Friday, 13 June 2025
NewsFeed

ผบช.ภ.2 สั่งเข้ม! คุม 3 จังหวัดชายแดน “สระแก้ว-จันทบุรี-ตราด” ตรึงกำลัง คัดกรองทุกจุด ป้องกันเหตุ

เมื่อวันที่ (9 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) สั่งการด่วน! ถึงทุกสถานีตำรวจในพื้นที่ โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนตะวันออก ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และตราด หลังเกิดสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี โดยเน้นย้ำให้ “ตรึงกำลัง-คัดกรองเข้ม-บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด” เพื่อปกป้องอธิปไตย คุ้มครองประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในพื้นที่ชายแดน

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 2 ทุกพื้นที่ เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นเหตุร้าย โดยเฉพาะตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา กำหนดให้พื้นที่เหล่านี้เป็น “พื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ” พร้อมสั่งระดมกำลังจากหน่วยต่าง ๆ ทั้งตำรวจทางหลวง ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ร่วมตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจสอบยานพาหนะ และบุคคลต้องสงสัยในเส้นทางหลัก เส้นทางรอง รวมถึงจุดพักคอยและที่พักอาศัยต้องสงสัย

“ต้องทำงานเชิงรุก สืบสวนหาข่าวในพื้นที่อย่างใกล้ชิด วางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า และสนับสนุนภารกิจของทุกหน่วยอย่างเป็นระบบ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

นอกจากนี้ ผบช.ภ.2 ยังสั่งให้จัดตั้ง “ชุดสืบสวน-เคลื่อนที่เร็ว-ยุทธวิธีพิเศษ” ปฏิบัติงานลงพื้นที่ทุกจุดสำคัญ อาทิ ตลาดนัด สถานีขนส่ง สถานที่ท่องเที่ยว และจุดที่มีประชาชนหนาแน่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมประสานความร่วมมือกับฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ความมั่นคง และพนักงานรักษาความปลอดภัยในพื้นที่
  โดยกำชับเจ้าหน้าที่สายตรวจและจราจรทุกนายให้ “เปิดสัญญาณไฟวับวาบ” ขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแสดงตัวตนชัดเจน พร้อมใช้ยุทธวิธี “Stop-Walk-Talk” พบปะ พูดคุย ทำความเข้าใจ สร้างความร่วมมือกับประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง  มาตรการครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยเชิงรุก ป้องกันการลักลอบ กระทำผิด หรือก่อเหตุร้ายในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยในรูปแบบใดอีก โดย ผบช.ภ.2 ย้ำว่า “เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องปฏิบัติภารกิจด้วยความตั้งใจสูงสุด เพื่อประชาชนและประเทศชาติ”

📍ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือสายด่วน 191 ตลอด 24 ชั่วโมง

ขอนแก่น - มข. ส่งมอบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสนับสนุนกองทัพ เสริมความมั่นคงชายแดน

(11 มิ.ย. 68) ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนที่ต้องการการเตรียมพร้อมด้านความมั่นคง มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้แสดงจิตวิญญาณความเป็นไทยด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนล้ำสมัย เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพในพื้นที่ปฏิบัติการ

พิธีส่งมอบ จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 เวลา 12.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี เป็นประธานในการส่งมอบ  พร้อมด้วยศาสตราจารย์ธิดารัตน์ บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิสาหกิจและสังคมยั่งยืน, รศ.นงลักษณ์ มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ และพลตรี กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร จ.ขอนแก่น เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะทหารมณฑลทหารบกที่ 23

การสนับสนุนแบตเตอรี่ เพื่อการปฏิบัติการทางทหารนั้น เป็นรูปแบบการให้ยืมเป็นระยะเวลาชั่วคราว ประกอบด้วย
1. แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน 24V100Ah ซึ่งสามารถนำไปใช้งานสำหรับจั๊ม สตาร์ทเครื่องยนต์รถบรรทุก จำนวน 3 แพ็ก
2. แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน 24V50Ah ซึ่งสามารถนำไปใช้งานสำหรับจั๊ม สตาร์ทเครื่อยนต์ตระกูลนาโต้ จำนวน 3 แพ็ก

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความร่วมมือยาวนานกับกองทัพ และมณฑลทหารบกที่ 23 โดยมีความร่วมมือทั้งในลักษณะกึ่งทางการและเป็นทางการ ผ่านบันทึกความเข้าใจ ซึ่งโรงงานแบตเตอรี่ มข. ไม่เพียงเป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่ยังผลิตแบตเตอรี่เฉพาะทางสนับสนุนกองทัพ ทั้งสำหรับรถถัง ป้อมปืน และอุปกรณ์ Power Supply ต่างๆ” เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศ

นอกจากสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กองทัพในภูมิภาคแล้ว โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างสำคัญ ของการแปลงงานวิจัยสู่การใช้งานจริง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องการความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้า “เป็นการร่วมสนับสนุนในฐานะประชาชน ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพ” อธิการบดีเน้นย้ำ

พลตรี กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 กล่าวขอบคุณ มข. ที่สนับสนุนภารกิจหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์อ่อนไหวตามแนวชายแดน “แหล่งพลังงานสำรองนี้ช่วยให้กองทัพและหน่วยยานเกราะไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งกำลังบำรุงหากเกิดการชะงักงัน”

พลตรี กิตติพงษ์ กล่าวย้ำว่า “การดำเนินการครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย กับภาคความมั่นคงเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้  โรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีการทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่ร่วมกับระบบดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และมีความพร้อมในการใช้เพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว

ที่สำคัญ การดำเนินการของมหาวิทยาลัยครั้งนี้เป็นการร่วมสนับสนุนภารกิจสำคัญของกองทัพ ในฐานะประชาชน “ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่ง” เพื่อให้กองทัพสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศ ได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง.

ข่าว : เบญจมาภรณ์ มามุข
ภาพ : ณัฐวุฒิ จารุวงศ์

ทูตจีนกล่าวอำลาไทย ยกเป็น 4 ปีแห่งมิตรภาพ ขอบคุณน้ำใจช่วงวิกฤต ย้ำ ‘จีนไทยพี่น้องกัน’

(11 มิ.ย. 68) นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความ 'จีนไทยพี่น้องกัน ร่วมกันมุ่งสู่อนาคต' ในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับ โดยกล่าวถึงความประทับใจตลอด 4 ปีของการทำหน้าที่ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตอันสดใสของความสัมพันธ์จีน-ไทย

ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 เอกอัครราชทูตหานยกย่องน้ำใจของคนไทยและความช่วยเหลือที่สองประเทศมีให้กัน พร้อมระบุว่า “ความร่วมมือในยามยาก” ได้ทำให้มิตรภาพระหว่างประชาชนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง

นายหาน จื้อเฉียง ยังเน้นย้ำถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เช่น การจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรม WHA และการส่งออกทุเรียนไทยไปจีน ซึ่งล้วนสะท้อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและสร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองประเทศ

ในด้านวัฒนธรรม นายหานชื่นชมการแลกเปลี่ยนที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งยุคฟรีวีซ่า ความนิยมของภาพยนตร์ไทยในจีน และการเรียนภาษาจีนในไทย ซึ่งมีนักเรียนกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและความผูกพันของประชาชนทั้งสองชาติ

ทั้งนี้ ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต หาน จื้อเฉียง ย้ำว่าจีน-ไทยยังคงเคารพ ไว้วางใจ และสนับสนุนกันอย่างมั่นคง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์นี้จะเดินหน้าสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3 สส. ชุมพร ยันยังอยู่กับ รทสช. เหตุฐานเสียงหนุน พีระพันธุ์-เอกนัฏ แจงที่มาลายเซ็นเป็นการลงชื่อเข้าร่วมประชุม ไม่ได้เซ็นให้ ปรับ ครม.

(11 มิ.ย.68) นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังที่ก่อนหน้านี้ออกมาปฏิเสธกรณีมีลายเซ็นตนเองรวมอยู่ในรายชื่อ 21 สส.รทสช. ที่เสนอนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัดส่วนของพรรค ลายเซ็นดังกล่าวมาได้อย่างไรว่า ปกติการเซ็นชื่อในพรรคจะมีการเซ็นเป็นปกติ เช่น เซ็นชื่อเข้าร่วมการประชุม หรือเซ็นชื่อรับของต่าง ๆ จากพรรค อย่างเช่นปฏิทิน ยืนยันตนไม่ได้เซ็นชื่อเสนอปรับครม. เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน และจะทำอะไรต้องถามประชาชนในพื้นที่ก่อน เพราะตนเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่สามารถทำอะไรขัดกับประชาชนได้ ส่วนการเสนอปรับครม.เป็นหน้าที่ดำเนินการของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และตนขอตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเอกสารเสนอปรับ ครม.ถึงมี 2 ฉบับ ทำไมต้องมีชื่อแนบ ทำไมไม่อยู่ในฉบับเดียวกัน ขอยืนยันอีกครั้งตนไม่ได้เซ็นชื่อเสนอปรับครม. และตนยังอยู่กับพรรค รทสช.ไม่ไหวแน่นอน 

