Sunday, 29 June 2025
Politics

“ธีรัจชัย” สงสัย กต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปมประสานข้อมูล “ธรรมนัส” 

ที่รัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมคณะกมธ.ฯ กรณีการตรวจสอบร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่าผิดจริยธรรมหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กมธ.เคยพิจารณาต่อเนื่องมา โดยเชิญอดีตปลัดกรวงการต่างประเทศ ช่วงปี 59 – 63 และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คนปัจจุบันมาสอบถามเกี่ยวกับการประสานข้อมูลไปยังออสเตรเลีย ในการขอคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยได้รับการชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศเคยสอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงแคนเบอร์รา และสามารถขอสำเนาคำพิพากษาศาลแขวงด้วยการทำหนังสือไปขอได้เลย ส่วนศาลอุทธรณ์จะต้องมีการกรอกตามแบบฟอร์มคำขอ พร้อมกับชี้แจงว่าเคยสอบถามข้อมูลไปยังร.อ.ธรรมนัส แต่ไม่ได้รับคำตอบจึงไม่สามารถดำเนินการได้  

นายธีรัจชัย กล่าวว่า กมธ.ป.ป.ช. เคยขอข้อมูลไปยังศาลแขวงและศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ส่งมาให้ กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถติดตามข้อมูลได้จากกมธ.แต่กลับไม่ถาม แต่ไปถาม ร.อ.ธรรมนัส จึงเกิดคำถามว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่หรือไม่ นอกจากนี้ กมธ.ป.ป.ช.ยังเคยได้รับหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศ ในปี 40 ที่ส่งคดีร.อ.ธรรมนัส มายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศ มีข้อมูลร.อ.ธรรมนัสอยู่แล้ว โดยป.ป.ส.ได้มาชี้แจง และแนบเอกสารดังกล่าวให้กมธ.ป.ป.ช. ซึ่งมีเอกสาร 2 ฉบับ แต่กระทรวงการต่างประเทศกลับบอกว่าไม่มีข้อมูล จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการปฏิบัติหน้าที่กรณีของร.อ.ธรรมนัส กระทรวงการต่างประเทศได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนหรือไม่ ทางคณะกมธ.ป.ป.ช. จึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานไปยังศาลอีกครั้ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าสามารถทำได้ แต่ไม่ได้มีการรับปากว่าจะดำเนินการให้

นายธีรัจชัย กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6/2564 เรื่องคุณสมบัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี ของร.อ.ธรรมนัส ปรากฎว่าในหน้าที่ 5 มีคำวินิจฉัยในวรรคแรกบอกว่าเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาอาศัยตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 มาตรา 27 วรรค 3 ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือเรียกสำเนาคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 13 มีนาคม 2537 และสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ รัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และปลัดกระทรวงต่างประเทศ เพื่อดำเนินการช่องทางการทูต โดยมีทางราชการรับรองสำเนาถูกต้อง คำว่าเพื่อดำเนินการช่องทางการทูต กมธ.ได้ติดใจมาโดยตลอดว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 27 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไต่สวน สามารถสั่งการให้หน่วยงานราชการดำเนินการใดๆได้ และเมื่อสั่งแล้วเหตุใดกระทรวงต่างประเทศถึงไม่ทำตามช่องทางการทูต 

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า ปลัดกระทรวงต่างประเทศชี้แจงว่า สำเนาของคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 13 มีนาคม 2537 และสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ รัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 เป็นข้อมูลทางการออสเตรเลียและไม่อยู่ในความครอบครองของกระทรวงต่างประเทศ จึงไม่สามารถที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ ตนจึงได้ถามต่อว่าทำไมจึงปฏิเสธเช่นนี้ เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เป็นการดำเนินการทางช่องทางการทูต ไม่ทำก็ถือว่าเป็นการขัดคำสั่ง ซึ่งได้รับคำตอบว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้ดำเนินการทางการทูต ในส่วนนี้ตนตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดศาลรัฐธรรมนูญเขียนว่าเพื่อดำเนินทางการทูตด้วยหากไม่ได้สั่ง ตนจึงขอเอกสารที่ศาลรัฐธรรมนูญส่งให้ ทางปลัดกระทรวงต่างประเทศได้ส่งให้ดู และตนได้ตรวจสอบพร้อมให้ถ่ายไว้ ปรากฏว่าไม่มีในหมายเรียกของศาลรัฐธรรมนูญที่ 49/2563 ลงวันที่ 29 กันยายน 2563 หากเป็นเช่นนี้จริงกระทรวงต่างประเทศก็ไม่ผิด แต่ทำไมศาลรัฐธรรมนูญถึงเขียนไว้ในคำพิพากษา ตนคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องชี้แจงในเรื่องนี้ให้ประชาชนได้ทราบ ซึ่งจะมีการสอบถามไปยังสำนักเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญว่าตามหนังสือเรียกนี้จริงหรือไม่

คำตอบจากคนในของกรมหม่อนไหม หลัง 'ธนาธร' ตั้งคำถาม ทำไมต้องมีงบฯ ให้กรมหม่อนไหมมากขนาดนี้?

