Tuesday, 24 June 2025
Politics

บทกลอนชื่อ ‘นางแบก-น้องด้อม-ลุงสลิ่ม’

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก P.khondee (พี่คนดี กวีสมัครเล่น) โพสต์ข้อความว่า ทุกคนที่เลือกเพื่อไทยย่อมไม่ใช่ ‘นางแบก’ ทุกคนที่เลือกก้าวไกลย่อมไม่ใช่ ‘ด้อมส้ม’ แต่ทุกคนที่เชียร์ลุง หรือ รักสถาบัน ต้องเป็น ‘สลิ่ม’ ใช่ไหม?

พร้อมเขียนบทกลอนชื่อ ‘นางแบก-น้องด้อม-ลุงสลิ่ม’ มีเนื้อหาดังนี้

“เป็น ‘นางแบก’ ย่อมมีแอก อยู่บนหลัง
เป็น ‘นางบ่าว’ รับคำสั่ง มานั่งสอน
เป็น ‘นางบิด’ ใส่ความคิด ที่ตัดตอน
รับทุนรอน การจ้างงาน ผ่านเงินเดือน

เป็น ‘น้องด้อม’ ย่อมถูกกล่อม ให้หลงใหล
เป็น ‘น้องเดือด’ เลือดใหม่ ใฝ่เชือดเฉือน
เป็น ‘น้องดื้อ’ ไม่สนใจ ผู้ใหญ่เตือน
มีสหาย เป็นพวกเพื่อน อวตาร

เป็น ‘คนกล้า’ ด่าคนร้าย คนขายชาติ
เป็น ‘คนการ์ด’ ชาติไม่ให้ ใครมาผลาญ
เป็น ‘คนแก่’ ที่มีครบ ประสบการณ์
กลับโดนขาน เรียก ‘ลุงสลิ่ม’ เพื่อทิ่มตำ”

‘สว.วันชัย’ ป้อง!! ‘เศรษฐา-เพื่อไทย’ เข้ามา 2 เดือน โดนด่าเหมือนอยู่เป็นปี งง!! ทำอะไรก็ผิด ถามกลับ!! “ไม่เอาเพื่อไทย แล้วจะเอาใครเป็นรัฐบาล?"

(29 ต.ค. 66) นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ไม่เอาเพื่อไทย แล้วจะเอาใครเป็นรัฐบาล’ ระบุว่า…

อยากจะถามดังๆ ถ้าไม่เอาเพื่อไทย และนายกฯ เศรษฐาแล้ว คุณจะเอาใครมาเป็นรัฐบาล มาเป็นนายกฯ เห็นกล่าวหาโจมตีกันจัง ไอ้โน่นก็ผิดไอ้นี่ก็ไม่ถูก จะยืนเดินนั่งนอน เสื้อผ้าหน้าผมรองเท้าถุงเท้าเป็นประเด็นกันไปหมด จะบ้าตาย ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลมาแค่ 2-3 เดือน โจมตีอย่างกับว่าเขาอยู่มาเป็นปี

นายวันชัย ระบุต่อว่า จะเกลียดทักษิณและเพื่อไทยก็เกลียดกันเอาเป็นเอาตาย เกลียดไม่เลิก เกลียดแบบเข้ากระดูกดำ ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจเขาเลิกเกลียด เขาก้าวข้ามความขัดแย้งกันแล้ว แต่พวกนี้ยังฝังจิตฝังใจกับทักษิณอย่างกับสายสิญจน์มัดตราสัง ไม่ยอมเลิกรา จะบ้าบอกันไปถึงไหน ไม่คิดจะให้บ้านเมืองมันเดินหน้ากันบ้างหรือไร จะเป็นสัปเหร่อเผาผีกันไปอย่างนี้หรือ

