Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘นายกฯ’ โพสต์หารือ ‘ศธ.-อว.’ กำหนดมาตรการลดภาระ ค่าใช้จ่าย ’ผู้ปกครอง-ครู-นักเรียน’ เตรียมนำเข้าครม.อังคารหน้า คาดนักศึกษา 1.75 ล้านคน มีเฮเคาะเกณฑ์ลดค่าเทอมสูงสุด 50% ส่วน ม.เอกชน หัวละ 5 พัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ระบุว่า ได้ประชุมกับกระทรวง ศธ.และ อว. เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนในการช่วยลดภาระ/ค่าใช้จ่าย ให้กับผู้ปกครอง ครู และนักเรียน/นักศึกษาให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มด้อยโอกาสยากจนและกลุ่มผู้พิการ โดยมีแนวทางในด้านต่าง ๆ เช่น 

1.) มาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเรียน 

2.) ขอความร่วมมือให้ลด หรือชะลอการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากผู้ปกครองในโรงเรียนเอกชน 

3.) สนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่สถานศึกษา เพื่อรองรับการเรียนแบบออนไลน์ 

4.) ช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างงาน

ที่ประชุมได้มอบหมายให้ อว.และ ศธ. จัดทำรายละเอียดและขั้นตอนในการดำเนินการในมาตรการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า

ด้านนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับนายกฯ ว่า นายกฯ ได้รับหลักการมาตรการตามที่ อว.เสนอ คือ 

1.) สถาบันอุดมศึกษาภาครัฐ จะลดค่าเล่าเรียน และค่าธรรมเนียมการศึกษา โดยกำหนดเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 ส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลดค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา ร้อยละ 50 ขั้นที่ 2 ตั้งแต่ 50,001-100,000 บาท ลดร้อยละ 30 และขั้นที่ 3 ตั้งแต่ 100,001 บาทขึ้นไป ลดร้อยละ 10 โดยรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณสำหรับส่วนลดนี้ ร้อยละ 60 และสถาบันอุดมศึกษาสมทบ ร้อยละ 40

2.) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน รัฐบาลจะสนับสนุนลดค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา คนละ 5,000 บาท และให้ทางสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแต่ละแห่งพิจารณาลดค่าเล่าเรียนเพิ่มเติม และสนับสนุนมาตรการอื่น ๆ เช่น ขยายเวลาผ่อนชำระหรือผ่อนจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา ตั้งกองทุนสนับสนุนการศึกษา จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำหรับนักศึกษายืมเพื่อใช้ในศึกษาออนไลน์ ส่วนลดค่าหอพักนักศึกษา จัดสวัสดิการพิเศษกรณีนักศึกษาป่วยด้วยโรคโควิด-19 เป็นต้น 

ทั้งนี้มาตรการนี้จะเริ่มใช้ทันทีในภาคศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โดยจะมีนิสิต นักศึกษาที่ได้รับประโยชน์เป็นจำนวนถึง 1,750,109 คน

"คณะก้าวหน้า" จับมือ "บริษัท ส้มจี๊ด เอนเตอร์ไพรส์" สนับสนุนเกษตรกรภาคใต้ ซื้อ "นมแพะมาจู" ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะก้าวหน้า พร้อมด้วย บริษัท ส้มจี๊ด เอนเตอร์ไพรส์ ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ในพื้นที่เขตหนองจอก เพื่อมอบ "มาจู" นมแพะคุณภาพสูงจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 500 ขวด เพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยที่กำลังเข้ารับการรักษาและเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างหนัก ซึ่งคุณประโยชน์ของนมแพะจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น และย่อยง่ายกว่านมวัวทั่วไป และนมแพะก็ประกอบด้วยวิตามินจำเป็นหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี และแร่ธาตุอีกหลายชนิด จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับดื่มเพื่อบำรุงร่างกายในช่วงการระบาดโควิด-19

ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกและกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า กล่าวว่า การมอบนมแพะให้กับผู้ป่วยและบุคลากรที่กำลังต่อสู้กับโควิด เป็นการช่วยเหลือทั้งสองทาง ทางแรก คือ การช่วยให้เกษตรกรนมแพะในชายแดนใต้ยังมีรายได้ เพราะในภาวะที่เกิดการระบาดรุนแรง ชายแดนใต้เป็นพื้นที่สีแดงเข้มเช่นเดียวกับกทม. ทำให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วจากความขัดแย้งในพื้นที่เลวร้ายลงอีก บริษัทส้มจี๊ดจึงตัดสินใจรับซื้อนมแพะจากเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่สามารถจำหน่ายนมได้เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และกำลังซื้อในพื้นที่ลดลง เพื่อพยุงรายได้ของเกษตรกรและนำนมที่ผลิตได้มาแจกจ่ายให้กับผู้เดือดร้อน ซึ่งเป็นการช่วยทางที่สอง ให้คนที่ลำบากหรือป่วยไข้ได้อิ่มท้อง มีอาหารที่คุณค่าทางโภชนาการสูง นมแพะถือเป็นอาหารที่นิยมใช้เยี่ยมไข้ หรือให้ผู้ฟื้นไข้ และแม่ลูกอ่อนรับประทานเพื่อบำรุงกำลัง เนื่องจากนมแพะย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไว และโปรตีนสูง จึงเหมาะกับผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวอีกว่า นอกจากการสนับสนุนเฉพาะหน้าในครั้งนี้ คณะก้าวหน้า และ บริษัท ส้มจี๊ด เอ็นเตอร์ไพรส์ มีความเห็นร่วมกันถึงอนาคตหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ว่า จำเป็นที่จะต้องจัดเตรียมพัฒนาทักษะอาชีพให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาจากพิษเศรษฐกิจ ตกงาน กลับคืนสู่บ้านเกิดตามจังหวัดต่างๆ โมเดลนมแพะมาจู ซึ่งเป็นการตั้งโรงงานผลิตนมแพะ รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยคาดหวังให้โรงงานและเกษตรกรเติบโตไปพร้อมๆกัน และให้เกษตรกรได้ร่วมกันเป็นเจ้าของโรงงานในอนาคต ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางการสนับสนุนภาคประชาชน ให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิถีชีวิตและต้นทุนทรัพยากรในพื้นที่ และในอนาคตจะสร้างงาน สร้างอาชีพ รองรับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษา รวมถึงคนวัยทำงานที่ตกงานจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำช่วงโควิด-19

ศบศ.เคาะเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เชื่อม “สุราษฎร์ฯ-กระบี่-พังงา” 1ส.ค.นี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าร่วม Phuket Sandbox เดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น (7+7) โดยนักท่องเที่ยวพำนักภายในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเวลา 7 วัน และสามารถเดินทางท่องเที่ยวและต้องพำนักในพื้นที่อื่น ๆ อีกเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า) จังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) มีกำหนดเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 ส.ค.นี้ 

โดยที่ประชุมได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานภาคเอกชนและภาคประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจของคนในพื้นที่ร่วมกัน และพิจารณาจัดเตรียมแผนการดำเนินการบนระเบียบหลักเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกับการดำเนินการของ Phuket Sandbox เพื่อมุ่งเน้นความปลอดภัยและการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ 

นอกจากนี้ยังสั่งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทำรายละเอียดแผนการเชื่อมโยงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางระหว่างจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่นำร่องอื่น เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม ศบค. พิจารณาต่อไป และให้พิจารณาจัดทำแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม ศบศ. และ ศบค. พิจารณาต่อไป

“ปริญญ์” เรียกร้อง ศบค. ทบทวนสั่งปิดร้านอาหารในห้าง พื้นที่สีแดงเข็ม หวั่นไม่เป็นผลดีต่อประชาชน - ซ้ำเติมเศรษฐกิจ แนะ 7 แนวทางแก้วิกฤติเร่งด่วน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้ทบทวนมาตรการสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ห่วงไม่มีผลต่อการเพิ่มความปลอดภัยด้านสาธารณสุขเท่าไหร่นัก แต่สร้างผลกระทบหนักต่อประชาชนและเศรษฐกิจ

