Tuesday, 1 July 2025
Politics

6 พรรคร่วมฝ่ายค้านผนึกกำลังยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี ไร้เงา ประวิตร-ธรรมนัส พิธาย้ำพรรคร่วมฝ่ายค้านผสานกำลังใช้กลไกสภาแก้ไขวิกฤติโควิด เร่งถอดสลักประยุทธ์ ต้นเหตุบ่มเพาะความขัดเเย้งประชาชน

พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมอีก 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเพื่อชาติ, พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ในนามนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์

ทั้งนี้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเเรงงาน และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม

ทางด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยกระบวนการเหมือนกับการอภิปรายทุกครั้ง ทุกพรรคมีความต้องการในอภิปรายเเละเสนอรัฐมนตรีที่ไม่ไว้วางใจของตนเอง เเต่ในที่สุดเเล้วเราต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และมีมติว่าเราจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีทั้งหมด 6 คนสำคัญ มีความจำเป็นจะต้องพูดคุยกัน เพื่อรักษาบรรยากาศการทำงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน

พิธากล่าวเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ ซึ่งเร็วกว่าตามกรอบเวลาปกตินั้น ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านเราตั้งใจที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ เพื่อที่จะใช้กลไกสภาแก้ไขวิกฤติเเละลดความขัดเเย้ง โดยมีความจำเป็นที่ต้องถอดสลักพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อที่จะให้ประเทศสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ตนมีความเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แตกต่างจากครั้งก่อนๆ พอสมควร ในครั้งนี้ความเดือดร้อนเเละความลำบากของพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง พรรคก้าวไกลได้ประกาศออกไปว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยพี่น้องประชาชนให้ความสนใจเเละมีส่วนร่วม ซึ่งพี่น้องประชาชนส่งข้อมูล ส่งภาพเเละเนื้อหามาประกอบการอภิปรายให้ตนเเละพรรคก้าวไกลอย่างไม่ขาดสาย

เเละขณะนี้บรรยากาศนอกสภาเเละในสภาตรงกัน ความชอบธรรมในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เเทบจะไม่เหลือเเล้วนอกสภา เราต้องการใช้กลไกลในสภาตอนนี้เพื่อให้เกิดเเรงสั่นสะเทือนและอาฟเตอร์ชอกต่อไป เมื่อถามถึงว่า มีความขัดเเย้งภายในพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่นั่น พิธากล่าวว่าไม่มี ประชาชนต้องมาก่อน เราต้องการใช้กลไกในรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แน่นอนว่าในอดีตแต่ละพรรคมีความเห็นของตนเอง มีความเเตกต่างกันบ้าง เเต่เรามีวุฒิภาวะพอที่จะวางความแตกต่างนั้นลงเเละร่วมมือกันทำอย่างเต็มที่ที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

ขณะที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่าการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านเราได้ร่วมกันพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ซึ่งแน่นอนมี ส.ส. ได้เสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อพิจารณาแล้วสรุปจบที่ 6 รัฐมนตรี เนื่องจากการขอเปิดอภิปรายไม่วางใจในครั้งนี้จะเน้นเป้าไปที่เรื่องการบริหารจัดการโควิด-19 เรื่องเศรษฐกิจ และ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหลัก สำหรับช่วงเวลาในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านเราอยากจะได้กรอบเวลาดังเช่นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในทุกครั้งที่ผ่านมาคือไม่น้อยกว่า 3 วัน

โดยภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นเรามีหลักฐานมากพอที่จะส่งเพื่อเอาผิดรัฐบาล โดยรัฐบาลก็ต้องคิดว่าท่านจะรับฟังการอภิปรายอย่างไร ประชาชนก็มีความเดือดร้อนกันอย่างไรในการจัดการต่างๆ และต้องฝากไปยังประชาชนที่เลือกผู้แทนราษฎรเข้ามาว่าท่านจะต้องจับตาว่า ส.ส. ที่ท่านเลือกมาเข้ามาเห็นแก่ใคร เค้าเห็นแก่พี่น้องประชาชนหรือไม่ที่กำลังล้มตายกันอยู่ขณะนี้ จึงขอวิงวอน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลให้ร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจเพราะครั้งนี้คือที่สุดแล้ว ส.ส.ที่ท่านยังมีความคิดความอ่านท่านต้องระลึกถึงประชาชนที่เลือกท่านเข้ามา เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้ายังมีอีก

ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังรับยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กระบวนการหลังจากนี้จะนำสู่การตรวจสอบรายชื่อ ส.ส. ผู้ที่ลงรายชื่อในญัตติว่ามีความครบถ้วน และมีรายชื่อซ้ำหรือไม่ ขณะเดียวกันเนื้อหาในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่วางใจจะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณา 7 วันหลังจากนี้จากนั้นจะดำเนินการเพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน

ขณะเดียวกันการขอเปิดอภิปรายไม่วางใจในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ไม่เหมือนการเปิดอภิปรายเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมาที่เป็นการยื่นขอเปิดอภิปรายในช่วงสมัยประชุมที่ 2 ของปี แต่ครั้งนี้เป็นการขอเปิดอภิปรายในสมัยประชุมแรกของปี ดังนั้นหลังจากนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านยังสามารถที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติได้อีกครั้งหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ขณะเดียวกันในช่วงการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้ฟังไจรัฐบาลจะยุบสภาในช่วงนี้ไม่ได้

โดยคาดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายคนนั้นจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน 2564

ภท. มั่นใจ “เสี่ยหนู-เสี่ยโอ๋” แจงฝ่ายค้านได้ หลังติดโผถูกซักฟอก 

นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ว่าตนคิดว่าทางรัฐมนตรีคงคาดการณ์ไว้แล้ว ว่าฝ่ายค้านคงหยิบประเด็นเรื่องโควิด - 19 ที่ค่อนข้างจะรุนแรงในขณะนี้ มาเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อยู่แล้ว จึงเชื่อว่าทั้งนายอนุทิน และนายศักดิ์สยาม คงได้เตรียมตัวไว้แล้ว ซึ่งคงชี้แจงไปตามหลักฐาน ตามเหตุผล ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ตนเชื่อว่าทั้งสองท่านจะมีข้อมูลที่นำมาชี้แจงกับทางฝ่ายค้านได้ 

นายภราดร กล่าวต่อว่า ส่วนจะมีการตั้งวอร์รูมหรือเตรียมขุนพลไว้สำหรับช่วยรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ส.ส.ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอภิปราย เป็นเรื่องของฝ่ายค้านกับรัฐมนตรีที่จะชี้แจงกัน สำหรับกรณีของนายศักดิ์สยามนั้น ตนก็มั่นใจว่าท่านก็ตอบได้ เพราะการติดโควิด - 19 เป็นเรื่องปกติ และที่บอกว่าท่านติดจากการไปเที่ยวผับนั้น ในส่วนนี้ท่านก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่าติดมาจากคนขับรถ ติดมาจากทีมงาน

เมื่อถามว่าในการอภิปรายครั้งนี้คิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยังลงมติไว้วางใจให้รัฐมนตรีอยู่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ต้องรอฟังเหตุผลว่าจะเป็นอย่างไร มีข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องการทุจริต เรื่องการคอร์รัปชั่นหรือไม่ หรือบริหารผิดพลาดเช่นนี้ก็ต้องรอฟังข้อมูลจากฝ่ายค้านดู 

ถามต่อว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านมั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ในส่วนนี้มองอย่างไร นายภราดร กล่าวว่า ต้องรอฟังข้อมูลว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนแค่ไหน 

โฆษกศบค. เผย 4 วาระสำคัญ ถกในศบค.ใหญ่ ย้ำ ให้รอฟังแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ชี้ ข่าวที่ถูกเสนอก่อนแถลงนั้นเป็นข้อมูลเท็จ