กลายเป็นอีกประเด็นที่มีการพูดถึงไม่น้อยจากกรณีที่เว็บ The Momentum ได้มีการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของ 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ที่เล่าถึงความ ‘สิ้นหวัง’ แบบขีดสุดจากสถานการณ์โรคระบาดที่รุมเร้า และมองไม่เห็นอนาคต พร้อมเผยถ้าหาก 2 ปีที่แล้ว เขาได้รับเลือกเป็น 'นายกรัฐมนตรี' แทนนายกฯ คนปัจจุบัน อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่จะทำอะไรในเวลานี้ในฐานะ ‘ผู้นำ’

ทั้งนี้ในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เองได้มุ่งวิจารณ์ถึงการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน โดยข้อความส่วนหนึ่งได้มีการพาดพิงไปยัง ‘กรมหม่อนไหม’ ซึ่งข้อความส่วนนี้เจ้าตัวระบุว่า...

"หากจะแก้ปัญหาเรื่องการจัดสรรงบประมาณ ผมมองเป็นเรื่องยาก เพราะหลายปัญหา มันคงอยู่ด้วยอำนาจที่ค้ำยันมาอย่างแข็งแรงมาก ผมยกตัวอย่างสนุก ๆ คุณรู้ไหมประเทศไทยมีส่วนราชการที่ชื่อว่า ‘กรมหม่อนไหม’ กรมนี้มีงบประมาณ 560 ล้าน คุณลองคิดแล้วหาคำตอบให้ผมทีว่าทำไมประเทศไทยต้องมีงบฯ ให้กรมหม่อนไหมมากขนาดนี้"

"ถ้าเทียบกับกรมปศุสัตว์ที่ดูแลทั้งหมู ม้า แกะ แพะ วัว นมวัว เนื้อวัว ไก่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน แต่มีงบประมาณเพียง 5,840 ล้าน แต่กรมหม่อนไหม ได้รับงบประมาณมากกว่า 560 ล้านบาท แล้วหากคุณลองไปดูต่อก็จะพบว่ากรมหม่อนไหมนั้นไปส่งเสริมเชิงวัฒนธรรมให้กับคนบางกลุ่มได้ผลประโยชน์ อาจจะไม่ใช่เชิงเศรษฐกิจ แต่ในเชิงของการสร้างอำนาจ กรมนี้จึงคงอยู่และได้งบประมาณสูงขนาดนี้"

แน่นอนว่าเรื่องนี้ ก็ทำให้หลายคนมองว่าอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่นั้นแสดงความเห็นเพื่อต้องการที่จะตีวัวกระทบคราดไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากกรมหม่อนไหมนั้นตั้งขึ้นโดยพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงนั่นเอง

ขณะที่ในเวลาต่อมาที่แฟนเพจ 'ผึ้ง ณ. ขวัญข้าว' ซึ่งระบุว่าตนเองทำงานอยู่ในสังกัด ‘กรมหม่อนไหม' ก็ได้มีการโพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้และได้รับการส่งต่อไปในวงกว้าง โดยระบุว่า...

"เมื่อวานได้ข่าวสะเทือนใจคนทำงาน ตอนแรกก็แชร์เพราะรู้สึกอยากระบายอยากให้เข้าใจ แต่พอมาคิดสักพักสิ่งที่เราทำมันเป็นการเพิ่มยอดแชร์ให้คน ๆ นั้น ตัดสินใจลบ... อย่าให้ค่าและราคาเขาอีกเลย (ขีดเส้นใต้ว่าตลอดกาล)

"หน่วยงานเล็ก ๆ ที่มีหน้าที่ดูแลกลุ่มคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจโดยเฉพาะจากนักการเมือง ถูกหยิบออกมาสร้างวาทะกรรม เสียดสีหวังให้สะเทือนถึงดวงดาว จนลืมไปว่า...สิ่งที่พูดนั้นมันทำให้เห็นถึงจิตใจที่แท้จริงของผู้พูด”

"หน่วยงานเล็ก ๆ ที่งบประมาณถูกตัดลงทุกปี ๆ มีคำอธิบายว่าต้องการให้เป็นหน่วยงานตัวอย่างที่ใช้งบน้อยแต่สามารถทำงานได้ คนทำงานกัดฟันตั้งใจทำงาน ใช้สรรพกำลังกาย ใจ สมอง ทำงานให้เต็มความสามารถ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเกษตรกรแม้แต่คนเดียวให้อยู่เพียงลำพัง”

"ไม่ใช่แต่การอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็นการรักษาสมบัติภูมิปัญญาของชาติ ที่เกี่ยวพันไปถึงหลากหลายมิติ ให้มีอยู่มีกินมีรายได้ แม่ ๆ ป้า ๆ บอกเราเสมอว่า ที่มีอยู่มีกินมีเงินส่งลูกเรียนสูง ๆ ล้วนมาจากผ้าไหมผืนงามที่ทอขึ้นมา"

"อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไม่ใช่ได้แค่ผ้าไหม แต่ยังมีทั้งอาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอางประทินผิว และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่นำมาซึ่งรายได้ของคนที่เป็นเกษตรกร ไปจนถึงการสร้างรายได้และสร้างอาชีพให้กับคนในเรือนจำ"

"และเส้นไหมเล็ก ๆ นี่แหล่ะที่ช่วยชีวิตคนในห้องผ่าตัดยื้อชีวิตจากความตาย!"

