Friday, 20 June 2025
Politics

งานงอก!! ครูวัดธาตุทองฯ ถูกโซเชียลแฉพฤติกรรมไม่เหมาะสม พบ 'ดิจิทัลฟุตพรินท์-หลักฐานบันทึก' เพียบ พร้อมถึงมือตำรวจ

(10 มี.ค.67) จากกรณี 'โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง' ได้มีแนวทางในการสุ่มสอบปากเปล่าเด็กนักเรียนด้วย ‘คีย์เวิร์ด’ ซึ่งปรากฏพบคำต่างๆ ที่คุ้นเคยกับกลุ่มการเมืองต่อต้านสถาบันฯ เช่น ‘112-ขบวนเสด็จ’ และหลากคำคุ้นจากกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ จนมีการสืบค้นไปถึง 'ครู' ผู้ริเริ่มแนวนี้นั้นว่าเป็นใครและมีการเผยแพร่ถึงพฤติกรรมที่ไม่ค่อยเข้าท่ามากมายลงในโซเชียลนั้น

ล่าสุด มีการเปิดเผยจากแอดมินเพจหนึ่งที่ได้ส่งบันทึกข้อความตักเตือนพฤติกรรมไม่เหมาะสมของครูคนดังกล่าว ซึ่งในมุมหนึ่งก็มักชอบเสี้ยมแซะสถาบันฯ อยู่บ่อยครั้งด้วย แชร์ไปให้แก่บุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคมมากมาย เพื่อให้รู้ถึงพฤติกรรมครูคนดังกล่าว

เพราะ ครูคนนั้น ไม่ธรรมดา เมื่อถึงคราวจำเป็นและคราวคับขันที่ต้องเจอเข้ากับตัวเอง ก็รู้จักสู้ด้วยหลักฐาน เรียกร้องหลักฐาน ซึ่งตอนที่เขาเคยถูก ผอ.โรงเรียนคนเก่าตักเตือน ก็ได้ไปอุทธรณ์ว่า ผอ.โรงเรียนคนเก่า กล่าวหาเขาโดยไม่มีหลักฐานกับทางศึกษาธิการกรุงเทพมหานคร และหัวหมอบอกว่า ผอ.โรงเรียนท่านนั้นไม่มีหลักฐาน ชี้แค่ว่าเป็นอำนาจในการบริหาร ทางศึกษาธิการกรุงเทพมหานครเลยยกข้อกล่าวครูคนนั้นไป  

อย่างไรก็ตาม แอดมินเพจคนดังกล่าว ก็ได้ส่งดิจิทัลฟุตพรินท์ของครูคนนั้นที่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งหมด เป็นหลักฐานตามบันทึกตักเตือนพฤติกรรมของอดีต ผอ.ไปให้บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมไทยที่มั่นใจว่าจะไปขยายผลต่อได้ ซึ่งทราบมาว่ามีการจัดเรียงหลักฐานแยกเป็นหมวดหมู่ บันทึกวันที่และ URL ไว้ครบถ้วนหมด

แน่นอนว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าจะให้จบง่ายแต่แรก ทาง อดีตผอ.โรงเรียน ไม่ควรพลาดในการเก็บหลักฐานดิจิทัลฟุตพรินท์ให้ครบหมด เพราะนั่นทำให้ไม่สามารถตักเตือนคนหัวหมอแบบนี้ได้

อย่างไรก็ตามบันทึกเหล่านั้นอยู่และมีดิจิทัลฟุตพรินท์พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของครูคนนั้น ที่มีคนส่งไปทั่วแล้ว คงเหลือเพียงแค่ต้องตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดก่อนว่าจริงหรือปลอม ซึ่งงานนี้ 'ปอท.' และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงช่วยตรวจสอบดูให้ทั้งหมดได้ไม่ยาก

‘พปชร.’ เดินหน้าวางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน หวังเป็นที่ยอมรับของ ปชช. เตรียมให้ สส.ลงพื้นที่มากขึ้น - จ่อเป็นคนกลางเชื่อมการเมือง 2 ฝ่าย

(11 มี.ค. 67) สิ้นเสียงของ ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ พปชร. ประกาศปรับลุคเคลื่อนทัพทางการเมืองใหม่ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถูกสังคมส่องสปอตไลต์ตลอด ไปถอดรหัสผ่านมุมมองของนักการเมืองระดับเก๋าเกม โลดแล่นอยู่บนถนนเส้นนี้กว่า 30 ปี โดย นายวราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการ พปชร. และแกนนำอีกคนของ พปชร. สะท้อนให้เห็นถึงจุดประสงค์ของการประกาศดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้สนับสนุนพรรค พปชร.

