Tuesday, 24 June 2025
Politics

‘ชัยวุฒิ’ โต้เพจดัง ‘แหม่มโพธิ์ดำ’ ตัดต่อภาพ ‘รพ.บุษราคัม’ เทียบ ‘รพ.สนามพิมรี่พาย’ บิดเบือนงบประมาณโจมตีรัฐบาล สั่งทีมงานตรวจสอบ เตรียมดำเนินคดี เหตุปล่อยข่าวเท็จ ทำสังคมแตกแยก-เข้าใจผิด 

จากกรณีที่โซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูลเรื่องงบประมาณจัดทำโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมกับตัดต่อภาพประกอบ ว่าใช้งบประมาณ 239,280,000 บาท สามารถรองรับได้ 1,092 เตียง ตกเตียงละ 220,000 บาท พร้อมกับเปรียบเทียบโรงพยาบาลสนามของพิมรี่พาย ที่ใช้งบประมาณ 170,000 บาท แต่ได้ถึง 50 เตียง ตกเตียงละ 3,400 บาท จนเกิดเสียงวิจารณ์กว้างขวาง นั้น

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตรวจสอบพบว่ามีความพยายามเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจผิดถึงการดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของรัฐบาล โดยในส่วนของคุณพิมรี่พาย ที่นำเงินส่วนตัวมาสร้างโรงพยาบาลสนาม ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้เสียสละช่วยประชาชนในยามลำบาก รัฐบาลก็ต้องขอบคุณถึงความตั้งใจอันดี เช่นเดียวกันอีกหลาย ๆ คนที่ร่วมช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย ตามกำลังหรือความสามารถที่พอจะช่วยได้ 

“ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ต่างมีความตั้งใจดี เพื่อให้ประเทศพ้นวิกฤตโดยเร็ว แต่กลับมีขบวนการที่ไม่หวังดี นำมาเปรียบเทียบ บิดเบือน เพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยกขัดแย้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัม ที่มีข้อสังเกตเรื่องงบประมาณนั้น จัดตั้งในลักษณะโรงพยาบาลถาวรที่มีมาตรฐาน มีความพร้อมทางการแพทย์ มีอุปกรณ์เครื่องมือดูแลผู้ติดเชื้ออย่างครบครัน มีระบบการดูแลความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์จากหลายจังหวัดจำนวนมาก สับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข สามารถชี้แจงรายละเอียดหรืองบประมาณได้ทั้งหมด อีกทั้งภาพที่มีการแชร์เปรียบเทียบในขณะนี้ก็เป็นภาพเก่า ช่วงที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อสังเกตอาการ และเป็นการจัดตั้งในภาวะฉุกเฉิน ก่อนที่จะมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานในภายหลัง

“ในช่วงที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิด-19 แต่กลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคม ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้มาโดยตลอด ขอให้ผู้ที่เป็นต้นตอหรือมีส่วนกับการนำเสนอข้อมูลดังกล่าว ดำเนินการลบโพสต์โดยด่วน และชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สังคมรับทราบ มิเช่นนั้น กระทรวงดีอีเอส อาจต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อไป” รมว.ชัยวุฒิ ระบุ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2527537940888294&id=1772417919733637

ศปก.ศบค.จับตาแคมป์คนงานหลักสี่ ขยายวง 11 บริษัทซับคอนแทร็ก หวั่นกระจายเพิ่ม จับตา 6 ชุมชนพื้นที่ใกล้เคียง

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. กล่าวว่า ในที่ประชุมอีโอ กระทรวงสาธารณสุข และศปก.ศบค. พุ่งเป้าไปที่คลัสเตอร์ระบาดในกรุงเทพฯ ชั้นใน 5 เขต ได้แก่ เขตหลักสี่ ที่มีปริมาณผู้ติดเชื้อสูง รองลงมาคือป้อมปราบศัตรูพ่าย ราชเทวี คลองเตย และเขตห้วยขวาง

โดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ได้ให้ทำจุดตรวจสอบการกระจายเชื้อ เพื่อดูความหนาแน่นของพื้นที่ต่อการกระจายของประชากรแต่ละพื้นที่ในกรุงเทพฯ แยกพื้นที่สีแดงยังพบติดเชื้อต่อเนื่อง สีเหลืองไม่พบผู้ป่วยในช่วง 14 วันและเฝ้าระวังอยู่ ซึ่งแบ่งเป็น 4  กลุ่มใน 50 เขต คือ พื้นที่ที่มีปริมาณระบาดมากและเพิ่มขึ้นเร็ว จำนวน 25 เขต ปริมาณระบาดมากแต่เพิ่มช้า 6 เขต ไม่มากแต่เพิ่มเร็ว 17 เขต และปริมาณระบาดไม่มากและเพิ่มช้าเฝ้าระวังตามระบบ 2 เขต

โดยแยกเป็น 28 คลัสเตอร์กระจายอยู่ใน 18 เขต คือดินแดง วัฒนา คลองเตย หลักสี่ลาดพร้าว ราชเทวี พระนครป้อมปราบศัตรูพ่าย สวนหลวง ปทุมวัน สาทร สัมพันธวงศ์ จตุจักร บางรัก ประเวศ วังทองหลาง รามคำแหง บางกอกน้อย และห้วยขวาง 

สำหรับคลัสเตอร์ระบาดสูงสุด 5 อันดับแรก คือ แคมป์ก่อสร้าง เขตหลักสี่ แขวงดินแดง เขตดินแดง ตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง คลองถมเซ็นเตอร์ และวงเวียน 22 เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแคมป์คนงานก่อสร้าง เขตวัฒนา

โดยแคมป์ก่อสร้างในเขตหลักสี่และอิตาเลี่ยนไทย ได้ถูกยกขึ้นมาหารือถึงแผนการจัดการ เนื่องจากอยู่กันแออัด และยังมีบริษัทซับคอนแทร็กที่รับเหมาต่อเนื่องไปที่ต่าง ๆ อีก 11 บริษัท และอื่น ๆ อีก ซึ่งในกลุ่มนี้กำลังติดตาม ส่วนสถานที่อื่นอีก 8 แคมป์ ที่กระจายตัวอยู่ยังติดตามหาต่อและเป็นแผนการที่ต้องเข้าไปดู จึงขอความร่วมมือพี่น้องคนไทยและชาวต่างชาติ ขอให้เสียสละช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ช่วยตัวเองและคนอื่นในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ตามที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเข้าไปปรับปรุงสถานที่ให้ถูกสุขลักษณะ ฝ่ายความมั่นตรวจสอบห้ามเข้าออกพื้นที่เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่และเคลื่อนย้าย เป็นเวลา 14 วัน

ซึ่งผู้อำนวยการเขตหลักสี่ได้มีประกาศมาตรการขอความร่วมมือ เฝ้าระวังในแคมป์, แยกกักผู้ป่วยกับการผู้สัมผัสเสี่ยงสูง, เฝ้าระวังนอกแคมป์, ซีลแคมป์ก่อสร้าง , จัดการสิ่งแวดล้อมในแคมป์, บริหารวัคซีนสำหรับพื้นที่ระบาด, และปิดการทำงานของอีก 11 บริษัทซับคอนแทร็กหากเป็นผู้เกี่ยวข้องขอให้รายงานและแจ้งให้สำนักงานเขตหรือสำนักอนามัยกทม. รับทราบว่าไปรับงานที่ไหนบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายของโรค

นอกจากนั้นต้องดูอีก 6 ชุมชนรอบข้าง คือ แฟลตตำรวจอิสระ ชุมชนอยู่แล้วรวย ชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลาง ชุมชนกองบัญชาการศึกษา ชุมชนรักถิ่น และชุมชนเปรมสุขสันต์ ทั้งนี้ ผอ.ศปก.ศบค. ได้พูดคุยกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการขอความร่วมมือกับผู้นำแต่ละชุมชน ทำความเข้าใจในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันเราจะผ่านช่วงเวลาความยากลำบากไปด้วยกัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมีความหมายต่อทุกคนและทุกชีวิต ทุกคนไม่ต้องการเจ็บไข้ได้ป่วย พรากจากคนที่รัก เราจะผ่านไปได้ด้วยความร่วมมือกันโรคระบาดสอนเรามาในอดีตว่าสิ่งที่จะผ่านไปได้คือภูมิคุ้มกันหมู่การดูแลสุขลักษณะส่วนตัวและส่วนรวม และคนในครอบครัวจะช่วยให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยกัน

"สมศักดิ์" เผยเร่งประสาน "อนุทิน" ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกคน พร้อมใช้ฟาวิพิราเวียร์-ฟ้าทะลายโจร รักษาผู้ติดเชื้อเรือนจำ ตรวจเชิงรุกแบบ 100% พร้อมวางแผนเผื่ออนาคต ยัน! แจ้งทุกรายละเอียดไม่ปิดบัง เตรียมติดป้ายตัวเลขหน้าเรือนจำให้รู้ยอดคนติดเชื้อทุกวัน

ที่กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงข่าว กรณีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้โควิด-19 เข้าไปอยู่ในเรือนจำมากมาย ทั้งกทม. และต่างจังหวัด รวมตัวเลขแล้วผู้ต้องขังติดเชื้อ 10,384 คน ในขณะนี้ที่รวบรวมได้ เจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทำงานอย่างหนักและต้องทำต่อไป เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่ อะไรที่หย่อนยานต้องเร่งปรับปรุง ตอนนี้มีมาตรการ 10 ข้อ คือ

1.) ให้แถลงจำนวนผู้ต้องขัง ที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้วมีจำนวนเท่าไร

2.) ตรวจเชิงรุกให้ครบทุกเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่เรือนจำและเจ้าหน้าที่ส่วนกลางทุกคน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง ของกรมราชทัณฑ์ทุกคน 55,000 คน

3.) ในส่วนของที่มาของเชื้อให้เร่งสืบข้อเท็จจริงและสาเหตุการติดเชื้อครั้งนี้ และถ้าได้ความแน่ชัดจะแจ้งให้ทราบโดยไม่ปิดบังใด ๆ ทั้งสิ้น

4.) การรักษาและการเฝ้าดูอาการคนไข้จะทำตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ทุกคนจะต้องทำงานแข่งกับเวลา

5.) ประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด โดยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รวมทั้งการใช้สมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร เข้าช่วยรักษาในขณะที่รอดูอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ และคนระดับสีเหลืองที่กำลังเริ่มมีอาการ 

6.) ผู้ต้องขังเป็นประชาชนคนไทย ที่ต้องอยู่ในเรือนจำไปไหนไม่ได้ 100% การอยู่ในที่ถูกล้อมเอาไว้ ขยับขยายไปไหนไม่ได้เป็นอุปสรรคอย่างมหาศาลในการแก้ไข้ปัญหา ประกอบกับห้องนอนนั้นมีผู้ต้องขังอยู่กันอย่างแออัด

7.) มีความจำเป็นที่ต้องเอาผู้ต้องขังและผู้คุม ที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน

8.) จะมีการติดประกาศหน้าเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อกี่คนและไม่ติดเชื้อกี่คน หายแล้วกี่คน จะมีการแจ้งเช่นนี้เป็นระยะ ๆ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และจะปรับตัวเลขทุกวัน เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนได้รับทราบ

9.) ผู้บัญชาการเรือนจำทุกคน จะทำรายชื่อผู้ติดเชื้อ และปรับปรุงเป็นรายวันเพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น. 

