Monday, 23 June 2025
Politics

รมว.คลัง ระบุ ยังไม่มีแผนกู้เงินเพิ่ม เผยยังมีเงินสำรอง 3.8 แสนล้านบาท

วันที่ 29 เมษายน 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยังไม่มีแผนที่จะออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) กู้เงินเพิ่มเติม โดยยืนยันว่ากระทรวงการคลังยังมีงบประมาณในการดูแลสถานการณ์โควิด-19อีก 3.8 แสนล้านบาท โดยมาจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในสถานการณ์โควิด-19ในส่วนของเงินกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เหลือ 2.4 แสนล้านบาท และงบกลางของปีงบประมาณ 2564 ภายใต้งบกลางเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น 9.9 หมื่นล้าน และค่าใช้จ่ายในการบรรเทาโควิด-19 อีก 4 หมื่นล้านบาท

สำหรับการออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ในช่วงเดือน เม.ย. นี้ กระทรวงการคลังต้องขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก่อน เพราะมีการปิดบางกิจการ และการความร่วมมืองดการเดินทาง ซึ่งถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อ ประชาชนก็จะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น ถ้าจำกัดการแพร่ระบาดได้ ผลกระทบก็ลดลง ซึ่งตอนนี้นโยบาย เวิร์ค ฟอร์ม โฮม (Work form Home)ก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน

“นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้ดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ มาตรการก็มีหลายรูปแบบทั้งในส่วนของมาตรการเยียวยา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ผ่านมามาตรการคนละครึ่ง โดยให้ประชาชนมีส่วนช่วยเหลือ ก็ได้ผลดี แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ที่ยังอยู่ในช่วงของการระบาด ก็ต้องรอดูสถานการณ์ก่อนว่า จะออกมาตรการได้ในช่วงใด ตอนนี้มาตรการเราชนะ ม33 เรารักกัน ก็ยังมีเวลาเหลืออยู่ ยังเพียงพออยู่” นายอาคม กล่าว

ปชป. เผยหลังเปิดศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน โควิด-19 เพื่อช่วยผู้ป่วยตกค้าง ไม่มีเตียง พบเคสประสานมา กว่า 50 ราย ช่วยได้แล้วเกินครึ่ง

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ 2564 พรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ในฐานะหัวหน้าทีมผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 (ศปฉ.ปชป.) ที่มี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กรุงเทพมหานคร และนางสาวจิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร รองเลขาธิการพรรค เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้เปิดเผยว่าหลังจากที่ได้มีการแถลงข่าวเปิดศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 เพื่อช่วยประสานคลี่คลายปัญหาผู้ป่วยติดเชื้อตกค้างได้ให้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล ไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา ความคืบหน้าถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2564 สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยไปได้แล้ว 30 ราย จากที่ขอความช่วยเหลือประสานมา 49 ราย

โดยนางดรุณวรรณ กล่าวว่าอยากขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันอย่างเต็มที่ ทำให้สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่เสียสละ อดทน ทำงานกันอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยในสถานการณ์ ส.ส. อดีต ส.ส. อดีต ส.ก. อดีต ส.ข ในพื้นที่รวมถึงบุคลากรของพรรคและจิตอาสาที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันในยามที่ประเทศชาติเกิดวิกฤต 

ทั้งนี้ ทีมประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ของศูนย์ฯ (DEM Call Team) ของพรรคได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เปิดศูนย์ฯ มา ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือมาโดยตลอด ทั้งจากอดีต ส.ส. อดีต ส.ก. อดีต ส.ข ในพื้นที่ รวมถึงช่องทางออนไลน์ของพรรค ทีมได้พยายามประสานให้เร็วที่สุดในทันทีที่ได้รับข้อมูลมาจากทุกแหล่ง เพราะเข้าใจดีว่าหากผู้ติดเชื้อ Covid-19 ได้รับการช่วยเหลือช้า จะส่งผลต่อการดูแลตนเองและการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในขณะที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษาในสถานพยาบาลร่วมด้วย และขอขอบคุณสถานพยาบาลบางแห่งที่ได้ติดต่อมาเพื่อช่วยรับผู้ป่วย รวมถึง Hospitel ทั้งหมดนี้ ทีมงานจะเร่งประสานและส่งต่อข้อมูลไปยังผู้รับผิดชอบของภาครัฐเพื่อให้ดำเนินการตามมาตรการที่เหมาะสมต่อไป