ขณะนี้กำลังวางยุทธศาสตร์ทำให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้น ทั้งฐานะพรรคร่วมรัฐบาล มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการ พปชร. เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้า พปชร. เป็น รมช.สาธารณสุข พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา พปชร. เป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยเฉพาะ 2 กระทรวงหลัก เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับนโยบายนำเสนอไปแล้วถูกใจประชาชนหรือไม่ แต่ไม่ได้ทิ้งด้านเศรษฐกิจ พลังงาน ท่องเที่ยว

ซึ่งมีผู้มีประสบการณ์ผ่านมาแล้วหลายกระทรวง มีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เข้ามาดูควบคู่กันไป อาจเรียกได้ว่าด้านเศรษฐกิจมีผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยไปกว่าพรรคอื่น ไม่อยากพูดว่าเหนือกว่าพรรคอื่น

บนเป้าหมายสร้างความเข้มแข็งให้ พปชร. เพื่อกลับมาในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมืองต้องมีความพร้อม ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมตลอดเวลา เพราะไม่มั่นใจการเมืองในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ถึงขั้นว่าพร้อมวันนี้

ฉะนั้นเป้าหมายปี 67 ทำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมคิดนโยบาย ปี 68 ประกาศชัดเจนเดินไปข้างหน้าอย่างไรให้ประชาชนยอมรับมากขึ้น

โดยให้ผู้สมัคร สส.ที่ไม่ได้รับเลือก ติดพื้นที่ใกล้ชิดประชาชน หลายเขตเป็นผู้ที่มีศักยภาพ มีโอกาสในการเลือกตั้งครั้งหน้า และ สส. 39 เขต กระจายทั่วทุกภาค ไปขยายฐานเพิ่ม

โดยเฉพาะความเห็นที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว ยังมองไม่เห็นคนกลางที่สามารถเชื่อมทั้ง 2 ฝ่าย และอาจมีฝ่ายที่ 3 ที่คิดว่าทั้ง 2 ขั้วก็ไม่ถูกต้อง

แต่รัฐบาลมีความตั้งใจ ถ้าไม่สำเร็จ ขอแค่ได้เริ่มสัก 50%

วางให้ชัดเจนในส่วนที่สามารถยอมรับกันได้ โดยเฉพาะการแก้ไขรธน. กติกาในการ บริหารประ เทศที่ออกมาเป็นที่ยอมรับแค่ไหน

ทั้งนี้ การสลายขั้วทางการเมืองกับการแสดงความคิดเห็นต้องแยกกัน สลายขั้วอาจเป็นพรรค และผู้สนับสนุน แต่สลายขั้วทางความคิด อาจเป็นเรื่องยาก

ฉะนั้นความคิดต่างกันได้ แต่ต้องยอมรับกติกาเลือกตั้ง ปล่อยฝ่ายชนะได้บริหารประเทศ ฝ่ายแพ้ก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ยกเว้นเกิดทุจริต คงต้องปล่อยให้ระบบจัดการ

ขณะนี้เริ่มเห็นปรากฏการณ์ที่ฝ่ายค้าน และรัฐบาลยอมรับในบางเรื่องที่ถูกต้อง ยอมรับความเห็นของพรรคตรงข้าม ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสังคมที่สามารถชี้นำ และบีบฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลหรือทำไม่ถูกต้อง

ภาพรวมรัฐบาลอยู่ตลอดรอดฝั่งครบเทอม 4 ปี หรือไม่ นายวราเทพ บอกว่ารัฐบาล พรรคการเมือง สส. ล้วนอยากให้อยู่ครบวาระ รวมถึงผมด้วย เพื่อทำให้การเมืองต่อเนื่อง

เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นสภาฯ และรัฐบาลได้ทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชน มากกว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเร่งด่วนในขณะนี้

“ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน 4 ปี พรรคร่วมรัฐบาลยังสามัคคี ไม่มีความขัดแย้ง

แต่ปัจจัยภายนอกที่คนเห็นอยู่ และคิดได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ด้วยโครงสร้างปัจจุบันบอกว่าพรรคการเมืองยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะพรรคแกนนำมีเสียงไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่ง”

‘รัฐบาลสลายขั้ว’ ตรงกับนโยบาย พปชร. ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ ทั้งรัฐบาล และ พปชร.ต้ องปรับบทบาทอย่างไร เพื่อให้เดินไปสู่รัฐบาลสลายขั้ว สร้างความปรองดอง นายวราเทพ บอกว่า เราเป็นพรรคอันดับ 3 สนับสนุนเต็มที่ และมีจุดยืน ทำให้สังคมเกิดความสงบ

แต่การขับเคลื่อนต้องรอพรรคเพื่อไทย แกนนำอันดับ 1 โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ที่กำลังดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการแก้ รธน.หรือการทำประชามติแก้ รธน.

การเคลื่อนไหวของ ‘ลุงป้อม’ ยังถูกจับตามีโอกาสกลับมาเป็นรองนายกฯ เพราะตามโควตาพรรค พปชร.เหลืออีก 1 เก้าอี้รัฐมนตรี นายวราเทพบอกว่า มองเชิงการเมืองอาจคาดการณ์ได้ อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์

แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหัวหน้า พปชร. และต้องหารือตกลงร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคแกนนำ ที่ยังไม่มีการพูดคุยอย่างเป็นทางการ หรือเป็นกิจจะลักษณะ

กระแสที่จะกลับมาเป็นนายกฯ ช่วงหลังวุฒิสภาอภิปรายทั่วไปรัฐบาล นายวราเทพบอกว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะมี อาจมีคนคิด แต่ในส่วนของ พปชร.ผมไม่เคยได้ยิน

เพราะทางการเมืองกำลังจะเกิดปรากฏการณ์ยุบ 2 พรรค มีการทาบทาม สส.ของทั้ง 2 พรรคเข้าร่วมงานกับพรรค พปชร.อย่างไร นายวราเทพ บอกว่า เรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากความเป็นทางการ
ผมยังไม่ได้ยินกรณีนี้ มีหรือไม่มี เราพูดยาก อาจมีก็ได้ แต่เขาคงไม่อยากให้มีการพูดถึง มันเป็นเรื่องอนาคต ยังไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร

‘ลุงป้อม’ เคลื่อนไหวทางการเมืองลักษณะนี้ ได้รับสัญญาณพิเศษอะไร นายวราเทพ บอกว่า ไม่มีสัญญาณพิเศษ แต่อยากเห็นพรรคต่างจากในอดีต เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วทิ้งงานของพรรค ไม่มีใครรับผิดชอบ พอยุบสภาฯ ถึงกลับมาหาประชาชน หากผลงานรัฐบาลดีอาจได้รับการรับเลือก แต่ถ้าผลงานไม่ดีอาจแพ้เลือกตั้ง

คราวนี้เราต้องทำงานคู่ขนานกับการร่วมรัฐบาล พปชร.ต้องเคลื่อนไหวตลอดให้ประชาชนสัมผัสได้

'ธนาธร' ไม่สะเทือน หาก ‘ก้าวไกล’ ถูกปิดฉาก รอโกยคะแนนเห็นใจ ปิดปาก 'แม้ว' กลับเชียงใหม่

เมื่อไม่นานมานี้ ที่ร้านพริ้มเพลิน จังหวัดปทุมธานี ในการสัมมนาของกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะวิทยากร ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ว่า สส.พรรคก้าวไกล มีวิจารณญาณ โดยตนเองคิดว่านายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พิจารณาและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มีข้อมูลเพียงพอที่จะอภิปรายเพื่อเสนอแนะให้รัฐบาลแก้ไขในด้านต่างๆ

เมื่อถามว่ามั่นใจในพรรคก้าวไกลหรือไม่ ว่าข้อมูลอภิปรายจะแน่นพอในการตรวจสอบรัฐบาล นายธนาธร กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดสภาชุด 2566 มา ตนเองเห็นแต่คุณภาพของ สส. พรรคก้าวไกล เทียบพรรคอนาคตใหม่ ปี 2562 กับก้าวไกล ปี 2566 สส.มีคุณภาพกว่าเยอะมาก อยากเชิญชวนให้ประชาชนติดตามการประชุมสภา เพื่อดูว่า สส. ที่เลือกมาแต่ละคนทำผลงานมากน้อยเท่าไหร่ หากฟังทุกสิ่งที่ สส.ก้าวไกล เสนอต่อรัฐบาล หน่วยงานราชการในด้านต่างๆ ตนเองเชื่อว่าจะเห็นความมุ่งมั่นทำงานที่หนักหน่วง มีคุณภาพ “ดังนั้น ผมไว้เนื้อเชื่อใจ สส.ชุดนี้ครับ”

เมื่อถามว่ามองว่าในการอภิปรายควรมีประเด็นใดบ้าง นายธนาธร กล่าวว่า ตนเองไม่รู้เลยว่าจะอภิปรายอะไรบ้าง แต่เชื่อว่า นายชัยธวัช พิจารณาถี่ถ้วน ไม่ใช่แค่ประเด็นเกมการเมือง แต่เน้นคุณภาพ

เมื่อถามว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มพิจารณาการยุบพรรคก้าวไกลสัปดาห์นี้ มองเรื่องนี้อย่างไรในฐานะที่พรรคอนาคตใหม่ก็เคยถูกยุบ นายธนาธร ระบุว่า การยุบพรรคไม่ทำให้พรรคก้าวไกลหนักใจ เพราะพรรคก้าวไกลและพรรคอนาคตใหม่ผ่านการยุบพรรคมาแล้ว เชื่อว่าผู้สนับสนุนเข้าใจและพร้อมจะเดินทางต่อ การยุบพรรคจะทำให้คนเห็นอกเห็นใจถึงความไม่เป็นธรรม ความไม่ถูกต้องที่ดำรงอยู่ในประเทศ

เมื่อถามว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ นายธนาธร หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า แล้วแต่ประชาชน แต่คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล มุ่งมั่นทำงานทุกวันให้ดีที่สุด เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่าพวกเราตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนประเทศให้ประเทศไทยดีกว่านี้ ให้ประชาชนเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

ส่วนประเด็นเรื่อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับไป จ.เชียงใหม่ มองว่าเป็นสองมาตรฐานหรือไม่ นายธนาธร พูดทันทีว่า “โห ผมไม่มีความเห็นคิดในเรื่องนี้” เคยตอบไปแล้ว การบังคับใช้กฎหมายต้องเสมอภาค มีนักโทษคดีการเมืองเป็นพันคน เข้าใจว่ามีหลายสิบคนที่ยังอยู่ในคุก พวกเขาไม่ใช่เป็นคนที่ลักขโมยหรือฆ่าข่มขืนใคร พวกเขาเป็นนักโทษทางความคิด การพูดคิดอ่านเขียนไม่ควรเป็นอาชญากร

เมื่อถามว่า มีประชาชนไปรอต้อนรับ นายทักษิณ จะเป็นเป้าให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ นายธนาธร กล่าวสั้นๆ ว่า “ขอให้ไปถามพรรคเพื่อไทยดีกว่า”

‘อดีตผู้ว่าอัศวิน-สส.รทสช.’ เตรียมลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ถามหา “ชัชชาติ...สิ่งดีๆ คลองโอ่งอ่าง...หายไปไหน?”