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า เข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ของศบค. ที่อยากลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ให้เร็วที่สุด แต่การสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ในพื้นที่สีแดงเข้ม เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจและประชาชนครั้งใหญ่ เพราะเป็นการสั่งปิดแบบทันที ไม่มีการเยียวยาที่เหมาะสม รวมถึงยังไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่าร้านอาหารในห้างเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้มากกว่าร้านอาหารข้างนอก

โดยมาตรการในครั้งนี้ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องประสบกับปัญหาของค้างสต๊อก การขาดสภาพคล่องทางการเงิน เสี่ยงต่อการปิดกิจการ ส่วนลูกจ้างต้องว่างงานหรือตกงานกะทันหัน ในขณะที่ประชาชนทั่วไปก็หาร้านอาหารได้ยากขึ้น ต้องไปแออัดต่อคิวซื้อกลับบ้านตามร้านอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งอาจจะสร้างผลเสียให้กระบวนการทางสาธารณสุขมากกว่าจะเป็นผลดี จึงอยากเรียกร้องให้ศบค. เร่งทวบทวนมาตรการดังกล่าว และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญวิกฤติกลับไปกลับมาซ้ำ ๆ อย่างที่เป็น

นอกจากนี้ นายปริญญ์ยังได้เสนอ 7 มาตรการแก้วิกฤติขาดแคลนเตียงในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างเร่งด่วน ถึงรัฐบาลและศบค. ดังนี้

1.) เร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและอนุมัติการนําเข้า Rapid Antigen Test Kits อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ราคาในท้องตลาดถูกลง ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และควรแจกชุดตรวจฟรีถึงบ้าน

2.) ปรับเปลี่ยนสถานที่ เช่น โรงเรียนแพทย์ สถานที่ของกองทัพ และพื้นที่ของเอกชน มาเป็นศูนย์พักพิงแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากชุมชนแออัด และมีมาตรการดูแลเชิงรุกก่อนส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล

3.) เร่งแจกฟ้าทะลายโจรแก่ผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่ต้องศึกษาเพิ่มแล้ว เพราะตอนนี้มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่ออกมายืนยันว่าใช้ยานี้กับผู้ป่วยได้ดีในจำนวนที่เหมาะสม รวมถึงควรเร่งจัดหายา Favipiravir และ Remdesivir ให้เพียงพอ อย่าให้มีคอขวดในการนําเข้าแบบตอนนี้ รวมทั้งควรสนับสนุนให้ผลิตยาดังกล่าวได้อย่างเสรีในประเทศไทย

4.) ปลดล็อกการจัดซื้อวัคซีนให้มีความคล่องตัว และโปร่งใสมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีน mRNA และวัคซีนเทคโนโลยีใหม่ เช่น โนวาแวกซ์ (Novavax) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทัพหน้าและประชาชนในพื้นที่วิกฤติ รวมถึงสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนใบยาของจุฬาฯ ที่เป็นหนึ่งในความหวังสกัดเชื้อกลายพันธุ์อย่างปลอดภัย

5.) ปรับปรุงและพัฒนาการสื่อสารให้ชัดเจน ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น องค์ความรู้ด้านการกักตัวอยู่บ้าน (Home Isolation) การบริหารจัดการคิวฉีดวัคซีนให้มีความเป็นธรรมและเป็นไปอย่างเหมาะสม

