Sunday, 8 June 2025
Politics

ครม.อนุมัติงบประมาณกว่า 473 ล้าน ให้กระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) เพิ่มเติม รองรับผู้กักกันตัวในระยะที่ 5

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) เพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้กักกันตัว จำนวน 22,248 คน ในระยะที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 30 พ.ย 2563 วงเงิน 473,150,000บาท

ตามที่กระทรวงกลาโหม เสนอ แบ่งเป็นค่าตอบแทนบุคลากร ค่าเช่าที่พักกักกันตัวค่าวัสดุการแพทย์และยานพาหนะ เป็นต้น โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้เบิกจ่ายในงบดำเนินงาน

นายอนุชา กล่าวว่า "ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันจัดสถานที่ พื้นที่สำหรับสังเกตอาการ เพื่อใช้ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค โดยเป็นสถานที่ราชการ 2 แห่ง และโรงแรมเอกชน 26 แห่ง เพื่อรองรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตัว จำนวน 63,570 คน ตั้งแต่ 7 มี.ค - 30 ก.ย.2563 ระยะที่ 1 -ระยะที่ 4 โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ รวมวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,536,340,514 บาท"

รองนายกรัฐมนตรี ‘วิษณุ เครืองาม’ เผยครม.เห็นชอบให้เลือกตั้งทิ้งถิ่นระดับเทศบาลก่อน ส่วนเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร รอคิวก่อน ระบุ ยังอยู่ระหว่างแก้กฎหมายจะยังคงมี สก.- สข. หรือไม่

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เตรียมการจัดเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับเทศบาล และ สภาเทศบาล ว่า เป็นการเลือกตั้งระดับเทศบาล คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และ เทศบาลนคร ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เป็นลำดับที่จะพิจารณาต่อไป

การเลือกตั้งเกี่ยวกับกทม. ยังมีปัญหาเพราะขณะนี้ยังถกเถียงกันเรื่องสก. และ สข. ว่าจะให้มีสข. หรือไม่ ถ้าจะให้มีกฎหมายต้องแก้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้ค้างอยู่สภาฯ ดังนั้นลำดับแรกเลือกระดับเทศบาลก่อน จากนั้น ค่อยเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จากนั้นเป็นเมืองพัทยา และ กทม. ซึ่ง 2 อย่างนี้อาจจะร่วมหรือแยกกันก็ได้

ซึ่งเลขากกต. ชี้แจงว่า พื้นที่เทศบาลไม่ทับซ้อนกับพื้นที่อบต. จึงไม่สามารถนำมาเลือกพร้อมกันได้ จึงต้องแยกกันเลยขอให้แต่ละอย่างเว้นช่วง โดยเรื่องเทศบาลควรเลือกภายใน 3 เดือนแรกของปี เนื่องจากมีความเกี่ยวโยงกับจำนวนประชากรที่พรบ.การทะเบียนราษฎรให้สรุปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 63 และต้องประกาศภายใน 3 เดือนจึงเลือกตั้งเทศบาลภายในเดือนมี.ค.64 ส่วนวันที่เท่าไหร่นั่นอยู่ที่กกต.เพราะครม.ไม่มีอำนาจ

เมื่อถามว่ามีการประเมินเบื้องต้นว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ช่วงไหน นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบเพราะครม.ในวันนี้ไม่มีการพูดเรื่องดังกล่าว เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับครม.เพราะจะเป็นผู้บอกว่าวันนี้เลือกเทศบาล โดยขอเอาเรื่องเลือกตั้งระดับเทศบาลก่อน ส่วนการเลือกตั้งระดับอื่น ๆ จะเป็นเมื่อไหร่ ครม.จะเป็นคนบอก และประเมินตามสถานการณ์หลายอย่าง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสข. ที่ค้างอยู่ในสภาฯที่รอความเห็นรัฐบาล