(11 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ แจ้งกำหนดการ ของอดีตผู้ว่า กทม.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพคลองโอ่งอ่างในปัจจุบัน หลังมีการแชร์และพูดถึงกันในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าเปลี่ยนไปจากเดิม

โดยกำหนดการดังกล่าว แจ้งว่า สส. เกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง จะลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ถามหา “ชัชชาติ…สิ่งดีๆ คลองโอ่งอ่าง….หายไปไหน“

สืบเนื่องจาก นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้หารือ ในสภาฯ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ถึงกรณีทำไม! กทม.จึงปล่อยทิ้งคลองโอ่งอ่าง ให้กลับสู่สภาพเดิม จนหมดคุณค่าความเป็น Landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และเมินจัด ‘ถนนคนเดิน’ ทั้งที่สร้างรายได้ให้ประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่

โดยทั้ง 2 ท่าน จะลงพื้นที่ ในวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2567 ในเวลา 10.30 น. เดินสำรวจ และรับเรื่องร้องเรียน จากผู้ค้า และ เวลา 11.30 น. จะมีการสอบถามเพิ่มเติม

'ดร.เอ้' ยัน!! นายกฯ เดินทางไปต่างแดน เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องหมั่นโฟกัสเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่รับมาแล้วก็เงียบไป

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์วิดีโอในช่องติ๊กต็อก @aesuchatvee พร้อมระบุแคปชันว่า “นายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ ‘IGNITE Thailand’ มุ่ง 8 เป้าหมายพัฒนาประเทศ ในงาน ไม่มีเรื่อง ‘เป้าหมายการศึกษา’ และ ‘การพัฒนาทักษะคนไทย’ แม้แต่ข้อเดียว น่าเสียใจ” 

โดยภายในวิดีโอได้พูดและแนะนำถึงสิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรให้ความสำคัญ ไม่น้อยกว่าการไปเยือนต่างประเทศ โดยกล่าวว่า… “สําหรับการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ คนใหม่เป็นสิ่งจําเป็น เพราะต้องแนะนําตัวและนโยบายของประเทศตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ผมว่าเรื่องพวกนี้มีความจําเป็น แต่ท่านต้องไม่ฉาบฉวย มีภาพท่านที่ออกมาในลักษณะที่มีคนร้องเรียนทีนึง เมื่อไปดู แล้วก็หาย ไปอีกตรงหนึ่ง ท่านก็หาย กลายเหมือนกับว่า ไม่ได้โฟกัสอะไร…”

ดร.เอ้ กล่าวต่อว่า “จริง ๆ แล้วท่านต้องโฟกัส และต้องจัดอันดับเรื่องของปัญหา ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ประเทศไทยไม่พ้นความยากจน ประเทศไทยมีปัญหาหลายเรื่องที่มาจากเรื่องของการศึกษา แต่ท่านไม่พูดเลย”

ดร.เอ้ ได้ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ ‘ลอว์เลนซ์ หว่อง’ ที่ได้พูดเรื่องการศึกษามาเป็นเรื่องแรก ๆ 

ดร.เอ้ ระบุต่อว่า “แต่นายกฯ เศรษฐาไม่พูดเลย ท่านไปดูตรงไหน ท่านก็พูดแต่เรื่องฉาบฉวย แต่ความสามารถในการแข่งขัน การสร้างคนซึ่งเป็นเรื่องที่จําเป็นที่สุด ท่านไม่เคยพูด”

สุดท้ายดร.เอ้ ได้พูดถึงประเด็นที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งว่า “เรื่องท่านไปต่างประเทศ ผมไม่ว่า แต่งานที่สําคัญที่สุดคือ ‘เรื่องของรากลึกของสังคมไทย’ เรื่องการศึกษา ท่านไม่พูดเลย อีกทั้งเรื่องการแก้ปัญหา ท่านต้องไม่โยนให้กับกระทรวงอื่น แต่ท่านต้องแสดงบทบาทผู้นําว่าท่านหยิบจับอะไรมันก็สําเร็จ ไม่ใช่จับแล้วปล่อย ๆ แบบนี้ ผมว่าท่านจะต้องปรับปรุง”

'สส.เพื่อไทย' สงสัยท่าที 'วิโรจน์' อาจเล่นการเมืองจากปมเรือฟริเกต ไม่คัดค้านการตัดงบ ส่อโยนบาปให้ พท.ถูกมองตีเช็คเปล่าให้นายกฯ

(12 มี.ค. 67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านทรัพยากรบุคคล และได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังในคณะ กมธ. วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กล่าวถึงกรณี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ. การทหาร สภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นไม่คัดค้านการตัดงบประมาณจัดซื้อเรือฟริเกตวงเงิน 1.7 หมื่นล้าน และกล่าวหาว่ารัฐบาลจะนำงบประมาณส่วนนี้ ตีเช็คเปล่าให้นายกรัฐมนตรีนั้น