10.) กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะรีบเร่งวางแผน เตรียมตัวรับการระบาดครั้งนี้ และครั้งหน้าที่จะมีมาได้ทุกเมื่อ

โดยจะรีบเร่งประชุมพิจารณาในเรื่องของบุคลากรที่ต้องเพิ่ม เช่น พยาบาลที่ปัจจุบันขาดแคลนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนพื้นที่ในการรองรับ การดูแลรักษาผู้ต้องขัง เพราะโรคระบาดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตสังคมคนไทยแล้วทั้งในวันนี้และอนาคต ซึ่งเป็นความท้าทายของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณลักษณะของผู้ต้องขังที่ต้องติดเชื้อถูกจำกัด ในเรื่องของกฎหมายที่ให้ต้องจองจำ ประกอบจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่มากเกินกว่าที่สถานที่ปัจจุบัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลจะสามารถรองรับได้

ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณานโยบายการพักโทษในรูปแบบพิเศษ เช่น การติดกำไล EM ให้ละเอียดรอบคอบ โดยพิจารณาสิ่งแวดล้อม และข้อเท็จจริง ตลอดจนสภาวะของผู้ต้องขัง เพื่อกำหนดนโยบายการพักโทษขึ้นมา รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสังคมได้ประโยชน์ด้วยกัน ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานผู้ต้องขัง 

"ถ้าเราใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รักษา 10,000 คน หัวหนึ่ง 5,000 บาท จะใช้เงินถึง 50 ล้านบาท แต่หากใช้วัคซีนกับผู้ต้องขัง 300,000 คนหัวละ 1,000 บาท จะใช้ 300 ล้านบาท จะหยุดเชื้อในเรือนจำได้ทั้งหมด ผมจะเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งหวังว่าทางนายอนุทินจะเข้าใจและเร่งดำเนินการให้ ส่วนสถานการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ ได้ใช้บับเบิ้ลแอนด์ซีล ควบคุมในเรือนจำ โดยมีการร่วมมือกับส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัด ในเรื่องตัวเลขต้องแจกแจงให้ชัด เราไม่ได้ปิดบังหรือปกปิด แต่หากไม่สามารถทำให้ถูกต้องได้ต้องมีคนรับผิดชอบ เราจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้" นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายอายุตม์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขัง 15 เรือนจำติดเชื้อ โดยมี 8 เรือนจำใน กทม. และปริมณฑลที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ เช็คตัวเลขทุกวัน มียอดผู้ติดเชื้อเท่าไร รักษาหายเท่าไร จะมีการติดตามทุกวัน ส่วนเจ้าหน้าที่มีติดเชื้อ 33 ราย เหลือที่ยังไม่หาย 17 ราย และเราได้ประสานงานกับศาล ถึงทางศาลเข้าใจและอำนวยประโยชน์ทุกทาง ตนต้องขอขอบคุณทางท่านประธานศาลฎีกาด้วย 

หัวหน้าพรรคก้าวไกล เย้ย ‘บิ๊กตู่’ ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ล้วนสวนทางกับพฤติกรรมที่ผ่านมา ลั่น ‘วาระแห่งชาติ’ ที่สำคัญที่สุด คือ ‘รื้อถอนระบอบประยุทธ์’ โดยเร็ว เพราะปัญหาการทุจริตที่น่าละอาย ล้วนอยู่ในรัฐบาลทั้งสิ้น

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อกรณีที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ว่า แท้จริงแล้ว ‘วาระแห่งชาติ’ ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ การ ‘รื้อถอนระบอบประยุทธ์’ โดยเร็วที่สุดต่างหาก

“เรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า เป็นเรื่องที่บั่นทอนศักยภาพของประเทศ เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว และต้องให้ความสำคัญเพื่อที่จะนำไปสู่การแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ฟังสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ‘ต้องมุ่งสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบและต้องมีความละอาย’ อยากทราบจริง ๆ ว่าก่อนพูดได้ส่องกระจกมองตัวเองให้แล้วหรือไม่ เพราะปัญหาการทุจริตที่ควรต้องละอาย ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัฐบาลของท่านเองทั้งนั้น

