Wednesday, 11 June 2025
NewsFeed

‘เอกนัฏ’ ให้คำมั่นรวมไทยสร้างชาติ “ต้องไปต่อ” ยันไม่มีสัญญาณปรับ ครม. - สส. ทุกคนยังอยู่กับพรรค

‘เอกนัฏ’ ให้คำมั่น พรรครวมไทยสร้างชาติ “ต้องไปต่อ” ย้ำไม่มีสัญญาณปรับ ครม.-สส. ทุกคนยังอยู่กับพรรค ชี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติทางการเมือง หากใครมีสิ่งใดไม่พอใจมาคุยกันได้

(10 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นกับพรรคในขณะนี้ว่า ตนขอแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนของรัฐบาลที่มีกระแสการปรับรัฐมนตรีของพรรคออกจากรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งส่วนนี้ตนยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับ ครม. และนายกรัฐมนตรี ก็ยังให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ตนทราบดีว่าในทางการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไร หรือมีการปรับสิ่งใดบ้าง จึงไม่เคยอยากจะประเมินว่าจะได้ดำรงตำแหน่งถึงเมื่อใด แต่สิ่งที่ต้องประเมินและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำหน้าที่ของตนในวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยึดถือปฏิบัติมาเสมอและจะยังคงทำต่อไปในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศและคนไทย ตามแนวคิด “ทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะสำเร็จ”

ทั้งนี้ขอย้ำว่า ตนจะไม่ทำงานหรือบริหารสิ่งใดจากข่าวลือต่าง ๆ แต่จะยึดจากข้อเท็จจริงที่ออกมา พร้อมเชื่อว่าสิ่งที่ตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ทำมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและได้รับการสนับสนุนจากทั้งคนไทยและรัฐบาล

ในส่วนกระแสข่าวของพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า พรรคมีกลไกของพรรคอยู่แล้วในการจัดการปัญหาภายในต่าง ๆ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญ คือ การยึดมั่นในอุดมการณ์ที่มีมาตลอดของพรรคให้คงอยู่ต่อไป ส่วนประเด็นข่าวที่ว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) ของพรรคบางคนไม่พอใจผู้ใหญ่ภายในพรรค ทั้งยังมีปัญหาระหว่างกัน ตนมองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่นำเอาภาพเพียงภาพเดียวอันเป็นภาพงานเลี้ยงของ สส. พรรคที่มีแกนนำพรรคที่ไม่พอใจพรรคในปัจจุบันพยายามรวมตัวกลุ่ม สส. ผ่านงานเลี้ยงเพื่อสร้างกระแสข่าว ซึ่งตนย้ำว่า ภาพดังกล่าวมีคนแค่ 15 คน แต่มีการตัดต่อแต่งภาพเพิ่มเติมอีก 8 คน และมีการใส่ข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะการย้ายออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเล่นเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้มีประโยชน์ต่อประเทศหรือคนไทย แถมยังทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองมาขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตนก็เข้าใจดีว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต้องยอมรับ

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ตนได้นัด สส. ของพรรคทานข้าวร่วมกันเกือบทุกสัปดาห์ เพียงแต่ไม่ได้มีการส่งภาพให้สื่อมวลชนหรือนำลงสื่อสังคมออนไลน์ เพราะตนมองว่า ไม่ได้มีนัยสำคัญใด ๆ สิ่งสำคัญ คือ การให้ข่าวตามความเป็นจริงมากกว่า

ส่วนกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ที่มีกระแสข่าวย้ายออกไปรวมกับพรรคการเมืองใหม่นั้น ตั้งแต่เกิดเหตุตนก็ไม่ได้คุยกับนายสุชาติ อีกเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็คุยกันตามปกติมาตลอด ตนก็ยังแปลกใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณสุชาติ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอาจมาจากความคิดและแนวทางที่แตกต่างกัน ซึ่งตนก็คงว่าสิ่งใดไม่ได้ เพียงแต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกติกาก็พอ