นายวันชัย ระบุว่า แค่นายกฯ ไปแสดงความยินดีกับคุณอุ๊งอิ๊งด้วยท่าทีแบบนั้นก็ดิ้นกันเป็นกิ้งกือโดนไฟ ทำไม่ถูกบ้างล่ะ ไม่เหมาะสมบ้างล่ะ คนเป็นนายกฯ ทำอย่างนั้นมันน่าอาย ก็คนอยู่พรรคเดียวกัน พวกเดียวกัน จะเล่นจะหยอกกันบ้างไม่ได้หรือ และคุณอุ๊งอิ๊งที่เป็นหัวหน้าพรรค และจะเป็นนายกฯ คนต่อไปหรือไม่นั้น มันก็อยู่ที่ประชาชน ทั้งวัย และการเมืองในสถานการณ์นี้ที่มีก้าวไกลเป็นคู่แข่ง คุณไม่เอาคนวัยขนาดนี้ จะไปเอาคนแก่ขนาดไหนมาเป็นผู้นำ

นายวันชัย ยังระบุอีกว่า แม้แต่เรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก็ยังไม่ชัดเจนเลยว่ารัฐบาลจะเอาแบบไหนอย่างไร อยู่ในขั้นตอนที่เขาคงจะพิจารณากันให้รอบคอบ ทำได้ก็คงจะทำ และทำได้แค่ไหนเขาก็คงต้องดูกันให้ดี เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรีกันก็มีสติปัญญากันทั้งนั้น ทำแล้วบ้านเมืองเสียหาย ทำแล้วติดคุกติดตะรางเขาก็คงจะไม่ทำกันหรอก ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะพรรคเพื่อไทยคงจะมีบทเรียนเห็นพรรคพวกติดคุกติดตะราง หนีไปต่างประเทศกันแล้วหลายคน คงจะเป็นบทเรียนได้ดี

“การเป็นรัฐบาลครั้งนี้ ใครก็รู้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะ เขาคงจะไม่ทำอะไรซ้ำรอยเดิม ทั้งการชุมนุมประท้วง การปฏิวัติรัฐประหาร มันเป็นบทเรียนกันกับคนทุกคน ควรหันหน้าเข้าหากันได้แล้ว เลิกเสียทีเถอะที่เอาแต่ด่าๆๆ แต่ไม่เห็นจะทำอะไรเลย แทนที่จะปรองดองกันกลับเมายาดองกันทุกวัน ว่างๆ ไปไหว้พระที่วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชันกันเสียบ้าง” นายวันชัย ระบุทิ้งท้าย

‘วราวุธ’ สวน!! โซเชียลวิจารณ์นโยบายลดใช้ถุงพลาสติกช่วยหรือซ้ำเติม แนะ!! ดูสถานการณ์โลกบ้าง ฟากชาวเน็ตหนุน!! สิ่งแวดล้อมต้องช่วยกัน

(29 ต.ค. 66) มาตรการลดใช้ถุงพลาสติก งดแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวจากร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เพื่อลดการกลายเป็นขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ทางชีวภาพ รวมถึงส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน โดยเริ่มลดการใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่ 1 มกราคม 2563

อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวก็เกิดการตั้งคำถามมากขึ้น เพราะลดการแจกถุงพลาสติกฟรีแต่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าชั้นนำหลากหลายพื้นที่กลับหันมาจำหน่ายถุงพลาสสิกสำหรับผู้ประสงค์จะซื้อถุงในราคาเริ่มต้น 15 บาท ว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนจริงหรือไม่

ดังที่มีเพจหนึ่งออกมาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวว่า “งงกับนโยบายเลิกใช้ถุงพลาสสิกของวราวุธ ห้างใหญ่สนองนโยบายไม่ให้ถุงแล้ว แต่หันมาขายถุงใบละ 15 บาท ช่วยหรือซ้ำเติม ปชช.กันแน่ วราวุธ”

งานนี้ ไม่ต้องสงสัยนาน เพราะ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ออกมาตอบกลับเอง โดยระบุว่า…

- “ก็ลองรวมหัวกันไม่ซื้อถุง ทำให้ห้างใหญ่ที่ผลิตถุงมาขายเจ๊งไปเลยสิครับ ได้ลองดูสถานการณ์โลกบ้างไหมครับ ว่าเข้าขั้นวิกฤตแค่ไหน”
- “สงสัยในประเด็นใดหรืออยากเปิดโลกทัศน์เพิ่ม ผมยินดีให้ความรู้ครับ”

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ถึงประเด็นการงดแจกถุงพลาสติก ว่า…
- “ซื้อถุงก็ไม่จำเป็นต้องขายแพงขนาดนี้ก็ได้ครับ (ซื้อถุงเพราะความจำเป็นไม่ได้อยากซื้อ)”
- “เรื่องสิ่งแวดล้อม ทุกคนต้องช่วยกัน ปัญหาถึงจะเบาบางลง ไม่มีทางแก้ปัญหาได้”
- “เจตนาคิดค่าถุงราคาสูงก็เพื่อให้ลูกค้าคิดว่าแพงจะได้เตรียมถุงมาเองอย่างน้อยก็มีคนคิดว่าแพงแล้วละถูกต้องตามเจตนา!!”

