Thursday, 19 June 2025
Politics

“อนุทิน" รับกังวลเทศกาลสาดสีเชียงใหม่ หวั่นแพร่ระบาดโควิด-19 ลั่น!ใครอนุญาตต้องรับผิดชอบ

วันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเทศกาลสี HOLE Festival เฉลิมฉลองแบบอินเดียที่ไนท์บาซาร์ จ.เชียงใหม่ว่า ตนก็เป็นกังวล ต้องรีบหารืออธิบดีกรมควบคุมโรค และปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่า เป็นการอนุญาตจัดงานแบบนี้อยู่บนพื้นฐานอะไร เพราะการติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้อยู่ที่ว่าไม่ได้สาดน้ำแต่มาสาดสีจะไม่ติดเชื้อ แต่ที่ติดเพราะเป็นการรวมตัวของผู้คน มีการกระจายละอองฝอยลมหายใจกัน ซึ่งต้องเช็คดูก่อน เพราะตนเพิ่งทราบเมื่อเช้านี้ ส่วนที่บางคนบอกว่าสาดสี ไม่ได้สาดน้ำ ความจริงแล้วมันก็เหมือนกัน มันไม่ได้เกี่ยวว่าสาดอะไร มันเกี่ยวกับการเข้ามารวมกลุ่มกันมากกว่า ซึ่งตนก็ถามไปว่าใส่หน้ากากอนามัยกันหรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ใส่ ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็มีโอกาสยุ่ง

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะทำให้เป็นบรรทัดฐานขยายไปทั่วประเทศหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องเช็คดูก่อนว่าเขามีมาตรการป้องกันอย่างไร แต่เรื่องการอนุมัติ อนุญาตอะไรต่าง ๆ ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ในแต่ละจังหวัดก็เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้อนุมัติโดยรัฐบาล ดังนั้น ผู้ว่าฯต้องประเมินสถานการณ์ และว่ากันเป็นกรณี ๆ ไป แต่ที่จ.เชียงใหม่ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วที่ร้านวอร์ม อัพ คาเฟ่ ฉะนั้นก็ต้องระวัง เพราะเชื้อมันยังอยู่ เมื่อถามว่า แบบนี้ต้องกำชับผู้ว่าฯเรื่องการจัดงานหรือไม่ คงไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ไปกำชับผู้ว่าฯ ตนมีอำนาจในการกำชับปลัดกระทรวงสาธาณณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค และสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อ โดยมีผู้ว่าฯเป็นประธาน ซึ่งขั้นตอนตนก็จะไปตามขั้นตอนของตนก่อน เรื่องนี้เป็นอำนาจอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ใครอนุญาตไปก็ต้องรับผิดชอบ

ตัวแทนกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) แจ้งความเอาผิด ม.112 ‘มายด์ ภัสราวลี’ ปราศรัยม็อบแยกราชประสงค์ ด้านรอง ผกก.(สอบสวน) สน.ลุมพินี เรียกรับทราบข้อกล่าวหา 8 เม.ย.นี้

นายจักรพงศ์ กลิ่นแก้ว ตัวแทนกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) แจ้งความกับ ร.ต.ท.เมธาธาร สุขม่วง รอง สว.(สอบสวน) สน.ลุมพินี ให้เอาผิด น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ แกนนำกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย จากการปราศรัยจาบจ้วงสถาบันที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 โดยนำหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ คำถอดเทปการปราศรัยมามอบให้กับพนักงานสอบสวน

นายจักรพงศ์ กล่าวว่า ผู้ที่ปราศรัยในวันดังกล่าว มีนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ และ น.ส.เบนจา อะปัญ แต่ในวันนี้จะเน้นเอาผิด น.ส.ภัสราวลี หรือมายด์ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากมีการพูดปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันที่ทำร้ายจิตใจคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันทั้งประเทศ จึงเป็นตัวแทนผู้ที่รักสถาบัน ทำหน้าที่รวบรวมหลักฐานภาพและคลิปวิดีโอมาถอดถ้อยคำปราศรัยในวันดังกล่าวมาประกอบการแจ้งความในวันนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า การกระทำดังกล่าวนั้นสมควรแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบหลักฐานของตำรวจว่าจะมีผู้ใดกระทำผิดเข้าข่ายข้อหานี้อีกหรือไม่

ด้าน พ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงศ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ลุมพินี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีประชาชนมาแจ้งความให้ดำเนินคดีในความผิดตาม ม.112 ไว้แล้ว ซึ่งที่ประชุมชุดสืบสวนสอบสวน ได้พิจารณาประกอบกับข้อหาอื่นๆ ที่เตรียมแจ้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรค ไว้ก่อนหน้านี้ จึงรวมสำนวนและออกหมายเรียกแกนนำผู้ชุมนุมกับแนวร่วมมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 8 เม.ย.นี้


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เล่าถึงบรรยากาศในห้องพิจารณาคดี หลัง ‘รุ้ง-ไมค์’ ได้ร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจกับกระบวนการยุติธรรม จนตัวเองต้องอดร้องด้วยไม่ได้ว่า...

นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เล่าถึงบรรยากาศในห้องพิจารณาคดี หลัง ‘รุ้ง-ไมค์’ ได้ร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจกับกระบวนการยุติธรรม จนตัวเองต้องอดร้องด้วยไม่ได้ว่า...

สมยศ พฤกษาเกษมสุข แถลงว่า การไม่ให้ประกันตัวเป็นอุปสรรคในการต่อสู้คดี และไม่เป็นธรรม เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ระหว่างต่อสู้คดีตนเองก็คงต้องติดคุก

ไปแบบนี้เรื่อย ๆ ขอให้ศาลมอบโทษประหารชีวิตให้เพื่อยุติปัญหา เขาพร้อมพลีชีพสังเวยความไม่ยุติธรรม

ด้าน ไมค์ ภานุพงศ์ ร้องไห้น้ำตาไหล เพราะมันคับแค้นจุกแน่นอยู่ในอก ถึงความไม่ยุติธรรม

ไมค์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ชนิดที่แม่ของเขาเองก็ยังแปลกใจ

“มันไม่เป็นธรรมกับเราเลยนะพี่ ไมค์ไม่ได้กลัว จะติดก็ติดไป แต่อยากได้เพียงความยุติธรรมแค่สิทธิในการประกันตัวเรายังไม่ได้ เราจะได้ความยุติธรรมจริง ๆ หรอพี่”

ขณะที่ เพนกวิน เข้ามาในห้องพิจารณา ร่างกายซูบผอมลงไปเยอะ อิดโดยเต็มที ใบหน้าซีดขาว แขนข้างซ้ายของเขามีสายระโรงระรางเต็มไปหมด ใช่ มันคือสายน้ำเกลือ แขนของเขาถูกเจาะเพื่อใส่น้ำเกลือลงไป เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดจาสื่อสาร เพราะอดอาหารประท้วงทวงคืนสิทธิขั้นพื้นฐานในการประกันตัวมาแล้วกว่า 14 วัน

รุ้ง ปนัสยา กล่าวแถลงด้วยน้ำตา สรุปความได้ว่า หนูเป็นเพียงแค่นักศึกษา อายุแค่ 22 ปี

หนูฝันถึงสังคมและอนาคตที่ดีกว่า การที่หนูออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหนูผิดอะไร หนูกับเพื่อนอีกหลายคนไม่ได้ประกันตัว พวกเราถูกบังคับไม่ให้มีโอกาสนั้น

หนูกลัวค่ะ หนูกลัวว่าเพื่อนหนูจะเป็นอะไรไป หนูบอกเพนกวินว่า หนูกลัวมันตาย แต่เพนกวินตอบว่า ถ้าจะตายก็ให้ตายไป หนูคิดมาตลอดว่า “เราสู้เพื่ออยู่ ไม่ได้สู้เพื่อตาย แต่ถ้าจะมีใครตาย ก็ขอให้ตายเพื่อคนที่ยังอยู่”

และวันนี้หากไม่ได้รับสิทธิประกันตัวอีก จะขอประกาศอดอาหารด้วย โดยจะเริ่มจากการรับประทานวันละมื้อ และลดลงเหลือรับประทานแค่น้ำ นม และสารอาหาร

“ขอให้การตายของเราเป็นสายธารนำความหวังสู่สังคม”

ผมนั่งเงียบฟังเสียงรุ้งแถลง...

ก้มหน้าก้มตาไม่ได้หันมองใคร...

น้ำตามันไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่...