นายเอกนัฏ ย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมาตนรับฟังความเห็นของ สส. ทุกคนมาตลอด ทั้งยังเปิดโอกาสให้สอบถาม ร่วมเสนอแนะและบอกเล่าปัญหาต่าง ๆ ทั้งผ่านจากการนัดกินข้าวประจำสัปดาห์ของตน และจากการนัดประชุมพรรคต่าง ๆ พร้อมกล่าวว่า หากตนบกพร่องสิ่งใดก็ให้มาพูดคุยกันได้ เพื่อปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ถ้านำมาเล่นเป็นเกมการเมืองหรือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องดีและไม่ควรทำ

ส่วนสถานการณ์จำนวน สส. ของพรรคในปัจจุบัน นายเอกนัฏ ย้ำว่า พรรคยังมี สส. อยู่ครบ 36 คน และ สส.ทุกคนยังยืนยันว่าจะอยู่กับพรรค ไม่ย้ายไปที่ใด ทั้งนี้ตนไม่อยากนำประเด็นนี้มาเป็นประเด็นหลัก เพราะปัจจุบันปัญหาของประเทศก็มีให้แก้ไขมากมายอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสงครามการค้า, เรื่องปัญหาด้านอุตสาหกรรม ตนจึงไม่ต้องการนำเรื่องเหล่านี้มาทำให้ปวดหัว แต่ย้ำว่า สส. ทุกคนสามารถมาพูดคุยกับตนได้เหมือนเดิม

“สุดท้ายนี้ตนขอให้คำมั่นกับคณะผู้บริหาร สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคนว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะเดินหน้าไปต่อด้วยอุดมการณ์เดิมอันมั่นคงที่แน่นอนของพรรค ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคหรือสิ่งใด ๆ พรรคก็จะเดินหน้าต่อไป เพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคนจนกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จะสำเร็จลุล่วงในที่สุด” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

อ.ไชยันต์ ชี้ ปัญญาชนบางกลุ่มปฏิเสธชาตินิยมที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชา

(10 มิ.ย.68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า “จากราชาชาตินิยม ถึง ปัญญาชน-ชาตินิยมผูกขาด” 

เรื่องชาตินิยมนี้ ปัญญาชนบางกลุ่มปฏิเสธชาตินิยมที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชา เพราะชาตินิยมที่ยอมรับได้สำหรับพวกเขา คือ ชาตินิยมของมหาชน ที่จะต้องมีปัญญาชนอย่างพวกเขาเป็นผู้นำทางความคิดจิตวิญญาณเท่านั้น

คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และเยี่ยมกำลังพลของกองกำลังสุรนารี  พร้อมทั้งมอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ณ จังหวัดสุรินทร์

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.68) เวลา 09.30 น. ถึง 12.00 น. คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยกรรมาธิการ ได้แก่ นายสมบูรณ์ หนูนวล ร้อยตำรวจเอกฉลอง ทองนะ ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นางสาวนวลนิจ หงษ์วิวัฒน์ พร้อมด้วยนักวิชาการ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ได้เดินทางไปศึกษาดูงานเพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และเยี่ยมกำลังพล ของกองกำลังสุรนารี โดยมี พลตรี วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 และพลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับ โดยคณะกรรมาธิการได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับผลการปฏิบัติของกองกำลังสุรนารี ณ ห้องประชุมเหมะบุตร นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการเยี่ยมเยือนกำลังพล เพื่อให้กำลังใจ และยกย่องเชิดชูในความเสียสละ และอดทนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนในการแก้ไขปัญหา สถานการณ์ความมั่นคง ชายแดนไทย - กัมพูชาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ 

และในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. ถึง 16.30 น .คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปติดตาม สถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดน บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ไทย - กัมพูชา รวมทั้งมอบสิ่งของจำเป็น และพระเครื่อง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้รับทราบปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในเรื่องของ ระบบการสื่อสาร การขาดอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และรักษาความมั่นคง ปัญหาการขาดยุทธศาสตร์ระดับชาติในการผลักดันส่งกลับชาวกัมพูชาในพื้นที่ที่รุกล้ำแผ่นดินไทย ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่นไฟฟ้าและประปา เป็นต้น ปัญหาการทักท้วงเพื่อรักษาสิทธิในดินแดนของประเทศไทย ยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และประการสุดท้าย คือ การสร้างถนนยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญ ต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนยังขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลที่ได้เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลตามบทบาท ภารกิจ อำนาจและหน้าที่ต่อไป

จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ดิ่งหนักสุดรอบ 5 ปี ค้ากับยุโรป-อาเซียนพุ่งแทนที่ โตแตะแสนล้านดอลล์

(10 มิ.ย. 68) การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคม 2025 ลดลงถึง 34.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็ลดลงกว่า 18% ส่งผลให้ดุลการค้าของจีนกับสหรัฐฯ หดตัวลง 41.55% เหลือ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้การค้ากับสหรัฐฯ จะลดลง แต่จีนยังคงรักษาการเติบโตของการส่งออกโดยรวมได้ที่ 4.8% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย ขณะที่การนำเข้าลดลง 3.4% จากภาวะอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอ

การค้ากับสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ทำให้จีนเร่งปรับทิศทางการส่งออกไปยังตลาดอื่น โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 15% สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 12% และแอฟริกาเพิ่มขึ้นกว่า 33% ส่งผลให้ดุลการค้ารวมของจีนในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า แตะ 103,200 ล้านดอลลาร์

ภายใต้แรงตึงเครียดทางการค้า จีนและสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการภาษีตอบโต้ แม้สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 51.1% แต่จีนยังเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 32.6% การปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าครั้งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของจีนที่พึ่งพาตลาดทางเลือกในช่วงวิกฤต

ขณะที่สหรัฐฯ ถอยห่างจากจีน แต่ยุโรปกลับเดินเกมตรงข้าม โดยเพิ่มการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง บริษัทในยุโรปไม่ได้ถูกกดดันให้กระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเท่ากับฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรปยังแน่นแฟ้น ส่งผลให้จีนสามารถชดเชยการส่งออกที่หายไปจากตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน

นักศึกษา มจธ.เจ๋ง!! คิดค้นโครงสร้างต้านทานแผ่นดินไหว นวัตกรรมลดความเสียหายโครงสร้างหลัก

(10 มิ.ย.68) เมื่อแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนไทยอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึง 24 จังหวัดของไทย รวมถึงกรุงเทพฯ จนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้ปลอดภัยจากภัยแผ่นดินไหวอีกต่อไป และในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณใกล้แนวรอยเลื่อนหลัก กำลังเผชิญความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างอาคารจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ

จากโจทย์ระดับประเทศนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้แก่ นายศิรวิทย์ เทียนทอง (นัท) นายนภัสกร วงษ์หิรัญ (ฟาโรห์) และนายปาณทัช ทองอู๋ (ทัช) ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการวิจัย “Seismic Performance of Self-Centering Column-Foundation Connections with Energy Dissipating Bolts” หรือ การศึกษาพฤติกรรมการต้านทานแผ่นดินไหวของรอยต่อเสา-ฐานราก ระบบคืนศูนย์ด้วยตนเองทำงานร่วมกับสลักเกลียวสลายพลังงาน” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อจำกัดความเสียหายให้อยู่เฉพาะจุดเชื่อมต่อของโครงสร้างระบบสำเร็จรูป (Precast system) แทนที่จะกระจายไปสู่โครงสร้างหลักอย่างเสาและคาน ซึ่งซ่อมแซมได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า โดยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจาก ผศ. ดร.เอกชัย อยู่ประเสริฐชัย อาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง

งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาระบบเชื่อมต่อระหว่างเสากับฐานรากแบบใหม่ เรียกว่า Hybrid Column Shoe Connection (HYSC) ซึ่งสามารถสลายพลังงานจากแผ่นดินไหว ลดความเสียหายของโครงสร้างหลัก และคืนตัวกลับสู่ตำแหน่งเดิมหลังการสั่นไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเชื่อมต่อแบบแห้ง (dry connection) ร่วมกับลวดอัดแรงแบบดึงทีหลัง (post-tensioned tendons) และสลักเกลียวช่วยในการสลายพลังงาน (energy-dissipating bolts) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ปลอดภัย และลดต้นทุนรวมถึงระยะเวลาก่อสร้าง

“ระบบ HYSC ได้รับการออกแบบให้สามารถควบคุมความเสียหายให้อยู่เฉพาะบริเวณรอยต่อระหว่างเสากับฐานรากเท่านั้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบโครงสร้างหลัก เช่น ตัวเสาหรือฐานราก การใช้ลวดอัดแรงแบบดึงทีหลังประมาณ 50% ของกำลังประลัยจะช่วยเพิ่มความสามารถในการคืนรูปของโครงสร้างหลังจากได้รับแรงแผ่นดินไหว เช่นเดียวกับการออกแบบสลักเกลียว (bolts) ให้มีขนาดหน้าตัดลดลงอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถสลายพลังงานจากการสั่นไหวได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อเสา โครงสร้างจึงสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องรื้อถอนหรือซ่อมแซมในวงกว้าง ซึ่งเป็นการลดทั้งต้นทุนและเวลาสำหรับการก่อสร้างและการบำรุงรักษาในระยะยาว” นายปาณทัช ทองอู๋ เล่าถึงแนวคิดหลักของงานวิจัย

นายศิรวิทย์ เทียนทอง เสริมอีกว่า ระบบ HYSC ถูกพัฒนาขึ้นโดยอิงจากสถานการณ์จริงของอาคารพาณิชย์ขนาด 3 ชั้นในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยประสบภัยแผ่นดินไหวในปี 2557 โดยในครั้งนั้นพบว่าอาคารส่วนใหญ่เกิดความเสียหายที่จุดต่อและไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ทันที แม้โครงสร้างจะยังคงแข็งแรงอยู่ นวัตกรรมนี้จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะอาคารที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้ระบบป้องกันแผ่นดินไหวที่มีต้นทุนสูงเช่นในต่างประเทศได้

“ตอนเราทดลองเทียบกับระบบเดิมที่ใช้อยู่ทั่วไป พบว่าระบบ HYSC ควบคุมความเสียหายให้อยู่แค่ตรงจุดต่อ ไม่ลามไปถึงเสาแบบระบบ Monolithic Shoe Connection (MOSC) ซึ่งเป็นระบบแบบเดิม และโครงสร้างยังสามารถคืนตัวได้หลังจากเกิดการเคลื่อนตัวทางข้างถึง ±4.5% ซึ่งระบบ MOSC ทำไม่ได้ ที่สำคัญคือ HYSC ดูดซับพลังงานได้มากขึ้น จากเดิมสลายพลังงานได้แค่ 12.5% เพิ่มเป็น 22.5% โดยที่ความแข็งแรงโดยรวมไม่ได้ลดลงเลย” นายนภัสกร วงษ์หิรัญ เสริมถึงผลการทดสอบที่เกิดขึ้น