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีวาระการประชุมศบค.ใหญ่ ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ว่า วันนี้จะมีการประชุมผ่านระบบทางไกลวีดีโอคอนเฟอเรนซ์โดยมี ผอ.ศบค. เป็นประธาน โดยมีเรื่องพิจารณาที่สำคัญ4 เรื่อง ได้แก่ แผนการให้บริการวัคซีน โควิด-19 , การรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และการสาธารณสุข จากต่างประเทศเช่นกรณีการแลกวรรคซีนระหว่างรัฐบาล ประเทศภูฏานกับรัฐบาลไทย การรับบริจาคยารักษาโควิด- 19 ชนิดหนึ่ง จากทางกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมันนี , การประเมินผลการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อ โควิด-19 ซึ่งหลายคนกำลังรอฟังว่ามาตรการต่างๆจะมีการปรับอย่างไร , การเปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเชื่อมต่อกับจังหวัดนำร่องอื่นๆ 7+7 เหล่านี้คือประเด็นที่สำคัญ และยังประกอบไปด้วยประเด็นย่อยๆ อื่นๆด้วย ซึ่งผลการประชุมเป็นอย่างไรจะได้มาแถลงข่าวให้ทราบภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขอฝากสื่อมวลชนและประชาชนว่า ขอให้รับฟังอย่างเป็นทางการในการแถลงข่าวจากศบค. ข้อมูลที่ออกไปก่อนการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นข้อสรุปที่ชัดเจนอย่างแท้จริง ขออนุญาตด้วยความเคารพ เพราะเราต้องการให้มีชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และเป็นจริงจึงขอให้รับฟังจากการแถลงข่าว จากศูนย์แถลงข่าวศบค. แห่งนี้ที่เดียว เพื่อความเป็นเอกภาพของข้อมูลที่จะสื่อสารออกไป

‘เพื่อไทย’ จัดหนัก ‘ประยุทธ์’ ซักฟอกด้านเศรษฐกิจ ชี้ภาพจำ 6 ปัญหาที่กระทบประชาชน ภาวะกบต้ม บริหารด้วยการโดนด่า บริหารแบบรอวันเจ๊ง จัดลำดับความสำคัญไม่ได้ ปิดปากคนเห็นต่าง และ #ผนงรจตกม แนะ ทำตรงข้ามกับที่ทำอยู่

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอีก 5 รัฐมนตรีที่บริหารงานผิดพลาดสร้างปัญหาทำให้คนเจ็บคนตายเป็นจำนวนมาก และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทางด้านเศรษฐกิจอย่างหนักต่อประธานสภาฯ ในวันนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตรียม ส.ส. ที่มีความรู้ความชำนาญด้านเศรษฐกิจ พร้อมอภิปรายจัดหนักพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าในปัจจุบันประชาชนทุกคนเห็นได้ชัดเจนถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ โดยจะมีภาพจำใน 6 ปัญหา ดังนี้

1.) ภาวะกบต้ม ตามทฤษฎีกบต้มที่เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่จริงที่มีมากว่า 100 ปีแล้ว แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่มีความรู้เลยส่งคนมาฟ้องผม แต่ผมโชคดีมีนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย คุณนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ มาช่วยเหลือในคดี ทำให้สำนักอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะเป็นหลักคิดทางเศรษฐกิจสากล โดยกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจที่จะค่อย ๆ ทรุดลงเรื่อย ๆ เหมือนค่อย ๆ เร่งไฟหม้อต้มกบ กบจะค่อย ๆ ปรับตัวจนถูกต้มเดือดตาย ซึ่งภาวะกบต้มของไทยนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกวัน ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเตี้ยมาตลอด พอมาเจอวิกฤตโควิดจึงเหมือนเป็นการเร่งไฟหม้อกบต้ม คนเจ็บคนตายเป็นจำนวนมาก ธุรกิจเจ๊งกันมาก แถมยังไม่มีทิศทางจะฟื้นเศรษฐกิจได้เลย ไทยอยู่อันดับบ๊วยในการจัดอันดับประเทศที่จะฟื้นตัวช้าที่สุดในสื่อหลักญี่ปุ่น และบทความในสื่อนี้ ยังระบุชัดเจนว่าการที่ไทยไม่ฟื้นหรือฟื้นช้าหมายถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงภาวะกบต้มอย่างชัดเจน