‘ปชป.’ จี้สภาฯ ตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาทุเรียนไทยทั้งระบบ ออกกฎหมายควบคุมคุณภาพให้มีมาตรฐานและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ร่วมกันแถลงข่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในญัตติเรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการส่งเสริม พัฒนา แก้ไขปัญหาทุเรียนอย่างยั่งยืนทั้งระบบ และยกร่างกฎหมายว่าด้วยทุเรียน โดยมี สส.จากทุกพรรคการเมืองร่วมลงนามเสนอญัตติดังกล่าว จำนวน 20 คน

ด้วยปัจจุบันประเทศไทยส่งออกทุเรียนนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งในปี 2565 มูลค่าส่งออกจำนวน 125,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา จัดเป็นพืชผลการเกษตรที่ส่งออกทำรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับสาม รองจากยางพารา และมันสำปะหลัง ทำให้เกษตรกรทั้งภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคอื่น ๆ รวม 43 จังหวัด ขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนอย่างรวดเร็ว 

ในปี 2566 มีพื้นที่ปลูกทุเรียนกว่า 1,340,000 ไร่ มีทั้งที่ปลูกโดยเกษตรกรรายย่อย และที่ปลูกโดยนักลงทุนเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ การขยายพื้นที่ปลูกทุเรียน ทำให้ต้องใช้ที่ดิน แหล่งน้ำ พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้าเพื่อการเกษตร แรงงานภาคเกษตร การขนส่งผลผลิตทุเรียน อุตสาหกรรมแปรรูปทุเรียน ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช รวมทั้งปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ในปริมาณที่สูงขึ้น 

หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบครบวงจร ถ้าผลผลิตทุเรียนล้นตลาด และคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ราคาอาจจะตกต่ำ หากใช้สารเคมีไม่ถูกต้อง อาจจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ปัจจุบันภาครัฐมีข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียน จึงใช้การขอความร่วมมือ การออกระเบียบหรือคำสั่งในระดับจังหวัด โดยอิงมาตรฐานทางวิชาการ ยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับทุเรียนระดับ พ.ร.บ. มาบังคับใช้โดยเฉพาะ ต้องอาศัยกฎหมายทั่วไป เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาตรา 47 ทำให้มีข้อจำกัดในการลงโทษผู้นำทุเรียนด้อยคุณภาพออกสู่ตลาด หากมีกฎหมายเกี่ยวกับทุเรียนเป็นการเฉพาะ จะทำให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐสามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และภาครัฐไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับทุเรียนโดยเฉพาะมาบังคับใช้เพื่อการส่งเสริม การพัฒนา การแก้ปัญหาทุเรียนอย่างยั่งยืน ทั้งระบบ ครบวงจรเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 

เนื่องจากเป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้ประเทศเป็นอันดับต้น ๆ และประเทศไทยมีจุดแข็งหลายอย่าง เหนือประเทศคู่แข่ง แต่ปัจจุบันจึงยังไม่มีกองทุนทุเรียนไทยที่สามารถหักเงินจากการส่งออกทุเรียนเข้ากองทุน เหมือนยางพาราที่มีกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียน มีเงินทุนมาศึกษาวิจัย พัฒนา เกี่ยวกับทุเรียนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 นี้ จะให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ให้มีความมั่นคงต่อไป 

‘นายกฯ เศรษฐา’ ขอบคุณนิด้าโพล เผย ปชช. พอใจผลงาน ชี้!! เหมือนได้พลังใจทำงาน-สร้างผลสำเร็จให้พี่น้องคนไทย