ผศ. ดร.เอกชัย อยู่ประเสริฐชัย อาจารย์ที่ปรึกษา ได้กล่าวถึงอีกความสำคัญของนวัตกรรมนี้ว่า “สิ่งที่นักศึกษาได้เรียนรู้จากโครงการนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำรา แต่คือการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาจริง ผ่านกระบวนการคิด ทดลอง และเรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งนี่คือหัวใจของวิศวกรรมศาสตร์ และเป็นเป้าหมายของภาควิชาที่ต้องการสร้างบัณฑิตที่พร้อมทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรม ที่สำคัญคือผลงานนี้แสดงให้เห็นว่า การออกแบบโครงสร้างที่รับแรงแผ่นดินไหวได้ดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศเสมอไป แต่วิศวกรไทยควรมีทางเลือกในการออกแบบที่ยืดหยุ่น ใช้วัสดุในประเทศ ต้นทุนไม่สูง และเหมาะกับบริบทของพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ความปลอดภัยและเป็นหลักประกันของคนไทยในอนาคต”

แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองเชิงวิชาการ แต่ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปต่อยอดใช้จริงในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐและเอกชนเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยทางโครงสร้างที่สามารถลดความเสียหายและความสูญเสียจากแผ่นดินไหวทั้งในด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทย นวัตกรรมที่พัฒนาโดยนักศึกษาวิศวกรรมโยธา มจธ. ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การ “ออกแบบจุดเชื่อมต่อ” แต่คือการ “เชื่อมโยงสู่อนาคต” ที่ปลอดภัยของคนไทยจากภัยแผ่นไหวที่อาจเกิดขึ้นอีก

มุกดาหาร​ -​นรข.เขตนครพนม โดย สน.เรือมุกดาหาร ตรวจยึดสุกรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร

(10 มิ.ย.68) ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านทรายทอง ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จว.มุกดาหาร พิกัด 48QVD 72728 41154 หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงจังหวัดมุกดาหาร สกัดจับ ขบวนการลักลอบส่งออกสุกร โดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร จำนวน 1 ตัว และกรงเหล็ก จำนวน 4 กรง

โดย​ น.ท.รุ่งเรือง มาสุทธิ หน.สน.เรือมุกดาหาร ได้รับแจ้งจากสายลับ จะมีการลักลอบลำเลียงขนสินค้าผิดกฎหมายข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้จัดชุดลาดตระเวนทางน้ำและทางบก เข้าตรวจสอบตามข่าวที่ได้รับแจ้ง ต่อมาเมื่อเวลา​ 06.45 น. ชุดลาดตระเวนทั้งสองไปถึงพื้นที่ตรวจพบชายฉกรรจ์ประมาณ 6 คน กำลังลำเลี้ยงสุกรลงไปบริเวณท่าน้ำเมื่อกลุ่มดังกล่าวพบเห็นเจ้าหน้าที่จึงทิ้งของกลางและใช้ความชำนาญพื้นที่หลบหนีเข้าไปตามภูมิประเทศหลังจากนั้นชุดลาดตระเวณทางบกและทางน้ำได้เข้าตรวจสอบพบว่าเป็นสุกรอยู่ในกรง จำนวน 1 ตัว และพบกรงเปล่าสำหรับบรรจุสุกร จำนวน 3 กรง จึงได้ทำการตรวจยึดและนำของกลางกลับมายัง สน.เรือมุกดาหาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย​ต่อไป

เครื่องบินรบจีน J-36 เผยโฉมดุจหนังไซไฟ ผู้เชี่ยวชาญยกให้ น่าสนใจสุดในรอบหลายสิบปี

(10 มิ.ย. 68) ภาพล่าสุดของเครื่องบินรบล้ำยุค J-36 และ J-50 ของจีน จุดกระแสถกเถียงอีกครั้งถึงความก้าวหน้าทางอากาศของปักกิ่งในเวทีโลก โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า จีนกำลังเข้าใกล้การครองความเป็นใหญ่ด้านอำนาจทางอากาศในยุคถัดไป

บิล สวีทแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานให้สัมภาษณ์กับ South China Morning Post ว่า “ดีไซน์ของ J-36 และ J-50 นั้นน่าทึ่งยิ่งกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูด” พร้อมยกย่องว่าเป็น “หนึ่งในเครื่องบินรบที่น่าสนใจที่สุดในรอบหลายทศวรรษ”