ครม. เห็นชอบ เพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ ระดับ ประถม-มัธยม-อาชีวะ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นไป ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และป้องกันความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประจำปีงบประมาณ 2565 รวมวงเงินทั้งสิ้น 7,635.67 ล้านบาทประกอบด้วย 9 แผนงาน ได้แก่ นวัตกรรมและการวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาวงเงิน 364 ล้านบาท , ส่งเสริมโอกาสและพัฒนาคุณภาพนักเรียนวงเงิน 4,847.52 ล้านบาท, สร้างนวัตกรรมการพัฒนาครูและสถานศึกษาวงเงิน 459.15 ล้านบาท , พัฒนากลไกจังหวัดและระบบช่วยเหลือเด็กปฐมวัยที่ยากจนและเด็กนอกระบบการศึกษาวงเงิน 386 ล้านบาท ,สร้างต้นแบบระบบการผลิตและพัฒนาครูวงเงิน 298.73 ล้านบาท, สร้างนวัตกรรมสายอาชีพสร้างโอกาสนักเรียนอัจฉริยะที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาสได้เรียนต่อระดับสูงและพัฒนาประชากรวัยแรงงานด้อยโอกาสวงเงิน 856.44 ล้านบาท , สร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติและวิเทศสัมพันธ์วงเงิน 39.20 ล้านบาท, งานรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและระดมความร่วมมือทางสังคมวงเงิน 68.50 ล้านบาท และงานด้านการบริหารและพัฒนาระบบงานวงเงิน 316.13 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "ได้เห็นชอบให้เพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข(ทุนเสมอภาค) โดยกสศ.ระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลให้ครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษมีรายได้ลดลงและเกิดการว่างงาน ประกอบกับผลวิเคราะห์จากโครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ มีข้อเสนอว่า อัตราเงินทุนเสมอภาคในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสำหรับครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษ

ดังนั้นจึงเห็นควรให้เพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างนักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้แตกต่างกัน และป้องกันความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษาของประชากรกลุ่มนี้ในระยะยาว"

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า "อัตราเงินอุดหนุนใหม่ คือ ในระดับอนุบาล อัตราเดิม 4,000 บาทต่อปียังคงจ่ายเท่าเดิม ระดับประถมศึกษา อัตราเดิม 3,000 บาทต่อปี อัตราใหม่ 5,100 บาทต่อปี เพิ่มขึ้น 2,100 บาท ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นอัตราเดิม 3,000 บาทต่อปี อัตราใหม่ 4,500บาทต่อปี เพิ่มขึ้น 1,500 บาท ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา อัตราเดิม 3,000 บาทต่อปี อัตราใหม่ 9,100 บาท เพิ่มขึ้น 6,100 บาท"

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "ตามนิยามของเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ หมายถึง นักเรียนยากจนที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อมแบบ PMT หรือ Proxy Means Test จากระบบปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอยู่ในกลุ่มค่าคะแนนความยากจนอยู่ในเกณฑ์ยากจนพิเศษ หรือ ครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ย 1,200 บาทต่อคนต่อเดือน"

‘ดร.นิว’ ศุภณัฐ อภิญญาณ โพสต์เฟซบุ๊ก โพสต์เปรียบเทียบความมั่นคงทางไซเบอร์ของไทย ห่างไกลสหรัฐอเมริกาหลายขุม ระบุแค่ส่งข้อความขู่บุคคลสำคัญ ถูก FBI เยี่ยมถึงบ้าน ส่วนเมืองไทย ทั้งๆ ที่รู้อยู่เบื้องหลังม็อบ แต่ปล่อยนั่งในสภาฯ สบาย

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphanat Aphinyan (ดร.ศุภณัฐ)’ โดยระบุว่า

#ความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกาที่ประเทศไทยไม่เคยมี

แค่ผู้ชายคนหนึ่ง (นาย Cleveland Grover Meredith) ส่งข้อความไปหาเพื่อน ในทำนองขู่ว่าจะทำร้ายประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา (นาง Nancy Pelosi) แล้วเขาก็ถูกจับกุมตัวโดยตำรวจ FBI จากสำนักงานสอบสวนกลางในระยะเวลาอันรวดเร็ว

เหตุการณ์ในครั้งนี้บ่งบอกถึงอะไร?

1. สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cyber Security) อย่างมาก และมีระบบปฏิบัติการสอดแนมทางไซเบอร์ (Cybersurveillance Operation) ที่ทันสมัย สามารถสอดแนมและตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ แม้แต่การส่งข้อความหากัน เพื่อเฝ้าระวังภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นครั้งแรกโดยนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ภายใต้ชื่อโครงการ PRISM ของ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ หรือ National Security Agency (NSA) แม้จะถูกมองว่ามีแนวโน้มเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่โครงการดังกล่าวยังคงดำเนินการเรื่อยมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

2. สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างสูงสุด หลังจากมีการส่งข้อความที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคง บุคคลดังกล่าวก็ถูกจับกุมตัวทันทีภายในระยะเวลาราว 1 วัน อีกทั้งยังสามารถตรวจค้นและยึดวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างเต็มที่

3. สหรัฐอเมริกามีกระบวนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงที่รวดเร็ว มีการบูรณาการ และการประสานงานระหว่างเทคโนโลยี อัยการ ศาล รวมถึงตำรวจ ที่ดำเนินไปด้วยกันอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ

ถ้าประเทศไทยมีความมั่นคงทางไซเบอร์อย่างสหรัฐอเมริกา ขบวนการปลุกม็อบสร้างความแตกแยก รวมถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังคงถูกจับกุม และล้างบางด้วยการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างที่ควรจะเป็นไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งคนไทยทั้งประเทศ คงไม่ต้องมาเห็นภาพจับๆ ปล่อยๆ จนดูเป็นเรื่องตลกดังเช่นทุกวันนี้ เสมือนว่าทั้งระบบของประเทศไทยไม่เข้าใจบริบทของ “กฎหมายความมั่นคง” แถมยังอ่อนข้อให้ผู้บ่อนทำลายความมั่นคงจน “กฎหมายความมั่นคง” แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย

แต่ที่น่าอับอายที่สุด คือ ประเทศไทยมี ส.ส. กบฏ ที่วันๆ คอยแต่สนับสนุนขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ และสร้างความแตกแยก นอกจากนั้นก็ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของนายทุน เจ้าของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังม็อบคนสำคัญ โดยที่ไม่ได้รับใช้ประชาชนเหมือนที่พูดจาไว้สวยหรู ประชาชนที่พวกเขาแอบอ้างจึงมีเพียงแค่ม็อบ ซึ่งก็คือมวลชนผู้ตกเป็นเหยื่อและเครื่องมือทางการเมืองของเจ้านายพวกเขา ไม่ใช่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ หรือความมั่นคงของชาติอันเป็นตัวแทนความมั่นคงของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศแต่อย่างใด

ดร.ศุภณัฐ

13 มกราคม พ.ศ. 2564

#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ


อ้างอิง...

https://ojs.imodev.org/index.php/RIDDN/article/view/302/491

https://www.thesun.ie/.../cleveland-grover-meredith.../

Cr เพจ Suphanat Aphinyan (ดร.ศุภณัฐ)

“หมอประสิทธิ์” เผยข่าวดี!!! อาการผวจ. สมุทรสาคร ดีขึ้น เตรียมถอดเครื่องช่วยหายใจพรุ่งนี้ เชื่อไม่มีปัญหา ระบุหากออกไอซียู กักตัวต่อ 14 วันก่อนกลับไปทำงานที่บ้านต่อได้

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ออกมาเปิดเผยถึงอาการของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร หลังติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. โดยระบุว่า วันนี้มีข่าวดี เพราะขณะนี้ผู้ว่าฯ อาการดีขึ้นมาก รู้สึกตัวดี และสามารถหายใจได้ดี คาดว่าช่วงเช้าวันที่ 14 ม.ค. จะสามารถถอดท่อ และเครื่องช่วยหายใจออกได้ เพื่อให้ผู้ว่าฯหายใจได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