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า จากกรณีปรากฏภาพ 3 สส.ชุมพร ไปดื่มกาแฟกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค รทสช. และนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ นั้น เป็นการไปพูดคุยเรื่องราคาปาล์มและราคายาง เนื่องจากนายสุชาติเป็น รมช.พาณิชย์ รายงานข่าวยืนยันว่า สส.ชุมพรทั้ง 3 คน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งทั้ง 3 คน ยังยืนยันอยู่กับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. อีกทั้งฐานเสียงในพื้นที่ยังให้การสนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏด้วย จึงทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มของนายสุชาติได้ เพราะจะทำให้คะแนนเสียงที่จะใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหายไป ส่วนการเซ็นชื่อ เป็นการเซ็นชื่อเพื่อเข้าร่วมประชุม ไม่ได้มีเอกสารเสนอนายกรัฐมนตรีปรับ ครม. แนบท้ายในการเซ็นชื่อดังกล่าวแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสส.ชุมพร 3 คนประกอบด้วย นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.เขต 1 , นายสันต์ แซ่ตั้ง สส.เขต2  และนายสุพล จุลใส สส.เขต 3 ซึ่งทั้ง 3 คนยืนยันอยู่กับพรรค รทสช. ทำให้กลุ่มสส.ในรายชื่อ 21 คน เหลือเพียง 18 คน

รัสเซีย-เกาหลีเหนือ กลับมาเดินรถไฟระยะไกลสุดในโลกอีกครั้งในรอบ 4 ปี ระหว่างกรุงเปียงยาง-มอสโก เริ่ม 17 มิ.ย.นี้

(11 มิ.ย. 68) รัสเซียและเกาหลีเหนือเตรียมกลับมาให้บริการ เดินทางด้วยรถไฟโดยสารที่ระยะไกลสุดในโลกระหว่างกรุงเปียงยาง-มอสโก เริ่ม 17 มิถุนายนนี้ หลังระงับไปกว่า 4 ปี จากมาตรการปิดพรมแดนช่วงโควิด-19

รถไฟสายตรงดังกล่าวใช้เวลาเดินทาง 8 วัน โดยขาไปจะออกจากกรุงเปียงยาง วันที่ 17 มิถุนายน ถึงมอสโก วันที่ 25 มิถุนายน ส่วนขากลับจะออกจากกรุงมอสโก วันที่ 26 มิถุนายน ถึงเปียงยางวันที่ 4 กรกฎาคม ให้บริการเดือนละ 2 ครั้ง ในวันที่ 3 และ 17 ของทุกเดือน

สำหรับรถไฟจะให้บริการแบบไม่แวะจอดนอกกำหนด โดยจะมีจุดจอดตามเมืองใหญ่ในรัสเซียประมาณ 12 เมือง เช่น อีร์คุตสค์ ครัสโนยาสค์ โนโวซีบีสค์และเยคาเตรินบุร์ก โดยทางการรถไฟเกาหลีเหนือจะเป็นผู้ดำเนินการตู้โดยสารของตนเอง

ขณะที่ในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ จะมีการกลับมาเปิดเดินรถไฟระหว่างเปียงยาง-ฮาบารอฟสค์ แบบรายเดือนเพิ่มเติมด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

ทั้งนี้ ความร่วมมือรัสเซีย-เกาหลีเหนือแน่นแฟ้นขึ้นหลังสงครามยูเครน โดยมีรายงานว่า เกาหลีเหนือส่งกำลังสนับสนุนรัสเซียในแนวรบเมืองคูร์สก์ และได้ลงนามข้อตกลงความมั่นคงร่วมกันเมื่อปลายปี 2024

‘รัสเซีย’ โจมตี ‘ยูเครน’ ครั้งใหญ่สุดในรอบ 3 ปี โรงงานผลิตอาวุธ-คลังน้ำมัน-โครงสร้างพื้นฐานพังยับ

(11 มิ.ย. 68) กรุงเคียฟเผชิญการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในปี 2565 โดยมีการโจมตีเป้าหมายสำคัญทางทหารและอุตสาหกรรมทั่วเมือง รวมถึงโรงพยาบาลแม่และเด็กในเมืองโอเดสซา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีกหลายคน

กระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันว่า การโจมตีแบบผสมผสานด้วยขีปนาวุธและโดรนครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน ขีปนาวุธ ยานเกราะ และโรงงานต่อเรือในเคียฟ โดยเฉพาะโรงงาน Artem, โรงงานหุ้มเกราะเคียฟ และคลังเชื้อเพลิงจรวดซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไฟยังคงลุกไหม้หลายชั่วโมงหลังถูกถล่ม