6.) เยียวยากลุ่มธุรกิจที่ให้ความร่วมมือปิดกิจการเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร อีเว้นท์ นักดนตรี ธุรกิจกลางคืน/บันเทิง ให้เหมาะสม ทันท่วงที โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ควรจัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มีดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ พักหนี้ทั้งต้นและดอกอย่างจริงจัง และจัดสรรงบฟื้นฟูเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ไม่ใช่แค่แจกเงิน เช่น การพัฒนาศักยภาพและทักษะใหม่ ๆ ให้กับประชาชนผ่านสื่อออนไลน์เพื่อเพิ่มแรงงานฝีมือ และควรขยายผลโครงการที่ทำไปแล้วและได้ผลตอบรับที่ดี อาทิ โครงการกระจายความรู้ สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่ (From Gen Z to be CEO) ของกระทรวงพาณิชย์ที่ท่านรองนายกฯ จุรินทร์ได้ริเริ่ม โครงการเรียนจบพบงาน ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น

7.) ต้องช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนให้ได้อย่างจริงจัง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น การประปาและการไฟฟ้าต้องยอมรับภาระต้นทุนในส่วนนี้เพื่อช่วยลดค่านํ้าค่าไฟให้กับประชาชนมากกว่าเดิม ภาครัฐต้องลดภาษีและค่าธรรมเนียมทุกชนิด รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมต้องปรับลดค่าอินเตอร์เน็ตลงด้วย เพื่อสนับสนุนการทํางานและการศึกษาจากที่บ้าน (Work/Study From Home) โดยรัฐบาลอาจจัดสรรงบมาสนับสนุนด้วยได้

“พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะตัวแทนของประชาชน เราพยายามทําหน้าที่ในส่วนของเราให้ดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และประธานมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช ได้นําคณะรัฐมนตรีของพรรคปล่อยคาราวานรถ ‘ถุงนํ้าใจ ปชป. ส่งผู้รอเตียง’ จัดส่งอาหารถึงบ้านประชาชนในพื้นที่กทม. ปริมณฑล และภาคใต้ รวมถึงช่วยจัดหาเตียงให้ผู้ป่วยที่ทางศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ หรือ ศปฉ.ปชป. ได้ประสานงานไปแล้วกว่า 1,600 เตียง

อย่างไรก็ตาม ปชป. จะเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขของไทย และเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและศบค. จะเร่งดำเนินการแก้ไขวิกฤตินี้ตามที่ได้เสนอไป และมองที่ประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อพาประเทศฝ่าวิกฤติไปได้ด้วยกัน” นายปริญญ์ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ไม่พิมพ์ แต่ลงมือทำ’ รวมเหล่าคนดัง ที่ลงมือช่วยเหลือผู้คนในวิกฤติโควิด-19 แบบทำจริง

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกบันเทิง เมื่อเหล่าดารา ศิลปิน คนดัง ออกมาทำการ Call Out หรือส่งเสียงเรียกร้องประเด็นการบริหารงานของรัฐบาล

ถึงตรงนี้ เป็นสิทธิที่ทุกคน (แม้จะไม่ใช่ดารา คนดัง) สามารถทำได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราทุกคนต้อง ‘เคารพ’ ในกฎหมาย และวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเคารพในสิทธิของผู้อื่นด้วยเช่นกัน การเอาแต่ ‘ความสะใจ’ คงไม่เกิดผลดีในการแก้ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น

ในกระแสที่ดารา คนดัง ออกมา Call Out นั้น ในมุมกลับกัน ยังมีผู้คนอีกมากมาย ที่ออกมา ‘ลงมือทำ’ ช่วยเหลือกันในยามวิกฤติ THE STATES TIMES รวบรวมเหล่าคนดังที่ร่วมมือร่วมใจในแบบที่เรียกว่า ‘ลงมือทำจริง’ ซึ่งนี่ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีอีกมากมายหลายคนที่ลงแรงแข็งขันในการช่วยเหลือครั้งนี้

เราขอคารวะในหัวจิตหัวใจอันดีงาม แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์ ‘เลือกแสดงออก’ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด ๆ หากว่าเป้าหมายสูงสุด เป็นเป้าหมายของการนำพาประเทศไทย ให้ก้าวออกจากวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่นี้

วาง ‘อารมณ์’ ลงก่อน ปลด ‘ความเกลียดชัง’ กันลงบ้าง พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ก่อนที่จะไม่เหลือใครให้ทะเลาะกัน...


