Wednesday, 25 June 2025
Politics

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ซัด!! สส.ค้านศาล คดี 'อานนท์' จำคุก ม.112 แก้ผ้าล่อนจ้อนเปลือยตัวตนชัดเจน เพื่อปกป้องคนทำผิด

(27 ก.ย. 66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nantiwat Samart’ ระบุว่า…

ไม่ใช่สิทธิ

คดีทนายอานนท์ถูกตัดสินจำคุก ม.112 ไม่แปลกใจที่พรรคและบรรดา สส.ของพรรค ดาหน้ากันออกมาคัดค้านการตัดสินของศาลว่าจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นความเห็นต่าง ทำให้สงสัยว่า พวกคุณคิดอย่างไรกับสถาบันฯ

ต้องพูดความจริงกัน การกล่าวโทษ ให้ร้าย ขู่อาฆาตคนทั่วไป ก็เป็นสิ่งทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมายหมิ่นประมาท รักษาสิทธิของคนที่ถูกคุกคาม

แม้แต่พวกคุณยังใช้สิทธิตามกฎหมาย ฟ้องหมิ่นประมาทคนที่กล่าวพาดพิง ทีอย่างนี้ไม่ใช่การเห็นต่างหรือ

พวกคุณได้แก้ผ้าล่อนจ้อนเปลือยตัวตน แสดงตัวตนชัดเจนว่าปกป้องคนทำผิด จะไม่ให้บ้านเมืองนี้มีกฎหมายหรือไร ทำอะไรตามใจเป็นไทยแท้ ไม่ผิด ให้มันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เปลี่ยนไทยเป็นอนาธิปไตย

พระมหากษัตริย์ไม่ได้เกี่ยวข้องการเมือง ผู้ใดจะละเมิดมิได้ อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง แต่ถูกคนที่ สส.ให้ท้ายจาบจ้วงกล่าวร้าย อย่าให้ความเกลียดชังบดบังความจริง

คนที่เห็นต่างจากพวกคุณ พร้อมออกมาปกป้องพระมหากษัตริย์

'ผศ.ดร.อานนท์' โพสต์!! เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในคดี กรณี 'อานนท์ นำภา' ถูกจำคุก 112 ไม่รอลงอาญา 4 ปี

(27 ก.ย. 66) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Arnond Sakworawich' ระบุว่า...

คดีที่อานนท์ นำภา ถูกศาลพิพากษาจำคุกมาตรา 112 ป.อาญา ไม่รอลงอาญา 4 ปีนั้น อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีนี้เองครับ และทนายอานนท์ นำภา เป็นทนายความว่าความให้ตัวเองด้วยตัวเองด้วยครับ

นอกจากนี้ ผศ.ดร.อานนท์ ยังได้ยกข้อความปราศรัยช่วงหนึ่งของนายอานนท์ นำภา อีกด้วย ระบุว่า…

นอกจากนี้ อัยการยังเห็นว่าอานนท์ปราศรัยเข้าข่ายความ ผิดตามมาตรา 112 โดยกล่าวคำปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงในพื้นที่ชุมนุมว่า "ข้อที่ 3 มาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ข้อเรียกร้องมีสามข้อเท่านั้น วันนี้ จะไม่เหมือนเมื่อวานเพราะพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัดทยอยมาสมทบกันเรื่อย ๆ และ นิสิตนักศึกษาก็ทยอยมาเรื่อย ๆ ถ้ามีการสลายการชุมนุมวันนี้ คนที่จะสั่งสลายการชุมนุมมีเพียงคนเดียว คือ ถ้ามีการสลายการชุมนุม ไม่ต้องไปหาคนอื่นใด"

"อย่างที่ผมเรียนไว้ ถ้ามีการสลายการชุมนุม คนอื่นจะสั่งไม่ได้นอกจาก…"

“อย่างที่บอกถ้าวันนี้มีการสลายการชุมนุม คนที่จะสั่งได้คนเดียว คือ…ให้รู้ไว้เช่นนั้น"