“จากที่ขอความช่วยเหลือมาถึงปัจจุบันจำนวน 49 ราย และยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  เราช่วยไปแล้ว 30 ราย บางรายช่วยหาเตียงได้ภายในหนึ่งวัน ทำให้ผู้ป่วยถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม รวมถึง Hospitel และเข้าไปรับการรักษาตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางรายอยู่ระหว่างรอรถมารับ จากการประสานงานสิ่งที่น่ากังวลคือพบผู้ติดเชื้อบางส่วนรอเตียงไม่น้อยกว่า 4-5 วัน บางกลุ่มรอจนติดกันทั้งครอบครัว ทั้งนี้ภายใต้การทำงานของศูนย์ฯ จะพยายามทำให้เต็มที่ เพื่อช่วยให้ทุกคนปลอดภัยมากที่สุด ตามแนวทางที่ท่านหัวหน้าพรรค และท่านเลขาธิการพรรคได้กำชับและแสดงความห่วงใยมาโดยตลอด” นางดรุณวรรณ กล่าว 

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวเสริมด้วยว่าผู้บริหารพรรคได้ให้แนวทางไว้ว่าจะให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่ยังคงตกค้าง แบบไม่เลือกฝั่งเลือกฝ่ายอย่างเท่าเทียม ทั่วถึงและเสมอภาค โดยยึดหลักทำให้ "เร็ว" ช่วยให้ "รอด" ลดการ "กระจาย" เชื้อ และลด “อัตราการติดเชื้อ” ให้ได้มากที่สุด

ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อ ครอบครัวหรือผู้ที่เกี่ยวข้องของผู้ติดเชื้อที่ยังตกค้างไม่มีเตียง สามารถส่งข้อมูลหรือเรื่องราวร้องทุกข์ผ่านทางทีมบุคลากรของพรรคในพื้นที่ (Offline) ช่องทางบลูเฮ้าส์ 02 828 1010 รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ (Online) ของพรรค โดยช่องทางโซเชียลมีเดียของพรรคจะใช้ 2 ช่องทางหลักคือทางกล่องข้อความ Facebook : facebook.com/DemocratPartyTH และ Twitter : twitter.com/democratTH โดยการประสานงานจะเน้นสนับสนุนการทำงานของภาครัฐเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อส่งผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม หรือนัดหมายและส่งตัวผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อไปยังสถานพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย
 

พท.ชวนคนไทยนับหนึ่ง ลั่น “ประยุทธ์” ต้องลาออก ไม่ต้องอยู่เป็นนายกฯ อีกต่อไป

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564  ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท.แถลงว่า พรรค พท.อยากเห็นท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลต่อการบริหารงานผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านขีดเส้นตายการลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์จากการล้มเหลวผิดพลาดในการบริหารงานของ ดังนั้นการลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นการแก้วิกฤตในสถานการณ์วิกฤต เพื่อให้ประเทศนับหนึ่งใหม่อีกครั้งจากที่ผ่านมาติดลบ สิ่งที่รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ต้องทำคือการลาออก ทั้งจากการล้มเหลวการบริหารจัดการวัคซีน เงินกู้ 1 ล้านล้านที่ใช้ไม่เกิดประโยชน์ การบริหารแบบไม่กระจายอำนาจ รวบอำนาจ สะท้อนถึงความล้มเหลว ไม่ว่าจะรวบอำนาจอีกกี่ครั้งแต่นายกฯ ยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นนายกฯ อีกต่อไป 

นางสาวอรุณี กล่าวอีกว่า ส่วนที่ภาคเอกชนจะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมนั้น แต่รัฐบาลอาจมองว่าการจัดหาวัคซีนทางเลือกเป็นการกระทำระหว่างรัฐบาต่อรัฐบาล แต่ถ้าเอกชนที่มีศักยภาพควรให้มีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมได้ ดังนั้นอยากยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องนับหนึ่งใหม่ ประเทศก้าวต่อไปโดย พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออก

‘นายกโต้ง’ นพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร พร้อมคณะ สมทบเงินรวม 7 แสนบาท ร่วมกับ ‘กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ส.ส.ลูกช้าง’ นำโดย ชุมพล จุลใส - สุพล จุลใส อีก 3 แสนบาท รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาท มอบให้กับ ผวจ.ชุมพร ใช้ต่อสู้โควิด ที่ผู้ติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่อง

เมื่อเวลา 09.09 น. (29 เม.ย. พ.ศ.2564) ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 หน้าที่ทำการ อบจ.ชุมพร นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร,คณะผู้บริหาร, สจ.ของ "ทีมพลังชุมพร" และคณะ ร่วมกับ “กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ลูกช้าง นำโดย นายชุมพล จุลใส ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 จ.ชุมพร, นายสุพล จุลใส ส.ส.พรรครรวมพลังประชาติไทย เขต 3 จ.ชุมพรและเพื่อน ๆ ได้มอบเงินจำนวน 1 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นของคณะผู้บริหารและสจ.ของ "ทีมพลังชุมพร” และคณะ จำนวน 7 แสนบาท รวมกับของ “กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ลูกช้าง” อีก 3 แสนบาท โดยมี นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นายแพทย์จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชุมพร เป็นผู้รับมอบ

นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร กล่าว ในฐานะที่ผมเป็นนายก อบจ.ชุมพร ทราบดีว่า การต่อสู้เอาชนะกับโรคติดต่อร้ายแรงที่กำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครอบคลุมไปทั่วประเทศแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึง อสม.ต้องทุ่มเทและเสียสละอย่างหนักตลอด ซึ่งทาง อบจ.เองก็ได้สนับสนุนงบประมาณอยู่ตลอดเช่นกัน โดยเป็นไปตามภารกิจหน้าที่ตามกฎหมาย และตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน หากรอพียงการสนับสนุนงบประมาณของทางราชการเพียงอย่างเดียว ด้วยระเบียบและข้อกฎหมาย อาจไม่ทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้ การพร้อมใจกันสมทบเงินเป็นก้อนแรก เพื่อหวังว่าจะสามารถทำให้การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์มีความคล่องตัวและทันต่อสถานการณ์มากยิ่งขึ้น จนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้โดยเร็วในที่สุด หากจำนวนเงินดังกล่าวยังไม่เพียงพอ พวกเรายินดีที่จะระดมทุนเพิ่มให้ในโอกาสต่อไปอีก

ด้าน นายชุมพล จุลใส กล่าว ขณะนี้ชาวบ้านและพี่น้องประชาชน มีความเดือดร้อนอย่างหนัก มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่มีแนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ลูกช้าง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการพุดคุยหารือกันอยู่ตลอด ว่า จะมีวิธีใดบ้างที่จะสามารถช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ ชาวบ้านและพี่น้องประชาชนได้ เพราะพวกเรามาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน พี่น้องเดือดร้อน เป็นทุกข์ เราก็ต้องหาทางช่วยเหลือบรรเทา ซึ่งในเบื้องต้นจึงได้ร่วมกันกับ ทีมพลังชุมพร เพื่อมอบเงินให้กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชุมพร เพื่อให้เกิดความคล่องตัว จะได้ทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้


ธนากร โกศลเมธี รายงาน

'ราเมศ' หนุน พาณิชย์ จัดการเดลิเวอรี่ ขึ้นค่าบริการ เอาเปรียบ ปชช 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณี มาตรการรับมือโควิดพาณิชย์ สั่งคุมเข้มค่าบริการดีลิเวอรี่ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคว่า สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวเต็มที่ เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนมายังพรรคหลายรายอยากให้ภาครัฐเข็มงวด เพราะหากมีการเอาเปรียบโดยการขึ้นค่าบริการในการส่งของกินของใช้แบบเดลิเวอร์รี่ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนในสถานการณ์เช่นนี้ การสั่งอาหารมารับประทานที่บ้าน รวมถึงของกินของใช้สั่งผ่านระบบออนไลน์ ใช้วิธีการส่งแบบเดลิเวอร์รี่ ก็จะเป็นอีกหนึ่งความร่วมแรงร่วมใจป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นกัน