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อรรถวิชช์” ชี้!! กรณีศิลปินดาราวิจารณ์ รัฐบาลต้องฟัง ไม่ใช่ไล่ฟ้อง จะใช้วิธีของคดีความมั่นคงแห่งรัฐ กรณีหมิ่นสถาบันไม่ได้ ต้องแยกแยะความมั่นคงแห่งรัฐ กับความมั่นคงของรัฐบาล

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ออกมาขู่ดำเนินคดีกับศิลปินดารา ที่โพสต์ข้อความ Call Out วิจารณ์ต่อต้านรัฐบาลว่า...

ศิลปินดาราเขาบอกถึงความไม่พอใจในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด เหมือนกับประชาชนทั่วไป เพราะมันกระทบทั้งชีวิต และการดำรงชีพ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ New High ต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนล่าช้า เตียงไม่พอ จ่ายยาฆ่าเชื้อทันทีไม่ได้ คนตายทุกวัน

"รัฐบาลต้องฟัง ไม่ใช่ไล่ฟ้อง!! จะไปทำเหมือนคดีความมั่นคงแห่งรัฐ หมิ่นสถาบัน ม.112 แล้วใช้กลไก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้ แยกแยะด้วยระหว่าง ความมั่นคงแห่งรัฐ กับ ความมั่นคงของรัฐบาลเอง รัฐบาลต้องทำให้ชาติเกิดความสามัคคี รักษาโครงสร้างชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขออย่าเติมฟืนเติมไฟ ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดเลย กระทรวง DES เอาเวลาไปทำระบบติดตามช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยังตกค้างดีกว่า" นายอรรถวิชช์ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ยิ่งลักษณ์' โพสต์ข้อความ สะเทือนใจที่เห็นพี่น้องประชาชนไทยเสียชีวิตบนถนน ย้ำ รัฐบาลบริหารวิกฤติผิดพลาด ซ้ำยังมองประชาชนเป็นภาระ

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ว่า...

ดิฉันรู้สึกหดหู่ สะเทือนใจ และแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่ามีพี่น้องประชาชนคนไทยต้องเสียชีวิตบนท้องถนน ไร้การเหลียวแล จึงขอตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่าปล่อยให้ประเทศเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมรัฐบาลทำให้ประชาชนต้องเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงในการดูแลประชาชน อีกทั้งยังทำให้บุคลากรด่านหน้า แพทย์ พยาบาล หมดขวัญกำลังใจ อ่อนล้า ขาดหลักประกันที่ดีเพราะไม่มีวัคซีนที่มีคุณภาพเพียงพอในการเป็นเกราะปกป้องโรคร้าย

ดิฉันขอแสดงความเสียใจ และขอร่วมแบ่งปันความโศกเศร้ากับหลายครอบครัวที่ต้องอยู่ในสภาพเห็นคนที่รักล้มหายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ซึ่งต้นตอเกิดจากการที่รัฐบาลไม่ได้วางแผนให้รอบคอบ รัดกุม ขาดวิสัยทัศน์ในการรับมือกับวิกฤติโรคระบาดในระยะยาว มีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการบริหารระบบสาธารณสุขที่มีการรวบอำนาจ แต่กลับบริหารผิดพลาด ขาดแคลนเตียง ไร้การตรวจเชิงรุกที่มากพอ วัคซีนไม่ทั่วถึง และคุณภาพเป็นที่กังขา แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่เคยน้อมรับความผิดพลาดและขอโทษ มิหนำซ้ำยังกลับมองว่าประชาชนทำตัวเป็นภาระ ทั้ง ๆ ที่เกิดจากความหละหลวมของรัฐบาล

ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้คนไทยอดทน ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ ขณะเดียวกันขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานเชิงรุก เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ประชาชน ด้วยการนำความทุกข์ยากของประชาชนเป็นหัวใจในการนำเสนอแผนที่ชัดเจนในการบริหารจัดการ และกำหนดเป้าหมายร่วมกันกับทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเป็นผู้นำพึงมีในการนำพาประเทศผ่านพ้นความยากลำบากครั้งนี้ให้ได้


ที่มา: https://www.facebook.com/105044319540032/posts/4555155527862200/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ฉีดวัคซีนสลับชนิด ภูมิพุ่ง 8 เท่า ที่สำคัญป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศ ด่วนที่สุด ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ระบุถึงหลักเกณฑ์การฉีดวัคซีนสลับชนิดกันสำหรับประชาชน และการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยระบุว่า

ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด พบการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์กลายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์เดลตา เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก มีการศึกษาโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย (ไบโอเทค) พบว่า

การฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มที่ 1 และฉีควัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีใกล้เคียงกับ AstraZeneca 2 เข็ม ซึ่งคาดว่าจะมีผลดีต่อการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตา และไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรงภายหลังได้รับวัคชีน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผู้ติดเชื้อโควิดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3 เท่า ในช่วง 2 สัปดาห์ ท่ามกลางแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาและการกระจายข้อมูลบิดเบือน

เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วง 2 สัปดาห์ ท่ามกลางแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาและการกระจายข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับวัคซีน จนอัตราผู้เข้ารับวัคซีนชะลอตัว สถานการณ์ที่กำลังทำให้โรงพยาบาลกลับสู่ภาวะตึงเครียด แพทย์และพยาบาลอ่อนแรง

"เจ้าหน้าที่ของเรา พวกเขาผิดหวัง" คำกล่าวของ ชาด นีลเซน ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันเชื้อแห่งบูเอฟ เฮลท์ แจ็คสันวิลล์ โรงพยาบาลในรัฐฟลอริดา ซึ่งจำเป็นต้องยกเลิกการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน หลังจำนวนผู้ป่วยในโควิด-19 ของโรงพยาบาล เพิ่มเป็น 134 ราย จากระดับต่ำสุด 16 รายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

"พวกเขาเหนื่อยล้า พวกเขากำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องเดจาวูอีกแล้ว มีอารมณ์โกรธบ้าง เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สามารถป้องกันได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ประชาชนไม่ฉวยประโยชน์จากวัคซีน" เขากล่าว

ทั่วทั้งสหรัฐฯ ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในช่วง 2 สัปดาห์หลังสุด ขยับขึ้นไปแตะระดับ 37,000 คน ในวันอังคาร (20 ก.ค.) เพิ่มขึ้นจากระดับไม่ถึง 13,700 คน ในวันที่ 6 กรกฎาคม จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวโทษตัวกลายพันธุ์เดลตาและอัตราการฉีดวัคซีนที่ชะลอตัว

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่ามีอเมริกันชนเพียงแค่ 56.2% เท่านั้นที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส

ในลุยเซียนา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 5,388 คน ในวันพุธ (21 ก.ค.) ถือเป็นจำนวนรายวันสูงที่สุดอันดับ 3 นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นปี 2020 ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เพิ่มเป็น 844 คน เพิ่มขึ้นมามากกว่า 600 ราย นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน

ยูทาห์ มีผู้ติดเชื้อที่ถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 295 ราย สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ รัฐแห่งนี้มีค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 622 คนต่อวัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนถึง 3 เท่า ขณะที่ข้อมูลด้านสาธารณสุขพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

ที่นิวยอร์ก ซิตี เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลต่าง ๆ และคลินิกสุขภาพที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของเมือง จะถูกบังคับให้ฉีดวัคซีนหรือเข้ารับการตรวจเชื้อทุกสัปดาห์ ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังหาทางต่อสู้กับเคสติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดเผยของนายกเทศมนตรีบิล เดอ บลาซิโอ ในวันพุธ (21 ก.ค.)

