนี้ยังมีการแถลงข่าวสรุปร่าง พ.ร.บ. การศึกษา ฉบับพรรคประชาชน พร้อมเปิดตัว e-book โดยเปิดให้เด็กและประชาชนที่มาร่วมงานสามารถชมเบื้องหลังการแถลงข่าวได้ 

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในวันเด็กทุก ๆ ปีคำขวัญวันเด็ก เป็นสิ่งที่สังคมมักให้ความสนใจ แม้เป็นธรรมเนียมที่เราคุ้นชินกันมายาวนานกว่า 60 ปี ตนและพรรคประชาชนมองว่าในฐานะคนทำงานการเมือง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กและเยาวชนในประเทศเรา อาจไม่ใช่คำขวัญ ที่เป็นการสรุปสิ่งที่ผู้ใหญ่ในสังคมคาดหวังจากพวกเขา แต่คือคำสัญญาว่าพวกเราจะทำให้อนาคตพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร 

ย้อนไปเมื่อวันเด็กปีที่แล้ว (13 ม.ค. 2567) คำสัญญาหนึ่งที่เราได้แถลงต่อสาธารณะ คือการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ไม่ตีเด็ก เพื่อทำให้บ้าน สถานศึกษา และทุกพื้นที่ในสังคม เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กทุกคนสามารถเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ถูกลงโทษในลักษณะที่เป็นการใช้ความรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจเด็ก ผ่านไปไม่ถึง 1 ปี ภูมิใจที่พรรคประชาชนและฝ่ายต่างๆ ในรัฐสภาร่วมกันผลักดันให้กฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของทั้งสองสภาได้โดยสำเร็จ 

นายพริษฐ์กล่าวว่า ในวันเด็กปีนี้11 ม.ค. 2568 เราจึงใช้โอกาสเปิดตัวร่าง พ.ร.บ. การศึกษาของพรรคประชาชน ที่เราจะยื่นเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และหวังจะผลักดันร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อหวังให้สภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อยได้ลงมติรับหลักการร่างดังกล่าว ก่อนจะถึงวันเด็กในปีหน้า ตนเชื่อว่าพวกเราเห็นตรงกัน ว่าท่ามกลางปัญหาต่างๆของการศึกษาไทย ทั้งเรื่องคุณภาพ ความเหลื่อมล้ำ ความสุขผู้เรียน และภาระงานครู และความท้าทายใหม่ๆ ที่เข้ามา เราจะปล่อยให้การศึกษาไทยไปต่อแบบเดิมไม่ได้ แม้หลายปัญหาถูกแก้ไขได้โดยไม่ต้องรอการแก้ไขกฎหมาย แม้กฎหมายฉบับเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาการศึกษาได้ทั้งหมด แต่การผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษา ฉบับใหม่ จะเป็นกระดุมเม็ดแรกที่สำคัญ ในการสร้างบทสนทนาและวางรากฐานสำหรับระบบการศึกษาที่เราอยากเห็น  เพื่อพลิกโฉมการศึกษาและพาไทยเท่าทันโลก พวกเราพรรคประชาชนจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนมาร่วมกันผลักดัน พ.ร.บ. การศึกษา ฉบับพรรคประชาชน ที่เราหวังว่าจะตอบโจทย์ผู้เรียน และยึดประโยชน์และอนาคตของผู้เรียนอยู่ในทุกมาตรา หากทำสำเร็จ พวกเราจะมีระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์ผู้เรียนในอย่างน้อย 5 ด้านสำคัญ

1.สิทธิและสวัสดิการด้านการศึกษา ที่ตอบโจทย์ผู้เรียน จะได้รับสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่ครอบคลุมและถูกรับประกันอย่างรัดกุมกว่าที่เคยเป็นมา (เช่น เรียนฟรีจนอย่างน้อยจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ของรัฐได้ฟรี การเรียนการสอนที่มีคุณภาพ อุปกรณ์การเรียนที่ครบถ้วน การส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ สถานศึกษาที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง)ผู้ปกครองและผู้ดูแล จะได้รับสิทธิในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และช่องทางพัฒนาทักษะในการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของลูก รวมถึงข้อมูล สถิติ สารสนเทศ ที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์ต่อการร่วมวางแผน-ติดตามการเรียนรู้ของลูก