"หน่วยงานนี้มีมาตั้ง 100 ปี ถูกยุบบ้างพองบ้างตามการเมือง แต่งานก็ยังคงทำอยู่ไม่เคยเกี่ยงงอนใดใด"

"การทำงานท่ามกลางความขาดแคลน ต้องใช้หัวใจและกำลังใจในการทำ หลายครั้งควักไส้ควักพุงควักหัวใจตัวเองด้วยความเต็มใจ ออกไปทำงานออกไปสอนชาวบ้าน แค่อยากให้เขามีความรู้มีชีวิตที่เป็นอยู่ดีขึ้น"

"นักการเมืองนักธุรกิจ คงไม่เคยรู้...เบื้องหลังผ้าไหมผืนงามที่สวมใส่ประดับบารมี มีความหวังมีความตั้งใจของหลาย ๆ ชีวิตอยู่ในนั้น ชีวิตเล็ก ๆ ที่มักจะถูกหยิบยกมาสร้างวาทกรรมต่าง ๆ นานา และสัญญาว่าจะทำให้คนรากหญ้ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"

"เราเชื่อว่าเขามีความเก่งมีความสามารถ ถ้าเขาเอามาช่วยพัฒนาให้มันดีขึ้นมันต้องดีอย่างมากมายมหาศาล ดีกว่าการพูดเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์บนความแตกแยก"

"แม้ว่าในใจมีคำพูดเป็นล้าน ๆ คำ แต่ก็ช่างแมร่งมันเถอะ ทำงานของตัวเองไปให้ดีที่สุด และเราเชื่อว่าพี่น้องในกรมของเราก็คิดแบบเดียวกัน"

"กรมที่ฉันอยู่ชื่อ 'กรมหม่อนไหม' เป็นหน่วยงานที่แทบจะไม่มีการเปิดสอนวิชาใดใดที่เกี่ยวข้อง ทุกคนต้องมาเรียนรู้ด้วยตัวเอง วิจัยและพัฒนาให้มันดีขึ้น นักวิชาการเกษตรที่ต้องปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปรับปรุงพันธุ์ สาวไหม ย้อมสี ทอผ้าและแปรรูปเป็น! ทั้ง ๆ ที่จบเกษตรแต่ต้องมีความรู้ทั้งทางสิ่งทอ อาหาร วิศวกรรม อุตสาหกรรม ไปจนถึงการแพทย์!"

"ผ้าไหมผืนหนึ่งหาใช่แค่ถักทอเส้นใย หากแต่ถักทอชีวิตและความเป็นอยู่ของคนที่เป็นประชาชนเข้าไปด้วย"

สำหรับกรมหม่อนไหมนั้น เดิมเรียกว่า 'กรมช่างไหม' ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2446 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในอดีตให้ความสำคัญเรื่องไหมเป็นอย่างมาก แต่ในระยะต่อมาได้มีการยุบกรมดังกล่าวเข้ารวมเป็นกอง ในสังกัดกรมกสิกรรม

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ จึงได้มีการยกฐานะสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ ในขณะนั้นสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดตั้งเป็น 'กรมหม่อนไหม' ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของหม่อนไหมและเส้นใยต่าง ๆ

ทั้งนี้ กรมหม่อนไหม แบ่งการบริหารออกเป็นหน่วยงานในส่วนกลาง 4 สำนัก 2 กลุ่ม หน่วยงานที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคประกอบด้วย สำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ 5 สำนัก และศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ 21 ศูนย์ ทั่วประเทศ


ที่มา: https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000068902

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10159558402209166&id=522434165

https://themomentum.co/closeup-thanathorn-juangroongruangkit/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เลขาฯสมช.” ระบุ รอ14 วัน ประเมินสถานการณ์ หลังคุมเข้ม 10 จว. ยัน โครงการ “สมุย พลัส” ตรวจยิบกว่าภูเก็ต แซนด์ บ็อกซ์ ปัดตอบกระแส ไทยบริจาค 1 แสนดอลลาร์ ให้องค์การอนามัยโลก

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ (ศปก.ศบค.)กล่าวถึงการประชุมศบค.ในวันที่16 ก.ค.ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมวกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค.เป็นประธาน จะหารือถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดหรือไม่ หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงอย่างต่อเนื่องว่า ในที่ประชุมยังไม่มีการทบทวนมาตรการที่ประกาศยกระดับควบคุมเข้มในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จ.ได้แก่ กทม. และปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้  โดยการทบทวนหรือไม่จะต้องประเมินสถานการณ์ภาพรวมหลังออกประกาศข้อกำหนดไปแล้ว 14 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 25 ก.ค.นี้ก่อน 

เมื่อถามถึงข้อกังวลจากหลายฝ่ายต่อการเปิดโครงการสมุยพลัส จะต้องเพิ่มมาตรการที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่ เพราะอาจจะยิ่งเป็นการนำเข้าเชื้อจากต่างประเทศ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า มาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาจะมีความเข้มข้นมากกว่ามาตรการโครงการภูเก็ต แซนด์
บ็อกซ์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่ไทย บริจาคเพิ่มเติม 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯให้องค์การอนามัยโลก เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศและโครงการโคแวกซ์ เพื่อต่อสู้โควิด -19 เป็นสัญญาณว่าไทยจะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวด้วยหรือไหม่  พล.อ.ณัฐพล ปฎิเสธตอบคำถาม โดยระบุให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด

“โฆษกศบศ.” แจง “บิ๊กตู่” สั่งเร่งช่วยลูกหนี้ 10 จังหวัดล็อกดาวน์ เผยคลังถกแบงค์ชาติเตรียมพักชำระหนี้ 2 เดือน ช่วยผู้ประกอบการ-แรงงาน ที่ปิดกิจการจากมาตรการของรัฐ ส่วนลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการแต่ได้รับผลกระทบ เตรียมพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการในที่ประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (13 ก.ค. 64) ให้รีบหารือกันโดยเร่งด่วน เพื่อหามาตรการผ่อนปรนการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย หรือการเลื่อนงวดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า ทั้งที่เป็นประชาชนและผู้ประกอบการอย่างจริงจัง รวมถึงช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ จึงร่วมกันออกออกมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั่วประเทศ ซึ่งได้แก่ ลูกหนี้ทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด และนอกพื้นที่ควบคุมแต่ต้องปิดกิจการจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือนกรกฎาคม 2564 หรือเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป แล้วแต่กรณี

นายธนกร กล่าวต่อว่า สำหรับลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการได้แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามความจำเป็นและสอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกหนี้ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อหมดระยะเวลาพักชำระหนี้แล้ว สถาบันการเงินจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ในทันที เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักกับลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้มาตรการนี้ เป็นเพียงการเลื่อนการชำระออกไป ลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพและสามารถชำระหนี้ได้ ควรชำระหนี้ต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนี้ในอนาคตเพิ่มขึ้นสูงเกินจำเป็น 

นายธนกร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือทั้งประชาชนและผู้ประกอบการหลายๆ มาตรการ โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เช่น สินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย ให้ผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจท่องเที่ยวและ Supply Chain สามารถกู้เงินกับธนาคารออมสิน วงเงินต่อรายอยู่ที่ 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ซึ่งตอนนี้ อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว จำนวน 2,885 ราย วงเงินรวม 1,218 ล้านบาท
สินเชื่ออิ่มใจ ธนาคารออมสินให้กู้กับผู้ประกอบการร้านอาหารหรือเครื่องดื่ม วงเงินต่อราย อยู่ที่ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ ไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก และสินเชื่อสำหรับ SMEs ขนาดย่อมและขนาดกลาง  ได้แก่ สินเชื่อ Extra cash โดย SME Bank ให้กู้กับ SMEs ขนาดย่อมในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น วงเงินรายละ 3 ล้านบาท ปัจจุบันอนุมัติแล้ว 4,283 ราย วงเงินรวม 7,335 ล้านบาท และสินเชื่อมีที่มีเงิน นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการทั่วไป ได้แก่ มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ และมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูอีกด้วย 

“สิระ” อัด ”โทนี่” แสร้งสงสารคนไทย แต่เศษเนื้อ-เศษสตางค์ไม่เคยกระเด็นมาช่วย ชี้ คนเสื้อแดงควรตาสว่างสักที เผย ยินดีหากกลับมาประตูหน้า จะได้จองเมรุไว้รอเผา

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม ร่วมเสวนาผ่านคลับเฮาส์ โดยระบุให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โทรศัพท์หา เพื่อขอคำปรึกษาและพร้อมกลับประเทศไทย ว่า ตนได้เห็นกระแสของบรรดาลิ่วล้อโทนาฟต้อนรับให้กลับประเทศมาหลายวัน แต่ช่วงที่ผ่านมา ตนมีภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 เยอะจึงไม่มีเวลาจะออกมาพูดอะไรถึงนายทักษิณ แต่วันนี้เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารบรรดาคนเสื้อแดงและพวกที่พลีชีพให้นายทั้งหลาย เวลานี้นายทักษิณไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับประเทศ แบบที่เคยทำในอดีตเป็นอย่างไรก็ยังคงเหมือนเดิม ดีแต่พูดสร้างค่าให้ตัวเอง และด้อยค่ารัฐบาลและประเทศไทย ตนคิดว่าบรรดาคนรักทักษิณควรที่จะหูตาสว่างได้บ้างแล้ว

“ทุกคนลองไปดูชีวิตประจำวันของมิจฉาชีพหนีคดีคนนี้ดูว่า เขาทำอะไรบ้าง เวลามาออกคลับเห่าก็แสร้งทำว่าสงสารประเทศไทย รักประชาชน แต่ภาพที่เห็นคือการใช้เงินที่โกงกินภาษีประชาชนกินเที่ยวที่ต่างประเทศอย่างสนุกสนาน มีความสุขกับลูกหลาน ถ้านายทักษิณคิดจะช่วยประเทศจริง วันนี้ไม่ต้องรอให้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทยก็ทำได้ การบริจาคเงินผ่านบรรดา ส.ส.ในพรรคของคุณให้มาช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ก็สามารถทำได้ แต่วันนี้แค่ดีแต่พูด แต่ไม่เคยลงมือทำ งานถนัดของคนนี้คือสร้างวาทกรรมสวยหรูหลอกคนเสื้อแดงไปวันๆ เศษเนื้อ เศษสตางค์สักแดงเคยกระเด็นมาเผื่อแผ่ คนเสื้อแดงทั้งคนในคุกและนอกคุกหรือไม่ วันนี้บุคลากรทางการแพทย์ และคนไทยทุกคนกำลังร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านวิกฤต นายทักษิณช่วยหุบปากบ้าง เอาเวลาไปถลุงเงินที่โกงประเทศ ใช้นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวพาลูกหลานไปท่องเที่ยวสวิตเถอะ”นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยไม่เคยกีดกันให้มิจฉาชีพคนนี้กลับมาที่แผ่นดินไทย อย่าออกมาพร่ำให้ประเทศชาติเสียหายไปมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมากว่า 10 ปี คนไทยแตกแยกก็เพราะนายทักษิณ ถ้าจะกลับก็กล้าๆ หน่อย มาอย่างเปิดเผย อย่าหนีเหมือนตอนออกไปเป็นสัมภเวสีนอกประเทศ ส่วนตัวตนอยากให้กลับมาด้วยซ้ำ ถ้าหากได้กลับมาทางประตูหน้า ตนจะได้ทำบุญจองเมรุรอไว้พร้อมเผา 