นับเป็นครั้งที่สองที่ผมมีน้ำตาในห้องพิจารณา…

ที่มา: https://www.nationtv.tv/main/content/378819670


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"ธนาธร" รุดเข้ารับทราบข้อกล่าวหาไลฟ์เฟซบุ๊กวิจารณ์การจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ยัน ไม่กังวลถูกหมายเรียก ม.112

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เข้าพบ พ.ต.ท.อธิป ดอนนันชัย รองผกก. สน.นางเลิ้ง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหามาตรา 112 ที่ นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีไลฟ์เฟซบุ๊กบรรยายหัวข้อ”วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย” ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลที่มีความล่าช้า และตั้งข้อสังเกตถึงการถ่ายโอนเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้ามายังบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์

โดยนายธนาธร กล่าวว่า ได้รับหมายเรียกจากการวิจารณ์กลยุทธ์การบริหารจัดซื้อจัดหาวัคซีนโควิด-19 แต่ตนไม่มีความกังวล และยังยืนยันว่า หากกลับไปฟังการอภิปรายจะไม่มีข้อความใดที่ละเมิดข้อหานี้เลย ส่วนกรณีกระทรวงเศรษฐกิจเพื่อดิจิทัลและสังคม (ดีอีเอส) ได้ขออนุญาตศาลให้ถอดเฟซบุ๊กไลฟ์นั้น ศาลชั้นต้นตัดสินให้คงคลิปไว้ได้ ส่วนการแจ้งข้อหาวันนี้ ก็อยู่ที่ตำรวจว่าจะพิจารณาอย่างไร เพราะตนมีเจตนาดีต่อสังคม ซึ่งสิ่งที่พูดไว้เมื่อ 2 เดือนก่อนเป็นจริงแล้วในตอนนี้ หากพึ่งบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไป ก็อาจเป็นความเสี่ยงต่อสังคม

นายธนาธร กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีนตอนนี้แบ่งเป็นเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจัดหา และเรื่องการฉีด ตอนนี้เรามีวัคซีนค้างสต็อกกว่า 1 ล้านโดสที่ยังไม่ฉีด โดยฉีดไปเพียง 1.5 แสนเข็มตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ. ถึงตอนนี้ ตกวันละ 5,000 โดส แสดงว่าไม่มีประสิทธิภาพในการฉีด หากจะหมด 1 ล้านโดส ต้องใช้เวลา 200 วัน จึงจะหมดสต็อก หากไม่ทวงถามไม่ตรวจสอบประชาชนคงไม่ทราบ เหตุใดไม่รีบฉีดในเมื่อมีวัคซีนในมือ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทั้งหมดมีปัญหา

เมื่อถามว่าคาดคิดหรือไม่ว่าจะต้องมารับทราบข้อกล่าวหาในมาตรา 112 นายธนาธร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดึงสถาบันมาปกปิดความผิดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า การถูกหมายเรียกในวันนี้จึงไม่เหนือความคาดหมาย ไม่มีหลักฐานอะไรต้องนำมาชี้แจง เพราะตนบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีประเด็นอะไรที่ก้าวล่วง

นายธนาธร กล่าวอีกว่า วันนี้มีการใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน กี่ครั้งแล้วที่มีผู้มาชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล กรณีการสลายชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้า ที่มีความสงบสันติและมีข้อเรียกร้องชัดเจน ต้องเรียกร้องรัฐบาลว่าหากต้องการให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เสมอภาค

ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบ.ช.น. กล่าวว่า กรณีนี้เป็นกรณีที่นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งความร้องทุกข์กับ สน.นางเลิ้ง ว่านายธนาธรกระทำความผิดโดยได้วิพากย์วิจารณ์เรื่องวัคซีนในเฟซบุ๊ก ซึ่งพนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานที่เชื่อว่านายธนาธรได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 ซึ่งวันนี้เมื่อรับทราบข้อกล่าวหาเสร็จก็ไม่ได้ควบคุมตัว และจะให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"แรมโบ้" ซัด "จตุพร" นัดเคลื่อนไหว ระวัง!ถูกผสมโรง

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ พีส ทอล์ค ชวนประชาชนร่วมระดมความเห็นจัดขบวนความคิด ในวันที่ 4 เมษายน ไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า นายจตุพร ต้องทบทวนการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย เป็นการซ้ำเติมประเทศในขณะที่กำลังประสบปัญหากับการระบาดโควิด-19 

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนประเด็นทางการเมืองการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าไปตามกระบวนการขั้นตอนของรัฐสภาอยู่แล้ว นายจตุพรคงจะเป็นจะตายถ้ารัฐธรรมนูญไม่ได้ดั่งใจ คงเดือดร้อนกว่าการแพร่เชื้อไวรัสโควิดหรืออย่างไร คนตายทั้งประเทศเพราะพิษโควิดไม่เป็นไร ขอให้รัฐธรรมนูญสมดังใจนายจตุพรเอาเช่นนั้นหรือ คิดแค่นี้ก็เห็นแก่ตัวไม่สงสารชีวิตพี่น้องประชาชน 