การที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พาณิชย์ ได้สั่งการให้แต่ละจังหวัดเข้าไปดำเนินการ เข้าไปตรวจสอบอัตราค่าบริการในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี่มากขึ้น เพราะในช่วงโควิดประชาชนหันมาใช้บริการการส่งแบบเดลิเวอรี่เพิ่มมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบเรื่องของราคาค่าบริการกับภาคประชาชน ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่ดี ที่จะทำให้ประชาชนไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จะช่วยประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญขณะนี้ เราคนไทยทุกคนจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกัน สามัคคีกัน ในทุก ๆ ด้าน พึ่งพาอาศัย เห็นอกเห็นใจกัน ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน เชื่อว่าเราจะก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปด้วยกันอย่างแน่นอน

“ธรรมนัส” ลั่น ปม “บิ๊กตู่” แบ่งงานคุมใต้ไม่มีปัญหา ยัน ไม่ได้ตีหัวเมืองใคร ปัดตอบ รมต.นินทานายกฯ เชื่อ พรรคร่วมไม่ตีจาก ไม่หวั่นศาล รธน.วินิจฉัย สถานะส.ส.-รมต.ปมติดคุก ตปท. 5 พ.ค.นี้ 

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี ที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดที่มอบหมายให้ ร.อ.ธรรรมนัส ดูแลภาคใต้ ว่า ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาทำงานในฐานะรมช.เกษตรฯ และตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม รวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. แต่งตั้งและมอบหมายให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ถือว่าได้ลงพื้นที่ทุกจังหวัดและทำพื้นที่มาตลอด

ดังนั้นการแบ่งงานให้รัฐมนตรีรับผิดชอบในแต่ละจังหวัด ไม่ใช่ประเด็นและไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดไหน ก็ไปเกือบทุกจังหวัดอยู่แล้ว ไปเยี่ยมประชาชนเดือดร้อนทุกที่ และการแบ่งงานเป็นอำนาจของนายกฯไม่ใช่อำนาจของรัฐมนตรี เมื่อตัดสินใจมอบหมายว่าให้ใครทำแล้ว หน้าที่ของรัฐมนตรีคือต้องทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ยังไม่ได้คุยกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้ ส่วนนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ก็คุยกันอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการมอบหมายให้ไปดูภาคใต้ ถูกมองว่าไปตีหัวเมืองพรรคร่วมรัฐบาล ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ใช่ 

เมื่อถามว่าเรื่องนี้อาจทำให้มีปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า คิดมากกันเอง อย่าไปคิดมาก เพราะเราทำงาน เป้าหมายสูงสุดคือพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่มีเรื่องอื่น เมื่อถามย้ำว่าจะกลายเป็นความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเป็นส.ส.พรรคพปชร. แต่มีพรรคพวกเยอะ ทุกพรรคเราเป็นเพื่อนกัน เป็นพวกกัน มีอะไรก็หันหน้าพูดคุยกัน 

เมื่อถามว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นในลักษณะยังไม่ค่อยพอใจ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ทราบเพราะเป็นความเห็นส่วนตัวของนายจุรินทร์ 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่นายกฯระบุในครม.เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ว่ามีคนนินทา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า เรื่องนี้ไม่ทราบและตนก็ไม่ค่อยอยู่ในครม.เพราะส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกฯลาออกเพราะบริหารจัดการแก้โควิด-19 ล้มเหลว รวมถึงไม่แก้รัฐธรรมนูญตามที่สัญญา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องโควิด-19 เวลานี้ ถ้าพูดภาษาทหารก็เป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นการต่อสู้ของมนุษย์ที่เป็นสิ่งที่ชีวิตกับสิ่งที่มองไม่เห็น และกระทบมนุษย์ทั่วโลก ดังนั้นคนไทยต้องช่วยกันทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต ทั้งรัฐและเอกชนเดินหน้าไปด้วยกัน คนไทยเรารักกันเมื่อมีวิกฤตต้องช่วยกัน อย่าเอาการเมืองมาเล่นมากเกินไป ส่วนข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านก็เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน โดยการแก้ปัญหารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภาที่ต้องขับเคลื่อน 