“ตั้งแต่การเข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหาร ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปล้นเจตนารมณ์ของประชาชน บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่ก็เกาะเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การสืบทอดอำนาจ คสช. ด้วยกลไกในรัฐธรรมนูญ มี ส.ว.ที่ คสช.เป็นผู้เลือกมาเอง แล้วให้ ส.ว. เหล่านั้นเลือกตัวเองกลับมาเป็นนายก ด้วยเสียง 100% เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบที่ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การเลือกบุคคลที่มีประวัติทุจริตประพฤติมิชอบจากการค้ายาเสพติดข้ามชาติมาเป็นรัฐมนตรี และเมื่อพบว่าผิดจริงก็ยังคงให้มีตำแหน่งต่อไป ทำให้แม้แต่กองเชียร์ของท่านเองก็กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การที่มีพี่ใหญ่ หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล ใส่แหวนวงใหญ่ นาฬิกาหรูหลายสิบเรือน สุดท้ายอ้างว่า แหวนของแม่ ส่วนนาฬิกายืมมาจากเพื่อนที่ตายแล้ว ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ทำเอาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้แต่ยิ้มแหย สื่อมวลชนขอให้เปิดเผยข้อมูลก็ส่งมาแต่กระดาษเปล่า ประชาชนส่ายหน้ากันทั้งประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การไม่เปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบคดี ‘บอส กระทิงแดง’ ที่บุคคลใกล้ชิดกับรัฐบาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนสำนวนคดี และเอื้อต่อการหลบหนี เป็นความไม่เปิดเผยและไม่โปร่งใสนี้ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

หรือกระทั่งการอยู่อาศัยในบ้านหลวงใช้น้ำและไฟฟรี เป็นการ ‘รับประโยชน์อื่นใด’ ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตลอด 7 ปี พอจะมีการตรวจสอบก็บ่ายเบี่ยง อ้างต้องขอตรงนั้นตรงนี้ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?”

พิธา ยังระบุต่อไปว่า เรื่องที่รัฐบาลควรจะละอายใจที่สุด คือ การเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิดทั้งสามระลอก จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทยต้องประสบกับความเดือดร้อนไม่รู้จบ อันเนื่องมาจากการทุจริตภายในและความหละหลวมหย่อนยานของพวกท่าน ซึ่งเห็นได้จากกรณีบ่อนการพนันและการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และยังมีพฤติกรรมน่ากังขาอีกมากมายที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์หรือรัฐบาลนี้ได้กระทำ เช่น การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน การใช้อำนาจโดยมิชอบ การยอมรับว่ามีการทุจริตแต่โบ้ยไปให้ข้าราชการ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่สง่างาม

“สิ่งที่เป็นเสาค้ำยันให้กับการทุจริตในประเทศไทยก็คือ ระบอบอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์เส้นสาย วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เป็นต้น ดังนั้นความพยายามในการที่จะขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถไปแนะนำสั่งสอนหรือเชิญชวนคนอื่นได้ มิฉะนั้นก็คงเป็นแค่ลมปากที่พูดไปวัน ๆ หาสาระไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง

“ผมมองว่า ‘วาระแห่งชาติ’ ที่แท้จริง และเหมาะสมในเวลานี้ที่สุดก็คือ การถอนรากถอนโคน ‘ระบอบประยุทธ์’ ที่เป็นศูนย์กลางของปัญหา ซึ่งหมายถึงกระบวนการทั้งหลาย ที่ทำให้ได้มาซึ่งคนแบบประยุทธ์และคณะ เราจะต้องยุติกลไก ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การสืบทอดมรดกคณะรัฐประหารผ่านการวางกับดักไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยนั้น นำมาซึ่งผู้นำประเทศที่บ้าอำนาจ แต่ไร้ความสามารถที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย” พิธา ระบุ

ทบ.เข้มชายแดน สั่งสกัดแรงงานต่างด้าวลอบเข้าไทย ระดมเฝ้าตลอด 24 ชม.