รวมถึงตอนนี้แพทย์ได้ถอนยาออกหมดแล้ว เพื่อให้ผู้ว่าฯตื่น และจะประเมินการหายใจ พร้อมทั้งดูการทำงานของสมองต่อไป ส่วนอวัยวะอื่นๆ และการให้อาหารดี ทางเดินอาหารสามารถให้อาหารได้เต็มที่ ดูดซึมได้ดี ผลเลือดดีหมด ซึ่งสามารถฟื้นตัวได้แล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว สำหรับไตก็ดีมาพักใหญ่ ไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อออกจากห้องไอซียูแล้ว ทางผู้ว่าฯ ต้องพักดูอาการก่อน 14 วันที่โรงพยาบาล จากนั้นสามารถกลับไปทำงาน หรือเวิร์ค ฟอร์ม โฮมที่บ้าน จ. สมุทรสาครได้

ส.ส.นครศรีธรรมราช “เทพไท เสนพงศ์” เสนอรัฐทบทวนวิธีการเยียวยาใหม่ แจกเงิน 3,500 บาทต่อคน 3 เดือน ใช้ฐานเยียวยาตามบัญชีทะเบียนบ้าน มั่นใจไม่ตกหล่น เป็นธรรมกับทุกคน

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนเห็นด้วยกับ 4 มาตรการของรัฐบาล ที่บรรเทาผลกระทบ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบ 2 คือ 1. ลดค่าไฟฟ้า 2 เดือนตามใบแจ้งหนี้ ก.พ.-มี.ค.64 โดยให้ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก สำหรับบ้านพักอาศัยที่ใช้ไฟไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน 2. ลดค่าน้ำ 10% เป็นระยะเวลา 2 เดือนตามใบแจ้งหนี้ ก.พ.-มี.ค.64 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก 3. ลดค่าอินเทอร์เน็ต เพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้านและโทรศัพท์มือถือเพื่อสนับสนุนการทำงานที่บ้านหรือ Work From Home และสนับสนุนการโหลดแอปพลิเคชัน "หมอชนะ" ฟรีโดยไม่คิดค่าดาต้า 3 เดือน และ 4.มาตรการคนละครึ่ง ให้ขยายสิทธิ์เพิ่มอีก 1 ล้านสิทธิ์ โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้

นายเทพไท กล่าวต่อว่า สำหรับการจะเยียวยา 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นเวลา 2 เดือนนั้น ส่วนตัวอยากเสนอให้เยียวยาเป็นเวลา 3 เดือน เท่าโครงการเราไม่ทิ้งกัน แต่ยังไม่ทราบวิธีการเยียวยาของรัฐบาลที่ชัดเจน ว่าจะใช้แนวทางการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น หรือเว็ปไซด์ใหม่ หรือจะใช้ฐานข้อมูลเก่าในโครงการเราไม่ทิ้งกัน ตอนช่วงโควิด-19 ระบาดรอบแรกหรือไม่ เพราะวิธีการดังกล่าว มีจุดอ่อนและปัญหาตามมามากมาย ทำให้คนจนผู้ได้รับผลกระทบจริง ไม่ได้รับการเยียวยา แต่บางครัวเรือนกลับได้รับการเยียวยาหลายคน

จึงอยากจะให้รัฐบาลทบทวนวิธีการเยียวยาใหม่ โดยตนยืนยันแนวความคิดเดิมคือ เยียวยาเป็นรายครัวเรือนตามบัญชีทะเบียนบ้าน ของสำนักทะเบียนราษฏร กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมั่นใจว่าจะมีผู้ได้รับการเยียวยาครบทุกครัวเรือน ไม่มีการตกหล่น และเป็นธรรมกับคนไทยทุกคนด้วย ยกเว้นครอบครัวพนักงานรัฐวิสาหกิจ และครอบครัวข้าราชการ ที่ได้รับเงินเดือนประจำจากรัฐบาลอยู่แล้ว เมื่อตัดออกจากจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 20 ล้านครัวเรือน จะเหลือครัวเรือนที่ไม่มีสมาชิกในบ้านเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสากิจประมาณ 15 ล้านครัวเรือนเท่านั้น จึงเป็นการประหยัดเงินงบประมาณ ประหยัดเวลาในการเยียวยา และสามารถเยียวยาทั่วถึงอย่างรวดเร็วทุกคน ส่วนการช่วยเหลือกิจการรายย่อย SME รัฐบาลจะต้องมีรายละเอียดของมาตรการช่วยเหลือเยียวยาต่อไปด้วย

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประชุมติดตาม 9 มาตรการแก้แล้ง ย้ำต้องเสร็จก่อนฤดูแล้งนี้ ให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภค/เกษตร/อุตสาหกรรม เพียงพอ พร้อมสั่งเร่งช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ขณะนี้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ผอ.กอนช. ได้เป็นประธานการประชุม กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ อาคารจุฑามาศ สทนช.