ปีเตอร์ เลย์ตัน อดีตนายทหารอากาศของออสเตรเลีย ระบุว่า J-36 มีความสามารถด้านล่องหน ระยะปฏิบัติการไกล และเร่งความเร็วเหนือเสียงได้โดยไม่ต้องเปิดใช้งานระบบเผาไหม้หลัง ซึ่งทำให้มัน “ยากต่อการสกัดก่อนปล่อยอาวุธ” และถือเป็น “ข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีคุณภาพ”

สำหรับเครื่องบิน J-36 และ J-50 ถูกมองว่าเป็นหมากตัวใหม่ในเกมอำนาจทางทหารของจีน ท่ามกลางการแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานขั้นสูงกับสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

‘ฮุน เซน’ โพสต์เดือด!..ท้าทายไทยจับกุมนักเคลื่อนไหว สวมชุดเครื่องแบบทหารเขมร ปลุกปั่นสถานการณ์ชายแดน

(10 มิ.ย. 68) สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ข้อความรุนแรงผ่านเฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia เรียกร้องให้ทางการไทยจับกุมนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในไทย โดยกล่าวหาว่าเป็น “คนทรยศชาติ” ที่สมคบคิดกับศัตรูเพื่อทำลายประเทศตัวเอง และท้าทายว่าหากไทยไม่มีส่วนรู้เห็น ก็ควรกล้าหาญจับกุมส่งกลับกัมพูชา

สมเด็จฯ ฮุน เซน อ้างอิงแถลงการณ์จากคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ที่ชี้เป้าบัญชีโซเชียลมีเดีย TikTok "Amy Richard310" และเฟซบุ๊ก "Piseth P G EM" ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อบ่อนทำลายกองทัพและสร้างความเข้าใจผิดให้สาธารณชน โดยระบุว่าบุคคลเบื้องหลังคือ นายเอม พิเศฐ (Em Piseth) อายุ 37 ปี หัวหน้าเครือข่ายเยาวชนกัมพูชาทั่วโลกในประเทศไทย

ทางการกัมพูชากล่าวหาว่า นายเอม พิเศฐ ซึ่งเดิมเป็นชาวจังหวัดพระวิหารและปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีการสวมเครื่องแบบทหารปลอมอย่างผิดกฎหมาย และใช้โซเชียลมีเดียโพสต์เนื้อหาเชิงลบ กุเรื่องขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกัน พลเอกเตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ปฏิเสธข่าวลือที่ถูกเผยแพร่ในคลิปดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้ถอนทหารออก และเตือนนายเอมให้หยุดการกระทำดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า “คุณไม่ใช่ทหาร คุณไม่ได้อยู่ในกัมพูชา อย่าสร้างปัญหาให้มากนัก... ไม่มีใครเชื่อคุณอีกแล้ว” โดยโฆษกตำรวจกรุงพนมเปญจึงเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณรอบคอบ ไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน และงดแสดงความคิดเห็นที่อาจสร้างความสับสน

ขณะนี้ทางการกัมพูชาอยู่ระหว่างสอบสวนและจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย พร้อมขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น และขอให้อยู่ในความสงบเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่หลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ

รายงานพิเศษ 'RECON' รบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน พร้อมปฏิบัติภารกิจตลอดเวลา

แม้จะถูกต้านทานอย่างหนักจากศัตรูที่โหดเหี้ยม ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศจะเลวร้ายสักปานใดก็ตาม ก็หาทำให้ทหารหน่วยนี้เสียขวัญ จนเปลี่ยนความตั้งใจแต่อย่างใดไม่ เพราะเรายึดมั่นอยู่เสมอว่าภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด แม้ชีวิต

