Thursday, 8 May 2025
NewsFeed

เวทีเอฟเคไอไอ. ชี้ไทยเผชิญ3ภัยคุกคามใหญ่เสนอ“ทางออกประเทศไทย” หวั่นสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนทำไทยโตต่ำสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารั้งท้ายอาเซียน

(5 พ.ค. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบรรยายในงานเสวนาโต๊ะกลมของสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII National Dialogue) “โอกาสหรือวิกฤติใหม่เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน“ ว่า  ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามใหญ่และความท้าทาย 3 ประการได้แก่ภูมิเศรษฐศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงและส่งผลกระทบซับซ้อนต่อกัน ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม “เศรษฐกิจของเราโตต่ำโตช้าและอ่อนแอเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างจากปัญหาหลักๆเช่นปัญหาหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน การขาดดุลงบประมาณ ความเหลื่อมล้ำ ขีดความสามารถในการแข่งขัน การพึ่งพาการส่งออก การวิจัย เทคโนโลยีการศึกษาและการคอรัปชั่น ปัญหาเหล่านี้คือจุดอ่อนจุดตายโดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะส่งผลกระทบซ้ำเติมประเทศไทยรุนแรงมากขึ้น

ล่าสุดไอเอ็มเอฟ.(IMF)ประเมินว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตจากเดิม 2.9% (คาดการณ์ในเดือนมกราคม 2568) เหลือ1.8%ถือว่าต่ำสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเซียและรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งมูดีส์ประกาศปรับลดแนวโน้ม(Outlook)อันดับเครดิตของประเทศไทยจากStableสู่สถานะNegative (เชิงลบ)ถือเป็นสัญญาณอันตรายล่าสุดซึ่งประเทศไทยต้องยกเครื่องปฏิรูปครั้งใหญ่ทันทีอย่างต่อเนื่องจริงจังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเช่นการปรับสมดุลระหว่างเศรษฐกิจในประเทศกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เร่งกระจายตลาดลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนพร้อมกับเดินหน้าลดโลกร้อนมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี2050และในทางยุทธศาสตร์ต้องยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลางนโยบายการต่างประเทศทั้งการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ“

อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปัจจุบันเป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงโอกาสของการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า “การค้าระหว่างสองประเทศคิดเป็นสัดส่วน 3% ของตลาดการค้าโลกซึ่งมีมูลค่า24 ล้านล้านดอลลาร์โดยเมื่อปี 2024 มูลค่าการส่งออกนำเข้าของสหรัฐและจีนอยู่ที่ 582.4 พันล้านดอลลาร์ โดย สหรัฐส่งไปจีน 143.5 พันล้านดอลลสาร์ และจีนส่งไปสหรัฐ 438.9 พันล้านดอลลาร์ซึ่งองค์การการค้าโลก(WTO)มองว่าถ้าสงครามการค้ายังสู้กันด้วยการขึ้นภาษีทำให้2ชาติมหาอำนาจยุติการค้าขายกันแต่ตลาดโลกอีก97%ก็ยังค้าขายต่อไปได้ และนี่คือโอกาสในวิกฤตที่มองเห็นได้ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองของทั้ง2มหาอำนาจและอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงลำดับต้นๆที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายทรัมป์2.0

เสนอ”ทางออก ทางเลือก และทางรอด“

ทางด้านนายชยดิฐ หุตานุวัตร์ ประธานสถาบันทิวา และ ผู้อำนวยการ FKII  Thailand กล่าวว่า
”ไทยเสนอแนวทางใหม่ฝ่าวิกฤตโลก: การอยู่อย่าง ยั่งยืน ทางเลือกสู่อนาคตที่ ชีวิตดี สังคมดี โลกดี ท่ามกลางยุคที่โลกผันผวนจากสงครามการค้า วิกฤติพลังงาน ภูมิอากาศ และสังคมสูงวัย ประเทศไทยต้องเร่งหา “ทางออก ทางเลือก และทางรอด” โดยนำ 5 จุดเเข็งของประเทศไทย คือ 3F2H: Forest, Farm, Food, Health และ Hospitality มาเป็นแกนหลัก