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ต.หญิง จุฑาทิพย์ วุฒิรณฤทธิ์ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวว่า จากการปฏิบัติภารกิจอย่างเข้มข้นตลอดแนวชายแดนของกองกำลังชายแดนทบ. ทุกพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันตก, เหนือ และตะวันออก ล่าสุดระหว่างวันที่ 7-16 พ.ค. 64 กองกำลังป้องกันชายแดน สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 455 คน เป็นชาวกัมพูชา 68 คน เมียนมา 328 คน ลาว 19 คน จีน 7 คน อินโดนีเซีย 1 คน ไทย 67 คน รวมถึงผู้นำพาชาวไทย 16 คน ผู้นำพาชาวเมียนมา 3 คน โดยในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังสุรสีห์ลาดตะเวนเส้นทางและได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ส่งผลให้เมื่อ 12 พ.ค.64 สามารถจับกุมแรงงานชาวเมียนมาได้ 102 ราย บริเวณพื้นที่เส้นทางธรรมชาติ จ.กาญจนบุรี และพื้นที่ภาคตะวันออก จ.สระแก้ว ในวันที่ 13 พ.ค.64 จับกุมแรงงานชาวกัมพูชาลักลอบเข้าประเทศผ่านผู้นำพา จำนวน 23 ราย

พ.ต.หญิง จุฑาทิพย์ กล่าวว่า โดยการปฏิบัติของกองกำลังชายแดนทบ.ในขณะนี้ นอกจากการตรวจสกัดเข้มบริเวณแนวชายแดน เพื่อสร้างความมั่นใจในการควบคุมสูงสุด ยังคงร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังในพื้นที่ตอนใน ด้วยมาตรการเฝ้าตรวจและคัดกรองไม่ให้แรงงานต่างด้าวสามารถลักลอบเข้ามาได้ ตลอดจนเข้าพูดคุยกับผู้ประกอบการขอความร่วมมือการจ้างงาน ผ่านการลงทะเบียนแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี โดยเป็นไปตามความห่วงใยของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในการระดมกำลังพล ทรัพยากรที่มีของทบ.เข้าช่วยเหลือประชาชนจากภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันให้ยึดมาตรการ “พิทักษ์พล” โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันชายแดนของทบ. ซึ่งขณะนี้ได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรให้กำลังพลด่านหน้าแล้ว 5,946 นาย ตั้งแต่ 9 มี.ค.-16 พ.ค. 64 เพื่อพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เป็นกำลังสำคัญและเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาสต่อไป

โฆษก กห. ระบุ มีการปรับลดงบประมาณลงต่อเนื่องหลายปีหลังโควิด ยัน พร้อมแจงในสภา ชี้ ภารกิจหลักของทหารป้องกันประเทศ และการช่วยเหลือปชช. ในทุกเหตุภัย 

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึง กรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ได้ให้ข้อสังเกตถึงงบประมาณประจำปี 65 ที่กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรมากกว่ากระทรวงสาธารณะสุขนั้น กระทรวงกลาโหมพร้อมให้ข้อมูลถึงเหตุผลความจำเป็นตามกระบวนพิจารณาของรัฐสภาที่จะมีขึ้นใน มิ.ย.64  

อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหม มีภารกิจหลักในการป้องกันประเทศและการช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่องที่ผ่านมา โดยเฉพาะสถานการณ์ของโรคระบาดร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นเป็นวงกว้างและเป็นความท้าทายร่วมกันของทุกฝ่ายที่ต้องหันหน้าช่วยเหลือกัน ซึ่งกระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ได้ตระหนักถึงภาระงบประมาณของรัฐบาล ที่จำเป็นต้องนำไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และเยียวยาช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น 

“กระทรวงกลาโหม ได้มีส่วนร่วมพิจารณาปรับลดงบประมาณในภาพรวมของทุกเหล่าทัพลงกว่า 18,000 ล้านบาทในปี 63 และในปี 64 กระทรวงกลาโหมก็ได้รับการจัดสรรงบประมาณลดลงกว่าปี 63 จำนวนกว่า 17,200 ล้านบาท ต่อเนื่องมาถึง ปี 65 ทั้งนี้ แต่ละกระทรวงก็มีภารกิจที่แตกต่างกัน และ กระทรวงกลาโหม ขอยืนยันถึงความพร้อมในทุกภารกิจเพื่อประชาชน จึงไม่อยากให้นำงบประมาณของแต่ละกระทรวงไปเปรียบเทียบกัน” พล.ท.คงชีพ กล่าว   