นอกจากนี้ โดรนและขีปนาวุธรัสเซียมากกว่า 200 ลำพุ่งเป้าโจมตีจุดยุทธศาสตร์ในเขต Vyshgorod, Boryspil, Bila Tserkva รวมถึงสนามบินทหารและคลังน้ำมันหลักของเคียฟ ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมได้รับความเสียหาย ถนน เส้นทางรถไฟ และคลังสินค้าหลายแห่งถูกทำลาย

หนึ่งในจุดที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือคลังเก็บหัวรถจักร Darnitsa ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทหารทางราง และฐานซ่อมบำรุงของยานเกราะที่เก็บรถถังและอาวุธหนัก ขณะที่วิดีโอจากภาคสนามเผยให้เห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เฮลิคอปเตอร์ Ka-32 พยายามควบคุมเพลิงในคลังเชื้อเพลิงกลางเมือง

ด้านประธานาธิบดีเซเลนสกี ประณามรัสเซียว่า “จงใจโจมตีหัวใจของชาติ” พร้อมเรียกร้องพันธมิตรเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรและสนับสนุนระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม แม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพเมื่อไม่นานนี้ แต่การโจมตีล่าสุดยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดของสงครามที่ยังไม่มีจุดสิ้นสุด

สวนคนละหมัด!! ‘เอกนัฏ’ โต้กลับ ‘สุชาติ’ ปมกล่าวหา ชวนล้มหัวหน้าพีระพันธุ์ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนยื่นข้อเสนอ แต่ ‘เอกนัฏ’ ไม่เล่นด้วย พร้อมยืนยันทีมสุดซอยทำงานโปร่งใสท้าพิสูจน์ได้

จากกรณีปรากฏเอกสาร 21 สส.พรรครวมไทยสร้างชาติถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ 'ปรับรัฐมนตรี' ในสัดส่วนของพรรค พร้อมแนบรายชื่อและลายมือชื่อของ 21 สส.มาด้วย ก่อนที่จะมีสส.ที่มีชื่อในนั้นออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง ต่อมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งยังท้า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคว่า โทรไปไม่รับสายใช่ไหม ขอท้าเลยว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ให้เปิดอกคุยแบบลูกผู้ชาย ลั่นรู้หมด ใครอยู่เบื้องหลัง 21 สส. ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด (11 มิ.ย.68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีดังกล่าวโดยเผยถึงเรื่องไม่รับสาย นายเอกนัฏว่า เป็นสายที่เข้ามาเมื่อวันอังคาร ที่ 3 มิ.ย. (ไม่ได้โทรมาวันจันทร์) โทรมาจริง แต่ว่าตอนโทรมาคือเหตุการณ์ต่างๆ ไปไกลแล้ว ทำให้ตนงงว่า ตนยังสามารถคุยกับคนแบบนี้ได้หรือเปล่า ข้อแรกนะ เพราะผมไม่ไว้ใจใคร คือตนก็คิดว่าตนเจอสัมภาษณ์ตั้งแต่ที่สนามหลวงวันนั้น ก็บอกแล้วว่าจากกันด้วยดี เราไม่มีอะไรกัน เราอยู่ได้ก็อยู่ ๆ ไม่ได้ก็ปล่อยเราออกมา อย่าลืมว่าต้องย้อนหลังกลับไป “วันที่ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ” พรรคมาจากใครเราก็รู้ เราวางตัวใครมาเราก็รู้ ผมก็ไม่อยากพูดย้อนกลับไปในอดีต เพราะมันเป็นเรื่องภายในบ้านมันก็ควรจะจบในบ้าน ไม่ใช่มาพูดให้ประชาชนเขามีความรู้สึกว่า นักการเมืองทะเลาะกันออกอากาศ มันอายชาวบ้าน ผมบอกตรง ๆ

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่มาให้สัมภาษณ์ ก็เพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหาตนก็ลูกผู้ชาย ตนถามกลับว่าเลขาขิง โทรหาผมทำไม เขาก็บอกให้รับสาย แล้วจะรับได้ยังไง เพราะเป็นความคิดที่รับไม่ได้ เพื่อนบอกว่า นายเอกนัฏ ขอให้จับมือกัน ช่วยกันขับหัวหน้าพรรคออกไปแล้วเขาจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง อย่างนี้มันแรงไป จึงไม่รับสาย

แต่ตนไม่อยากบอกว่าเพื่อนตนเป็นใคร ไม่อยากให้เอาเพื่อนมาขาย ตนยืนยันพูดความจริงทุกเรื่อง แต่มาทำตัวเองหล่อคนเดียวอย่างนี้ไม่ถูก