2.) บริหารโดยการโดนด่า เรื่องนี้หากจำกันได้ผมเป็นคนแรกในการชี้ประเด็นนี้ โดยพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยคิดหรือวางแผนล่วงหน้า ถูกด่าถึงจะคิดแก้ไข ตั้งแต่การล็อกดาวน์ในครั้งแรกและไม่คิดจะเยียวยาจนต้องโดนด่าถึงคิดเยียวยา พอเยียวยาก็เยียวยาไม่ทั่วถึง จนต้องโดนด่าถึงจะทำ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันที่การบริหารจัดการวัคซีนยังมั่วมาก ยังต้องด่าถึงจะแก้ไข แต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่เลย นอกจากนี้ประชาชนยังเชื่อว่าการบริหารจัดการวัคซีนที่มั่วมากและผิดพลาดขนาดนี้น่ามาจากเพราะมีผลประโยชน์และมีการทุจริตคอร์รัปชันเกี่ยวข้องด้วย

3.) บริหารแบบรอวันเจ๊ง การที่พลเอกประยุทธ์ ขาดความรู้ความสามารถ ปล่อยประเทศและประชาชนตามยถากรรม ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องล็อกดาวน์นานเท่าไหร่ถึงจะปลดล็อกดาวน์ได้ ประกาศจะเปิดประเทศใน 120 วัน โดยจะครบวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้แน่ แค่จะปลดล็อกดาวน์ในวันที่ 14 ตุลาคมก็ยังทำไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าวัคซีนที่มีคุณภาพจะมาเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีวัคซีนจะปลดล็อกได้อย่างไร คนติดไวรัสและคนตายจะลดลงไหม เศรษฐกิจจะพินาศขนาดไหน

โดยคาดกันว่าการล็อกดาวน์จะทำความเสียหายถึงเดือนละ 3-4 แสนล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เศรษฐกิจไทยน่าจะติดลบอีกในปีนี้หลังจากปีที่แล้วติดลบหนักแล้วถึง -6.1 % แล้วพลเอกประยุทธ์ จะฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างไร ที่ผ่านมายังไม่เคยพิสูจน์เลยว่าทำได้ เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจกี่ครั้งก็ยังล้มเหลว พลเอกประยุทธ์ เป็นหัวหน้าทีมเองยิ่งล้มเหลวหนักมากขึ้น ทุกวันนี้บริหารเหมือนรอวันเจ๊ง คิดได้แค่กู้เงินมาแจกไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาบุญเอาคุณกับประชาชน โดยประเทศไม่ได้พัฒนา หนี้สาธารณะพุ่งกระฉูด เป็นการยืมเงินของลูกหลานในอนาคตมาแจก อีกหน่อยลูกหลานก็ต้องตามใช้หนี้กันอาน

4.) ไม่สามารถลำดับความสำคัญได้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำพิการทางความคิด เรื่องที่สำคัญควรเร่งทำก่อน กลับไม่ยอมทำ เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนน่าจะเห็นชัดสุด กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท แต่กลับไม่ยอมนำเงินไปซื้อวัคซีนที่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่คนเจ็บคนตายพุ่งขึ้นจำนวนมาก กู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท ก็ยังไม่เห็นวัคซีนที่มีคุณภาพเข้ามาเลย วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐอเมริกามา บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ากลับไม่ได้รับการฉีดให้ครบ ทหารกลับได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อน ขนาด รมว. สาธารณสุขยังงงและยอมรับเอง และในขณะที่คนเจ็บคนตายจำนวนมาก เศรษฐกิจเจ๊งหนัก พลเอกประยุทธ์ ในฐานะ รมว. กลาโหม กลับปล่อยให้กองทัพเรือเสนอเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำเข้ามาขออนุมัติ แม้สุดท้ายจะถอนออกไปแต่ความจริงคือแค่คิดเสนอเข้ามาแต่แรกก็ผิดแล้ว แสดงถึงการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้เลย ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องที่พูดได้อีกมาก