(30 ต.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับทราบผลนิด้าโพล ‘สนใจเรื่องนายกฯ เศรษฐา เยือนต่างประเทศหรือไม่’ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่พอใจการทำงาน เป็นเสมือนกำลังใจในการทำงาน พร้อมพิสูจน์ผลงานกับคนที่ยังไม่พอใจ

โดยต่อคำถามเรื่อง ‘ความพอใจ’ ในบทบาทและผลงานของนายกรัฐมนตรี มีผู้พอใจมากร้อยละ 18.40 ค่อนข้างพอใจร้อยละ 36.87 และเรื่อง ‘ความพอใจ’ ต่อบทบาทของนายกฯ เกี่ยวกับการเดินทางเยือนต่างประเทศ มีผู้พอใจมากร้อยละ 23.40 ค่อนข้างพอใจร้อยละ 46.31

นายชัย กล่าวว่า ความพึงพอใจของประชาชนนี้เป็นพลัง เป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรีพร้อมตั้งใจทำงานต่อไปเพื่อให้ผลของการทำงานที่ผ่านมาออกดอกออกผล เห็นเป็นความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายในการทำงานเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ลดหนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวมให้ประเทศไทยเติบโตพัฒนาเท่าทันโดดเด่นในภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลพร้อมทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน

“นายกรัฐมนตรีตั้งใจทำงานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อเศรษฐกิจภาพรวม และชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหา พัฒนาเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาอย่างเท่าทันกระแสโลก 

ทั้งนี้ ในการเดินทางของนายกรัฐมนตรีทุกครั้ง ตั้งใจให้ได้ผลสำเร็จมากกว่าการผูกสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคี ต้องการให้เกิดมิติความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในด้านที่เป็นประโยชน์ อุตสาหกรรมอนาคต อุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เพื่อพัฒนาประเทศและคนไทย” นายชัย กล่าว

เผยธาตุแท้!! 'หัวขบวนส้ม' แค่แซะ 'นักโทษเทวดา' ยังไม่กล้า สะท้อน!! 'ธร-บุตร-ช่อ-โรจน์-ไอซ์-โรม-ทิม' เป็นได้แค่นักล่าเรตติง

ในที่สุดสังคมไทยก็ได้เห็นธาตุแท้ของ 'พรรคล้มสถาบัน' อย่างชัดเจนแล้วว่า แนวคิดที่บอกจะ 'สู้เพื่อความเหลื่อมล้ำ' เป็นเพียงลมปากเหม็น ๆ ของกลุ่มคนที่ไม่เคยเฉียดใกล้คำว่า 'อุดมการณ์' เลยแม้แต่น้อย 

ที่ผ่านมาก็แค่หลอกเด็กที่คิดไม่เป็น หรือคนที่ต้องการที่ยืนเท่ ๆ ทางสังคมให้ออกมาสู้รบแทน เพื่อหวังผลในทางการเมือง คอยปลุกปั่น หลอกต้มชีวิตคนด้วยวาทกรรมที่ว่า "เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วเราทุกคนควรมีปากมีเสียงโดยเท่าเทียม ไม่ใช่มีเฉพาะแค่คนเบื้องสูง หรือผู้มีอำนาจ" จนทำให้เด็กและผู้ใหญ่ที่ขาดความเฉลียว โดนคดี '112' มากจนนับไม่ไหวเป็นประวัติการณ์

เรียกว่าเป็น 'ขบวนการ' หลอกเด็ก ต้มผู้ใหญ่ที่ไร้ความลุ่มลึก หรือมีปมในชีวิต ให้หลงเชื่อได้ไม่น้อย จนคนเหล่านี้พากันเดิน 'ชูสามนิ้วโง่ ๆ' ไปติดกับดัก ยอมศิโรราบเป็น 'ทาสส้ม' คอยส่งเสียงเชียร์ สนับสนุน เห็นดีงามกับทุกเรื่องอย่างคนเสียสติ เพียงแค่ 'หัวส้ม' กระดิกตีนชี้ 