ที่ประชุม ได้รับทราบสถานการณ์น้ำในปัจจุบันเมื่อ 12 ม.ค.64 สภาพแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และขนาดกลาง มีปริมาณน้ำทั้งประเทศ รวม 49,246 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น ร้อยละ 60 ปริมาณน้ำใช้การ จำนวน 25,143 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น ร้อยละ 43 ,รับทราบการให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมภาคใต้ จ.ยะลา และจ.ปัตตานี ซึ่งขณะนี้ สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อยู่ในขั้นการช่วยเหลือ ฟื้นฟู ต่อไป

โดย พล.อ.ประวิตร ได้กำชับเร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และรับทราบ ผลการติดตามผลการดำเนินงานโครงการงบกลางปี 2563 ตามมติ ครม.เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำในภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งสิ้น จำนวน 31,054 โครงการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 23,286 โครงการ ทั้งนี้ที่ประชุมได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงาน พร้อมกำชับ สทนช.ให้กำกับ ติดตามการดำเนินโครงการ อย่างต่อเนื่อง ต่อไป

กอนช. ได้พิจารณาเห็นชอบ ผลการดำเนินงานตามมาตรการ แก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 63/64 ตามมติ ครม.เมื่อ 3 พ.ย.63 โดยให้มีการควบคุม การจัดสรรน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ,ปรับปรุงแผนการควบคุมการเพาะปลูกนารอบที่ 2 (นาปรัง) ให้มากกว่าแผนทั้งในเขต และนอกเขตชลประทาน รวมทั้งตรวจสอบพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงภาวะน้ำแล้ง ของประปาท้องถิ่น และติดตามค่าความเค็มของน้ำ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และเห็นชอบผลการดำเนินงาน ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ คราวตรวจราชการน้ำท่วมภาคใต้ พื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยมอบให้ สทนช. บูรณาการแผน และงบประมาณ เพื่อแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ,พัฒนาแก้มลิงบริเวณพรุควนเคร็ง และเร่งรัดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ด้วย รวมทั้งได้เห็นชอบ การขับเคลื่อนโครงการ บรรเทาอุทกภัย พื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีปี 2565-2566 ซึ่งมีแผนงานทั้งหมด 7 โครงการ หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถเพิ่มความจุได้ 21.13 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ 61,610 ไร่ (41,990 ครัวเรือน)

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ สทนช. ให้กำกับ ติดตามโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง งป.ปี 63/64 อย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งรัดหน่วยงานปฏิบัติ ที่รับผิดชอบโครงการต่างๆ จะต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อมุ่งให้ประชาชน ได้มีน้ำใช้ อย่างเพียงพอ ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยซ้ำซาก ที่ผ่านมาก็ต้องเร่งแก้ไข ให้ทันท่วงที โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ บริเวณ จ.นครศรีธรรมราช และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรี ตอนล่าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน อย่างเร่งด่วน ต่อไป

รัฐบาลญี่ปุ่น จะประกาศภาวะฉุกเฉินสกัดการระบาดของไวรัสโควิดเพิ่มเติมอีก 7 จังหวัด นอกเหนือจากกรุงโตเกียวและรอบข้าง หลังผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุบสถิติเป็นเกือบ 8,000 คนต่อวัน

นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่าเขาจะขยายการประกาศภาวะฉุกเฉินให้ครอบคลุมจังหวัดโอซากา เกียวโต เฮียวโงะ ไอจิ กิฟุ ฟูกูโอกะ และโทชิงิ ในวันนี้ (13 ม.ค.) เพื่อหยุดยั้งการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับกรุงโตเกียวและอีก 3 จังหวัดติดกัน คือ ไซตามะ คานางาวะ และชิบะ แต่ในพื้นที่จังหวัดใหญ่อื่น ๆ ก็มีจำนวนการติดเชื้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้ว่าการจังหวัดต่างร้องขอให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการเยียวยาธุรกิจต่าง ๆ ที่ถูกขอให้ลดเวลาทำการลง