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจใช้สถานการณ์โควิด ตีตัวออกห่างจากพรรคพปชร.และนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างก็คิดว่าเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เวลานี้ประชาชนเดือดร้อนไม่ควรมาคุยเรื่องการเมือง แต่ให้ช่วยเหลือประชาชนเพราะคำตอบสุดท้ายประชาชนก็จะดูและพิจารณาว่าพรรคร่วมพรรคใดที่ประชาชนจะไว้วางใจและคิดว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นใด ประชาชนเขามองอยู่ 

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านวินิจฉัยวินิจฉัยสถานะส.ส. และสถานะรัฐมนตรี จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาจำคุก ของศาลต่างประเทศ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่กังวล เราทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายและเป็นอยู่ทุกวันให้ดีที่สุด 
 

กระทรวงแรงงาน เผยมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปกาตาร์ ช่วงโควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจ้งคนหางานที่จะเดินทางไปทำงานรัฐกาตาร์ ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกาตาร์กำหนด โดยต้องมีวีซ่าทำงานประเภท Work-Yearly Resident และใบอนุญาตเข้าเมือง พร้อมทั้งตรวจสุขภาพ และตรวจหาเชื้อโควิด-19 ณ โรงพยาบาลที่รับรองจากฝ่ายกาตาร์ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากทำให้แรงงานไทยได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมี ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยสำหรับรัฐกาตาร์ กระทรวงแรงงานได้พิจารณาให้ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากประเมินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของรัฐกาตาร์ว่ามีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาด้านกฎระเบียบ และกฎหมายที่ดีขึ้น เอื้อประโยชน์แก่แรงงานไทย ตลอดจนตลาดแรงงานในรัฐกาตาร์ยังต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือ สำหรับโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก 

นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกระทรวงแรงงานให้แจ้งมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปยังรัฐกาตาร์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้

1.) คนหางานที่เดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์จะต้องได้รับการตรวจลงตราเพื่อการทำงานประเภท Work-Yearly Resident พร้อมใบอนุญาตเข้าเมือง (Exceptional Entry Permit) โดยนายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการให้โดยระบบออนไลน์

2.) คนหางานก่อนเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์ จะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากโครงการตรวจสุขภาพสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (Expatriate Health Check-up Program) ของสภาสาธารณสุขกลุ่มประเทศอ่าว (Gulf Health Council States) ซึ่งมีจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ (1.) โรงพยาบาลเวชธานี (2.) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (3.) โรงพยาบาลกรุงเทพ (4.) โรงพยาบาลปิยะเวท และ (5.) โรงพยาบาลรามาธิบดี 

3.) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ารัฐกาตาร์สามารถตรวจหาเชื้อ COVID-19 ภายใน 48 ชม. ก่อนเดินทางจากโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากฝ่ายกาตาร์ ได้แก่ (1.) โรงพยาบาลเวชธานี (2.) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ (3.) โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,500-8,000 บาท กรณีคนหางานตรวจหาเชื้อ COVID-19 จากโรงพยาบาลที่ได้รับรองจากรัฐกาตาร์ เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้ออีก แต่หากตรวจหาเชื้อ COVID-19 นอกเหนือจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งที่กล่าวมา เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่ท่าอากาศยานกรุงโดฮาอีกครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

4.) หากผู้ที่เดินทางเข้าไปรัฐกาตาร์ที่ยังไม่มีบัตรถิ่นพำนัก (QID) จะต้องกักตัวที่โรงแรมเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน โดยนายจ้างต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ทั้งนี้ หากแรงงานที่เข้ารับการกักตัวไม่สามารถพักห้องเดี่ยวได้จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

5.) เมื่อพ้นระยะเวลาการกักตัว นายจ้างจะต้องนำลูกจ้างไปตรวจโรคเพื่อจัดทำบัตรถิ่นพำนัก (QID) และจัดทำบัตรสุขภาพต่อไป

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้ประชาชน คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์  ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศและเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่

1.) บริษัทจัดหางานจัดส่ง

2.) กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง)

3.) นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ

4.) นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ

5.) คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการตามมาตรฐานที่พึงมี และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ 

“ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการไปทำงานในต่างประเทศ โทรศัพท์ 02-245-6708-9 ในวันและเวลาราชการ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694”  นายไพโรจน์ฯ กล่าว

“วิรัช” ป้อง “นายกฯ” แก้ โควิด-19 ดีเลิศ ชี้ หากเป็นคนอื่นคงบริหารห่วย วอน พักการเมือง หันจับมือ ฝ่าวิกฤตก่อน

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวถึงการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล ว่า การจัดการในต่างจังหวัดดีกว่ากรุงเทพมหานคร เพราะดูแลเข้มงวด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการ หากพบว่ามีการติดเชื้อในหมู่บ้านใดจะสั่งปิดหมู่บ้านนั้นทันที ต่างจากกรุงเทพฯที่ต้องระดมหลายหน่วยงานเข้ามาแก้ไขปัญหาช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยตกค้าง ดังนั้นในภาวะนี้ไม่อยากให้การเมืองไปเพิ่มความวุ่นวายกับรัฐบาล ที่ต้องตั้งหลักแก้ไขปัญหา ส่วนที่หลายฝ่ายอยากให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีลาออก มองว่าไม่ใช่ประเด็น เพราะเป้าหมายของพรรคพปชร.คือทำอย่างไรให้การบริหารสถานการณ์โควิดผ่านไปได้ด้วยดี

ผู้สื่อข่าวถามว่าเวลานี้สังคมวิจารณ์ว่ารัฐบาลบริหารงานห่วย นายวิรัช กล่าวว่า ยอมรับว่ามีผู้ติดเชื้อมาก และที่หนักคือในพื้นที่กรุงเทพฯแต่ประเมินแล้วว่า สถานการณ์น่าจะเอาอยู่ สิ่งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี บริหารถือว่าดีเกินสำหรับการบริหารในสถานการณ์ช่วงวิกฤต เพราะแก้ไขทุกสถานการณ์ได้ฉับไว และไม่ห่วยเพราะถ้าเป็นคนอื่นมาบริหารคงจะห่วยกว่านี้ ส่วนที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เรียกร้องให้นายกฯลาออก ในสายตาฝ่ายค้านบริหารอย่างไรก็ไม่ดี ต้องว่าตลอด แต่สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล คิดว่านายกฯบริหารดีอยู่แล้วและต้องให้กำลังใจอย่างเต็มที่

เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล บางคน แสดงความเห็นโจมตีนายกฯนายวิรัช กล่าวว่า เห็นเพียงแค่ 2-3 ราย และมี ส.ส.พรรคพปชร.ตอบโต้กลับไป ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.แต่ละคน อย่าเก็บเป็นประเด็นที่ผ่านมาก็มีมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้ตนประสานงานภายในพรรคร่วมรัฐบาลตลอด หากมีเหตุการณ์ที่กระทบกระทั่งบ้างก็ต้องห้ามปราม เป็นเรื่องปกติของพรรคร่วมรัฐบาลแต่พยายามขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่นิ่งเพื่อให้การบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 

“ศุภชัย” เปรียบ “เสี่ยหนู” ยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่บ้านกระสุนตก ฝาก “บิ๊กตู่” มองให้ดีสงครามโควิด ใครเป็นขุนศึกร่วมรบ-รับหอกดาบแทน ถ้าไม่ใช่ “อนุทิน” ชี้ แคมเปญล่ารายชื่อไล่พ้นรมว.สธ. แค่ระบายอารมณ์-หวังผลทางการเมือง

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า นาทีนี้ “ชายเดียว” ที่ยืน “โดดเดี่ยว” ในหมู่บ้านกระสุนตก คงหนีไม่พ้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่โดนจัดหนัก จัดเต็ม ถูกจับเป็น “แพะ” บูชายัญ จากสถานการณ์โควิด-19 ทันทีที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อดีดขึ้นไปถึงพันจนทะลุสองพันกว่า บาปทุกอย่างก็ตกอยู่ที่ “เสี่ยหนู” ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการระบาดในสถานบันเทิงรอบนี้ กระทรวง หมอ ก็เสนอมาตรการป้องกัน และคาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ว่าหากไม่มีการจัดการใด ๆ หลังสงกรานต์จะเกิดอะไรขึ้นเอาไว้แล้ว