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของนายวิโรจน์และพรรคก้าวไกล ที่เปลี่ยนไปต่อการจัดสรรงบประมาณด้านการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ การกล่าวอ้างว่าการจัดซื้อเรือฟริเกตวงเงิน 1.7 หมื่นล้าน จะทำให้เกิดการจ้างงานมูลค่าหลักพันล้านบาท เกิดการเรียนรู้ทางวิศวกรรมการต่อเรือ และจะลดต้นทุนในการบำรุงรักษาในระยะยาว เป็นเพียงคำโฆษณาเลื่อนลอยไร้น้ำหนัก
เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฎ กองทัพเรือยังมิได้จัดทำ TOR เป็นเพียงเงื่อนไขที่กองทัพเรือจะเสนอต่อประเทศที่ยอมรับเงื่อนไขในการต่อเรือและจ้างงานในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีการระบุชัดเจน การที่ คณะกมธ.ฯ งบประมาณ ไม่อนุมัติงบเรื่องเรือฟริเกตจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเมื่ออนุมัติ จะมีผลผูกพันทันที 5 ปี และมีมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาททันที

คำพูดของ นายวิโรจน์ จึงเป็นเพียงคำโฆษณาเลื่อนลอยไร้น้ำหนักเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล หาความชอบธรรมกับการไม่ปรับลดงบอาวุธกองทัพอันเป็นหลักการพรรคก้าวไกลยึดมั่นมาโดยตลอด

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณ นายวิโรจน์ ที่ตั้งให้เหตุผลสนับสนุนการซื้อเรือฟริตเกต อย่างน้อยๆ ในการพิจารณางบประมาณปี 68 หากเรือฟริเกตถูกนำมาสู่การพิจารณาอีกครั้ง คณะกมธ.งบประมาณจะได้มีข้อมูลรอบคอบ รอบด้านมากขึ้น และอยากจะย้ำให้ นายวิโรจน์ เข้าใจหน้าที่ของคณะกมธ.งบประมาณ มีหน้าที่ต้องไตร่ตรองงบประมาณแผ่นดินให้คุ้มค่าภาษีประชาชน และ คณะกมธฯ งบประมาณ ประกอบด้วยตัวแทนของทุกพรรคการเมืองเป็นการทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารแต่อย่างใด การตัดงบที่ไม่ชัดเจนในรายละเอียด จึงไม่ใช่เพื่อรัฐบาล แต่เพื่อพี่น้องประชาชน

น.ส.ลิณธิภรณ์ ยังฝากถึงพรรคก้าวไกลอีกว่า "อย่ามัวแต่เล่นเกมการเมือง โยนความผิดทุกเรื่องให้รัฐบาล และอยากถามกลับ ถ้าวันนี้ คณะ กมธ.งบประมาณปี 67 อนุมัติเรือฟริเกตผ่านโดยขาดความรัดกุม ในอนาคตหากเรือฟริเกตไม่สามารถเกิดการจ้างงาน หรือเกิดการถ่ายโอนทางเทคโนโลยีได้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ รัฐบาลใช่หรือไม่ สุดท้ายฝ่ายค้านจะใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีรัฐบาลอยู่ดี เพิ่งเข้าใจบทบาทฝ่ายค้านสร้างสรรค์เป็นแบบนี้นี่เอง"

3 ภารกิจลึก แต่ไม่ลับของ 'นายใหญ่' 'ปิ๊กบ้าน' วางเกมยึดเมืองหลวงชินวัตรกลับคืน

การเมืองไทยสัปดาห์นี้ โฟกัสอยู่ที่ 2 นายกรัฐมนตรี...คนแรก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯคนที่ 23 คนหลัง เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ คนที่ 30 คนปัจจุบัน...

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด 15 หรือ 16 มี.ค.นี้ สองท่านจะป๊ะกันที่มุมใดมุมหนึ่งของเชียงใหม่ หลังจากที่พบกันไปแล้วที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 24 ก.พ.67

ว่ากันว่า การพบกันรอบสองนี้จะล้างข่าวที่ว่า 'วีซ่าตำแหน่งนายกฯ' ของเศรษฐาจะหมดลงในวันที่ 10 เม.ย.ตามข้อตกลงดีลลับ ที่ จตุพร พรหมพันธ์ เชื่อเป็นตุเป็นตะ...

อันนั้นก็ว่ากันไป...

แต่วาระไม่ลับแต่ลึกของ 'นายใหญ่' ทักษิณ ชินวัตร ในการปิ๊กบ้านหนนี้มีอยู่ 3 ประการสำคัญ...

1) ไหว้บรรพบุรุษ ในวาระใกล้เทศกาลเชงเม้ง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งไหว้วิญญาณพี่สาวหัวปี 'เยาวลักษณ์ ชินวัตร' ที่ล่วงลับเมื่อปี 2552 ระหว่างทักษิณตะลอนทัวร์หนีคดี...

2) ส่งสัญญาณทางการเมืองทั้งโดยตรงและโดยอ้อม...ถึงมวลชนมิตรรักแฟนเพลงคนเสื้อแดง ซึ่งข่าวเบื้องต้นแว่วว่าจะบริหารจัดการอย่างไรไม่ให้เอิกเกริกจนเกินไป ถึงแม้ว่านาทีนี้จะประเมินกันว่า...คนเสื้อแดงเชียงใหม่ไปใส่เสื้อส้มกันไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม

3) เปิดเจรจา ปรับความเข้าใจในทางลึกกับตระกูล 'บูรณุปกรณ์' ที่เคยกอดคอกันมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย แต่มาแตกคอแยกวงกันเมื่อปี 2562 และเรื่อยมา...ซึ่งตราบใดยังเป็นอย่างนี้ ทั้ง 'ชินวัตร' และ 'บูรณุปกรณ์' อาจโดนพรรคส้มกลืนกินทั้งคู่...