คำสั่งของเดอ บลาซิโอ จะไม่บังคับใช้กับครู ตำรวจและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของเมือง แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์มุ่งเน้นฉีดวัคซีนของทางเมือง ท่ามกลางการแพร่ระบาดหนักหน่วงขึ้นของตัวกลายพันธุ์เดลตา

จำนวนการฉีดวัคซีนรายงานของเมืองนิวยอร์ก ลดต่ำลงมาเหลือไม่ถึง 18,000 เข็มต่อวัน จากระดับสูงสุดมากกว่า 100,000 เข็มต่อวันในช่วงต้นเดือนเมษายน เวลานี้ประชากรวัยผู้ใหญ่เกือบ 65% ฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่อัตราการฉีดวัคซีนวัยผู้ใหญ่ที่เป็นประชากรผิวสีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีเพียงแค่ราว ๆ 25% ทั้งนี้มันเป็นอัตราที่น่ากังวลพอสมควร เนื่องจากในบรรดาคนงานในระบบโรงพยาบาลรัฐของทางเมืองนั้น มีถึง 45% ที่เป็นคนผิวสี

ในขณะที่เคสผู้ติดเชื้อในนิวยอร์กซีตี เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ระบุว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาคิดเป็นมากกว่า 70% ของผู้ติดเชื้อเหล่านั้นเลยทีเดียว "เราต้องการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเราฉีดวัคซีน มันกำลังอันตรายขึ้นจากตัวกลายพันธุ์เดลตา" เดอ บลาซิโอกล่าว

ย้อนกลับไปที่ลุยเซียนา มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่นิวออร์ลีนส์กำลังชั่งใจรื้อฟื้นข้อจำกัดบางอย่างเพื่อสกัดการแพร่ระบาด หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกไป สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดซาลง "ทุกทางเลือกวางอยู่บนโต๊ะ" จากการเปิดเผยของโฆษกประจำเมือง


(ที่มา : เอพี)

https://mgronline.com/around/detail/9640000071547


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“แรมโบ้” ซัด “ยิ่งลักษณ์” อย่าทำตัวดราม่า ทำไมไม่สะเทือนใจ กับครอบครัวชาวนาที่ผูกคอตายจากการถูกโกงในโครงการจำนำข้าวบ้าง หนีคดีไปอยู่สุขสบายจะไปเข้าใจการทำงานของรัฐบาลนี้ได้อย่างไร

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลที่ล้มเหลว ไม่ได้วางแผน นายเสกสกล ยืนยันว่าไม่มีนายกฯคนในรัฐบาล หรือใครอยากให้มีผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต หรือแม้แต่มีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนแม้แต่คนเดียว แต่นายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยนิ่งนอนใจที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างสุดความสามารถ ทำเต็มที่ที่สุด และหามาตรการต่างๆออกมาเพื่อที่จะให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้ ซึ่งขอให้นางสาวยิ่งลักษณ์ได้เข้าใจในสถานการณ์ประเทศในขณะนี้ด้วย 

นายเสกสกลยังชี้แจงกรณีการเสียชีวิตของประชาชนที่บริเวณถนนราชดำเนิน จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าไม่ได้เป็นเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด โดยทาง กทม.ไม่ได้นิ่งนอนใจจัดส่งเจ้าหน้าที่เขตลงพื้นที่เพื่อดูแลทันที พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เข้ามาชันสูตรพลิกศพ และเนื่องจากกลุ่มคนไร้บ้านเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด จึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจเข้าเก็บศพด้วยความระมัดระวัง