นายสุชาติ ระบุว่า เพื่อนตนบอกว่าให้ตนรับสายเลขาขิง บอกว่าถ้าไม่ได้ ก็ช่วยกันจับมือเอาหัวหน้าพรรคออกเถอะ แล้วผมจะคุยทำไม เพราะผมมาไกลแล้ว เป็นเหตุการณ์เมื่อวันอังคารนี้เอง เขามาขอเสียงให้ช่วยกันโหวตขับหัวหน้าพรรคกันหน่อย

“พวกผมไม่เคยอัดเสียงใคร มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ถ้าผมวางแผน อัดเสียงไว้ ก็มีอะไรยืนยัน แต่ที่ไม่รับสาย เพราะผมเป็นลูกผู้ชายพอ ทำอย่างนั้นไม่ได้ แล้วผมจะรับสายเหรอ ถ้าเขาอัดเทปผมล่ะ อย่างนี้ผมจะคบได้เหรอ”

นายสุชาติ กล่าวว่า วันที่มีรูปกินข้าวกับกลุ่มชุมพร ก็ชัดเจนแล้วว่าเกือบทุกคนมาร่วมอุดมการณ์กับผม จะเหลือใครล่ะ

เมื่อถามว่า 21 รายชื่อของจริงไหม นายสุชาติ กล่าวว่า 21 สส. ก็ยืนยันว่าเซ็นจริง เป็นสส.มันโกหกไม่ได้ คนที่บอกไม่เซ็น ก็ต้องไปตอบคำถามกันเอง 18 คน บอกเซ็น รูปก็มี เราก็ต้องตอบคำถามในบ้านเรา ไม่ใช่ไปบอกข้างนอก

เมื่อถามว่าทำไม 3 ใน 21 ถึงปฏิเสธทันควัน นายสุชาติ กล่าวว่า แล้วรูปไปกินกาแฟ เขามาหาผมพร้อมกันไหม เขาก็รู้ว่ารูปออกสื่อ มากินข้าวอีกรอบวันที่ 6 มิ.ย. ที่เซ็นชื่อ ก็มีรูปว่าเขานั่งอยู่ด้วย ก็กินข้าวด้วยกัน ส่วนจะปฏิเสธทำไม ก็คงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ผมไม่ก้าวล่วง ไม่บังคับใคร

“พวกผมเป็นสส. 36 คน มีสิทธิ์มีเสียงอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องผ่าน 9 อรหันต์ บางคนสอบตกด้วย จะมาตัดสินใจแทนได้ยังไง แก้ข้อบังคับ ก็ไม่มีสส. รู้ แล้วโครงสร้างแบบนี้อนาคตจะไปยังไง วันนี้เรามาอาศัยบ้านเขาอยู่ วันนี้จะมาคล้องกุญแจ ไม่ให้เราออก แล้วจะทำยังไง ที่ผ่านมาเราสงบไปแล้วรอบนึง สุดท้ายก็เอาระเบียบพรรคมาขับเราออกก็ได้ จะได้ไปสร้างบ้านที่เราจะทำให้ประเทศ” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่มากล่าวหาว่ามาดีเบตไหมว่าไม่มีผลงาน ตนเป็นรมช. ก็ต้องทำตามรมว. ตอนโควิด ตนเป็นว่าการ ก็ทำงานเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม ๆ แต่ตอนนี้เขามีทีมอะไร อ้างมีคนลงขัน มันของปลอมทั้งนั้น ชุดที่เขาตั้ง ชุดสุดซอย มันคือชุดอะไร อ้างไปเหยียบตาปลา กระทบใคร ภาพมันก็ดูดี แต่รู้ไหมมันมีชุดสุดซอย แล้วมีชุดตามเก็บอีกชุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีชุดสุดซอยตีเมืองขึ้น แล้วมีคนตามเก็บอีกเหรอ นายสุชาติ กล่าวว่า ต่อไปมันก็จะออกมาหมด ว่าอะไรเป็นอะไร ตนไม่ได้โทษใคร แต่อีกไม่นาน ก็เห็นหมดทุกเรื่อง เรามาพูดเรื่องในบ้าน ก็ไม่ควรให้สังคมปวดหัวกับเราด้วย แต่นี่มาดิสเครดิตกัน

เมื่อถามว่า ชุดเก็บนี่เก็บอะไร นายสุชาติ กล่าวว่า เดี๋ยวรอคนถูกกระทำออกมาพูดดีกว่า ตนไม่ได้ใส่ร้ายใคร แต่นี่เป็นคนพื้นที่ รับไม่ได้ เขาก็มาด่าตน