ย้อนอดีตสั้นๆ ปี 2563 ศึกชิงนายกฯ อบจ. 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายใหญ่ ส่ง 'สว.ก๊อง' พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ลงนายกฯ อบจ.เอาชนะ 'เสี่ยโต๊ะ' บุญเลิศ บูรณุปกรณ์...

ต่อมาเลือกตั้ง สส.14 พ.ค.66 พรรคเพื่อไทยเกือบสูญพันธุ์ที่เชียงใหม่ ได้มา 2 เก้าอี้จาก 10 เก้าอี้ ส่วนก้าวไกลกวาดไป 7 ที่นั่ง...พลังประชารัฐ คนของ 'เสี่ยโต๊ะ' เอาไป 1

เชียงใหม่...ไม่ใช่เมืองหลวงของชินวัตรอีกต่อไปอย่างแน่นอน หากเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ต้นปี 2568 และเลือกตั้ง สส.รอบหน้า พรรคส้มยังยึดพื้นที่ จนกลายเป็นเมืองหลวงสีส้ม...

ทักษิณพบกับเศรษฐาก็น่าสนใจ...แต่ที่น่าสนใจกว่าในชีวิตจริง คือ 'เสี่ยโต๊ะ' บุญเลิศได้พบกับทักษิณหรือไม่?...

คืนวันที่ 14 มี.ค.ชายวัย 75 ที่ยังป่วยหนัก? จะนอนพักรีสอร์ทหรูในสนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเล่ อ.แม่ริม ของครอบครัวจุฬางกูร คนแซ่เดียวกับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ...

สนามนี้มีไนท์กอล์ฟด้วย แต่คนป่วยอย่างทักษิณคงไม่มีแรงไปออกรอบตีกอล์ฟ...

หากแต่คุยกับเสี่ยโต๊ะและใครต่อใคร เพื่อยึดเมืองหลวงเชียงใหม่คืนมา ดูจะเข้าท่ากว่าแน่นอน!!

ตรรกะเดียวกันของพวกหลงตัวไม่ต่างจาก 'วัวลืมตีน' ต่างอยู่ในโลกที่มีผิวขรุขระ คล้ายผลส้มเหมือนกัน

คำว่า 'วัวลืมตีน' บันทึกไว้ว่าไม่ใช่คำหยาบ แต่จะเรียกว่าเป็นสำนวน หรือสุภาษิตไทยก็ตามแต่ ความหมายก็ประมาณว่า...

"คนที่พอได้ดีแล้วก็ลืมฐานะเดิม ลืมที่มาของตนเอง ที่หนักหน่อยก็ลืมหน้าที่ ลืมว่าที่สมควรต้องทำนั้นคือสิ่งใด จะมึนงงหลงทางบาป ผยองอยู่ในร่างกลวง ๆ ที่ไร้น้ำหนัก ไร้แก่นสาร ที่ยังไปต่อได้รายวันก็เพราะยังมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อย 'หลงยกหาง' ให้เห่าหอนพ่นพิษสู่สังคมรายวัน"

คนจำพวกนี้ นอกจากจะมองไม่เห็นสิ่งที่ดีงามที่ดำรงอยู่มาช้านาน แต่จะคิดตรงกันข้าม จะแก้ จะทำลายให้สูญหายไป โดยไม่เคยดูว่าตนเองนั้นมีคุณค่ามากพอจะคิดจะทำสิ่งนั้นได้หรือไม่? 

ฉากหน้านอกจากไม่สวย ไม่สง่างาม ฉากหลังยังรอวันถูกกระชากให้ 'สังคมที่ยังไร้ปัญญา' ได้มองเห็นกระจ่างชัดในอีกไม่ช้าไม่นาน 

หนึ่งนั้นคือ 'ไอ้หนู' ในคราบ สส. ในสภา ที่คนอายุมากกว่าเรียกขานด้วยความใกล้ชิดเอ็นดู ยังตีความไปในทาง 'ต่ำถ่อย' เสมือนความคิด จิตใจ และการกระทำของตัวเอง 

แต่เรื่องที่ 'ต่ำสถุน' และน่ารังเกียจกว่านั้นมากมาย เช่น การแอบรับเงินต่างชาติมาสร้างความปั่นป่วนในแผ่นดินถิ่นอาศัยของตัวเอง ไอ้หนูตัวเดิมกลับเบือนหน้าปฏิเสธเสียงแข็ง สิ่งใดที่หลักฐานยังโผล่ไม่สุด สังคมยังไม่เห็นถนัด ไอ้หนูก็ยังรอดพ้น 'ลูกกรงขังหนู' ยังพอมีเวลาแต่งสูทฟอกตัวตบตาบรรดา 'คนสมองน้อย' ได้อีกหลายทิวาราตรี 

แต่ไม่ได้หมายความว่า กรรมที่กำลังไล่ล่าจะไม่ได้มาก่อนกาล อยู่ที่ 'บุญของไอ้หนู' แต่ชาติปางก่อน สะสมไว้มากแค่ไหน 