ผ่อนคลายมาตรการกิจการร้านจำหน่ายอาหาร

จากที่ ศบค. ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายกิจการร้านอาหารในพื้นที่กทม. คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร จึงได้ประชุมพิจารณามาตรการผ่อนคลายกิจการร้านอาหาร ให้เป็นไปตามข้อกำหนดฯ แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 23) ที่กำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีมติให้ร้านอาหาร สามารถนั่งรับประทานอาหารในร้านได้ ไม่เกิน 21.00 น. โดยนั่งได้ไม่เกิน 25% ของจำนวนที่นั่งปกติ จำหน่ายอาหารแบบนำไปบริโภคที่อื่นได้ (Takeaway) ไม่เกิน 23.00 น. ห้ามดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน และให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

และยังคงปิดสถานที่ตามประกาศกรุงเทพมหานครปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 25) และ (ฉบับที่ 26) ต่อไป  

โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17-31 พ.ค. 64  ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 29) 

#โควิดกรุงเทพ #โควิด19 #COVID19


 

ผบ.ทสส. ห่วงใยปชช. จากการแพร่ระบาดโควิด-19 คลัสเตอร์หลักสี่ เร่งส่งมอบถุงยังชีพ สนับสนุนรัฐบาล แก้ไขปัญหาในทุกมิติ

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ตามที่ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ จึงได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในกองบัญชาการกองทัพไทย เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 

พล.ต.ภาณุพงศ์ สุวัณณุสส์ รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร เป็นผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด ให้กับสำนักงานเขตหลักสี่เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ในพื้นที่คลัสเตอร์ชุมชน บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีนายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผู้อำนวยเขตหลักสี่ เป็นผู้รับมอบ 

โดยสิ่งของอุปโภค-บริโภคประกอบด้วย เจลแอลกอฮอล์ เครื่องวัดอุณหภูมิ หน้ากากอนามัย และไข่ไก่ ซึ่งจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงเวลาของการกักตัวต่อไป

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย ยังคงเคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือนร้อน โดยจะใช้ทุกศักยภาพที่มีในการดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมทั้งจะดำเนินการช่วยเหลือในพื้นที่อื่น ๆ อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย

"สุทธวรรณ" จี้ "สมศักดิ์" แก้วิกฤตคลัสเตอร์เรือนจำ ปล่อยตัวผู้ต้องขังลดแออัด และต้องได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียม

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีมาตรการจัดการกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ ที่ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 6,853 คน ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมในเรือนจำทะลุหมื่นราย ว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ต้องรีบแก้ไขวิกฤตการระบาดในเรือนจำเป็นการด่วน ที่บอกจัดการได้ รับมือไหว อยากถามว่าจัดการได้จริง ๆ ใช่หรือไม่ โดยมาตรการหนึ่งที่สามารถทำได้ คือ เร่งปล่อยตัวผู้ต้องขัง เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ กรณีผู้ต้องขังที่คดียังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว และอาจพิจารณาปล่อยตัวผู้ต้องขังที่เหลือโทษไม่ถึงสามปีแล้วติดกำไล EM เมื่อได้ออกมาแล้วต้องมีการกักตัวและได้รับการตรวจหาเชื้อ ส่วนการตรวจคัดกรองเชิงรุกยังคงต้องทำอยู่ในเรือนจำและทัณฑสถานอย่างเข้มงวด และแยกตัวมารักษาให้ถูกต้อง

น.ส.สุทธวรรณ กล่าวต่อว่า นายสมศักดิ์ ได้กล่าวไว้ว่า ทุกเรือนจำทั่วประเทศต้องมีการเตรียมความพร้อมทำโรงพยาบาลสนาม และหากเรือนจำใดไม่มีพื้นที่ในการจัดทำโรงพยาบาลสนามก็ให้วางแผนไปใช้พื้นที่ของทัณฑสถานเปิดหรือสถานกักกันนั้น ตนจึงอยากขอให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ที่สำคัญต้องได้มาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอกอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ ขอฝากกำลังใจไปยังเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างหนักในภาวะวิกฤต และให้กำลังใจกับผู้ต้องขังที่ได้รับเชื้อรวมถึงเป็นกำลังใจให้ครอบครัวผู้เกี่ยวข้องทุกคนด้วย