เมื่อถามว่าเปิดเผยภาพวันที่ 6 มิ.ย. ที่เซ็นชื่อ 21 สส.ได้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เดี๋ยวคงมีออกมา วันนั้นเราถ่ายไว้ว่าทุกคนมีแนวคิดเดียวกัน สุดท้ายคืนนั้นทั้งคืน มีผู้ใหญ่ของพรรค โทรหา 21 สส. ก็ถ่ายวิดีโอไว้ บางคนเป็นสส.เขตก็ไม่อยากออกตัว เขาเซ็นจริง ไม่งั้นก็ออกมาฟ้องตนแล้ว แถมยังมาบอกให้โพสต์สนับสนุนหัวหน้า

เมื่อถามว่าสรุปเลขาขิงโทรมาเมื่อไหร่กันแน่ นายสุชาติ กล่าวว่า โทรมาเมื่อวันอังคารที่ 3 มิ.ย. หลังมีรูปที่ตนไปกินกาแฟกับกลุ่มชุมพร แต่เมื่ออังคารที่ 10 มิ.ย. หลัง 21 สส.ลงชื่อแล้ว ไม่มีใครโทรมา เอาโทรศัพท์ตนไปเช็กก็ได้

นายสุชาติ กล่าวว่า คืนวันที่ 9 มิ.ย. ที่กลุ่มชุมพรโพสต์ว่าไม่ได้เซ็น ตนก็โทรหาเลย เขาบอกว่าเขาลำบากเป็นสส.เขต ชาวบ้านจะไปหาว่ารับตังมา ให้กลับข้าง ก็ด่าไปว่าจะบ้าเหรอ ไปทำแบบนี้มันเสียเครดิตเพื่อนทั้งกลุ่ม แล้วต่อไปใครจะคบกับพวกคุณ ตนก็ไม่ว่าใคร ก็ไปแก้ตัวกันเอง แต่คนเขารู้ว่าใครเซ็น ไม่เซ็น

เมื่อถามว่าหนังสือดังกล่าวส่งให้นายกฯแล้วหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า น.ส.พิชชารัตน์ เลาหพงษ์ชนะ ไปกับสส.อีก 3 คน ทราบว่ายื่นแล้วจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ตอบกลับ ผ่าน pptv เรื่องการกล่าวหาทีมสุดซอย โดยขอพูดตรง ๆ ว่า "ทุเรศ"!!!!

"ไม่ต้องคลุมเครือ ถ้าตัวใหญ่ ใจใหญ่จริง ๆ พูดตรง ๆ เลย พูดให้ชัดเลย ใครเป็นผู้มีอิทธิพลใน eec แล้วไปตบทรัพย์นักธุรกิจ ใครไปตั้งตัวเป็นนายหน้าเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ เพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจเถื่อน ๆ พูดเลยสิครับเอาเลย เชิญเลยครับ!!!

ผมยืนยัน นั่งยัน เอาหัวเป็นประกัน เราไม่เคยทำแบบนั้น  คนกำลังหวังกับสิ่งที่เราทำ และผมก็มุ่งมั่นในการกวาดล้างธุรกิจศูนย์เหรียญ ธุรกิจเถื่อน ผมทำอย่างเปิดเผยทุกครั้ง ไม่เคยแอบจับไม่เคยต่อรอง" เลขาขิงโต้เดือด

พิธีกรได้ถามต่อว่า เป็นเพราะหลายคนชื่นชมผลงาน แบบนี้เลยเป็นการดิสเครดิตใช่หรือไม่?

"ต้องดูที่เจตนาครับ ถ้าเขาอยากได้เก้าอี้ผม ถ้าผมทำงานดีเข้าตาประชาชน ก็เป็นสิ่งที่ขวางทางเขาอยู่ ผมว่า ประชาชนจับได้ และรับรู้นะว่าเจตนาคืออะไร พูดน่ะอะไรก็ได้ แต่ต้องวัดกันที่การกระทำ"

เชียงใหม่- 'วีระศักดิ์' อดีต รมว. ท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายพิเศษ 'ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่'

สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จัดบรรยายพิเศษ 'ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่' เพื่อนำคำชี้แนะมาพัฒนาต่อยอด และยกระดับ ของสมาคม และการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) ณ โรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่  นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ในวาระสมัย ปี 2568-2570 , ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ,อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายพิเศษ “ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่”โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งเจ้าภิคินัย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, นายกสมาคมและตัวแทนสมาคมพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่, พะเยา ส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรับฟังบรรยาย นำคำชี้แนะ ไปพัฒนาต่อยอด และยกระดับของสมาคมในจังหวัดเชียงใหม่

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง เป็นปกติที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปค้นหาที่เที่ยวใหม่ๆ ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ยังเข้ามาเยือนประเทศไทยอยู่นั้นเป็นกลุ่มสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจกับเขาให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน  อย่างไรก็ตามไม่ฝากความหวังไว้กับตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยจะต้องมีการค้นหาตลาดใหม่เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการท่องเที่ยวไทยให้มั่นคงมากขึ้น 