จบเรื่องของไอ้หนู มาต่อเรื่องครูสามกีบที่แอบสอดใส่ความคิดความอ่านอันตื้นเขิน ชั่วร้าย และเต็มไปด้วยอคติ เพื่อให้เด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายเกิดความรู้สึกมั่นใจไปในทางที่ผิดเพี้ยน แฝงสอนให้เด็กกล้าหาญ กล้าแสดงออก ในขณะที่ยังขาดความรู้ ความจริง ไม่ลึกซึ้งถึงที่มาที่ไปก่อน กลับผลักให้เอนเอียงไปในทางเกลียดชังสิ่งต่าง ๆ คล้ายสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในหัวใจของครู

ทั้งไอ้หนู และครูสามกีบ คือ ผลผลิตเดียวกัน มีตรรกะและวิธีคิดเดียวกัน อยู่ในโลกที่มีผิวขรุขระ คล้ายผลส้มเหมือนกัน ถ้าปล่อยกลิ้งไปมากับพื้นก็จะหมุนไปแบบเอียง ๆ ด้วยผิวสัมผัสนั้นไม่เรียบ ข้างนอกถ้าดูไกล ๆ อาจจะเห็นความสวย ถ้าเพ่งมองใกล้ ๆ จะเห็นรอยคล้ำดำ มีตำหนิมากมาย 

ทำท่าว่ากำลังจะเน่าในอีกไม่นาน

‘ไอติม’ ขออย่าเพิ่งด่วนสรุป หลัง กกต. ยื่นศาล รธน. ‘ยุบก้าวไกล’ ลั่น!! เตรียมแผนไว้พร้อม ซ้ำ!! ทีม กม.สู้เต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

(12 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งสำนวนยุบพรรคก้าวไกล ต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ได้เตรียมความพร้อมไว้อย่างไรบ้างนั้น ว่า พรรคก้าวไกล และทีมกฎหมายได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรมและอนาคตของพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ ว่าสิ่งที่พรรคทำไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเราทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต 

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทางพรรคเองเข้าใจดี การถูกยุบพรรคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายพรรค เราไม่อยากให้พรรคการเมืองถูกยุบเป็นเรื่องปกติ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นพรรคที่มีคดีถูกยุบพรรคอยู่ อย่างกรณีพรรคภูมิใจไทยที่สังคมความสนใจอยู่ แม้จะมี สส. พรรคก้าวไกลเป็นผู้เปิดโปง เรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นกับบริหารพรรค แต่บทลงโทษที่เหมาะสมคงไม่ใช่การยุบพรรค ควรลงโทษที่ผู้บริหารพรรค 

เมื่อถามว่ามีการสร้างพรรคสำรองไว้หรือไม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรามีการรับมือ และวางแผนทุกฉากทัศน์อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา สส. และทีมงานของพรรคก็ยังทำงานเต็มที่ในการผลักดันกฎหมายความเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางผู้บริหารพรรค ได้เตรียมการรับมือทุกสถานการณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า เรามีการวางแผนทุกฉากทัศน์ ตนยืนยันเหมือนที่ได้ยืนยันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกความคิด ทุกนโยบาย ที่เราพยายามจะผลักดัน อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องมียานพาหนะที่ขับเคลื่อนชุดความคิดต่อไปในการเมืองไทยแน่นอน ไม่อยากให้เราด่วนสรุป ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยศาลออกมา แต่สำคัญกว่านั้น ก็ไม่อยากให้เราตั้งค่านิยม การยุบพรรคเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ลูกพรรคจะเสียขวัญ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์ยุบพรรค ก็มีสถานการณ์ผึ้งแตกรัง นายพริษฐ์กล่าวว่า สิ่งที่เรากังวลมากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อค่านิยมของการเมืองไทย ถ้าพูดถึงขวัญกำลังใจ หรือความทุ่มเทของสมาชิกพรรค ตนคิดว่าเราเดินหน้าต่อเต็มที่อยู่แล้ว

"สิ่งที่เรากังวลมากกว่า คือเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ต่อค่านิยมของการเมืองไทย เพราะยิ่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับพรรคก้าวไกล แต่เป็นพรรคการเมืองในอดีตด้วย กลายเป็นว่าเรากำลังไปสร้างค่านิยม หรือวัฒนธรรมทางการเมือง ที่การยุบพรรคกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เราควรจะสร้างนิเวศทางการเมือง ที่ทุกพรรคการเมืองสามารถเติบโตเป็นสถาบันการเมืองได้ ไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ เป็นศูนย์รวมคนที่มีชุดความคิดแบบเดียวกัน" นายพริษฐ์ กล่าว

เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า จะจับมือกันแน่นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจ ว่าคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. มี 2 อย่างที่เราเห็นตรงกัน คืออยากเปลี่ยนแปลงสังคม และสภาวะนิติสงครามไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งแม้เราจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เกินจินตนาการ ตนมั่นใจว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีเอกภาพ 

เมื่อถามว่าในช่วงที่มีความอ่อนไหว จะไม่มี สส. ย้ายพรรคหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าทุกคนที่มาสมัครเข้าพรรค ถูกกลั่นกรองโดยคณะกรรมการสรรหา มีชุดความคิดตรงกัน และมีเอกภาพในการขับเคลื่อนชุดความคิดให้เป็นจริง ตัวอย่างเช่น การทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ถ้าใครที่ติดตามการประชุมสภา จะเห็นว่าทุกสัปดาห์ มีกฎหมายที่ถูกเสนอโดยสส.พรรคก้าวไกล อย่างน้อย 1 ฉบับ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ ตนมองว่าเป็นมิติใหม่ของการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันก็มีการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการดึงหรือบีบรัฐบาลให้ความสำคัญกับวาระที่เรามองว่าสำคัญ 