5.) ปิดปากคนเห็นต่าง เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาอย่างมากตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หากจำกันได้สมัยที่เป็นเผด็จการได้เรียกผู้เห็นต่างจำนวนมากไปปรับทัศนคติ ซึ่งรวมถึงผมด้วยที่โดนเรียกไปถึง 12 ครั้ง จากการเตือนเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งต่อมาเศรษฐกิจก็ทรุดหนักและแย่จริง และหลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว ก็ยังคงปิดปากผู้เห็นต่างตลอด มีการฟ้องดำเนินคดี เพื่อปิดปาก ดารา นักร้อง นักแสดง ที่ทนการบริหารที่ล้มเหลวไม่ได้ ต้องออกมา call out แม้กระทั่งพยายามจะปิดปากสื่อมวลชน แต่โชคดีที่ศาลตัดสินว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย แม้กระทั่งการชุมนุมเพื่อประท้วงความล้มเหลวที่พลเอกประยุทธ์ ล้มเหลวจริงยังถูกเจ้าหน้าที่ยิงด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ถึงขนาดมีการลอบยิงจากที่สูง ซึ่งไม่ใช่ตามหลักการสากลตามที่อ้างไว้แน่นอน และล่าสุดผู้ประท้วงที่ยอมรับว่ากลับใจจากการเป็นสลิ่ม นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวน หรือ ไฮโซลูกนัท ยังถูกยิงถึงกับทำให้ตาบอดเลย ซึ่งไม่มีใครสมควรจะโดนการกระทำอย่างรุนแรงเช่นนี้

6.) #ผนงรจตกม หรือ ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด ซึ่งต้องขอชื่นชมนักศึกษาที่ขึ้นป้ายนี้ในฟุตบอลประเพณีต้นปี 2563 เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของเด็กรุ่นใหม่ได้อย่างแม่นยำที่สุด ปัจจุบันความไม่ฉลาดของผู้นำทำให้คนเจ็บและคนตายเป็นจำนวนมาก ไม่ตายด้วยไวรัสโควิดก็ตายด้วยพิษเศรษฐกิจ #ผนงรจตกม จึงเป็นความจริงขึ้นทุกวัน และเป็นจริงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่การเจ็บการตายจะลดลงหรือหยุดได้เลย ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์

ทั้ง 6 ข้อนี้เป็นภาพจำปัญหาของผู้นำที่ประชาชนจำได้แม่น และยังคงเป็นอยู่ โดยที่พลเอกประยุทธ์ ยังไม่แก้ไขหรือแก้ไขไม่ได้ เพราะเป็นข้อจำกัดทางความรู้ความสามารถและปัญหาทางความคิดไปแล้ว ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คาดหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารใหม่จะต้องทำตรงข้ามกับทั้ง 6 ข้อนี้ทั้งหมดคือ ต้องแก้ไขภาวะกบต้มนี้ให้ได้ เพื่อให้ประชาชนรอดพ้นจากวิกฤตไวรัสโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องคิดล่วงหน้าไม่ต้องให้โดนด่าก่อนถึงค่อยคิดทำ ต้องไม่บริหารแบบรอวันเจ๊ง เร่งแก้ไขไม่ปล่อยประเทศและประชาชนตามยถากรรมโดยต้องมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ต้องจัดลำดับความสำคัญของเรื่องจำเป็นว่าจะต้องทำก่อนหลังได้ เพื่อจะแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ และ สุดท้ายต้องมีผู้นำที่ฉลาดมานำประเทศ เพราะจะสอนคนที่ไม่ฉลาดให้ฉลาดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเลือกเอาคนฉลาดมาบริหารประเทศ ประเทศไทยถึงจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“รองโฆษกรัฐบาล” เผย พณ.เอาผิดผู้ประกอบการ โก่งราคาขายฟ้าทะลายโจร ทาง “ลาซาด้า-ช็อปปี้” ชี้ แพงแตะ 400เท่า  โทษถึงจำคุก 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล”กล่าวถึงการเอาผิดผู้โก่งราคาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าไปดำเนินการเอาผิดตามพ.ร.บ.สินค้าและบริการ กับผู้จำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ 2แพลตฟอร์ม คือลาซาด้าและช็อปปี้ จำนวน10 ราย 3ยี่ห้อ ที่ปล่อยให้มีการขายเกินราคาในราคาสูงมาก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทางกรมการค้าภายใน ได้ให้ผู้ประกอบการมาแจ้งราคาจำหน่าย แต่พอขายจริงกลับมีราคาสูง ยกตัวอย่าง ยี่ห้อแรกแจ้งขายในราคา 80 บาท แต่ไปขายออนไลน์ขาย 249- 345 บาท สูงเกือบ400เปอร์เซ็นต์ ยี่ห้อแจ้งขาย 25 บาท แต่ขายในออนไลน์ 120 บาท สูงกว่า376 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องเข้าไปดำเนินการ โดยมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน7ปีปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทีมโฆษก ย้ำ ศบค.ไฟเขียว ททท. ใช้สูตร ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 7+7