นายซูงะกล่าวว่า รัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการโดยพุ่งเน้นเป้าหมายจำเพาะเจาะจงไปที่ธุรกิจที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาด และพื้นที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูง จึงไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ และขอให้โรงเรียนและธุรกิจต่าง ๆ ปิดทำการแบบถ้วนหน้าเหมือนเมื่อเดือนเมษายน ปีที่แล้ว

ผู้นำญี่ปุ่นต้องการหยุดยั้งการติดเชื้อด้วยมาตรการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ ขอให้บาร์และร้านอาหารปิดภายในเวลา 20.00 น., ให้บริษัททั้งหลายสนับสนุนให้พนักงานทำงานทางไกล โดยลดจำนวนพนักงานในสำนักงานของตนลงร้อยละ 70, ให้ประชาชนงดออกจากบ้านหลัง 20.00 น. และจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ลงครึ่งหนึ่ง

นายฮิโรฟูมิ โยชิมูระ ผู้ว่าการจังหวัดโอซากา ระบุว่า ขณะนี้จังหวัดโอซากาขอให้ร้านอาหาร และบาร์ปิดร้านในเวลา 21.00 น. แต่หากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน เขาจะให้ร้านต่าง ๆ ปิดร้านเร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมง คือ 20.00 น. เช่นเดียวกับในพื้นที่กรุงโตเกียวและรอบข้าง

เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ม.ค. ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด 7,900 คน โดยจังหวัดโอซากา เกียวโต เฮียวโงะ ที่อยู่ในรายชื่อภาวะฉุกเฉินครั้งใหม่นี้ก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงเป็นประวัติการณ์

มาตรการฉุกเฉินของญี่ปุ่นเป็นเพียงการ “ขอความร่วมมือ” ไม่ใช่การ “บังคับ” แต่รัฐบาลกำลังจะเสนอแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ใช้มาตรการลงโทษกับธุรกิจและผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือตามมาตรการฉุกเฉินได้ โดยจะเสนอร่างแก้ไขกฎหมายต่อรัฐสภาในวันจันทร์หน้า และจะประกาศใช้ให้เร็วที่สุด


ที่มา : https://mgronline.com/japan/detail/9640000003235

"รมว.แรงงาน" เผย ลุยโรงงานพื้นที่เสี่ยง ตรวจโควิดเชิงรุกฟรี ช่วยนายจ้าง-ลูกจ้างไม่ต้องหยุดงาน และ ภาคผลิตเดินต่อได้ ลั่นกระทรวงแรงงานพร้อมเป็นกองหนุนรัฐบาลปราบโควิดเต็มที่

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ภายหลังที่กระทรวงแรงงาน ได้รับนโยบายจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว กลาโหม ได้ให้แนวทางลงช่วยเหลือเชิงรุก นายจ้างและลูกจ้าง โดยให้โรงพยาบาลในเครือข่ายสำนักงานประกันสังคม ได้บูรณาการทำงานเชิงรุกร่วมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ กระทรวงมหาดไทย ที่เข้าไปตรวจสถานประกอบการเพื่อตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ให้ผู้ใช้แรงงานในรูปแบบทางเดินหายใจ (PCR) ที่จังหวัดสมุทรสาครไปเบื้องต้นแล้ว

ล่าสุด กระทรวงแรงงาน จะทำงานตรวจเชิงรุกต่อไปใน 28 จังหวัด ที่มีการคำสั่งควบคุมสูงสุด ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไป โดยขณะนี้มีหลายโรงงาน หลายสถานประกอบการ ได้ยื่นเข้ามาจำนวนมาก โดยรอพิจารณาคำขอจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทั้งนี้ผู้ประกอบการ สถานประกอบการ ที่ผ่านการอนุมัติ จะสามารถตรวจคัดกรองโควิด-19 ได้ฟรี ซึ่งสำนักงานประกันสังคมในสังกัดกระทรวงแรงงาน จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ตามนโยบายรัฐบาลและจากการกำชับของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลนโยบายของกระทรวงแรงงาน ได้ให้แนวทางการทำงาน ต้องทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้การช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้าง ให้ภาคการผลิตเดินต่อ และ ด้านสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง ให้ปลอดภัยจากโควิด-19