2.บุคลากรทางการศึกษา ที่ตอบโจทย์ผู้เรียน
- ครู จะมีเวลา-แรงจูงใจ-สมรรถนะ-สวัสดิภาพที่มั่นคง ในการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ (เช่น การกำหนดมาตรฐานเพื่อลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ระบบการประเมินครูที่เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน การเข้าถึงการพัฒนาสมรรถนะของครูอย่างสม่ำเสมอโดยเน้นการใช้สถานศึกษาเป็นฐาน การมีส่วนร่วมของครูในการสรรหาและประเมินการทำงานหน้าที่ของผู้บริหาร)
- บุคลากรทางการศึกษา จะมีครอบคลุมได้หลากหลายตำแหน่ง ซึ่งสอดคล้องกับความท้าทายในการจัดการเรียนรู้ในยุคใหม่ (เช่น นักจิตวิทยา นักการภารโรง นักธุรการ นักการเงิน นักพัสดุ นักโภชนาการ นักเทคโนโลยีการศึกษา)

3.การเรียนการสอน ที่ตอบโจทย์ผู้เรียน
- หลักสูตร จะมี 3 ระดับ (กรอบหลักสูตรระดับประเทศ กรอบหลักสูตรระดับพื้นที่ หลักสูตรสถานศึกษา) เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรองรับความหลากหลายของผู้เรียน โดยจะมีการทบทวนกรอบหลักสูตรระดับชาติอย่างสม่ำเสมอทุกๆ 5 ปี เพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
- ระบบการประเมิน จะต้องมีความเชื่อมโยงกันทั้งระบบ มีการคำนึงถึงความพึงพอใจของนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้ปฏิบัติงานในสถานศึกษา และชุมชนรอบข้างสถานศึกษา ไม่สร้างภาระต่อครูและบุคลากรทางการศึกษาเกินความจำเป็น และไม่กระทบต่อกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน เทคโนโลยีด้านการศึกษา (เช่น แพลตฟอร์มการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน เครื่องมือสำหรับครูและห้องเรียน) จะต้องได้รับการส่งเสริมทั้งด้านการผลิต การพัฒนา และการยกระดับทักษะบุคลากรในการใช้งาน โดยมีมาตรฐานการจัดเก็บ แลกเปลี่ยน และใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการศึกษา อย่างเป็นระบบ

4.สถานศึกษา ที่ตอบโจทย์ผู้เรียน
- สถานศึกษา จะมีอิสระและอำนาจมากขึ้น ในการจัดการศึกษา (เช่น อำนาจด้าน 'วิชาการ' ในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาของตนเอง อำนาจด้าน 'งบประมาณ' ในการได้รับเงินอุดหนุนแบบวงเงินรวม (block grant) ที่ไม่กำหนดวัตถุประสงค์ อำนาจด้าน 'บุคลากร' ในการร่วมสรรหาและบรรจุบุคลากรของตนเอง) คณะกรรมการสถานศึกษา จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยตัวแทนของภาคส่วนต่าง ๆ ที่หลากหลายขึ้น อำนาจหน้าที่ที่กว้างขวางขึ้น และการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นเรื่องค่าตอบแทน ทรัพยากร และองค์ความรู้
- สถานศึกษาหลากหลายรูปแบบ จะได้รับการปลดล็อก โดยเฉพาะการศึกษานอกระบบโรงเรียน (เช่น บ้านเรียน ศูนย์การเรียน) ที่จะสามารถจัดได้สำหรับนักเรียนทุกประเภท โดยที่รัฐจะต้องคำนึงถึงความเสมอภาคในการอุดหนุนผู้เรียนในสถานศึกษาทุกสังกัดและทุกรูปแบบ

5.กระทรวงศึกษาธิการ ที่ตอบโจทย์ผู้เรียน
- โครงสร้างกระทรวง จะมีการออกแบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยกระบวนการการที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปี หลัง พ.ร.บ. การศึกษา บังคับใช้ โครงสร้างกระทรวง (ส่วนกลาง) จะมุ่งสู่การทำงานอย่างเป็นเอกภาพ & เน้นบทบาทในการกำหนดมาตรฐานสำหรับสถานศึกษา (regulator) มากกว่าการดำเนินงานภายในสถานศึกษา (operator) (เช่น มาตรฐานทางวิชาการ เกณฑ์ในการบริหารงานบุคคล สูตรในการจัดสรรงบประมาณระหว่างสถานศึกษาที่เป็นธรรม)
- โครงสร้างกระทรวง (ในพื้นที่) จะจะมุ่งสู่การทำงานอย่างไม่ซ้ำซ้อน & เน้นบทบาทเรื่องการอำนวยความสะดวกและสนับสนุนสถานศึกษา (facilitate) มากกว่าเรื่องการสั่งการและบังคับบัญชาสถานศึกษา (command & control)
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเข้ามามีบทบาทได้มากขึ้นในภารกิจด้านการศึกษาและการเรียนรู้ รวมถึงได้รับการปลดล็อกให้สามารถสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรให้กับผู้เรียนหรือสถานศึกษาทุกสังกัดทุกแห่งในท้องถิ่นของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองได้