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีขยายพื้นที่ภูเก็ตแซด์บ็อกซ์ไป จังหวัดอื่นๆ ที่ตอนนี้เรียกว่า7+7 ว่า ศบค.เห็นชอบตามที่ททท.เสนอแล้ว นั่นหมายความว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต ต้องฉีดวัคซีนมาแล้ว2เข็ม อยู่ในจังหวัดภูเก็ต7วัน และเมื่อตรวจร่างกายแล้วปลอดโควิด-19 ช่วงเวลาวันที่8-14ของการพำนัก สามารถไปพื้นที่อื่นที่กำหนดได้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี(เกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพะงัน) กระบี่(เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล)พังงา (เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ เขาหลัก) โดยสามารถดำเนินการได้ทันทีและเป็นการ ดำเนินโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนไทยทุกคนจะได้ช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างในอดีต ในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการไปในหลายส่วนให้ดูแลเป็นอย่างดีโดยให้เพิ่มประสิทธิภาพต่างๆเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่อเนื่องเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเพิ่มเติม

โฆษกรัฐบาล แจง ปม ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี เป็นไปตามพรบ. คุ้มครองเงินฝาก  วอน ประชาชน อย่าตื่นตระหนก

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่เหลือ 1 ล้านบาทต่อราย สถาบันการเงิน ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก ที่มีการปรับลดมาเป็นระยะ ตั้งแต่พ.ศ. 2551 เต็มจำนวน กระทั่งพ.ศ. 2562 ลดลงเหลือ 5 ล้านบาท และ 2564 ลดลงเหลือ 1 ล้านบาท

จากทั้งระบบที่มีผู้ฝากเงิน 83,950,000 ราย ซึ่งเป็นบัญชีที่เป็นเกินหนึ่งล้านบาทเพียง 1,600,000 รายเท่านั้น ปรากฏว่ามีผู้ฝากเงินไม่เกินหนึ่งล้านบาท มี 81.3 ล้านราย คิดเป็น 98% ของผู้ฝากเงินทั้งหมดของระบบสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงเป็นการลดภาระในเรื่องของงบประมาณของรัฐ ที่จะต้องไปดูแลสถาบันการเงินต่างๆ และตอนนี้สถาบันการเงินก็สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยความเข้มแข็ง ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมายืนยันแล้วว่ามีกฎระเบียบมาตั้งแต่ปี40 มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดกฏเกณฑ์นั้น

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปดูแลเงินฝากในเรื่องของการคุ้มครองเต็มจำนวนทั้งหมด ดังนั้นตอนนี้ 1 ล้านบาท ก็ให้ความสบายใจได้ว่าสามารถที่จะดูแลต่อหนึ่งสถาบันการเงินที่ฝากได้ เช่น หากใครมีบัญชีอยู่ 4 ธนาคาร ก็ดูแลในบัญชีแต่ละสถาบันการเงินสถาบันละ 1 ล้านอยู่แล้ว ดังนั้นจึงขอชี้แจงว่าประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก กับประเด็นที่ออกมาเป็นข่าวในช่วง1-2 วันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากชาร์ท ที่นำเสนอระบุว่า การปรับลดวงเงินดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 64 โดยปัจจุบันสถาบันการเงินมีฐานะเข้มแข็ง ภายใต้การกำกับดูแลของแบงค์ชาติ จากเงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และยังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค สถาบันการเงินยังมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการ ทางการเงินและรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19