นโยบายหลังบ้านที่แอบหลอกใช้ 'มวลชนผู้โง่เขลา' ให้ออกมามาโดนคดีแทน เพื่อจะใช้ภาพการถูกจับดำเนินคดี 112 ของแต่ละคน กระพือให้สังคมเห็นภาพ 'ความเหลื่อมล้ำ' อย่างต่อเนื่อง ข้างนอกก็หลอกใช้เด็ก ๆ ตายแทน ข้างในสภาก็ใช้สนับสนุน สส. ที่ไร้มารยาท และน่ากังขาในเรื่องจริยธรรมบางคน ผสมโรงร่วมมือผลักดันให้ไปใน 'ทิศทางบาป' เดียวกัน 

แต่นับตั้งแต่ 'นักโทษเทวดา' กลับไทยมานอนนอกคุก ก็ไม่เคยมีเสียงทักท้วง ประท้วง หรือคำพูดที่ถามหา 'ความเท่าเทียม' จากคนใน 'พรรคล้มสถาบัน' เลยสักคนเดียว ต่างพากัน 'เงียบปากสนิท'

แม้แต่ 'ทาสส้ม' ที่คิดว่าอาจจะยอมกลับเนื้อกลับตัวเมื่อเห็นกรณีผิดปกตินี้ ก็น้อยถึงน้อยมากที่จะมีโผล่มาให้เห็นว่ามี 'สติปัญญา' และมี 'ดวงตาเห็นธรรม' สักคน ราวกับถูกสะกดด้วย 'น้ำมันพรายส้ม' จนจิตวิญญาณของความเป็นคนหล่นหายไปในนรกจนหมดสิ้น 

นี่น่ะหรือพรรคที่ว่ามาจาก 'คนรุ่นใหม่' นี่น่ะหรือที่บอกว่าจะมาเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดี ให้กลายกลับเป็นสิ่งที่ดี เช่นสิ่งใดที่เหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมในสังคมไทย พรรคส้มจะทำให้หายเกลี้ยง แต่แค่ 'อดีตนายกฯ หนีคดี' ที่กลับมาเป็น 'นักโทษเทวดา' เห็นอยู่ทนโท่ทุกวัน ยังไม่กล้าปริปาก...ทักท้วง

ก็จึงเป็นได้แค่พรรคกลิ้งกลอก กระจอก กิ๊กก๊อก สู้เพื่อ 'ความเหลื่อมล้ำจอมปลอม' หากินกับการหลอกต้มคนโง่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

'นักเขียนซีไรต์' ฉะ!! 'ไอติม' ก่อนพูดต้องรู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ย้อนรอย "พลทหารหนึ่งแสนคน ทำให้ประเทศอื่น เกรงกลัวเราจริงหรือ?"

(31 ต.ค.66) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า...

"เด็กๆ ค้าาา... พวกเธอเรียนอยู่ในระดับมัธยมแล้วนะคะ จะเอาแต่พูดตามๆ กันเป็นนกแก้วนกขุนทองทั้งห้องไม่ได้นะคะ ประธานห้องกับหัวหน้าห้องคนเก่าก็พูดเรื่อยเจื้อยอย่างนี้ ก่อนพูด... พวกเธอจะต้องหาความรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระจ่างก่อนนะคะ เมื่อพูดแล้วอาจจะมีคนปลื้มชื่นชมพวกเธอ แต่นั่นก็เป็นคนระดับเดียวกับพวกเธอ คนอื่นๆ เขาอาจจะเห็นกะโหลกของพวกเธอเป็นแค่กะลาก็ได้นะคะ"

ทั้งนี้ ยังได้ลงรูปภาพของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ที่มีข้อความด้วยว่า "การมีพลทหารหนึ่งแสนคน ทำให้ประเทศอื่น เกรงกลัวเราจริงๆ หรือ"

‘เศรษฐา’ โพสต์ตอบ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ แล้ว ปมประเทศไทยมีนายกฯ กี่คน

‘เศรษฐา’ โพสต์ตอบ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ปมประเทศไทยมีนายกฯ กี่คน ชี้!! ทุกประเทศมีนายกฯ คนเดียวทั้งนั้น

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ทวิตเตอร์ (X) ในชื่อบัญชี ‘Srettha Thavisin’ เป็นคลิปวิดีโอของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ กรณีที่ออกมาตั้งคำถามผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองว่า “วันนี้ ประเทศไทย มีนายกฯ กี่คน?” พร้อมกับโพสต์ภาพที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยกมือไหว้ทักทายกับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