นายพริษฐ์กล่าวว่า แม้ต่างพรรคการเมืองต่างมีร่าง พ.ร.บ. การศึกษา ของตนเอง ซึ่งอาจมีเนื้อหาทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่เราหวังว่าการผลักดัน พ.ร.บ. การศึกษา ฉบับใหม่ จะเป็นภารกิจที่ทุกพรรคพร้อมทำงานและผลักดันร่วมกันต่อไปในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตของเด็กทุกคน

‘เทพไท’ จี้!! กกต.คุม ‘ทักษิณ’ ด่วน ชี้!! ปราศรัย ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

(12 ม.ค. 68)  นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เทพไท – คุยการเมือง’ ว่า กกต.จัดระเบียบ ‘ทักษิณ’ ด่วน

ผมได้เห็นกำหนดการเดินสายปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร ลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 18-20 ม.ค.68 ที่จังหวัดนครพนม บึงกาฬ หนองคาย และมหาสารคาม จากนั้นวันที่ 24-25 ม.ค.68 จะเดินทางไปจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อหาเสียงให้ผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยนั้น

ในความเป็นจริงนายทักษิณไม่ได้มีเป้าหมายหลักในการหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกอบจ. แต่ต้องการใช้เวทีหาเสียงการเมืองท้องถิ่น เพื่อขยายผลไปยังการเมืองระดับชาติ โดยนายทักษิณจะขึ้นปราศรัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรัฐบาล ทั้งที่ตัวนายทักษิณไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่อย่างใด กลับประกาศนโยบายและแผนงานที่จะทำของรัฐบาล จนอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของตัวผู้สมัครได้

ผมได้ติดตามการปราศรัยบนเวทีนายกอบจ.3แห่ง คือ ที่จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี และเชียงราย นายทักษิณจะใช้เวลาหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกอบจ. ใช้เวลาเพียง 5 นาที นอกจากนั้นก็จะปราศรัยในประเด็นการเมืองอื่นๆ พาดพิงไปทุกภาคส่วน จนเป็นประเด็นร้อน จนสื่อต้องนำไปขยายผล และผู้ที่ถูกพาดพิงก็ใช้สิทธิ์ตอบโต้ มีการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นของคุณหาเสียงทักษิณหาเสียงอยู่หลายวัน ทำให้กระแสของนายทักษิณอยู่ในหน้าสื่อตลอดเวลา ประสบความสำเร็จตามแผนการโฆษณาทางการเมืองที่วางไว้

สิ่งที่นายทักษิณปราศรัยหมิ่นแหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในฐานะผู้ช่วยผู้หาเสียง ซึ่งเรื่องนี้นายอิทธิพล บุญประคอง ประธานคณกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาแสดงความเห็นในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่ฟันธงว่า นายทักษิณทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ อยากให้กกต.ได้เร่งสรุปการปราศรัยหาเสียงของนายทักษิณว่า ฝ่าฝืนหรือผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่ เพื่อจะไม่ให้เป็นประเด็นข้อกฎหมายต่อไป เพราะการหาเสียงของนายทักษิณ ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในระหว่างผู้สมัครด้วยกัน

ถ้ากกต.ยังปล่อยให้นายทักษิณปราศรัยหมิ่นแหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายเช่นนี้ และไปสรุปหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ก็อาจจะช้าเกินไป จนอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และจัดเลือกตั้งใหม่ ซึ่งทำให้ผู้สมัครนายกอบจ.หลายคนเสียโอกาส และเสียงบประมาณของราชการโดยไม่จำเป็น

อยาดขอความชัดเจนจากกกต.ออกมาความระเบียบ และกำชับให้นายทักษิณปฏิบัติตามกฏหมายเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด กล้าๆหน่อย อย่าเกรงกลัว เกรงใจคนทำผิดกฏหมายอีกเลย

‘อุ๊งอิ๊ง’ บุก!! นครพนม ช่วยหาเสียงผู้สมัคร ‘นายกฯอบจ.’ ชาวบ้านตะโกนรักนายกฯ มอบดอกไม้ ให้การต้อนรับแน่น