นายเสกสกล กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกฯได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนกับประเทศชาติไปบ้างแล้ว มีการแก้ไขปัญหา และพัฒนาประเทศอย่างไร ไม่ใช่แต่กลัวว่านายกฯ จะสืบทอดอำนาจต่อหรือไม่ ยืนยันว่านายกฯ ให้การสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอดมา ปล่อยให้สมาชิกรัฐสภาว่ากันเองแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ปล่อยให้เป็นอิสระ นายจตุพรอย่ากินไม่ได้ถ่ายไม่ออก ไม่ได้อะไรสมดังใจก็ใส่ความแต่นายกฯ 

นายเสกสกล กล่าวว่า ขอเตือนนายจตุพรอีกครั้ง อาจจะมีกลุ่มที่เคลื่อนไหวล้มสถาบันอยู่ในขณะนี้นำเรื่องสถาบันมาผสมโรงกับการเคลื่อนไหวนายจตุพรด้วย และอาจถูกหลอก ถูกใช้เป็นเครื่องมือแบบไม่รู้ตัว  เหมือนเหตุการณ์ในอดีตที่นายจตุพร พาคนเสื้อแดงมาตายไปกี่คน ยังไม่สงสารดวงวิญญาณคนเหล่านั้นหรือ ควรหยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว หัดรู้จักเอาบทเรียนมาปรับทัศนคติ ให้รู้จักรับผิดชอบชั่วดี ให้กับชีวิตตนเองบ้างเถิด

รมว.แรงงาน แจงยอดปล่อยกู้กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ปีงบ 64 คงเหลือพร้อมให้กู้ 3.7 ล้าน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หลังปล่อยกู้ดอกเบี้ย 0% นาน 12 งวด ย้ำยังมีวงเงินให้กู้ สำหรับผู้เข้าเงื่อนไขที่กรมการจัดหางานกำหนด

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพคล่องในการใช้จ่ายรวมทั้งการดำเนินการของผู้รับงานไปทำที่บ้าน กระทรวงแรงงานจึงพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน อยู่ในอัตราร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1 -12  ภายใต้กรอบวงเงิน 7,000,000 บาท 

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานนอกระบบผู้กู้ยืมเงินกองทุนฯ ตามที่นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรองนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำเสมอในเรื่องการดูแลแรงงานนอกระบบให้สามารถอยู่ได้ มีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริมคุ้มครอง และพัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

“สำหรับผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 29 มีนาคม 2564) ปล่อยกู้แล้วทั้งสิ้น จำนวน 20 กลุ่ม เป็นเงิน 3,210,000 บาท โดยยังมีวงเงินคงเหลือสำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการกู้ยืมเงินกองทุนฯ อีก 3,790,000 บาท ซึ่งผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการเงินทุน และเข้าเกณฑ์เงื่อนไขของกรมการจัดหางาน สามารถยื่นคำขอกู้เงินได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า สำหรับการกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ที่คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1- 12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ภายในกรอบวงเงิน 7,000,000 บาทนั้น มีเป้าหมายเพื่อให้แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้รับงานไปทำที่บ้าน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเริ่มให้ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา จนถึง 31 สิงหาคม 2564 โดยต้องทำสัญญากู้ยืมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 

“คุณสมบัติผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้าน หรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน  มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท รายบุคคลกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 2 ปี และรายกลุ่มบุคคลไม่เกิน 300,000 บาท 

ระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2548 – ปัจจุบัน  มีผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จำนวน 1,034 ราย/กลุ่ม สมาชิกจำนวน 5,993 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จำนวน 509 ราย/กลุ่ม (29 ราย/480 กลุ่ม) เป็นเงิน 52,016,000 บาท” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ชินวรณ์ ฝากการบ้าน รมว.ศธ.คนใหม่ 5 ข้อ ขอให้ทำทันที

30 มีนาคม 2564 นายชินวรณ์ บุญญเกียรติ ส.ส. จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความยินดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง พร้อมทั้งชื่นชมการประกาศ 12 นโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และ 7 มาตรการเร่งด่วน ที่นับได้ว่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและตรงกับสถานการณ์และสภาพปัจจุบันปัญหาการศึกษาของประเทศในขณะนี้

"ขอเป็นกำลังใจและให้กล้าตัดสินใจเดินหน้าอย่างจริงจัง การศึกษาไม่มีเวลาให้ใครมาลองผิดลองถูกอีกต่อไป และขอให้ระวังกับดักของข้าราชการระดับสูง (ยกยอ ปอปั้น หาผลประโยชน์) เหมือนรัฐมนตรีหลายท่านที่ผ่านมา" นายชินวรณ์กล่าว 