โดยนายเศรษฐา ระบุข้อความด้วยว่า “ประเทศไหนเค้าก็มีนายกคนเดียวทั้งนั้นแหละครับ มีแต่คุณสุทธิชัย เท่านั้นที่ อยากให้มีสองหรือสามคน มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”

'ไตรงรงค์' ยันไม่เคยระแวง 'ภูมิธรรม' และชื่นชม 'บิ๊กตู่' คนรัฐประหารที่เป็นคนดีแนะ!! นักการเมืองรุ่นใหม่อย่าหยิบคำ 'ทรราช' มาประณามโดยไม่รู้ความเป็นมา

(31 ต.ค.66) ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เรื่องนี้ผมก็เพิ่งรู้… เจอคนดี ผมก็ต้องบอกว่าดี เจอคนพูดจาไม่ดี ผมก็ตักเตือน

วานนี้ ผมได้มีโอกาสฟังการเสวนาทางการเมืองที่ช่อง The Nation (ช่อง22) จัดขึ้น แล้วได้นำเทปมาออกอากาศอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาที่ได้ยินนั้นน่าสนใจและเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมเคยได้ยินเรื่องนี้ ผมจึงได้ข้อสรุป และเขียนมาให้ทุกท่านอ่านตามนี้ครับ

นายภูมิธรรม เวชยชัย จากพรรคเพื่อไทย คือคนที่พยายามอธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจว่า การจัดรัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น มันก็คือการนำพรรคต่าง ๆ ที่พอจะรับความคิดหรือนโยบายที่แตกต่างกันในบางส่วน รัฐบาลผสมในปัจจุบันของไทยเป็นรัฐบาลสลายขั้ว สลายสี …แต่ก็มีบางคนแย้งว่าไม่ใช่เป็นการสลายขั้ว สลายสีจริง เพราะยังมีพรรคก้าวไกลที่ดูเสมือนเป็นขั้วอีกขั้วหนึ่งที่มีความเห็นในเรื่องต่าง ๆ แทบจะขาวเป็นดำกับรัฐบาลในปัจจุบัน และตอนนี้ก็เป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีความเข้มแข็ง …แต่พรรคต่าง ๆ ที่ให้ความเคารพต่อความเห็นต่างในบางส่วนก็สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลกันก็เพราะ ล้วนมีความเห็นและนโยบายในส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยแตกต่างกัน เช่น…

#อยากให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ต้องพอเหมาะพอสมกับบริบทต่าง ๆ ของประเทศ ที่สำคัญก็คือต้องไม่กระทบต่ออธิปไตยของชาติ ไม่กระทบต่อเสถียรภาพในความมั่นคงของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

#ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนให้ลดน้อยถอยลง เป็นสิ่งที่ทุกพรรคล้วนอยากทำทุกอย่างให้ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

#พัฒนาระบบยุติธรรมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คืออีกสิ่งที่ทุกพรรคต้องการ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ อัยการ และการทำงานของกรมราชทัณฑ์ ที่ล้วนมีส่วนทำให้ระบบยุติธรรมของเราได้ตกต่ำถึงที่สุดนับตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา เป็นต้น