เมื่อถามว่า คดียุบพรรคจะทำให้เสียสมาธิในการตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ไม่เสียสมาธิแน่นอน ตั้งแต่เริ่มทำงานสภาชุดนี้มา พรรคไกลก็เดินคู่ขนานอยู่แล้วทีมกฎหมายก็ทำเต็มที่ ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วน สส. ก็ทำงานในสภา โดยเดินหน้าต่ออย่างไม่เสียสมาธิ 

ส่วนจะยังเข้มข้นอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เข้มข้นเหมือนเดิม เราก็ทำงานท่ามกลางความเสี่ยงที่เรารับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้เสียสมาธิ

นายพริษฐ์ กล่าวถึงการเตรียมการอภิปรายในมาตรา 152 ว่า จะมีการเปิดให้ สส. ยื่นความจำนง ว่าจะอภิปรายในประเด็นอะไร ก่อนที่จะมีการคัดเลือก ยืนยันว่าข้อมูลค่อนข้างรอบด้าน ละเอียด ทำการบ้านล่วงหน้าแล้ว ซึ่ง สส. ก็ได้มีการรวบรวมข้อมูลและทำการบ้านล่วงหน้าแล้ว

'หมอเหรียญฯ' เล่าเหตุการณ์สู้คดีช่วงถูกร้านบะหมี่ 3 นิ้ว ฟ้องหมิ่น ลั่น!! หลังศาลยกฟ้อง ก็ถึงเวลาที่โจทก์ต้องกลายเป็นจำเลย

(12 มี.ค. 67) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เหรียญทอง แน่นหนา' ระบุว่า… 

เมื่อต้น ธ.ค.66 ปีที่แล้ว ผมเป็นจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์เป็นเจ้าของร้านบะหมี่ ฟ้องศาลอาญาโดยมีทีมทนายความที่ดูคล้าย ๆ ทีมทนายความสิทธิมนุษยชนนี่แหละครับมาช่วยโจทก์ทำ

ทีมทนายนี่ดูเหมือนจะฉลาดเอามากๆ เลยนะครับ ซักถาม ซักค้านแต่ละคำถามจนผมตกอกตกใจว่า ทำไมถึงถามผมอย่างนี้ คำถามอย่างกับโจทย์คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษา 1 + 1 เท่ากับเท่าไหร่ อย่างไรอย่างนั้นเลยแหละครับ

ทนายความแต่งกายดูเนี้ยบเป๊ะ แต่ก็ดูเป็น 'เสี่ยว' ดีนะครับ (เสี่ยว เป็นภาษาอีสาน แปลว่า เพื่อน นะครับอย่าเข้าใจผิดว่าผมดูถูก) ท่าทางก็ดูห้าวหาญ เสียงดัง ดุดัน ดูน่าตกใจสำหรับคนไม่เคยดูตัวตลกนั่นแหละครับ

จะเอาผมเข้าคุกทั้งที แถมจะให้ผมเสียเงินล้านให้โจทก์เจ้าของร้านบะหมี่ ดันทะลึ่งไปเอาประมวลกฎหมายอาญาทหารสำหรับศาลทหาร มาสู้คดีบนศาลอาญา มันคนละศาลกันนะจ๊ะ 

ไอ้ผมมันก็เป็นอดีตผู้อำนวยการกองกำลังพลซึ่งต้องใช้กฎหมายทหารอยู่เป็นประจำ ก็เลยถามทนายโจทก์ว่าความหมายของคำว่า 'ราชศัตรู' ที่ทนายโจทก์นำมาซักผมนั้นเป็นกฎหมายปี พ.ศ.ไหน ทนายโจทก์ก็ตอบไม่ได้ครับ 

ผมก็เลยเรียนให้ศาลทราบว่าเป็นกฎหมายโบราณมากในสมัยรัตนโกสินทร์ศก ร.ศ.131 หรือ พ.ศ.2456 หรือกฎหมายเมื่อ 110 ปีที่แล้วใช้บังคับทหารเมื่อขึ้นศาลทหาร

ถึงแม้ผมจะเป็นแค่ตาแป๊ะหลักสี่ แต่ก็เป็นทหารเก่าและเป็นทหารแท้ ดังนั้นเสียงดังดุดันของคุณทนาย ผมจึงรู้สึกตลก เป็นที่ประทับใจ จึงเอามาพูดสนุกสนานให้มิตรรักแฟนคลับทราบทั่วกันว่าผมเป็นจำเลยไปขึ้นศาลอาญาแต่ดันไปเจอทนายโจทก์เล่นตลกหน้าบัลลังศาล จนเมื่อปลายเดือน ก.พ.67 ที่ผ่านมา ศาลอาญายกฟ้องโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านบะหมี่แพ้ แถมถูกศาลยึดเงินค่าธรรมเนียมศาลไปหลายหมื่นบาทอีกต่างหาก

หลังจากนี้โจทก์จะต้องกลายเป็นจำเลยจากการเบิกความเท็จต่อหน้าศาลแล้วนะจ๊ะ หากเป็นไปได้อย่าลืมเอาทนายชุดเดิมมาสู้คดีกันอีกนะจ๊ะ ดูฉลาดแถมอีโก้สูงอีกต่างหาก ชอบครับ

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
จำเลยผู้ชนะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top