โดยจะต้องบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งส่วนราชการ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ในการจัดทำศูนย์ข้อมูลกลางรวบรวมจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ แบ่งบทบาท แบ่งหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวตามกลุ่มเป้าหมาย หรือภาคธุรกิจอื่นๆ ที่อยากเชื่อมโยงธุรกิจท่องเที่ยวกับเราอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่แข่งแย่งกัน

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ รายได้ของจังหวัดเชียงใหม่70% มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มีความสำคัญ เป็นหน้าที่ที่เรามาจับมือคนรอบข้างแล้วเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคม เข้าไปมีส่วนร่วมกับหลายๆภาคส่วนที่จะร่วมกัน เพื่อที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือการทำให้เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญด้านการท่องเที่ยว

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จัดบรรยายพิเศษ“ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ในหัวข้อ การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ Soft Power (5Fs),แนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เพื่อรองรับกลุ่มนักเดินทางเชิงสุขภาพ และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก Destination Marketing  พร้อมทั้งมีการหารือร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน ด้านการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

การจัดงานบรรยายพิเศษ "ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่"ในวันนี้ เพื่อรับฟังวิสัยทัศน์จากผู้เชี่ยวชาญ และร่วมหารือ ในประเด็น การสร้างอัตลัษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ Soft Power (5Fs) โดยให้ความสำคัญกับ Food-Festival-Fun ที่โดดเด่นของเชียงใหม่
- Food (อาหารพื้นถิ่น/ เทศกาลอาหารฮาลาล/ สตรีทฟู๊ด/ ผักผลไม้ GI/ มิชลิน)
- Festival (Big 5: งานไม้ดอก/ สงกรานต์/ pride and mu month/ ยี่เป็ง/ design week)
- Family & Fun (กลุ่มครอบครัว/ csr/ team building)

แนวทางการยกระดับสินค้า และผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก Destination Marketing การเข้าร่วมงาน Trade Show เช่น ITB, WTM , TTM+ รวมถึงออกแบบแพคเก็จการท่องเที่ยวแบบครบวงจรสำหรับกลุ่มนักเดินทางต่างประเทศ เช่น Chiang Mai Pass, TAGTHAi Pass เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในเรื่องของการยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยทั้งในการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง
          
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการบรรยายในวันนี้ จะได้รับคำชี้แนะ การพัฒนาต่อยอด และยกระดับของสมาคมในจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งจะเกิดประโยชน์กับทุกท่าน และ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมให้การสนับสนุนทางจังหวัด  สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่, สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ อย่างเต็มที่

นางพัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างเช่น นักท่องเที่ยวจีนมีลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับภาพรวมของประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยลดน้อยลง 

อย่างไรก็ตามทาง ททท. ยังดำเนินการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องผ่านการจัดแคมเปญ “สวัสดีหนีห่าว” ซึ่งเป็นการเชิญบริษัทนำเที่ยวรวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์จากจีนเข้ามาสำรวจบรรยากาศการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

นครพนม​ -​ทหารไทย-ลาว ร่วมประชุมสานความร่วมมือชายแดน(นครพนม-คำม่วน) ยกระดับมาตรการปราบปรามยาเสพติดโดยใชัโดรน - ดูดทรายในแม่น้ำโขง

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) ที่ห้องประชุมแขวงทางหลวงนครพนม บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม–คำม่วน) มีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนการปฏิบัติงานร่วมกัน ครั้งที่ 5 ประจำปี 2568 ระหว่างคณะชุดประสานงานชายแดนไทย-ลาว โดยมี พันเอกศิวดล ยาคล้าย ผบ.กองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยงานความมั่นคงไทย ให้การต้อนรับ พันเอกบุนเลิด บุบผาวัน หน.การทหาร แขวงคำม่วน สปป.ลาว พร้อมคณะผู้แทนจาก สปป.ลาว

โดยทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในการดำเนินการเพิ่มมาตรการเฝ้าตรวจอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และหน่วยจะร่วมกันประสานการปฏิบัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ตามสายบังคับบัญชา สนับสนุนการปฏิบัติเพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจเป็นอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของกลุ่มขบวนการลำเลียงยาเสพติด หรือกลุ่มแอบแฝงการกระทำผิดกฎหมายพระราชบัญญัติอื่นๆ และอาชญากรรมต่างๆ ตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ และจะส่งผลการตรวจสอบให้กันและกันทราบ เมื่อตรวจสอบทราบข้อเท็จจริงแล้ว 