ซึ่งเรื่องที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องที่ผมก็เพิ่งเคยรู้คือ คุณภูมิธรรม ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์และผม มีอะไรที่คล้าย ๆ กันกว่าที่คิด เราเคยได้รับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์กันทั้งสิ้น กล่าวคือ พวกเราล้วนถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอันตรายต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยคณะรัฐประหารที่ทำโดยพลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ ที่ยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือในห้วงเวลาที่เราต่อสู้ เราไม่เคยทิ้งประชาชน ในวันที่แกนนำหลาย ๆ คนชวนคุณภูมิธรรมให้หนีเมื่อมีข่าววงในเข้ามาว่าทหารจะส่งคนเข้ามาปราบคณะประท้วงซึ่งตอนนั้นปักหลักกันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณภูมิธรรมปฏิเสธที่จะหนีด้วยเหตุผลว่า “มันไม่แฟร์ ผมเป็นคนปลุกระดมเขามา ผมหนีเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ ผมต้องตายเคียงข้างพวกเขา”… ซึ่งในที่สุด เมื่อการต่อสู้ไปถึงขีดสุด คุณภูมิธรรมก็ต้องหนีเข้าป่า ดร.ป๋วย ต้องลี้ภัยไปอยู่อังกฤษ  ผมต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ผมขอใช้จังหวะนี้อธิบายให้หลาย ๆ คนที่เข้าใจผิดด้วย การที่คนอย่าง ดร.ป๋วย ตัวผมเอง คุณภูมิธรรม และคนอื่นๆ ที่ต้องหนีเข้าป่านั้น ก็เพื่อความปลอดภัยของตนเองทั้งๆ ที่มิได้มีความคิดเป็นคอมมิวนิสต์นะครับ #ผมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ใครที่เกิดทันในช่วงนั้น จะเข้าใจถึงระดับความรุนแรงของการปราบปราม (เด็กรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยเจอความรุนแรงขนาดที่เราเคยเจอ เช่น การเอาร่างไปแขวนต้นมะขาม) พวกเราที่เป็นกลุ่มนักสู้ จำเป็นต้องทำบางอย่าง ด้วยเหตุผลเพื่อมิให้ถูกจับกุมหรือถูกทำร้ายร่างกาย และคร่าชีวิตโดยพวกขวาจัดที่สนับสนุนคณะปฏิวัติในขณะนั้นเพียงเท่านั้น (แต่ก็อาจจะมีบางส่วนนะครับ ที่เมื่อเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแล้ว ก็ได้ซึมซับปรัชญาและแนวคิดของ คาร์ลมาคส์ เลนิน และ เมาเซตุง มาแบบที่ว่าไม่สามารถสกัดให้หลุดออกไปได้จากความจดจำของเขา (ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า“สัญญา”) …หลาย ๆ คนก็ยังมีการแสดงออกในทางการเมืองยุคปัจจุบัน ที่ประชาชนคนไทยทุกท่านก็น่าจะพอสังเกตได้ว่าคือใครบ้าง

ที่แน่ๆ คือผมไม่เคยระแวงในความเป็นคอมมิวนิสต์ของคนอย่างคุณภูมิธรรม และอีกหลายๆ คน เช่น คุณเสกสรร ประเสริฐกุล คุณหมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช คุณเทิดภูมิ ใจดี และคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา ซึ่งบางคนนี้ก็กลายมาเป็นบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน (แต่ผมก็ยังระแวงอีกหลายๆ คนที่มิได้อยู่ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล หรืออยู่ในพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งยังไม่สามารถสลัดความคิดที่ท่องมาจากความคิดของ คาร์ลมาคส์ เลนิน และเมาเซตุง จึงกลายเป็นตัวสร้างความแตกแยกความสามัคคีของคนในชาติ อยู่ในปัจจุบัน)... เมื่อมีคนมีอุดมการณ์เหล่านี้ในคณะรัฐบาล เราน่าจะมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าจะประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  ผมก็ฝากความหวังไว้ด้วยนะครับว่าทุกๆ ท่านจะบริหารบ้านเมืองกันอย่างดี อย่าปล่อยให้มีการโกงกินกันจนประชาชนทนไม่ไหว ต้องให้เกิดการรัฐประหารอีกเลยนะครับ เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราก็โชคดีเพียงแค่ครั้งเดียวที่คนรัฐประหารเป็นคนดี รักชาติ และมีใจเป็นนักพัฒนาเช่นท่าน ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สร้างความเจริญให้กับประเทศอย่างมหาศาลตั้งแต่เข้าสู่อำนาจ… แต่นอกนั้นนะครับ การรัฐประหารอื่นๆ ที่ผ่านมาก็มาคู่กับความรุนแรงและการโกงกินทั้งนั้นครับ

#หมายเหตุ ผมอยากฝากแง่คิดให้กับคนรุ่นใหม่ที่ชอบอ่านหนังสือและเชื่อในสิ่งที่ตนอ่าน… พวกเอกสาร ข้อเขียน หนังสือ และ ตำราของ คาร์ลมากซ์ เลนิน และเมาเซตุง ทั้งสิ้นที่เป็นต้นน้ำของลัทธิคอมมิวนิสต์ ผมก็เคยอ่านมามากแล้วเช่นเดียวกันนะครับ แต่ผมไม่เคยตกเป็นทาสของมัน เพราะผมประมวลแล้วว่ามันไม่เหมาะกับบริบทของสังคมไทย อาจเลือกมาใช้บางอย่างได้ เช่นเดียวกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ก็ควรจะเลือกเฉพาะที่เหมาะสมกับประเทศไทย #อย่าเป็นขี้ข้าทางความคิดของพวกนักคิดตะวันตก จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเองกันเลยครับ

เพิ่มเติมอีกสักนิดเกี่ยวกับการใช้ภาษาของนักการเมืองรุ่นใหม่ด้วยนะครับ คำว่า “ทรราช” ต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ “ฆ่า” และ “โกง” นะครับ… หลายๆ ท่านยังไม่เคยเกิดขึ้นมาในยุคที่มีทรราชจริงๆ เช่น ฮิตเลอร์ จอมพลสฤษดิ์ เป็นต้น แม้ว่าท่านประยุทธ์จะทำรัฐประหารก็จริง แต่ไม่เคยสั่งฆ่าคนที่ออกมาเดินขบวนด่าท่าน และตัวท่านเองไม่เคยโกงกิน …ถ้าผู้นำคนใดไม่ได้ทำทั้งคู่  ก็ไปซี้ซั้วเรียกเขาว่าทรราชไม่ได้นะครับ  และแถมอีกนิดว่าการที่ท่านพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยเงินบริสุทธิ์ที่ท่านอดออมด้วยน้ำพักน้ำแรง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครควรที่จะมาประณามนะครับ

'รอมฎอน' ตามขยี้ กอ.รมน. เปิดงบประมาณ 15 ปี มีเงินติดปีกแสนล้าน  เสี้ยม!! 12 สส.ภาคใต้ อย่าเงียบ!! จี้ 'เศรษฐา' ควรให้สภาถกเถียง

(1 พ.ย. 66) นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กอ.รมน.ที่ฟื้นชีพขึ้นมาหลังกฎหมายความมั่นคง 2551 ใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่? ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีเผยให้เห็นตามนี้ รวม ๆ แล้ว ตลอด 15 ปี ของ กอ.รมน.เวอร์ชั่นติดปีกนี้มีงบในกระเป๋าสูงถึง 1.3 แสนล้าน (หรือเอาละเอียดกว่านั้นคือ 130,023 ล้านบาท) อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกกระเป๋าหนึ่งของกองทัพก็ว่าได้

กอ.รมน.ปรากฏเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีในปีงบประมาณ 2552 เป็นปีแรก เทียบเท่าหน่วยงานระดับกรม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีสถานะเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งฝ่ายบริหาร ซึ่งมีสถานะที่ง่อนแง่นพอสมควรหลังจากภัยคุกคามคอมมิวนิสต์เริ่มจางหายไป ประกอบกับภัยคุกคามการแบ่งแยกดินแดน ถูกประเมินก่อนหน้านั้นว่าลดความสำคัญลงไป

บังเอิญว่าบริบทของโลกในตอนนั้นเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย จากสถานการณ์ต่อเนื่องจากเหตุเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และสงครามต่อต้านการก่อการร้ายตั้งแต่ปี 2544 และการปะทุขึ้นของไฟใต้ที่โดดเด่นขึ้นมาในปี 2547 หน่วยงานที่คร่ำครึเป็นมรดกตกค้างจากสงครามเย็นหน่วยนี้จึงเหมือนปลาได้น้ำ เมื่อเห็นเค้าลางภัยคุกคามใหม่

หลังการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ในปี 2549 เหตุผลในการฟื้นคืนหน่วยงานนี้ก็ดูจะมีน้ำหนักในแวดวงผู้ก่อการรัฐประหาร หลังจากนั้น ดูจากยอดขึ้นลงของงบประมาณก็จะสัมพันธ์กับอำนาจของกองทัพในการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัดครับ

รายละเอียดเนื้อในของงบประมาณเหล่านี้ก็น่าสนใจ อาจทำให้เราเห็นงานความมั่นคง ที่ควรต้องได้รับการตรวจสอบอย่างกระจ่างมากขึ้นครับ #ยุบกอ.รมน.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top