ทว่า เหตุผลทาง “เศรษฐกิจ” นำ “สุขภาพ” ดังนั้น ในเวลาที่คนทั่วไปกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “หมอหนู” จึงต้องทำงานที่ “หนัก” อยู่แล้ว ให้ “หนักขึ้นไปอีก” เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วัคซีนก็ยังต้องหา วางแผนการฉีด เตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ จนเมื่อเกิดภาวะ “ฝีแตก” ผู้ติดเชื้อสูงสุดเกือบเหยียบ 3 พัน มีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้เตียง มีผู้เสียชีวิต คนบางกลุ่มก็ชี้ว่า เป็นความผิดของ “อนุทิน” ระดมทำแคมเปญลงชื่อขับไล่พ้นจาก “เก้าอี้” เพื่อระบายอารมณ์ และหวังผลทางการเมือง

ปัญหาการจัดส่งผู้ป่วย การจัดหาเตียง “มีจริง” ตัว “เสี่ยหนู” ก็ยอมรับ และแก้ไขด้วยการตั้งศูนย์แรกรับ ส่งต่อผู้ป่วย แบบไม่ปริปากถึงเรื่องราวเชิงลึกใด ๆ แม้เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่า “ปัญหานี้” เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ กทม. ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจเต็มของสธ. ถามว่า 76 จังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทำไมไม่มีปัญหาแบบนี้ คำตอบจึงอยู่ในคำถาม ที่ผ่านมาสิ่งที่ “เสี่ยหนู” ทำ คงไม่ได้ดีที่สุด ถูกใจทุกคนที่สุด แต่การทำงานที่ผนึกกับทีม สธ. จนทำให้ไทยประคับประคองสถานการณ์สู้กับโควิด -19 มาได้จนถึงวันนี้  

การจัดหาวัคซีนซิโนแวค ด้วยคอนเน็คชั่นส่วนตัว เต็มใจควักกระเป๋า ถ้าจะทำให้จัดส่งเร็วขึ้น การวางแผนจัดหาวัคซีน ที่ไทยไม่เข้าร่วมโคแวค ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วว่าโคแวค ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ตามที่ตกลงไว้  แต่ไทยมีสยามไบโอไซแอนท์ ที่ผลิตวัคซีนได้ภายในประเทศของเราเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีอยู่ในสต็อก คน ๆ นี้ ไม่มี “เครดิต” เลยหรือ
        
ส่วนการที่ “นายกลุงตู่” ใช้วิธีพิเศษ รวบอำนาจจากหลายกระทรวง และตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ เพื่อมาทำเรื่อง โควิด-19 ก็ไม่ใช่เครื่องหมายที่จะมาตีตราว่า “เสี่ยหนู” กับ กระทรวงหมอจัดการไม่ได้ เพราะถ้ามองให้ดี ๆ จะเห็น “ชัดในชัด” ว่าไม่มีอะไร “ใหม่” ทั้งการหาวัคซีน การฉีดวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ สธ. วางแผนไว้ทั้งสิ้น สิ่งที่ “นายก” ทำคือการบริหารอารมณ์ ความรู้สึกของภาคเอกชน ให้คนมีความคิดเห็นได้มีพื้นที่แสดงออก มีส่วนร่วมในการทำงาน
       
แค่อยากฝากถึง “บิ๊กตู่” ว่าในการศึกโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ใครคือขุนศึกร่วมรบ ก็เห็นมีแต่ “รองนายกหนูเพียงหนึ่งเดียว” ที่เป็น “หนังหน้าไฟ” ออกมา “ไฟท์” กับทุกเหตุการณ์ ฟาดกับฝ่ายตรงข้าม รับหอกรับดาบให้ลุงอย่างไม่เกรงสิ่งใด คำตอบชัดคือ “เสี่ยหนู” เวลานี้รัฐบาลควรเป็นหนึ่งเดียว อย่าให้ผู้ไม่หวังดีที่คอยเป่าขนหาแผล คิดว่าเจอรอยแยก แล้วปั่นให้ปริแตก “คนที่มีใจจริง” ไม่ใช่คนที่ออกฉาก แล้วมีแต่คำพูดที่สวยหรู แต่คือคนไม่ฆ่าน้องที่ทำงานใต้บังคับบัญชา ไม่ฟ้องนายที่เป็นผู้นำทีม ไม่ขายเพื่อนที่ต้องทำงานร่วมกัน