“บิ๊กตู่”ถก ครม.จากทำเนียบฯ การรักษาความปลอดภัยปกติ จนท.ถอนกำลังออกจากทำเนียบแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ผ่านระบบ Video Conference  โดยวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางเข้าปฎิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 08.00 น.หลังจากที่วานนี้กลุ่มมวลชนทะลุฟ้า เดินสายมาขับไล่ในช่วงเย็น โดยมาตรการการรักษาความปลอดภัยทั้งในส่วนของนายกรัฐมนตรีและและทำเนียบรัฐบาลเช้าวันเดียวกันนี้ยังคงเป็นปกติ ในส่วนกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน และ ตชด.ที่เข้ามาดูแลภายในทำเนียบรัฐบาลวานนี้ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ได้มีการแจ้งยกเลิกการนัดหมายหารือกลุ่มเล็กในเรื่องของวัคซีน หลังการประชุม ครม.ระหว่าง นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายปกรณ์ นิลประพันธ์เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่นัดหมายล่วงหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ

"แรมโบ้" ซัด "ฝ่ายค้าน" ประเทศเกิดวิกฤต  อยู่ระหว่างการแก้ปัญหา แต่ยังยื่นสภาฯขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ควรมีสมองคิดให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คิดแต่จะหาประโยชน์ทางการเมืองให้ตัวเอง หวังล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจรัฐ จนไม่สนใจความเดือดร้อนของประขาชน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี 5 คน โดยระบุว่าฝ่ายค้านน่าจะเข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิดในประเทศเป็นอย่างดี และการแก้ไขปัญหาของนายกฯและรัฐบาลว่ามีความยากลำบากมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งในขณะที่นายกฯและรัฐมนตรี  หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังให้ความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน ฝ่ายค้านก็ไม่ควรที่จะนึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองจนคิดไม่ได้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ 

นายเสกสกลระบุว่าแม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะสามารถทำได้ แต่ตนเองมองว่าไม่ควรที่จะมาอภิปรายในช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤต ซึ่งหากอยากอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านก็ควรที่จะรอเวลาที่เหมาะสมก่อน อีกทั้งส่วนตัวมองว่าหากจะต้องมีการประชุมสภาฯ ก็ขอให้เป็นเรื่องที่สำคัญก่อน เพราะการประชุมสภาฯถือเป็นการรวมคนหมู่มาก  อาจจะมีการแพร่เชื้อโควิดระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มในสภาได้

แต่เมื่อฝ่ายค้านได้ยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว นายกฯ หรือรัฐมนตรีที่มีชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้กลัวการอภิปรายในครั้งนี้ เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร และนายกฯจะถือโอกาสใช้เวทีสภานี้ชี้แจงทำความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ โควิด-19 ทุกประเด็น ของรัฐบาลให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง 

และการอภิปรายฯครั้งนี้ฝ่ายค้านคงจะนำแต่ประเด็นเก่าๆ เอามาโจมตีนายกฯ และรัฐบาล ไม่มีเรื่องใหม่ ประชาชนได้ฟังคงเบื่อหน่ายฝ่ายค้าน เหมือนการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมา 
พ่นน้ำลายจนท่วมสภาหาสาระอะไรไม่ได้เลย 

การอภิปรายฯไม่ไว้วางใจแต่ละครั้งก็ไม่ได้มีการเตรียมข้อมูลมาอภิปราย หรือการกล่าว หานายกฯและรัฐมนตรี ไม่มีน้ำหนักที่น่าเชื่อถืออะไรได้เลย ที่จะเป็นข้อมูลที่ได้ประโยชน์ต่อประชาชน เป็นการอภิปรายเพื่อหวังโจมตีทำลายความชอบธรรมของนายกฯและรัฐบาลหวังจะให้คะแนนนิยมในสายตาประชาชนตกต่ำลงมากกว่า  แต่ผลงานของรัฐบาลประชาชนรู้ดีว่า ในยามวิกฤตเช่นนี้ นายกฯและรัฐบาลได้ทุ่มเทตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุดแล้ว จะมีผิดบ้างถูกบ้างไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขไม่ได้ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่คอยจ้องแต่จะล้มรัฐบาลหวังกลับมามีอำนาจเอง แสวงหากิเลสความใคร่อยากมีอำนาจบนความเดือดของพี่น้องประชาชน พรรคร่วมฝ่ายค้านเอาสมองส่วนไหนมาคิด 