พร้อมกับระบุเพิ่มเติมว่า นอกจาก 12 นโยบาย 7 มาตรการเร่งด่วนแล้ว ตนในฐานะเป็นอดีต รมว ศธ. เป็นสส. และเป็นรองประธานกรรมการขับเคลื่อน พรบ.การศึกษาแห่งชาติภาคประชาชน ขอเสนอให้ทำทันที 5 ประการ  

1.) เร่งรัดให้ ครม. เสนอ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กฤษฏีกาและตัวแทนครูร่วมกันพิจารณา

2.) เรียกขวัญกำลังใจครู นักเรียน กลับมาโดยการเดินหน้าทำงานหนักและชูธง 12+7+5 ทันที 

3.) สั่งสอบสวนกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสำนักงาน สก.สค. และย้ายเลขาธิการและคณะไปประจำ สร. เพื่อความยุติธรรมทันที

4.) สั่งสอบสวนกระบวนการหาผลประโยชน์จากการสั่งซื้อหนังสือเรียนไม่ครบ และหาผลประโยชน์จากการใช้งบเหลือจ่ายงบ 63 และงบปี 64 หลายพันล้านของ สพฐ.  และย้ายเลขาธิการและคณะเพื่อความยุติธรรมทันที 

5.) สั่งสอบสวนกรณีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่มีข่าวการซื้อขายตำแหน่งโดยเฉพาะกรณีการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา (ไร่ขิง) 

"ผมเชื่อมั่นในความตั้งใจของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ เพื่ออนาคตลูกหลานของเราเดินหน้าเถอะครับ" นายชินวรณ์กล่าวในที่สุด

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ชาวเมียนมา 2,000 - 3,000 คน พยายามอพยพเข้ามาในประเทศไทย

มีแนวโน้มอาจสูงถึงหมื่นคนในเร็ว ๆ นี้ โดยรัฐควรจัดให้มีขั้นตอนการรับบุคคลที่จำเป็นต้องอพยพลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทย ให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล และเร่งเพิ่มสถานที่กักตัวของรัฐ (State Quarantine) ตามจังหวัดแนวชายแดนไทย - เมียนมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำรอยเหมือนปัญหาแรงงานต่างชาติลักลอบเข้าประเทศ จนเกิดการระบาดรอบสอง

"ปัญหาการลี้ภัยทางการเมืองของชาวเมียนมา ไม่ควรฝืนธรรมชาติ เพราะคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น เพียงแต่รัฐบาลไทยต้องเตรียมความพร้อม จัดให้มีขั้นตอนที่ไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีสถานที่กักตัวดูอาการป้องกันโควิด-19 และควรประสานงานกับค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนอย่างใกล้ชิด" เลขาธิการพรรคกล้ากล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลทหารเมียนมากระทำต่อประชาชน แม้เป็นเรื่องภายใน แต่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย มีการสังหารประชาชนอย่างทารุณ จึงฝากถึงรัฐบาลไทยให้วางตัวอย่างระมัดระวัง อย่าให้คนเข้าใจว่าสนับสนุนการกระทำของรัฐบาลเมียนมา


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

กลาโหมฯ จัดกิจกรรมช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม พร้อม นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมให้กำลังใจกำลังพลและข้าราชการที่บริจาคโลหิต

พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการจัดกิจกรรมการช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี  ณ บริเวณลานภูธเรศ ชุมชนแพร่งภูธร โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ชุมชนโดยรอบศาลาว่าการกลาโหมเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับการจัดกิจกรรม ประกอบด้วย การบริจาคโลหิตสำหรับประชาชนในชุมชน

การบริการตัดผมให้กับประชาชน การมอบยาสามัญประจำบ้าน การมอบถังดับเพลิง และดวงไฟส่องสว่าง การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขและแมว การสาธิตการทำเจลล้างมือ โดยวิทยากรจิตอาสา 904 การมอบถุงยังชีพให้กับผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ชุมชน ซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมได้เดินมอบตามบ้านให้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงด้วยตนเอง  นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีอีกด้วย 

ซึ่งกิจกรรมการช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ชุมชนในพื้นที่โดยรอบศาลาว่าการกลาโหม ได้รับทราบถึงความเป็นมา และความสำคัญของวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม รวมถึงได้รับทราบถึงความรักความห่วงใยที่มีร่วมกัน ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กับประชาชนโดยรอบศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งจะก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารกับชุมชนต่อไป

และในวันเดียวกันสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ ห้องพินิตประชานาถในศาลาว่าการกลาโหมซึ่งกิจกรรมดังกล่าว มี คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางมาให้กำลังใจกำลังพลและข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ร่วมบริจาคโลหิต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top