#คนภูมิใจไทย
#พรรคภูมิใจไทย

‘อนุทิน’ เยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ‘นิมิบุตร’ ตั้งเป้า 1 สัปดาห์ไม่มีผู้ป่วยตกค้างที่บ้าน พร้อมวางแผนหลังรักษาผู้ป่วยหมดแล้วเปลี่ยนโรงพยาบาลสนามเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มวอร์คอินไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบ 

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปตรวจศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ โดยศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 แห่งนี้ จะเป็นศูนย์ช่วยบริหารจัดการสำหรับผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ยังตกค้างอยู่ที่บ้านยังไม่สามารถหาเตียงในสถานพยาบาลได้ เป็นศูนย์ที่ผู้ป่วยติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ 02-079-1000 เพื่อให้รถไปรับที่บ้าน หรือเดินทางมาเองโดยรถส่วนตัว เพื่อเข้ารับการดูแลเบื้องต้น คัดกรองและแยกระดับอาการเขียว เหลือง แดง ก่อนส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามอาการ ซึ่งจะลดปัญหาผู้ป่วยติดค้างที่บ้านได้ 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า หน่วยงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ระดมสรรพกำลังในการจัดตั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาคอขวดการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพฯ โดยผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ของเครือข่ายเอไอเอส เบอร์ 02-079-1000 จำนวน 40 คู่สาย จากนั้นจะมีรถจากเครือข่ายต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมทำงานไปรับที่บ้านมายังศูนย์ หรือสามารถเดินทางมายังศูนย์ด้วยตนเองแต่ต้องมาด้วยรถส่วนตัว จากนั้นศูนย์จะตรวจคัดกรองอาการแล้วส่งต่อไปยังสถานพยาบาลต่อไป หรือหากเกิดกรณีโรงพยาบาลเต็มที่ศูนย์ก็มีเตียงรองรับ 200 เตียง 

“ที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยไม่ทัน กระทรวงสาธารณสุข คำนึงถึงภาวะจิตใจของประชาชนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่รอรถพยาบาลอยู่บ้าน ท่านคงมีความกังวล ญาติ ๆ สมาชิกในครอบครัวก็คงจะกังวล จึงระดมเครือข่ายทั้งหมดเข้ามาทำงาน ซึ่งโดยได้รับความกรุณาจากท่านพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ท่านปลัด การกีฬาแห่งประเทศไทย กรมพลศึกษาตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข เรามีเป้าหมายว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะไม่มีผู้ป่วยติดค้างและไม่ได้รับการรักษา เรามีอุปกรณ์เวชภัณฑ์พร้อม มีระบบการส่งต่อ คัดแยกพร้อมจะแก้ไขปัญหานี้ได้” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแผนว่าภายหลังสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้หมดแล้วจะปรับทั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามที่เกิดขึ้นทั่วประเทศเป็นสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สะดวกในการลงทะเบียนผ่านระบบจองวัคซีน คือเพียงมีบัตรประชาชนก็เข้ารับวัคซีนได้ โดยพื้นที่โรงพยาบาลสนามเดิมจะสะดวกกับการให้บริการเนื่องจากวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนใหม่ ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับเป็นพื้นที่เฝ้าสังเกตอาการหลังการฉีดวัคซีน 30 นาที  

“ที่เราจะให้มีพื้นที่สำหรับผู้ที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีนได้ เพราะเรามั่นใจว่าจะมีวัคซีนส่งเข้ามาจำนวนมาก ตั้งแต่ 1 มิถุนยน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป เพียงพอให้ประชาชนที่จองผ่านทางแอปพลิเคชั่น กับอสม. รวมถึงช่องทางอื่น ๆ รับเป็นบุคคลเป็นกลุ่ม ตลอดจนผู้จะวอร์คอิน โดยทุกกลุ่มจะได้รับรับวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top