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ประกอบการใน 28 จังหวัดที่จะเข้ารับการตรวจนั้นจะต้องผ่านเกณฑ์พิจารณาต่างๆ โดยประการแรก ต้องยื่นความประสงค์ขอเข้าร่วมตรวจคัดกรอง จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ประกันสังคมจังหวัด ภายใต้การอำนวยการของ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้เห็นชอบขั้นตอนสุดท้าย

โดยเงื่อนไขหลักๆ สถานการประกอบการจะต้องมีสถานกักกันในโรงงาน ที่มีความพร้อม Factory Quarantine (FQ) ในกรณี ตรวจไม่ผ่านก็ให้โรงงานไปปรับปรุงแก้ไขใหม่ และ เมื่อผ่านการอนุมัติ แล้ว โรงพยาบาลในเครือข่ายสำนักงาประกันสังคม จะดำเนินการตรวจตามขั้นตอนการรักษาต่อไป

"กระทรวงแรงงานคาดหวังจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจเชิงรุกและป้องกันโควิด - 19 โดยสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองโควิด-19 จากเดิมที่นายจ้างต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ในการตรวจคัดกรองลูกจ้าง และ ที่สำคัญนโยบายรัฐบาลนี้ ยังเป็นการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการและลูกจ้าง ทั้งชาวไทย และ ต่างด้าว ไม่ต้องหยุดกิจการ ภาคการผลิต และลูกจ้างไม่ต้องหยุดงาน และ การผลิตส่งออกเดินหน้าต่อไป เพื่อท่าจะมีเงินไปเลี้ยงชีพและดูแลครอบครัว อีกทั้งกระทรวงแรงงานถือว่าเป็นกองหนุน เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยการทำงานทุกภาคส่วนของภาครัฐ อาทิ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข ที่เราเข้าไปลุยตรวจถึงโรงนั่นๆ ถือว่าเป็นการดูแล และ ห่วงใยผู้ประกอบการและลูกจ้างเพื่อให้ผ่านสถานการณ์เช่นนี้ไปด้วยกัน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องทำทุกมิติ เพื่อชาติ บ้านเมือง พี่น้องประชาชน ต้องผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 ไปด้วยกัน" รมว.แรงงาน กล่าว

‘หมอเอก ก้าวไกล’ ชี้ไม่ใช่หน้าที่ภาระท้องถิ่น ปมจัดหาวัคซีนเอง ซัดรัฐต้องจัดวัคซีนฟรีสำหรับทุกคน เเนะใช้กลไกท้องถิ่นกระจายวัคซีน เพื่อความทั่วถึง เท่าเทียมทุกคน

นายเเพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย เขต1 พรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกรณีการจัดหาวัคซีน เพื่อยับยั้งการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ประเด็น “วัคซีนโควิด” เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ที่พูดคุยกันของทุกคนเพราะในหลายประเทศได้ให้การรับรอง และเริ่มกระจายฉีดให้กับประชาชนของตนเองแล้ว เพื่อหวังที่จะยับยั้งการระบาดของโคโรน่าไวรัส 2019 ให้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบที่เคยเป็นกันมา เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด

ดังนั้น “การบริหารจัดการวัคซีนแบบมีประสิทธิภาพ” จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในวันที่ทั่วโลกมีความต้องการวัคซีนพร้อมๆ กัน และมีการเร่งผลิตวัคซีนออกมาให้เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก โดยวัคซีนที่ผลิตออกมามีหลายเทคโนโลยีที่ใช้ผลิต มีผลการศึกษาทดลองที่ให้ผลในการป้องกันโควิดที่แตกต่างกันแม้จะมีการให้การรับรองในหลายประเทศแล้ว แต่ก็เป็นการรับรองในกรณีพิเศษ-ฉุกเฉิน เพื่อยับยั้งการระบาดเท่านั้น แต่เรายังไม่ทราบระยะเวลาการคงอยู่ของภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีน รวมทั้งผลข้างเคียงในระยะยาวที่อาจจะพบได้เพิ่มเติมจากที่พบในขั้นตอนการวิจัย