ข้อความข้างต้น อัยการเห็นว่าไม่ใช่การกระทำหรือเป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต เป็นการใส่ร้ายกษัตริย์ ทำให้กษัตริย์เสื่อมเสีย ถูกเกลียดชัง และทำให้ประชาชนหลงเชื่อข้อความที่จำเลยได้พูดออกไป ทำให้ไม่เป็นที่เคารพสักการะต่อกษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

‘มท.1’ ยัน!! ‘ทูตสหรัฐฯ’ เข้าใจการเมืองไทย รับรู้!! รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจาก ‘รัฐประหาร’

(27 ก.ย.66) ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังพบหารือกับนาย โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยว่า ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน เรื่องผู้อพยพเมียนมา ซึ่งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีและพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย โดยสหรัฐฯ ได้ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องของการคัดกรอง และตรวจสอบคุณสมบัติผู้อพยพที่จะเดินทางไปตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกา และไม่มีการพูดคุยเพื่อให้ไทยรับผู้อพยพเพิ่ม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีนโยบายช่วยเหลือผู้อพยพเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ได้มีการพูดคุยเรื่องสถานการณ์การเมืองภายในประเทศไทยอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลนี้ถือว่าเป็นรัฐบาลของประชาชนจริง ๆ เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขอให้สหรัฐฯ นึกถึงไทยในรูปแบบนี้ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีผลพวงมาจากการรัฐประหาร ซึ่งทางทูตสหรัฐฯ ก็เข้าใจบริบทการเมืองในประเทศไทย ไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมากเด็ดขาดที่จะจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองอันดับหนึ่งได้ 151 เสียงพรรคการเมืองอันดับสองได้ 141 เสียง

“ผมได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเส้นทางการเมืองของแต่ละพรรคที่เดินไป การที่พรรคที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดและไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อปี 2562 ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องกลไกทางการเมืองที่จะลงตัวอย่างไร ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ติดใจอะไร” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ระบุ 

‘รองอ๋อง’ รับ อยากนั่งตำแหน่งสานงานต่อ เพื่อประโยชน์ของ ปชช. โบ้ยถาม ‘ก้าวไกล’ ปมเคาะเลือก ‘ผู้นำฝ่ายค้าน-รองประธานสภาฯ’

(27 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความชัดเจนในตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังไม่ได้นัดหมายกับตนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ เราแค่รับทราบว่ามีการประชุมเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ตน และต้องฟังทางพรรคก่อน เพราะตนยังเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกลอยู่ เมื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่มีมติอย่างไรก็ต้องมีการพูดคุยกัน

เมื่อถามว่า ทางพรรคมีมติที่จะรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ จะกระทบกับนายปดิพัทธ์ และต้องตัดสินใจอย่างไร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะเราไม่ได้ตัดสินใจทุกอย่างตามอำเภอใจ ทุกอย่างตัดสินใจตามมติพรรค และข้อจำกัดทางรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ต้องหารือกันว่าทิศทางใดดีที่สุดกับประเทศ ไม่ใช่ดีที่สุดแค่ตนเอง

“ผมบอกว่าการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวผมเอง แต่เป็นการตัดสินใจด้วยการสะท้อนเสียงประชาชนให้ได้มากที่สุด และมีผลประโยชน์ให้กับประเทศให้ได้มากที่สุด” นายปดิพัทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าพรรคก้าวไกลจะเก็บไว้ทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยจะขับนายปดิพัทธ์ ไปอยู่อีกพรรค นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนขอฟังจากปากหัวหน้าพรรคคนใหม่ก่อน เพราะตอนนี้เรารับข้อมูลจากคนอื่น อย่างไรก็ตามการตัดใจทั้งหมดไม่ได้มีการตัดสินใจด้วยความกดดัน หรือเป็นการตัดสินใจที่ไร้ทางเลือก แต่เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานว่าเราจะขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ที่สัญญากับประชาชนไว้อย่างไร ซึ่งคงจะมีการพูดคุยกันในเร็วๆ นี้

เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวอยากสืบทอดงานของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ต่อหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า คิดว่างานหลายอย่างเสร็จไปแล้ว แต่อีกหลายอย่างต้องใช้เวลา โดยเฉพาะต้องทำหลังจากการส่งมอบอาคารรัฐสภาเสร็จ ตนคิดว่าต้องมีงานระยะยาวที่ตนฝันไว้ว่าอยากเห็น เพื่อสามารถขับเคลื่อนให้รัฐสภาโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นของประชาชนได้ แต่ถามว่างานระยะสั้นบรรลุผลไปแล้วหรือไม่ ก็พอมี

“ส่วนตัวการได้ทำตำแหน่งนี้ เราได้เห็นพัฒนาการ ได้เห็นงานที่เราสามารถทำได้ และดีกับประเทศด้วย ซึ่งการที่ตนบอกว่า จะทำรัฐสภาให้โปร่งใสคนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่ตน แต่เป็นประเทศได้ประโยชน์ ถามว่าอยากอยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่ อยาก แต่จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่ข้อจำกัดต่างๆ” นายปดิพัทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า แสดงว่ายังมีเวลาตัดสินใจจนถึงสมัยประชุมสภาครั้งหน้าใช่หรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ไทม์ไลน์ทั้งหมดอยู่ที่พรรคก้าวไกลอย่างไรก็ตาม ตนต้องคุยเรื่องนี้กับพรรคจริงๆ เพราะหากตนไม่ยอมตัดสินใจ ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านก็ไม่สามารถแต่งตั้งได้ ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ผลดีและผลเสียให้รอบคอบ ซึ่งต้องวิเคราะห์และตัดสินใจร่วมกัน เมื่อถามว่า มองความกดดันจากวิปรัฐบาลไว้อย่างไรว่าต้องเลือกตำแหน่งเดียว นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีแรงกดดันมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปดิพัทธ์ได้สวมเสื้อผ้าไหมไทยสีม่วง ลายดอกปีบ จากจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งก่อนหน้านี้นายปดิพัทธ์เคยถูกตำหนิเรื่องการแต่งกายไม่เรียบร้อยมาแล้ว

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ข้องใจ!! สถาบันพระปกเกล้าคิดอะไร? กล้าเอา 'ธนาธร' ไปบรรยายให้นักศึกษาของสถาบันฯ

(28 ก.ย.66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Nantiwat Samart' ระบุว่า...

สถาบันพระปกเกล้าต้องชี้แจง

สถาบันพระปกเกล้าคิดอะไร ถึงกล้าเอาคนอย่างนายธนาธร ไปบรรยายให้นักศึกษาของสถาบันฯ

พระนามพระปกเกล้า ซึ่งเป็นชื่อของสถาบัน ไม่มีความหมายในสายตาผู้บริหารฯ เลยหรือ ทุกคนในประเทศนี้...รู้กันดีว่านายธนาธร คิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ธนาธรเปลือยตัวตนชัดเจน ต้องการปฏิรูปสถาบัน แต่ทำไมผู้บริหารสถาบันพระปกเกล้า จึงเปิดเวทีให้คนอย่างนี้

อยากฟังคำชี้แจงจากพระปกเกล้า

'รองอ๋อง' รับหนังสือค้านโครงการแลนด์บริดจ์ จากตัวแทน จ.ชุมพร หวั่น!! 'แย่งที่ดินทำมาหากิน-ไม่อยากขายที่ดินบรรพบุรุษ'

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง รับหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ หรือ โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) ภาคใต้ จากตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ผู้คัดค้านแลนด์บริดจ์ จำนวน 45 คน โดยกล่าวว่า จะนำไปศึกษาเบื้องต้นและนำเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าเสียงของประชาชนทุกคนสำคัญ ต้องพูดคุยกันในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตอบสนองประชาชนไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะนำปัญหาโครงการแลนด์บริดจ์เข้าสู่การประชุมของพรรค หลังมีการตั้งกรรมาธิการสามัญจะนำเรื่องเข้าสู่ชั้นกรรมาธิการฯ ที่เกี่ยวข้อง เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ทั้งนี้ ชาวบ้านเชื่อว่าโครงการฯ กระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม โดยเวนคืนที่ดินชาวบ้าน นำข้อมูลผิด ๆ ให้แก่ชาวบ้าน ว่า จะให้ราคาที่ดินในราคาสูง เข้าพื้นที่ในยามวิกาล ทั้งนี้ พื้นที่ อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ หากโครงการมีผลกระทบกับประชาชนขอให้รัฐบาลพิจารณาโครงการอีกครั้ง