เราเสนอแนวคิด Sustainable Longevity Living  โดยยึดหลักการ พึ่งพาตนเอง Self-Sustainable
และชู 3 แกนหลัก คือ Localization การใช้ทรัพยากรท้องถิ่น, Deurbanization การกระจายประชากรออกจากเมือง, และ Rural Revitalization การฟื้นฟูชนบท แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม แต่สร้าง “คุณภาพชีวิต” ที่แท้จริง Sustainable Longevity Living เป็นการผสมผสานเกษตรอินทรีย์  อาหารปลอดภัย การเรียนรู้ และชุมชนร่วมดูแลกัน เป็นทางรอดของคนรุ่นใหม่และผู้สูงวัย ในโลกที่ต้องการ “อยู่ดี” อย่างยั่งยืน ไทยสามารถเป็นต้นแบบของเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและขับเคลื่อน แนวคิดใหม่ “ชีวิตดี สังคมดี โลกดี” ด้วยพลังจากรากหญ้า นี่ไม่ใช่เพียงการอยู่รอด แต่คือการสร้างอนาคตใหม่อย่างยั่งยืนร่วมกัน“ 

“3 ปมไทยอ่อนแอ
ไร้ยุทธศาสตร์-คอรัปชั่นฝังลึก-ศึกษาล้มเหลว”

นายเกษมสันต์ วีระกุล ประธานซีเอ็ดนักวิชาการอิสระ สื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
กล่าวว่า สงครามการค้าครั้งนี้จะจบลงเหมือนสงครามครั้งแรกที่จีนเป็นผู้ชนะ และเวียดนามจะเป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุดในอาเซียน ถึงแม้จะไม่มีสงครามการค้า เศรษฐกิจไทยก็อ่อนแออย่างมากอยู่แล้ว การเจริญเติบโตต่ำมาต่อเนื่องยาวนาน สาเหตุสำคัญคือการที่ไทยไร้ยุทธศาสตร์ คอร์รัปชันฝังรากลึกและระบบการศึกษาที่ล้มเหลว
ดังนั้นเพื่อที่จะสร้างโอกาสให้ประเทศไทย และสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ เราควรทำ 3 เรื่องด้วยกันคือ
1.รื้อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แล้วเขียนใหม่ให้เป็นยุทธศาสตร์แบบที่ประเทศที่เขาพัฒนาได้สำเร็จเขียนกัน เช่นสิงคโปร์
2.เร่งแก้ไขคอร์รัปชันด้วยการปราบ แบบเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสังคมอุปถัมภ์เช่นเดียวกับไทยแต่ก็ยังปราบคอร์รัปชันได้สำเร็จ
3.เร่งปฏิรูปการศึกษา โดยใช้ AI แบบ  Khanmigo ของ Khan Academy ซึ่งจะเปลี่ยนห้องเรียนแบบที่คนไทยคุ้นเคยให้เป็นห้องเรียนที่กลับหัวกลับหางหรือ flipped classroom ทำให้เกิดการเรียน Active Learning

“รัสเซีย โมเดล กับโอกาสของไทยในสงครามการค้า 2.0”