ทั้งนี้ สองฝ่ายเห็นควรข้อตกลง ดำเนินการลาดตระเวนร่วมอย่างเป็นทางการ 3 เดือน/ครั้ง และจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร 6 เดือน/ครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งเห็นควร ประสานงานร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเครือข่ายเป้าหมายยาเสพติด อย่างต่อเนื่อง กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีแผนการติดตามเป้าหมายบางรายคดียาเสพติด อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมมืออย่างรวดเร็วทันกับสถานการณ์

ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการตรวจสอบกิจการท่าทรายของผู้ประกอบ หรือการจัดตั้งของบริษัทเหมืองแร่ (ดูดทราย)ตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง ที่เห็นว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมทั้งได้ส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้กันและกันทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการประสานขอรับทราบ และกรณีมีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกันตรวจสอบพื้นที่จริงบริเวณเขตแนวชายแดน ร่วมมือกันยุติปัญหาไว้ ณ แนวชายแดนที่ปรากฏภาพข่าว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเป็นวงกว้างในพื้นที่ จ.นครพนม - แขวงคำม่วน 

ส่วนในข้อสุดท้ายของการประชุม คือสองฝ่ายเห็นควร ประสานการปฏิบัติผ่านกลไกชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดน หากมีการส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน โดยบันทึกการประชุมฉบับนี้จัดทำขึ้น 4 ฉบับ เป็น 2 ภาษา ทั้งภาษาไทย และภาษาลาว แต่ละฝ่ายจัดเก็บไว้ 2 ฉบับ เพื่อเป็นนโยบายในการปฏิบัติต่อไป

ภายหลังการประชุม คณะทหารทั้งสองประเทศได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” ณ วัดพระบาทเวินปลา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีการมอบพันธุ์ปลานิลจิตรดา 3,000 ตัว พร้อมพันธุ์ไม้พยูง ไม้สัก และไม้มะฮอกกานี รวม 400 ต้น และร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อสร้างชุมชนชายแดนที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

เกษตรกรใต้แห่ปลูกทุเรียนแทนต้นยาง-กาแฟ พื้นที่ปลูกพุ่งเฉียด 9 แสนไร่ คาดผลผลิตปี 68 เพิ่ม 14%

(11 มิ.ย. 68) ผลผลิตทุเรียนภาคใต้ปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.46 หรือประมาณ 606,958 ตัน จากการขยายพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุเรียนที่ปลูกในช่วงปี 2562 เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ ส่งผลให้พื้นที่ปลูกทุเรียนภาคใต้ทะลุ 870,000 ไร่ หลังเกษตรกรทยอยโค่นกาแฟ ยางพารา และไม้ผลชนิดอื่น เช่น มังคุด เงาะ ลองกอง เพื่อปลูกทุเรียนที่มีราคาดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาทุเรียนในปีนี้อาจไม่สดใสเหมือนปีก่อน จากภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว และล้งรับซื้อน้อย ล่าสุดราคาทุเรียนตะวันออกตกลงเหลือเพียง 105-110 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ภาคใต้ยังประสบปัญหาฝนตกกระทบช่วงออกดอก ทำให้บางพื้นที่ผลผลิตหายไปถึงร้อยละ 50-60 โดยเฉพาะทุเรียนทวายที่ชนกับฤดูฝน อาจมีความเสี่ยงไม่สามารถออกผลได้ตามเป้า

ด้านสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 5 จ.สงขลา รายงานว่า ทุเรียนภาคใต้มีเนื้อที่ยืนต้น 870,593 ไร่ และเนื้อที่ให้ผล 622,111 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.88 และ 7.54 ตามลำดับ โดยผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ปีนี้อยู่ที่ 976 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.43 จากสภาพอากาศเอื้ออำนวยในช่วงต้นปี และการบริหารจัดการสวนที่ดีขึ้น

สำหรับฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนภาคใต้ปี 2568 เริ่มตั้งแต่ 5 มิถุนายนใน จ.พังงา และทยอยเก็บเกี่ยวในแต่ละจังหวัดจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม โดยผลผลิตทุเรียนจะออกมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม ขณะนี้ทุเรียนภาคใต้กว่า 65% ของพื้นที่ให้ผลได้ออกดอกแล้วและอยู่ในระยะติดผลเล็ก

ส่วนไม้ผลอื่น ๆ อย่างมังคุด เงาะ และลองกอง ต่างได้รับผลกระทบจากทั้งสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย และการโค่นพื้นที่ปลูกเพื่อนำไปปลูกทุเรียนแทน ส่งผลให้ผลผลิตปี 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะลองกองที่ผลผลิตคาดว่าจะลดลงถึงร้อยละ 49.10 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาตกต่ำและมีฝนตกผิดฤดูกาลในช่วงออกดอก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top