“ชาวบ้านไม่ต้องการขายที่ดินของบรรพบุรุษ แย่งที่ดินไปจากชาวบ้าน โดยออก พ.ร.บ.แลนด์บริดจ์ เวนคืนที่ดินชาวบ้านไร้มรดกสืบทอด รวมถึงทรัพยากรน้ำ ถือเป็นสินทรัพย์ของรัฐ ต้องถูกตัดไปให้แก่นิคมอุตสาหกรรมในโครงการฯ นอกจากนี้ โครงการจะกระทบแหล่งทำประมงชาวบ้านจากน้ำมัน และสารเคมีที่รั่วไหลออกสู่แหล่งน้ำและทะเล ทั้งนี้ ประชาชนมั่นใจ จ.ชุมพร-จ.ระนอง เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเวทีแยกส่วนในการให้ข้อมูลแก่ประชาชน จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามจะประชาชนในพื้นที่ และสนข. ยืนยันไม่มีการตั้งโรงงานเกี่ยวกับปิโตรเคมี แต่ประชาชนทราบข่าวจากสื่อว่า ซาอุฯ จะลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันในพื้นตามที่เป็นข่าว ประกอบกับ สนข. กล่าวหาว่า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าของโครงการฯ ที่จะตั้งอยู่ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน” นายปดิพัทธ์ กล่าว

'ชัยชนะ' ยัน '25 สส.ปชป.' ไม่คิดย้ายพรรคจนหมดสมัยสภาฯ เผยได้ 'หัวหน้าพรรค' คนใหม่แน่ไม่เกินต้น พ.ย.นี้

(28 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช รักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกระแสข่าวสมาชิกพรรคบางส่วน และอดีต สส.จะไปจัดตั้งพรรคใหม่ เพื่อดัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าพรรคดังกล่าว ว่า ตนเพิ่งทราบข่าวผ่านสื่อมวลชน ซึ่งไม่ทราบว่าแหล่งข่าวมาจากไหน เพราะในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีการพูดคุยว่าใครจะย้ายออกจากพรรค หรือไปตั้งพรรคใหม่ แต่เท่าที่อ่านในข่าวบอกว่ามีกลุ่มหนึ่งจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งจะไปตั้งพรรคใหม่ เท่าที่ตนยืนยันได้ สส.ทั้ง 25 คนในปัจจุบัน ไม่มีใครที่จะย้ายพรรคและไปตั้งพรรคใหม่ ส่วนอดีตสมาชิกตนไม่ทราบ เพราะบางคนก็ไม่ได้พูดคุย แต่เท่าที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ไม่มีใครมีความคิดแบบนี้

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า สส.ทั้ง 25 คน อยู่กับพรรค ปชป.จนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า นายชัยชนะ กล่าวว่า ขอยืนยัน ณ ปัจจุบันก่อน ถ้าไปพูดเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ในอีก 3 ปีจนกว่า ก็ไม่ได้ แต่ตนพูดว่าสมัยนี้จนถึงจบสมัย ไม่มีใครย้ายพรรค แต่หลังจากหมดสมัยสภาฯ แล้วมีการเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่ใครจะอยู่หรือใครจะย้ายไปพรรคไหน ก็ต้องยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและกัน

เมื่อถามถึง การเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ภายในต้นเดือนตุลาคมจะมีการประชุม กก.บห.ชุดรักษาการ เพื่อกำหนดแนวทางในการประชุมเลือกหัวหน้าพรรค และ กก.บห.พรรคชุดใหม่ อาจจะมีการหารือและขอมติจากที่ประชุม กก.บห.ชุดรักษาการ ว่าเราจะหาทางอย่างไรให้มีการประชุมเลือก กก.บห.ชุดใหม่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีองค์ประชุมครบ ดังนั้น ตนคิดว่าภายในเดือนตุลาคม หรือช้าสุดไม่เกิดต้นเดือนพฤศจิกายน ต้องได้หัวหน้าพรรค ปชป.คนใหม่ อย่างไรก็ตาม บุคคลที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ยังคงเป็นชื่อของ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวพรรค ปชป.เหมือนเดิม