“ก็คงจะมีแต่ฝ่ายค้านการเมืองไทยนี่แหละ ที่จ้องแต่จะตีกินทางการเมืองได้ทุกสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ของประชาชนและปัญหาวิกฤตของประเทศที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่นายกฯหรือใครในรัฐบาลอยากให้เกิดเชื้อโควิดขึ้นมาจนทำให้เกิดการสูญเสีย ต่อให้มีผู้นำฝ่ายค้านนับร้อยคนมาแก้ปัญหาก็อาจจะยิ่งแย่กว่านี้ก็เป็นได้ เพราะเก่งแต่เล่นใช้วาทะตีกิน  แต่ไม่เก่งในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติประชาชนเลย"

"กมธ.ตำรวจฯ" กำชับ จนท. คุมม็อบปฏิบัติการตามหลักสากล เผย ตำรวจยันไม่ใช้กระสุนจริง วอนฟังข้อมูลทุกด้าน ระบุ ใครมีข้อมูลหลักฐานขอให้แจ้งเข้ามา จ่อ เชิญผบช.น.เข้าชี้แจง 19 ส.ค.นี้ 

ที่รัฐสภา นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมการชุมนุมที่ผ่านมา ว่า กมธ.ตำรวจได้ติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งที่ผ่านมา กมธ.ตำรวจได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง ไม่ว่าจะที่แยกราชประสงค์หรือหลายๆ ที่ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการปะทะและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน โดยเราได้มีการขอข้อมูลไปเบื้องต้น รวมถึงภาพจากสื่อมวลชน

นายสัญญา กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการยืนยันว่าเป็นการใช้หลักสากลควบคุมมวลชน ไม่ว่าจะเรื่องขั้นตอน แนวทางการใช้เครื่องมือเข้าควบคุม เช่น การใช้กระบอง การยิงกระสุนยาง การใช้น้ำฉีด การใช้แก๊สน้ำตา ซึ่ง กมธ.ตำรวจฯ ได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลาว่าขอให้ใช้หลักสากลอย่างเคร่งครัด และได้รับคำยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่มีการใช้กระสุนจริงควบคุมสถานการณ์ และจากที่ได้เห็นภาพหลักฐานก็ยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธจริง ดังนั้นอย่าเพิ่งไปปรักปรำหรือโจมตีซะทีเดียว ขอให้ได้ฟังข้อมูลทุกด้าน อย่างไรก็ตามหากท่านใดมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่เกินกว่าที่ระเบียบกำหนด หรือใช้อาวุธจริงเข้าปราบปราม ทางกมธ.ตำรวจฯ ยินดีที่จะเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมฝูงชน  โดยในวันที่ 19 ส.ค. นี้ กมธ.ตำรวจฯ จะเชิญผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าควบคุมมวลชนเข้ามาชี้แจงที่รัฐสภา

เมื่อถามว่าจะมีการสอบถามผู้ชุมนุมอย่างไรบ้าง นายสัญญา กล่าวว่า ความจริงแล้วเรามีช่องทางให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งข้อมูลมาได้ นอกจากเราจะไปเห็นและรู้ว่าเป็นใครก็อาจจะเชิญเขามาได้ วันนี้หลายกรณีทางกมธ.ตำรวจฯ ก็มีความสนใจ แต่คนที่ได้รับผลกระทบที่มีข้อมูลตนขอเชิญให้ส่งข้อมูลมาที่กมธ.ตำรวจ เราจะได้นำมาพิจารณา และเชิญมาให้ข้อมูล 

เมื่อถามว่าจะมีการประสานไปยังแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ นายสัญญา กล่าวว่า  ไม่ได้ประสาน เพราะเราต้องเน้นไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนว่าปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบหรือไม่  เมื่อถามอีกว่าแบบนั้นข้อมูลจะไม่ออกมาด้านเดียวใช่หรือไม่ นายสัญญา กล่าวว่า ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ด้านเดียว เพราะเราแสวงหาข้อเท็จจริง หากเราพบว่าบุคคลใดได้รับผลกระทบเราก็อาจจะเชิญมา หากเราพบเห็นหลักฐาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top