“องอาจ” เสนอนายกฯ แจกชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองให้ประชาชนฟรี

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตรวจเชื้อโควิด-19 ว่า นับตั้งแต่โควิดแพร่ระบาดรอบ 3 ที่กระจายตัวมากขึ้นทำให้มีประชาชนจำนวนมากสนใจตรวจโควิดมากขึ้น ถึงขนาดไปนอนรอคิวตามจุดตรวจต่างๆ จนภาครัฐต้องประกาศปลดล็อคให้โรงพยาบาลเอกชน และห้องแล็บเอกชนให้ตรวจเชื้อโควิดได้ โดยไม่บังคับให้ต้องรับผู้ติดเชื้อรักษาตัว รวมทั้งอนุญาตให้ประชาชนซื้อ Rapid Antigen Test มาตรวจเชื้อโควิดด้วยตัวเองได้เหมือนที่ทำกันในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ดีจากการติดตามการจัดตรวจหาเชื้อโควิดฟรีของหน่วยงานภาครัฐ ตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่ามีประชาชนจำนวนมากยังมีความต้องการตรวจเชื้อโควิดฟรีตามที่ทางราชการกำหนด เพราะถ้าไปใช้บริการตรวจตามโรงพยาบาลก็เสียค่าใช้จ่ายหลักพันบาทขึ้นไป หรือถ้าจะซื้อชุดตรวจมาตรวจหาเชื้อด้วยตนเองก็ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับคนหาเช้ากินค่ำหรือผู้มีรายได้น้อยเงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีความหมาย จึงพบว่าประชาชนส่วนมากต่างมุ่งไปตรวจฟรีตามที่ทางราชการกำหนด

จากการตรวจสอบตามจุดตรวจต่างๆ ของทางราชการ พบว่ามีการบริหารจัดการดีขึ้น ประชาชนมารอข้ามคืนน้อยลง โดยใช้ระบบบัตรคิวซึ่งมีทั้งแจกบัตรคิววันต่อวัน หรือแจกบัตรคิวล่วงหน้า 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ 6.00 น. หรือ 7.00 น. บ้าง แต่ก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ตรวจเพราะคิวเต็มต้องไปเสาะแสวงหาจุดตรวจอื่นๆ 

การที่ประชาชนไปรอคิวตรวจฟรีตามที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยกันยับยั้งการแพร่ระบาด เพราะถ้าพบว่าตนเองติดเชื้อก็จะได้เข้าสู่กระบวนการของการรักษาตัวตามสถานพยาบาล หรือแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อไม่นำเชื้อไปแพร่ให้บุคคลอื่นต่อไป ภาครัฐจึงควรจัดให้มีการเข้าถึงบริการสาธารณสุขดังนี้ 

1. จัดให้มีการตรวจเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่คิดว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงใน กทม. ที่มีการระบาดสูง
2. อำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและอุปสรรคที่ทำให้การเข้าถึงการตรวจเชื้อโควิดทุกกรณี
3. รัฐควรจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองฟรีให้ประชาชนส่งตรงถึงบ้าน โดยกำหนดช่องทางการขอรับชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองฟรีที่สะดวกที่สุด

จึงขอฝากข้อเสนอทั้ง 3 ข้อนี้ให้นายกรัฐมนตรี นำไปพิจารณาใน ศบค. เพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการปฏิบัติเพื่อจะได้ช่วยกันทำให้การแพร่ระบาดของโควิดทุเลาเบาบางลง เมื่อสามารถขจัดต้นตอของการติดเชื้อของบุคคลต่างๆ ลงได้ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาวิกฤติโควิดในที่สุด 

“คนรักสถาบันฯ” ร้อง “นายกฯทบทวนคุณสมบัติ “ชัยวุฒิ” นั่งดีอีเอส เหตุ ปล่อยปละเกิด เฟกนิวส์ กระทบความมั่นคง

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศปปส.) กลุ่มภาคีประชาชนปกป้องสถาบัน ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด Bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) อาชีวะปกป้องสถาบัน ในนาม พสกนิกรปกป้องสถาบัน นำโดย นางแน่งน้อย อัศวกิตติกร อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.พิษณุโลก พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบการทำงานของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี

นางแน่งน้อย กล่าวว่า สภาวะของประเทศไทยเวลานี้ เต็มไปด้วยความขัดแย้งของผู้คนในสังคม การต่อสู้กันจะอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม วิธีการที่นิยมนำมาใช้เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามคือการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และมีอำนาจโดยตรงในการเข้ามาจัดการกับข่าวปลอมคือ กระทรวงดีอีเอส แต่สิ่งที่เกิดขึ้น และประชาชนเห็นชัดคือ กระทรวงดีอีเอส ไม่สามารถจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ข่าวปลอมยังท่วมประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และไม่สามารถนำคนที่ปล่อยข่าวปลอมมาลงโทยเอาผิดทางกฎหมายได้ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ประชาชนภาคสังคม จึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจสอบการทำงานของนายชัยวุฒิ ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2564 จนถึงปัจจุบันว่ามีความสามารถ และมีความเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี เพื่อกำกับดูแลกระทรวงดีอีเอส ซึ่งถือเป็นกระทรวงหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ

ด้านนายเสกสกล กล่าวว่า ขอชื่นชมทั้งองค์กรที่มาในวันนี้ที่มาช่วยกันรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่คู่สังคมไทยตลอดตราบนานเท่านาน ตนขอชื่นชมจากใจจริงเพราะก็เป็นคนหนึ่งที่พร้อมร่วมมือปกป้องสถาบันฯ และไม่ต้องการที่จะให้ใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาคิดไม่ดีต่อสถาบันฯ ทั้งการจาบจ้วงก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมายมาตรา 112 

อย่าทำเหมือนไม่มีวิกฤต! ‘ศิริกัญญา’ เสนอ ‘ส่วนกลาง’ หนุนเงินให้โรงเรียน ลดภาระค่าเทอมผู้ปกครอง กังวล อุปสรรค ‘เรียนออนไลน์’ อุปกรณ์และระบบไม่พร้อม สร้างภาระให้ครู-นักเรียนแสนสาหัส จี้ จัดงบสนับสนุนหน่วยงานด้วย

ที่อาคารรัฐสภา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้ตั้งคำถามกับหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการช่วงหนึ่งว่า ประเด็นเรื่องการลดค่าเทอม เป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมต่างให้ความสนใจ รวมทั้งมีข่าวออกมาว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เคยมีการสั่งการเรื่องนี้ แต่มองไม่เห็นทางออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร หากไม่มีเงินอุดหนุนจากส่วนกลางมอบให้ไป จะให้ไปบีบบังคับโรงเรียนแต่ละโรงเรียนลดค่าเทอมเองคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ และยิ่งโรงเรียนเอกชนไม่ต้องพูดถึง เพราะปัจจุบันก็ยังไม่สามารถอุดหนุนเงินครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรหรือครูให้กับพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเงินอุดหนุนรายหัวที่อุดหนุนกันนั้น ครอบคลุมแค่ค่าดำเนินการเท่านั้น การไปบีบให้ลดค่าเทอมอีกจึงเป็นไปไม่ได้

“เห็นด้วยถ้าจะนำเงินกู้ส่วนหนึ่งไปช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับผู้ปกครองในยามวิกฤตด้วยการอุดหนุนค่าเทอมบางส่วนให้กับแต่ละโรงเรียน แนวทางนี้คิดว่าอาจจะเป็นทางออกของเรื่องนี้ได้” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่องการเรียนออนไลน์นั้น นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นเทอมที่ 3 แล้ว ที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาต้องเรียนออนไลน์ จึงขอสอบถามถึงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานว่าได้มีการเตรียมอุปกรณ์ เตรียมความพร้อมให้กับครูและผู้เรียนอย่างไรบ้าง เพราะจากที่ดูจากงบประมาณที่ตั้งมายังไม่ค่อยเห็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ มีแต่รายการที่ใช้สำหรับอบรมวิธีการสอนออนไลน์เท่านั้น

“หลายที่มีการเก็บข้อมูล รวมถึงของหน่วยงานอย่างกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้มีรายงานข้อมูลมาว่า ครอบครัวที่ยากจนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กจะสามารถเรียนออนไลน์ได้อย่างสะดวก ด้วยความที่ขาดแคลนอุปกรณ์ แม้กระทั่งกรณีที่ไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจนมาก แต่หากต้องเรียนออนไลน์ผ่านทางโทรทัศน์ ถ้าในครอบครัวนั้นมีลูก 2 คนขึ้นไป ก็ทำไม่ได้แล้ว หากที่บ้านมีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว และยิ่งไปกว่านั้นการเรียนออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ทรมาน เมื่อต้องนั่งจ้องจอมือถือที่มีจอขนาดเล็กไปนานๆ 
.
“ดิฉันจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กๆมาก รวมไปถึงครูเองด้วยที่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น โดยครูบางท่านต้องแก้ปัญหาโดยการแบ่งจำนวนนักเรียนในห้องออกเป็น 2 ห้อง เพราะไม่สามารถสอนนักเรียนพร้อมกันได้ทั้ง 50-60 คน โดยที่ต้องดูนักเรียนที่อยู่ในออนไลน์พร้อมกันได้ กลายเป็นว่าต้องสอน 2 รอบ ต้องวิ่งส่งงานให้ตามบ้านนักเรียนบ้าง ต้องทำงานเพิ่มขึ้น คำถามคือมีการเพิ่มอัตรากำลังบ้างหรือไม่ หรือมีการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้กับครูที่ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่” นางสาวศิริกัญญา ระบุ

นางสาวศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า จากผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกอย่างบริษัท McKinsey พบว่า การเรียนออนไลน์ทำให้ความรู้ของเด็กถดถอย ดังนั้นภายหลังจากที่มีการกลับมาเรียนปกติแล้ว จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูการเรียนรู้กลับคืนมา ทางหน่วยงานได้เตรียมการ เตรียมงบประมาณสำหรับใช้จัดการเรื่องนี้แล้วหรือไม่ จำเป็นต้องมีการเรียนเสริมหรือเรียนเพิ่มอะไรหรือไม่ และที่สำคัญในปีการศึกษา 2563 จำนวนวันการเรียนการสอนก็น้อยลง น้อยลงไป 10 % แล้ว โดยจากเดิมที่หนึ่งปีจะเรียนประมาณ 200 วัน จะเหลือเพียงปีละประมาณ 180 วันเท่านั้น ไม่นับว่าการเรียนออนไลน์อาจทำให้เรียนไม่ทันตามบทเรียนอีกด้วย หน่วยงานจะมีการวางแผน จัดการอย่างไร

“ปีนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ถูกลดงบประมาณไปประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มูลค่า 3,000 ล้านบาทเป็นการลดลงของงบประมาณด้านบุคลากร เนื่องจากมีการเกษียณอายุราชการในแต่ละปีค่อนข้างมาก แม้จะรับครูเข้ามาทดแทน แต่ก็ยังไม่เท่ากับจำนวนครูที่เกษียณออกไป ดังนั้นจึงขอเอกสารชี้แจงว่ามีจำนวนครูที่เกษียณในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยแต่ละปีมีจำนวนเท่าใด และขอแผนที่จะมีการรับครูเข้ามาทดแทนด้วย เพื่อที่จะดูแผนและงบประมาณว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

ในเรื่องหลักสูตร นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า แม้ว่าทาง สพฐ. มีแผนที่จะปฏิรูปการสอนเรื่องเพศวิถีและเพศศึกษา แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการเปิดเผยว่า การอบรมศึกษานิเทศก์ ในเนื้อหาการอบรมมีการเหยียดเพศและมีการพูดถึงว่า เด็กที่ความหลากหลายทางเพศเป็นเพราะเด็กเห็นเพื่อนเป็นกันเยอะแล้วสนุกดี ก็เลยมีแนวโน้มที่จะเป็นคนข้ามเพศ จึงเป็นความน่าผิดหวังและอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นปฏิรูปการสอนเรื่องเพศหรืออย่างไร เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องการสอนในห้องเรียนแล้วมีครูที่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อเพศหลากหลาย แต่นี่คือการอบรมศึกษานิเทศก์ ซึ่งจะเป็นการผลิตซ้ำความคิดแบบนี้ไปกับครูอีกหลายๆ ท่าน

“ในปีนี้ทราบว่าจะเริ่มการเรียนแบบการจัดการการเรียนรู้แบบใช้สมรรถนะเป็นฐาน (Competency-based learning) เป็นปีแรก ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เนื่องจากการศึกษาในระดับแนวหน้าของโลกก็เปลี่ยนมาใช้วิธีการแบบนี้กันหมดแล้ว ทั้งนี้ทางหน่วยงานได้มีการเตรียมพร้อมให้กับบุคลากรแล้วหรือไม่ เพื่อที่จะเข้าอกเข้าใจและสามารถถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้วิธีการดังกล่าวได้ เนื่องจากขณะนี้การอบรมครูก็มีการทำแบบออนไลน์เช่นเดียวกัน จึงทำให้หวั่นใจว่าหากไม่มีการเตรียมความพร้อม ก็อาจจะทำให้ล้มเหลวแบบที่เกิดขึ้นแบบในอดีตที่มีการเปลี่ยนหลักสูตร ถึงแม้ว่าหลักสูตรจะถูกออกแบบไว้ดีแค่ไหนก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลทำให้เด็กๆ ต้องเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

‘ธนาธร’ แจง นำเสนอข้อมูลกรมหม่อนไหม เนื้อหาหลัก มุ่งปฏิรูปราชการ ลดภาระงบประมาณ ชี้ไม่มีกรมฯ ก็สนับสนุนผ้าไหมได้ ยัน ไร้ข้อความดูหมิ่นเกียรติยศของอาชีพหรือวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับผ้าไหม ย้ำอาชีพทุกอาชีพล้วนมีเกียรติ

วันที่ 16 ก.ค. 64 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

จากกรมหม่อนไหมถึงการปฏิรูปรัฐราชการ : งบประมาณมาจากภาษีประชาชน ต้องนำไปรับใช้ประชาชน

เป็นโอกาสดีที่การพูดถึงกรมหม่อนไหมของผมได้รับความสนใจทั้งจากผู้เห็นด้วยและผู้ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก

ก่อนอื่นผมจำเป็นต้องยืนยันว่า อาชีพทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้เลี้ยงไหม, ครู, เกษตรกรมังคุด, ข้าราชการกรมหม่อนไหม หรือพนักงานทำความสะอาด ล้วนแต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ

สิ่งที่ผมนำเสนอ ไม่มีข้อความใดดูหมิ่นเกียรติยศของอาชีพหรือวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับผ้าไหมเลย

กลับกัน ผมยังชื่นชมผ้าไหม เห็นศักยภาพและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ไหม เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปอีสาน ยังซื้อผ้าไหมนาคำไฮหลายชิ้นกลับมาฝากคนที่บ้านดังที่เห็นจากรูป

เมื่อตัดเรื่องใส่ความ บิดเบือนคำพูดเพื่อสร้างให้ประชาชนเกลียดชังผมออกไป เนื้อหาหลักคือ ระบบราชการไทย รวมศูนย์อำนาจ ใหญ่โต เทอะทะ ขาดประสิทธิภาพ ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน และรับใช้อำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนเสมอ

ในภาวะที่ประเทศไทยหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมหาศาล และกำลังจะเกินวินัยการคลังที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เราจำเป็นต้องปฏิรูประบบราชการ ลดหน่วยงานที่ไม่จำเป็น ลดโครงการที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดอำนาจและงบประมาณราชการส่วนกลาง คืนอำนาจสู่ท้องถิ่น นี่คือข้อเสนอที่สำคัญทางการเมืองเพื่อสถานภาพทางการคลังของรัฐ, เพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน และเพื่อให้ท้องถิ่นมีโอกาสเจริญเติบโต ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท

ไม่ใช่สร้างรัฐราชการส่วนกลางให้เติบโตไปเรื่อย ๆ

การปฏิรูประบบราชการคือความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การสร้างดราม่าด้วยเกียรติยศของอาชีพ, การเสียสละของข้าราชการ และประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่สามารถบิดเบือนหรือซ่อนเร้นความจำเป็นนี้ได้

เราสามารถสนับสนุนผ้าไหมได้โดยไม่ต้องมีกรม เหมือนเช่นที่ กรมปศุสัตว์ หรือ กรมประมง สนับสนุนหลายสาขาอาชีพได้

ไม่อย่างนั้นต่อไปเราอาจมี “กรมไก่ชน” “กรมสุราพื้นบ้าน” “กรมกัญชา” หรือ “กรมทุเรียน”

ถ้าปัญหาทุกด้านต้องมีหน่วยงานระดับกรมขึ้นมาดูแล เราก็จะมีกรมเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ภาระงบประมาณก็จะมากมายมหาศาล

ตลาดวัวในประเทศไทย ใหญ่ถึง 4.1 หมื่นล้านบาท ตลาดนมวัว 1.8 หมื่นล้านบาท ตลาดเนยจากวัวอีก 3.7 พันล้านบาท รวมมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์วัวเท่ากับ 6 หมื่นล้านบาท

สินค้าจากวัวยังสร้างมูลค่าการส่งออกอีกปีละ 500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2020

ขณะที่ผ้าไหมมีตลาดในประเทศปีละ 3 พันล้านบาท และสร้างมูลค่าการส่งออก 6 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 ไม่รวมเสื้อผ้าไหมสำเร็จรูป

แต่เรากลับไม่มี “กรมวัว”

ที่กล่าวมา ผมไม่ได้หมายถึงว่าประเทศไทยต้องมี “กรมวัว” เพราะเรามีกรมปศุสัตว์ที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับปศุสัตว์ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมีกรมวัวแยกต่างหาก

อ้างอิงจากสไลด์ของคุณ Sirikanya Tansakun - ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ใช้ในการอภิปรายในสภา 16 ปีจาก 2547 ถึง 2563 ราชการไทยใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ รายจ่ายประจำจาก 66% (0.8/1.2) ของงบประมาณ กลายเป็นถึง 75% (2.4/3.2) ของงบประมาณ ทำให้ศักยภาพการลงทุนเพื่ออนาคตของเราน้อยลง

ประเด็นสุดท้าย ผมยืนยันว่าตามหลักประชาธิปไตย เมื่องบประมาณมาจากภาษีของประชาชน ผู้ที่ประชาชนเลือกมาเท่านั้นที่ทรงอำนาจในการจัดสรรงบประมาณ และงบประมาณนั้น ต้องถูกนำไปใช้เพื่อทำนุบำรุงความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ไม่ใช่นำไปส่งเสริมอำนาจบารมีให้กับผู้หนึ่งผู้ใด"


ที่มา : https://www.facebook.com/ThanathornOfficial


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบ.นทพ. ตรวจคัดกรองกำลังพลที่ปฏิบัติงานในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

พลเอก นเรนทร์ สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) ได้ประสานขอรับการสนับสนุนรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย พระราชทาน จากกรมควบคุมโรค จำนวน 1 คัน มาตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 เชิงรุก ด้วยการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ (Swab) โดยการเก็บสารคัดหลั่งบริเวณหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal swab) ของกำลังพลกลุ่มเสี่ยง นทพ. ที่ออกปฏิบัติงานตามนโยบายและสั่งการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ในการสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC ) กรุงเทพมหานคร  ณ รพ.บุษราคัม, สนามบินสุวรรณภูมิ, แคมป์คนงานและจุดตรวจในพื้นที่เขตลาดกระบัง และจุดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นทพ. เพื่อเฝ้าระวังและค้นหาผู้ที่อาจติดเชื้อจากการปฏิบัติงาน 

รวมทั้งป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยได้สั่งการให้สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) จัดเตรียม บุคลากรที่ได้รับการฝึกปฏิบัติจาก สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม) พร้อมกับการจัดสถานที่ อำนวยการ ประสานงาน และกำกับดูแลการตรวจคัดกรอง ณ บริเวณโรงจอดรถยนต์ขนาดใหญ่ ด้านหลังอาคารกองบังคับการ สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และมีกำลังพล จิตอาสา 904 นทพ. ร่วมอำนวยความสะดวกในการตรวจคัดกรอง

ทั้งนี้ เพื่อดูแลและเฝ้าระวังกำลังพลของหน่วยที่ออกปฏิบัติงานในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต้องเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงและใกล้ชิดกับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ให้สามารถปฏิบัติงานตามนโยบายและสั่งการได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top