"ผมคิดว่าวันนี้ทุกฝ่ายต้องถอยคนละก้าวเพื่อมาพูดคุยกัน และหาวิธีที่ดีที่สุด และวันนี้ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า ประชาธิปัตย์อยู่ในยุคเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่าน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำในอดีตที่ดี เราต้องสืบทอดต่อไป อะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับโลกปัจจุบันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าเรายังยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ เก่าๆ เราก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ และถ้าเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ เราก็ไม่มีสิทธิที่จะสู้กับเขาได้" นายชัยชนะ กล่าว

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะพูดคุยว่าอีกฝั่งเป็นหัวหน้า อีกฝั่งเป็นเลขาหรือไม่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ตนคิดว่าอยู่ที่การพูดคุยเจรจากันมากกว่า การเมืองคือการเจรจา ถ้าเจรจาภายใต้ความรักและปรารถนาดีต่อพรรค ปชป.ตนว่าจบ แต่ถ้าเจรจาแล้วมีกำแพงกั้นไว้ตนว่าไม่จบ และที่ผ่านมาพวกตนพร้อมเจรจาตลอดและไม่ได้มีกำแพงกั้น โดยนำเสนอบุคคลใหม่ ๆ เข้ามาทำงานกับพรรค แต่บางครั้งก็โดนมองว่าคนที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นสมาชิกไม่ครบ 5 ปีบ้าง อะไรบ้าง ตนจึงมองว่าวันนี้การทำงานเราต้องย้อนกลับไปว่า ในเมื่อเรามีคนที่มีความสามารถแต่เขาเพิ่งเข้ามาในพรรคเราก็ต้องให้โอกาสเขา 

‘ศิธา’ แง้ม ‘ไทยสร้างไทย’ พร้อมรับ ‘รองอ๋อง’ เข้าพรรค หาก ‘ก้าวไกล’ มีมติขับพ้นพรรค เพื่อเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

(28 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา น.ต.ศิธา ทิวารี สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เตรียมประชุมหาความชัดเจนเรื่องตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีกระแสข่าวว่าจะขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากพรรค พรรค ทสท.พร้อมจะเปิดประตูต้อนรับหรือไม่ ว่า เป็นเรื่องกระบวนการภายในของพรรค ก.ก.และเป็นสิทธิ์ของนายปดิพัทธ์ ว่านายปดิพัทธ์จะออกหรือไม่ออก ซึ่งพรรค ก.ก.ก็มีมติได้ว่า จะให้นายปดิพัทธ์ลาออกหรือไม่ แต่หากนายปดิพัทธ์ไม่ลาออก พรรค ก.ก.ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ทำได้อย่างเดียวคือต้องขับออก หากต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

น.ต.ศิธา กล่าวต่อว่า หากพรรค ก.ก.ขับนายปดิพัทธ์ออกมา ซึ่งนายปดิพัทธ์ยังไม่พ้นสภาพ สส. สามารถเป็นต่อได้อีก 30 วัน ส่วนนายปดิพัทธ์จะไปอยู่พรรคไหนก็ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ การที่ไปบอกว่าให้นายปดิพัทธ์มาอยู่กับพรรค ทสท. หากไม่เข้าใจกัน แต่พูดไปแล้วก็อาจจะเป็นการล้ำเส้น และอาจจะเกิดความคลางแคลงใจกัน ซึ่งทุกวันนี้ตนเชื่อฝ่ายค้านก็ร่วมมือกันในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์จริง ๆ ไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอยู่แล้ว แต่หากนายปดิพัทธ์จะอยู่กับพรรค ทสท.ก็ยินดีต้อนรับ แต่คงไม่แสดงความคิดเห็นว่าอยากให้เข้ามา

เบื้องหลังมติ 9:1:2 ‘ผบ.ตร.14’ มาวิน!! ม้วนเดียวจบ ส่วนอนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ ส่อแวววูบ!! หากใจไม่รู้จักเย็น

ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป แต่สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอคารวะและปรบมือดังๆ ให้กับการลงจากตำแหน่ง ผบ.ตร.อย่างสมเกียรติของ 'บิ๊กเด่น' พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ แห่ง นรต.38 เตรียมทหารรุ่น 22 

หนึ่งในพิธีอำลาที่โรงเรียนนายร้อยสามพรานเมื่อเย็นวันที่ 26 ก.ย.คือ พิธีสวนสนามและเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา ณ ลานฝึกศรียานนท์ได้เกิดพายุฝนพัดกระหน่ำอย่างหนักหน่วงรุนแรง แต่ทุกคนในพิธียืนหยัดจนพิธีเสร็จสิ้น...ไม่กลัวฝนไม่กลัวฟ้าผ่า...

เฮ่อ!! ชีวิต 'บิ๊กเด่น' ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ตั้งแต่ 1 ต.ค.2565 จนถึง 30 ก.ย.66 พูดได้เต็มปาก แทบจะไม่มีซักสัปดาห์เดียวเดือนเดียวที่มีความรื่นรมย์ในการทำงาน...โดยเฉพาะเดือนส่งท้าย...คดีกำนันนก...ที่บานปลายขยายวงมาเป็นคดีกำนันโจ๊ก...อุ๊ย!! 'บิ๊กโจ๊ก' กล่าวได้ว่า...บิ๊กเด่นคือ "สำลีระหว่างเหล็ก" เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง...

ใครจะว่าจะอย่างไรก็ว่าเถอะ..นายตำรวจที่มือสะอาดอย่าง 'บิ๊กเด่น' ฝากผลงานหลายด้านให้กับวงการตำรวจ โดยเฉพาะด้านไซเบอร์ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หากรัฐบาลไม่รีบคว้าตัวไปใช้งานก็นับว่าน่าเสียดาย...

กลับมาที่สถานการณ์แนวรบสีเลือดหมูในขณะนี้ดีกว่า...ในที่สุดคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมาก็มีมติแต่งตั้ง 'บิ๊กต่อ' พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 4 ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 ด้วยมติ 9:1:2  จาก ก.ตร.ทั้งหมด 16 คน ลาประชุม 2 คนคือ 'บิ๊กโจ๊ก' และ 'บิ๊กรอย' ส่วน 'บิ๊กต่อ' และ 'บิ๊กต่าย' แม้จะมา แต่โหวตไม่ได้เพราะเป็นแคนดิเดต...ต้องออกจากห้องประชุม

ขยายความมติสักนิด...9 เสียง คือ เห็นชอบตามที่นายกฯ เสนอชื่อ 'บิ๊กต่อ' เป็นผบ.ตร. ส่วน 1 เสียงไม่เห็นชอบ คือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ทรงคุณวุฒิ ส่วน 2 เสียง คือ งดออกเสียง ประกอบด้วยตัว นายกฯ และ รศ.ประทิต สันติประภพ  ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ...

แหล่งข่าวที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ก.ตร.เปิดเผยกับ 'เล็ก เลียบด่วน' ว่า...หากจะสรุปสั้นๆ ปฏิบัติการม้วนเดียวจบ ไม่ปล่อยให้เกมยืดเยื้อดังที่มีการปล่อยข่าวว่า จะให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุดรักษาการไปพลางก่อน ค่อยมาเคาะกันปลายเดือน ต.ค. ก็พอจะสรุปได้ดังนี้...

1) เกมนี้มีการตั้งธงกันมานานแล้วว่า...ยังไงๆ หวยต้องออกที่ 'บิ๊กต่อ' ที่เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว...แม้บิ๊กต่อจะอาวุโสน้อยกว่าทุกคน แต่กฎกติกาก็ไม่ได้ระบุว่าความอาวุโสมีน้ำหนักกี่เปอร์เซ็นต์เพียงแค่ระบุว่าให้ 'คำนึงถึง' เท่านั้น ขณะเดียวกันมีสัญญาณผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยว่า...ต้องจบในวันที่ 27 ก.ย.