และวัคซีนที่มีหลายชนิดจะมีการแบ่งการจัดซื้อและแบ่งการฉีดอย่างไร ในส่วนวัคซีนของ Sinovac ที่ยังไม่มีการรายงานผลการทดลองในชั้นคลินิกเฟส 3 เลย และล่าสุดมีข่าวว่าบางประเทศไม่พอใจผลของการทดลองวัคซีนนี้เพราะมีประสิทธิภาพเพียง 50.4% เท่านั้น (อ้างอิง https://www.bbc.com/news/world-latin-america-55642648 ) แต่จะมีการนำเข้ามาใช้ในเดือนกุมภาพันธ์แล้ว เราจะมีระบบการอนุมัติแบบพิเศษจาก อย. อย่างไร? ประเด็นนี้ทางรัฐบาลไทยจะต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างชัดเจนเพื่อให้สาธารณชนได้วางใจได้ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่ารัฐบาลสอบตกในประเด็นนี้

ส่วนกรณีที่มีข่าวองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง เปิดเผยว่า สนใจจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้กับคนในพื้นที่ได้นั้น ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องดีและอยู่ในวิสัยของกรอบระเบียบกฎหมายที่จะทำได้ แต่มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึงอยู่บ้าง คือการจัดซื้อวัคซีนแบบแยกซื้อย่อมจะส่งผลต่อราคาวัคซีนที่จะแพงกว่าการจัดซื้อรวม ในขณะที่วัคซีนชนิดอื่นรัฐได้รวบการจัดซื้อโดยข้ออ้างในเรื่องราคา แล้วทำไมวัคซีนโควิดถึงไม่ได้มีการพูดถึงเหตุผลข้อนี้ (และการจัดซื้อโดย อปท. ที่มีความพร้อมด้านงบประมาณนั้นแน่นอนว่าจะไม่ได้มีทุก อปท. ที่มีความพร้อม จะส่งผลต่อการวางแผนการกระจายของวัคซีนในภาวะที่ต้องการวัคซีนเพื่อหยุดการระบาด ไม่ได้ต้องการวัคซีนเพื่อป้องกันโรคเท่านั้น)

โดยรัฐบาลควรต้องตั้งเป้าหมายการจัดหา และฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 100% โดยไม่ปล่อยให้เป็นภาระขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดหา โดยมีจุดประสงค์เพื่อยับยั้งการระบาดในวงกว้าง และป้องกันปัจเจกบุคคลจากการติดเชื้อ โดยยุทธศาสตร์ที่ทางรัฐบาลและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศควรทำงานร่วมกัน คือ

1.ให้ผู้จัดหาวัคซีนยังคงเป็นรัฐบาลอยู่ แต่ต้องกระจายความเสี่ยงของวัคซีนให้มีหลายเจ้ามากขึ้น และมุ่งเน้นเจ้าที่มีประสิทธิภาพสูง และจะต้องมีจำนวนโดสครอบคลุมการฉีดให้ประชากรทั้งประเทศ 100%

2.ส่วนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นจะเข้ามามีบทบาทร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ผ่านทางโรงพยาบาลและ รพ.สต. ในการกระจายฉีดวัคซีนให้ประชาชน เนื่องจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความใกล้ชิดประชาชนมากกว่า เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ที่อาจจะต้องได้รับวัคซีนก่อนในลำดับแรกๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและทางองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีข้อมูลของกลุ่มนี้อยู่แล้ว

3.สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ “ความโปร่งใส” ในการบริหารจัดการ ดังนั้นรัฐบาลต้องเปิดเผยรายละเอียด ตัวเลข หลักเกณฑ์ วิธีการ และเหตุผลในการดำเนินการต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน ให้ไว้วางใจการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนคนไทยกลับมาใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยได้ตามปกติอีกครั้งโดยเร็วที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top