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน อดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงปักกิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจีน
วิเคราะห์ว่าโอกาสหรือวิกฤติของไทยในสงครามการค้า 2.0ดังนี้
1. การท่องเที่ยว ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของประเทศไทยและสินค้า/บริการของไทยถดถอยลง จากเป็นบวกสู่มิติเชิงลบ ทำให้คฝนีกท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงเดือนละกว่า 1 หมื่นคนนับแต่ต้นปี แต่ไทยยังมีโอกาสอยู่มากในการกลับไปสู่จุดเดิมของนักท่องเที่ยวปีละ 10 ล้านคน โดยเราต้องรีแบรนด์ประเทศและสินค้า/บริการของไทยในสายตาของคนจีน ต้องยึดหลัก “สร้างข่าวบวก 3 ข่าวทุกครั้งที่มีข่าวเชิงลบ 1 ข่าว” นั่นหมายความว่า ไทยต้องลงทุนกับการสร้างคอนเท้นต์สำหรับตลาดจีน เรายังสามารถเรียนลัดจาก Russia Model ในการพัฒนาตลาดสินค้ารัสเซียในจีนผ่านออฟไลน์และออนไลน์
2. การค้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สินค้าและบริการของไทยพัฒนาขีดความสามารถแข่งขันน้อยมาก ขณะที่สินค้าและบริการของจีนพัฒนาคุณภาพและแบรนด์อย่างต่อเนื่องจนทั้ง ”ถูกและดี“ ซึ่งหากเรามองในแง่ของการค้าทวิภาคี เราคงอยากลดการค้ากับจีนเพื่อลดการขาดดุลการค้า แต่เนื้อแท้แล้ว หากพิจารณาจากมุมมองของการค้าพหุภาคี การค้ากีบจีนอาจช่วยให้ไทยลดการขาดดุลการค้า เพราะเป็นการลดการนำเข้าโดยรวม สิ่งสำคัญก็คือ ไทยต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันระดับระหว่างประเทศ
3. การลงทุนและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ผลจาก BRI, Made in China 2025 และสงครามการค้าและเทคโนโลยี การลงทุนของจีนในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยก็เป็นประเทศจุดหมายปลายทางของการลงทุน ไทยจึงควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบการศึกษา และระบบราขการ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายและการปราบปรามคอรัปชั่น ทั้งระบบนิเวศอย่างจริงจังเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม.

‘IO มากันไวมาก’ ฐปณีย์คอมเมนต์แซะกลางโซเชียล หลังโพสต์เรียกร้องเจรจาชายแดนใต้เจอกระแสตีกลับ-ครอบครัวเหยื่อระเบิดสวนเจ็บ ‘คุณไม่มีวันเข้าใจ’

(6 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวชื่อดัง โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยสะท้อนเสียงจากทั้งพุทธและมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ต่างเรียกร้องให้หยุดความรุนแรง และเห็นว่าการเจรจาเป็นแนวทางสันติวิธีเพื่อยุติการสูญเสีย พร้อมย้ำว่า “อย่าใช้ชีวิตประชาชนเป็นตัวประกัน หยุดการใช้อาวุธ กลับสู่โต๊ะเจรจา”

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน จนคุณแยมต้องเข้ามาคอมเมนต์ว่า “IO มากันไวมาก” 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด มาจากภรรยาเจ้าหน้าที่ EOD ที่สูญเสียขาจากเหตุระเบิดในนราธิวาส ระบุว่า “ไม่ใช่ไอโอค่ะ...เจรจามากี่ครั้งแล้ว พอไม่พอใจก็ก่อเหตุอีก เค้าต้องการแบ่งแยก ไม่ได้ต้องการเจรจา...คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ” เป็นเสียงสะท้อนความเจ็บปวดจากผู้สูญเสียที่วิจารณ์กระบวนการเจรจาอย่างตรงไปตรงมา

BRN แถลงเสียใจ!! แต่ความรุนแรงยังต่อเนื่องสวนทางกับคำขอโทษ กลบไม่มิดความจริง…เมื่อคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ถูกใช้เพื่อแลกกับชีวิตเด็ก พระ และครู

(6 พ.ค. 68) จากโพสต์ล่าสุดของเพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ถึงเรื่อง “คำขอโทษที่ลอยอยู่เหนือซากศพ: ความจริงที่สวนทางกับคำแถลงของ BRN”

แม้ BRN หรือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี จะออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือน” และอ้างว่ายึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนใต้กลับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้—ว่าพลเรือนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องจากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการมุ่งเป้าโดยตรงจากกลุ่มติดอาวุธที่อ้างชื่อ BRN เอง

ในเดือนเมษายน 2568 กลุ่มติดอาวุธได้ยิงถล่มรถที่พระภิกษุและสามเณรใช้บิณฑบาตในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต และเด็กชายวัย 12 ปีได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ และไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ชีวิตของเยาวชนต้องดับสูญเพียงเพราะความรุนแรงที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่า “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี”