2) ก่อนประชุม ก.ตร.นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธาน ก.ตร.ส่งสัญญาณให้ ก.ตร.รับทราบชัดเจนว่า...ต้องเป็น 'บิ๊กต่อ'

3) นาทีก่อนลงมติ 'บิ๊กเด่น' ได้ประเมินประสิทธิผลของงาน 4 รอง ผบ.ตร.ที่เป็นคนดิเดตให้ที่ประชุมรับทราบ โดยให้น้ำหนักไปที่ 'บิ๊กต่อ' ทั้งเนื้องานและความมีวุฒิภาวะผู้นำ

สรุปรวมความแล้ว...ดุลอำนาจใน สตช.ขณะนี้...ฝ่าย 'บิ๊กต่อ' ที่แม้จะอยู่ในอำนาจเพียงปีเดียว  แต่สามารถกระชับอำนาจไว้แทบหมดสิ้น ขณะที่ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่ประกาศว่ามีข้อมูลในมือมากมาย เปิดเผยเมื่อไหร่จะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น หลายฝ่ายประเมินดูแล้วว่า...อาการน่าเป็นห่วง แม้จะเหลือเวลาราชการถึงปี 2574 หรืออีก 8 ปี แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะต้องได้เป็น ผบ.ตร.แต่ประการใด...เพราะดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการตำรวจก็มีมากมาย...

จะหาผู้ใหญ่ใจดีแบบ 'ลุงป้อม' คอยโอบอุ้ม...จนเป็นแมวเก้าชีวิตได้ อนาคตคงไม่ง่ายดายแล้ว…ใจเย็นลงสักนิดก็น่าจะดีนะครับบิ๊กโจ๊ก..!!

ศาลอาญาฯ พิพากษา ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ จำคุก 3 ปี ฐานจับกุม ‘บิลลี่’ นักสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง ผิด ม.157

(28 ก.ย. 66) ที่ห้องพิจารณา 303 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท.166/2565 ที่อัยการโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และพวกรวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ กรณีการหายตัวไปของนายบิลลี่

โดยวันนี้ นายชัยวัฒน์ กับพวกจำเลย รวม 4 คน พร้อมทนาย เดินทางมาศาล ส่วนฝ่ายโจทก์ มี โจทก์ร่วม และทนาย เดินทางมาศาล

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่าจำเลยกระทำผิดมาตรา 157 หรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ 1 จับกุมนายบิลลี่พร้อมน้ำผึ้งป่าและรถจักรยานยนต์ที่ด่านตรวจ แต่ไม่ยอมทำบันทึกการจับกุมและนำตัวส่งตำรวจพื้นที่ตามขั้นตอน ถือว่าจำเลยมีความผิด ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 2 ถึง 4 ทำตามที่จำเลยที่ 1 สั่งยังไม่เป็นความผิด

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกัน กักขัง ข่มขืนใจให้นายบิลลี่ขึ้นรถยนต์หรือไม่เห็นว่า มีพยาน เห็นว่าจำเลยทั้ง 4 พานายบิลลี่ขึ้นรถแต่ไม่มีการขู่บังคับโดยใช้อาวุธ แต่ไม่มีพยานคนใดยืนยันได้ว่าจำเลยปล่อยตัวนายบิลลี่ลงที่บริเวณใกล้กับแยกไฟแดง แต่พยานโจทก์ก็ยังไม่มีการเบิกความให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง นายบิลลี่แต่อย่างใด

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ต่อไปว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกัน ฆ่านายบิลลี่โดยไตร่ตรองหรือไม่ เห็นว่า ชิ้นส่วนกระดูกที่โจทก์นำสืบ ผลตรวจไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นกระดูกของนายบิลลี่หรือไม่ และโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่านายบิลลี่ ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิต ดังนั้นพยานหลักฐานจึงยังไม่อาจ เชื่อได้ว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันฆ่านายบิลลี่

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่เห็นว่า ข้อหาที่มีการแจ้งต่อจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจฟ้องคดี พิพากษาว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีที่ไม่ทำบันทึกการจับกุมนำตัวนายบิลลี่ส่งพนักงานสอบสวนสั่งจำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นพิพากษายกฟ้อง และ จำเลยที่ 2-4 พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top