คำปฏิญาณของ นักเรียนหลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก และจู่โจม นาวิกโยธิน หรือ 'รีคอน' เป็นหลักสูตรการรบพิเศษที่ขึ้นชื่อว่า ทรหดอันดับต้น ๆ ของกองทัพไทย จนมีฉายาเป็นนักรบ 3 มิติ เพราะสามารถปฏิบัติการได้ทั้งน้ำ ฟ้า ฝั่ง และมักจะมีคำพูดอยู่เสมอว่า 'ซีล มีสัปดาห์นรก รีคอน มีนรกทุกสัปดาห์'

อุปสรรคครั้งนี้ คือไฟที่ร้อนระอุ เหล่า รีคอน ต้องฝ่าไป เมื่อในสถานการณ์จริงเกิดมีอุปสรรคแบบนี้ การปฏิบัติหน้าที่จริงจะมีทักษะในการฝ่าไป เพื่อปฏิบัติภาระกิจลุล่วงและปลอดภัย จงขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ลำบากและเหนื่อยยาก เพราะเราจะได้รับใช้ชาติและตอบแทนคุณแผ่นดิน เมื่อถึงเวลา

ลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน หรือที่เรียกว่า 'RECON' จะเป็นหลักสูตรประจำหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ มีระยะเวลาในการฝึก 12 สัปดาห์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรเพิ่มขีดความสามารถให้กับกำลังพลของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีชื่อเสียงและขึ้นชื่อว่า 'มีความโหดมาก' ตลอดการฝึกหลักสูตร เรียกได้ว่า 'นรกทุกสัปดาห์' แต่ก็ยังมีกำลังพลจากต่างเหล่าทัพให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ที่จะมาเข้ารับการฝึก เนื้อหาหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาคที่ตั้ง ภาคทะเล และภาคป่าภูเขา มีเนื้อหาหลักสูตร เน้นไปทางการลาดตระเวน ทั้งการเดินลาดตระเวนทางบกและการใช้เรือยางในการลาดตระเวนทางน้ำ มีพื้นที่รับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 18 ฟุตขึ้นมาจนถึงชายฝั่ง มีปัญหาการฝึกหนักๆ ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ปัญหา 60 ชั่วโมง ปัญหาภาคทะเล และปัญหา 72 ชั่วโมง เฉลี่ยผู้สำเร็จการศึกษา อยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์

กัมพูชาโกยรายได้จาก ‘คอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์’ พุ่งแตะ 6.2 แสนล้านบาทต่อปี เพิ่มขึ้น 85% จากปี 67

(11 มิ.ย. 68) กรมสรรพากรของกัมพูชาเปิดเผยว่า รายได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ในประเทศสูงถึง 60% ของ GDP หรือประมาณ 620,000 ล้านบาทต่อปี กลายเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาล แซงหน้าอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งเคยเป็นรายได้หลักดั้งเดิมของประเทศ

ในปี 2024 กัมพูชาเก็บภาษีจากธุรกิจกาสิโนและการพนันรวม 63.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,061 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 85% จากปีก่อนหน้า โดยมีกาสิโนที่ได้รับใบอนุญาต 195 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่บริเวณชายแดน เช่น บาเวตและปอยเปต เพื่อรองรับนักพนันต่างชาติ โดยเฉพาะชาวไทย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากองค์กรต่างประเทศชี้ว่า อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชามีผู้เกี่ยวข้องกว่า 150,000 คน และเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ข้ามชาติจากกว่า 70 ประเทศ โดยมีการฟอกเงินผ่านธุรกิจพนัน ส่งผลให้รัฐบาลฮุน เซน ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม

ทั้งนี้ ภายใต้แรงกดดันจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพไทยได้ใช้มาตรการตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเทอร์เน็ต และจำกัดการข้ามแดน เพื่อกดดันอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของกัมพูชา แม้รัฐบาลจะปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แต่รายงานระบุว่ารายได้จากกิจกรรมเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในโครงการของรัฐและการควบคุมทางการเมืองภายในประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top