“ตอนนี้ทุกภาคส่วนควรเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจัง ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องรีบดำเนินการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว จะปล่อยให้เกิดปัญหานักโทษล้นเรือนจำ จนติดโควิด-19 กันหมดไม่ได้” น.ส.สุทธวรรณ กล่าว

“บิ๊กบี้” สั่ง สกัดแรงงานต่างด้าวพร้อมสั่งขยายผลสู่ต้นตอกระบวนการ พร้อมมอบหน่วยทหารช่วยดูแล รร. รับเปิดเทอม

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564  ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานการประชุม ด้วยระบบออนไลน์กับหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อรับทราบผลการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหา COVID-19 พร้อมขอบคุณกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทน โดยให้กำลังพลดำรงการปฏิบัติตน ตามนโยบายของภาครัฐและมาตรการพิทักษ์พล เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดและพร้อมช่วยเหลือประชาชนได้ต่อไป  

โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ที่เฝ้าตรวจและสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเชื้อเข้าประเทศผ่านแนวชายแดน มีผลการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนถึงปัจจุบัน 

ทั้งนี้ผบ.ทบ. ได้ย้ำถึงการจับกุมแรงงานต่างด้าวตามเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดนจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการตรวจสอบพื้นที่ตอนใน รวมถึงขยายผลไปสู่ต้นตอของกระบวนการในการนำพาแรงงานเข้าประเทศ พร้อมมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการในเรื่องดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สำหรับในเดือน มิ.ย. 64  ซึ่งสถานศึกษาจะเปิดการเรียนการสอน สิ่งสำคัญในการเตรียมเปิดเทอม คือเรื่องของการทำสถานศึกษาให้สะอาดปลอดเชื้อ ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกมีความห่วงใยในเรื่องกล่าว ได้มอบให้หน่วยทหารของกองทัพบกทั่วประเทศ ประสานและเข้าสนับสนุนสถานศึกษา โรงเรียนในพื้นที่เพื่อร่วมการพัฒนาและเตรียมสถานศึกษาให้พร้อมรับการเปิดเทอม เพื่อดูแลให้นักเรียน บุคลากรของสถานศึกษามีความปลอดภัยต่อการติดเชื้อ โดยที่ผ่านมากองทัพบกได้ส่งชุดปฏิบัติการล้างสิ่งปนเปื้อนเข้าฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามโรงเรียนต่าง ๆ แล้วถึง 165 แห่ง

พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวอีกว่า เรื่องการช่วยเหลือประชาชนและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมการของหน่วยทหารรับมือกับสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน โดยกำชับให้ดูแลใน 2 เรื่อง คือ การระบายน้ำและการกักเก็บน้ำ โดยให้หน่วยทหารพิจารณาสนับสนุนการเปิดเส้นทางระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัย ด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำ กำจัดวัชพืช ขยะ เพิ่มช่องทางระบายน้ำในช่วงน้ำหลาก ในขณะเดียวกันให้สนับสนุนการเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อสำรองน้ำไว้ให้เกษตรกรใช้ในการเพาะปลูกหลังฤดูฝน

ทั้งนี้ เพื่อให้กำลังพลของกองทัพบกมีความพร้อมด้านร่างกาย เพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนการคลี่คลายสถานการณ์ COVID-19 ของรัฐบาลควบคู่ไปกับการช่วยเหลือประชาชน ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบให้ ศบค. 19 ทบ. และกรมแพทย์ทหารบกได้เตรียมการวางแผนบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพล และทหารกองประจำการ หากได้รับการสนับสนุนวัคซีนตามการจัดสรรจากสาธารณสุขในช่วงเดือน มิ.ย. 64 ซึ่งในปัจจุบันกำลังพลบางส่วนของกองทัพบกได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว อาทิ ผู้ปฏิบัติงานในกองกำลังชายแดน กำลังพลด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top