(12 ม.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกฯ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด และ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ เดินทางลงพื้นที่ จ.นครพนม

เพื่อช่วยหาเสียงให้กับนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม พรรคเพื่อไทย โดยมีนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม มารอต้อนรับที่สนามบิน

เมื่อ น.ส.แพทองธารและคณะเดินทางมาถึง มีประชาชนและกลุ่มผู้สนับสนุนในพื้นที่ มารอมอบดอกไม้และให้การต้อนรับ พร้อมทั้งตะโกนว่า “เรารักนายกฯ อิ๊งค์” ทั้งนี้ ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกของ น.ส.แพทองธาร เพื่อช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียง

โดย น.ส.แพทองธารมีกำหนดการปราศรัยรวม 3 เวที ประกอบด้วย ช่วงเช้าที่สนามกีฬาเทศบาลตำบลนาแก อ.นาแก ซึ่งเป็นเวทีปราศรัยแรกให้กับผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม พรรคเพื่อไทย และช่วงบ่ายหอประชุมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ที่มหาวิทยาลัยนครพนม อ.เมือง และอาคารโดมสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ

‘พิธา’ บุก!! ตลาดบ้านเกิด ‘ทักษิณ’ ช่วยหาเสียง นายกฯ อบจ.เชียงใหม่ เชื่อ!! ฐานเสียงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย ขอปชช.ช่วยทำครอบครัวส้มใหญ่ขึ้น

(12 ม.ค. 68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ลงพื้นที่ช่วยนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ช่วงเช้าไปหาเสียงที่ตลาดอุ๊ยทา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายพิธา เดินตลาดพบปะพี่น้องประชาชน ถือโทรโข่งปลุกใจด้วยการขานเบอร์ผู้สมัครเสียงดัง พร้อมกล่าวว่า ขอบคุณพี่น้องชาวสันกำแพงที่ไม่เคยลืมพวกเรา พวกเราจะไม่ลืมชาวสันกำแพงแน่นอน

จากนั้น นายพิธา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ต้องมาที่นี่ เพราะเป็นเขต สส. พรรคเรา ตนยังนึกถึงความไว้วางใจที่พี่น้องชาวสันกำแพงมอบให้มา ยังจำได้อยู่ ภาพที่เห็นก็เป็นครอบครัวก้าวไกล-ประชาชน เป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น

“ครอบครัวในเชียงใหม่เราก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นความตั้งใจที่จะมาชวนพี่น้องชาวเชียงใหม่ให้ความไว้วางใจอีกครั้ง เพื่อจะให้ครอบครัวของเราขยายมากขึ้นจะได้ดูแลพวกท่าน หากครอบครัวของพวกเราใหญ่ขึ้น นั่นหมายความว่าการเมืองในสภา การแก้กฎหมายสำคัญ การแก้ไขปัญหาพื้นที่รวมถึงงบประมาณที่จะนำมาใช้ อบจ. ก็มีหน้าที่โดยตรง เราจะได้ทำงานอย่างไร้รอยต่อกับท้องถิ่น” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยกับนายทักษิณ ในงานฉลองมงคลสมรส สส.พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ว่า ไม่ได้มีอะไร วันนั้นก็ทักทายตามปกติ พอเสร็จงานตนก็แพ็คของมาลงพื้นที่หาเสียงลำพูน เชียงใหม่ต่อ ตนเชื่อว่า ประชาชนต้องการการแข่งขันทางการเมืองที่เข้มข้นตรงไปตรงมาทำงาน เพื่อให้เขาสามารถมีความเชื่อถือและเชื่อมั่นได้ว่าความเป็นไปของเชียงใหม่ที่จับต้องได้

“มันก็ผ่านมา 25 ปีแล้วนะ แกก็คงอยากจะเห็นว่าเชียงใหม่เปลี่ยนแปลงอะไร เจอโควิด ที่เรียกว่าเป็นเมืองปราบเซียนแล้ว ปราบเซียนเข้าไปใหญ่ เจอทั้งโควิดเจอทั้งฝุ่น เจอทั้งฝน ทั้งน้ำท่วม ดังนั้น ต้องมีคนรุ่นใหม่เข้าไปบริหารจัดการ” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนมาเชียงใหม่ครั้งนี้ ยังอบอุ่นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับอย่างฝาคั่ง เชื่อว่าเป็นเพราะนโยบายที่ตอบโจทย์และโดนใจ