ส่วนที่บริเวณตรอกบ้านพานถม เมื่อได้รับแจ้งเหตุแล้ว สำนักอนามัย โดยศูนย์บริการสาธารณสุข 9 ได้จัดเจ้าหน้าที่สวมชุดป้องกัน PPE  ลงพื้นที่ให้การดูแลและปฐมพยาบาลในเบื้องต้น จากนั้นพบว่าได้เสียชีวิตแล้ว จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการชันสูตรพลิกศพและเคลื่อนย้ายศพตามกระบวนการ และสาเหตุที่ใช้เวลานานเนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่และรถที่จะใช้เคลื่อนย้ายศพเฉพาะกิจดังกล่าวมีไม่เพียงพอ และหน่วยงานมีภารกิจต้องรับส่งศพผู้ป่วยโควิดหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตที่หน้าโลตัส พระราม 4 นั้นได้นำส่ง รพ.จุฬา  ซึ่งผลตรวจบางรายไม่พบเชื้อโควิดและบางรายต้องรอผลอย่างเป็นทางการ

นายเสกสกลระบุว่าที่นางสาวยิ่งลักษณ์บอกว่าต้นตอเกิดจากการที่รัฐบาลไม่ได้วางแผนให้รอบคอบ รัดกุม ขาดวิสัยทัศน์ในการรับมือกับวิกฤติโรคระบาดในระยะยาว ยืนยันว่าการทำงานของนายกฯในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ไม่ได้ทำงานแต่เพียงผู้เดียว แต่ได้ทำงานร่วมกันกับรัฐมนตรี บุคลากรทางการแพทย์ และทุกหน่วนงานที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วในการวางแผนแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

“นางสาวยิ่งลักษณ์ ที่หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ มีความสุขสบาย จะไปเข้าใจในสถานการณ์ประเทศไทย และการทำงานของนายกฯ รัฐบาล ได้อย่างไร และที่นางสาวยิ่งลักษณ์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคนทำงาน ตนอยากถามว่านางสาวยิ่งลักษณ์ เคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศบ้าง นอกจากสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นมากมายในขณะที่ตนเองเป็นนายกฯจนนายกฯประยุทธ์คนนี้แหล่ะที่ต้องออกมาแก้ไขปัญหาให้ แบบนี้เรียกว่าขาดวิสัยทัศน์หรือไม่

และถ้านางสาวยิ่งลักษณ์อยากช่วยคนไทย ช่วยประเทศไทยให้พ้นวิกฤตจริงตนเองขอแค่ให้เลิกออกมาแสดงความเห็นต่างๆ เพราะการออกมาไม่ได้สร้างประโยชน์ แต่จะทำให้ บุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงานหมดกำลังใจ อีกทั้งประชาชนจะเกิดความสับสน หรืออาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก เพราะขณะนี้ประเทศต้องการความร่วมมืออย่างมากเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้เร็วที่สุด 

ตนเองก็มองว่าไม่ว่าจะเป็นนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือนายทักษิณ ชินวัตร จะออกมาแสดงความเห็น กล่าวหาโจมตีนายกฯ รัฐบาล ในการทำงานขณะนี้ ช่วยพรรคเพื่อไทย กดดันให้นายกฯลาออก ให้พรรคเพื่อไทยให้กลับมามีอำนาจ จะได้นำนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายทักษิณ กลับประเทศ ตนเองก็ขอย้ำว่าคงยังไม่ได้กลับ เพราะนายกฯจะอยู่แก้ไขปัญหาจนครบเทอม แต่หากอยากกลับประเทศมากตนเองก็ขอย้ำเช่นเดิม 2 ข้อ คือกลับมารับโทษตามกระบวนการกฎหมาย และชดใช้หนี้ที่เคยปล้นประชาชนไป

"นางสาวยิ่งลักษณ์กรุณาอย่าดราม่าให้ตัวเองดูดี เพื่อด้อยค่าคนอื่น ในอดีตที่ชาวนาถูกโกงค่าข้าวจนผูกคอตายไปหลายราย เป็นหนี้เป็นสินจนล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว ทำไมนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่แสดงความห่วงใจ สะเทือนใจ หันมาเหลียวแลครอบครัวชาวนาเหล่านั้นบ้างละ หรือว่าลืมชาวนาที่ถูกโกงเหล่านั้นไปจากใจเสียแล้ว" นายเสกสกล กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top