เมื่อถามว่ากังวลเรื่องฐานเสียงหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การที่จะเป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 อย่าง 42% เลือกเรา เดินไป 10 คน เลือกเราพรรคเดียว จะให้เป็นคนรุ่นใหม่อย่างเดียว มันไม่ใช่ มีคนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่ด้วย คราวนี้ พอเป็นเรื่อง อบจ. มันดูแลได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคนสูงอายุ คงไม่ได้เลือกว่าจบเป็นคนรุ่นใหม่อย่างเดียว

นายพิธา ยังเชิญชวนให้คนกลับมาเลือกตั้ง ว่า ตนเข้าใจว่าเพิ่งกลับบ้านเมื่อช่วงปีใหม่ เดือนเดียวต้องกลับมาอีกแล้ว คนที่หาเช้ากินค่ำก็เดินทาง ลางานได้ลำบาก ดังนั้นใครที่อยู่ในพื้นที่ขอให้ไปใช้สิทธิ์ให้เต็มที่

นายพิธา ระบุว่า พรรคเก่าที่ผ่านมาชอบที่จะแข่งขันและเน้นการแข่งขันกับตัวเอง เราก็จะโฟกัสกับปัจจัยที่เราพยายามควบคุมให้ได้มากที่สุด แล้วไปเทียบกับอดีตว่าทำได้ดีขึ้นมากหรือไม่

“เชื่อว่าพี่น้องเชียงใหม่ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ ก็จะให้โอกาสคนที่ตอบโจทย์กับยุคสมัยเราต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังวังชาและเจอกับความท้าทายใหม่ๆของเชียงใหม่”

ภายหลังการให้สัมภาษณ์นายพิธาได้เดินทางไปพักรับประทานอาหารที่ร้านเสน่ห์แม่วง อำเภอดอยสะเก็ดต่อ ก่อนมีกำหนดการปราศรัยในช่วงเย็น

‘ธนกร’ วอน!! รัฐบาล เร่งคลอด มาตรการเข้มข้น เพื่อควบคุมฝุ่น PM 2.5 จี้!! ‘ผู้ว่าฯ กทม. - บก.จร.’ ใช้ยาแรง บังคับใช้กฎหมาย ให้เข้มงวดมากขึ้น

(12 ม.ค. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ  สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีระดับสีส้มและสีแดงบางจุด ว่า ตนขอฝาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เร่งประเมินสถานการณ์ และยกระดับมาตรการ รับมือป้องกันผลกระทบให้มีความเข้มข้นขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นดูแลสุขภาพประชาชน ที่แม้ว่าวันนี้ค่าฝุ่น จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ในช่วงวันที่ 12 - 19 ม.ค. 2568 ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสลับลดลง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ในช่วงนี้อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ในช่วงเช้ามีอากาศเย็นและลมแรง จากสภาวะอากาศที่แห้ง เสี่ยงต่อการเกิดการลุกไหม้ได้ ขอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเข้ม เอาผิดผู้ที่จุดไฟเผาป่าหรือบริเวณรกร้าง เพราะถือว่าทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้อีกสาเหตุหลักของฝุ่นPM 2.5 มาจากรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซลที่ควันดำ รถบรรทุกขนาดใหญ่และกลุ่มของรถสาธารณะขนส่งมวลชน  จึงขอฝากทางกทม. ร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)กำกับการตรวจรถเมล์ รถในสังกัด ของขสมก. รวมทั้งขอทางกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ตรวจวัดมลพิษรถยนต์ควันดำ พวกรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ยังพบเห็นการปล่อยควันดำตามท้องถนนอยู่เป็นประจำ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบทางมลพิษแก่ประชาชน

"เป็นห่วงว่า หากสถานการณ์ฝุ่นPM 2.5 ทั้งในกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศทวีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงวัย ขอทางรัฐบาล ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ออกมาตรการใช้ยาแรง คุมเข้มเรื่องควันดำจากรถยนต์  จัดให้มี การเวิร์คฟอร์มโฮมทำงานจากที่บ้านของส่วนราชการในสังกัดที่สามารถควบคุมบริหารจัดการได้  

พร้อมกันนี้ในโรงเรียนขอให้งดกิจกรรมกลางแจ้งปรับเปลี่ยนห้องเรียนให้ปลอดฝุ่นพิษหรือเพิ่มเครื่องฟอกอากาศ เพื่อช่วยดูแลสุขภาพเด็กเล็กและประถมวัยที่มีความเปราะบาง เชื่อว่าหากรัฐบาล ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด รวมถึง กทม. ออกมาตรการเข้มข้นจะสามารถลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนลงได้มาก" นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top