ย้อนไปเมื่อปี 2560 ห้างบิ๊กซีในจังหวัดปัตตานีถูกโจมตีด้วยระเบิดสองลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 56 ราย รวมถึงเด็กเล็ก ขณะที่ปี 2562 จุดตรวจในจังหวัดยะลาถูกลอบโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชีวิตถึง 15 ราย—ล้วนเป็นบุคคลไร้อาวุธ ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการสังหารครูในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างปี 2547–2556 ระบุว่าครูอย่างน้อย 157 รายถูกสังหาร ไม่ใช่เพราะมีบทบาททางทหาร แต่เพียงเพราะทำหน้าที่ให้ความรู้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีรายงานว่าเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปถูกกลุ่มติดอาวุธเกณฑ์เข้าฝึกและใช้เป็นผู้สอดแนม นั่นย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”

ในบริบทนี้ การที่ BRN ออกแถลงการณ์เสียใจภายหลังการสังหารเด็ก คนชรา หรือพระสงฆ์ แทนที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบหรือแสดงเจตจำนงที่จะยุติการใช้ความรุนแรง กลับยิ่งทำให้แถลงการณ์กลายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมแต่อย่างใด

เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีนั้น ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และไม่ควรมีเด็กคนใดต้องโตมากับเสียงปืนเพื่อให้ใครบางคน “ได้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

หากการต่อสู้ของ BRN ยังคงดำเนินไปด้วยแนวทางเดิม แถลงการณ์ใดๆ ที่ตามมาจะเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้กำลังที่ไร้ความชอบธรรม และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากสังคมไทยหรือประชาคมโลกได้อย่างแท้จริง

กองทัพอากาศส่ง F-16 สกัดเครื่องบินเมียนมา หลังพบบินเข้าใกล้ชายแดนกาญจนบุรี ยันไม่มีการล้ำอธิปไตย

(6 พ.ค. 68) พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศตรวจพบเครื่องบินลักษณะคล้าย K-8 จากเมียนมา บินเข้าใกล้เขตแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เวลาประมาณ 12.45 น. กองทัพอากาศจึงสั่งการให้ F-16 จำนวน 2 ลำ จากกองบิน 4 จังหวัดนครสวรรค์ ขึ้นบินพิสูจน์ฝ่ายและแสดงท่าทีทางอากาศ

F-16 ทั้งสองลำได้ทำการบินลาดตระเวนรบในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่พบการล้ำอธิปไตยหรือท่าทีคุกคามเพิ่มเติมจากเครื่องบินดังกล่าว

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันความพร้อมในการสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย โดยจะดำเนินการตามมาตรการอย่างมืออาชีพ เพื่อปกป้องน่านฟ้าไทยและอธิปไตยของประเทศตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

‘อังกฤษ’ อัปเดตแผนลับฉุกเฉินรับมือภัยคุกคาม ‘รัสเซีย’ เตรียมพร้อมทั้งอพยพราชวงศ์-ต้านขีปนาวุธ-การโจมตีทางไซเบอร์

(6 พ.ค. 68) สหราชอาณาจักรกำลังทบทวนและปรับปรุงแผนการป้องกันประเทศฉบับลับที่ไม่ได้อัปเดตมาตั้งแต่ปี 2005 ท่ามกลางความกังวลต่อความเป็นไปได้ของการโจมตีจากรัสเซีย โดยเฉพาะในรูปแบบของขีปนาวุธ นิวเคลียร์ และไซเบอร์ ตามรายงานของ The Telegraph

เอกสารแผนลับดังกล่าวระบุขั้นตอนฉุกเฉิน เช่น การอพยพรัฐบาลและราชวงศ์ไปยังหลุมหลบภัย การประสานการออกอากาศฉุกเฉิน และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างระบบขนส่งและการสื่อสาร เพื่อให้ประเทศสามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่องในภาวะวิกฤต

รายงานยังเปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดทำสถานการณ์จำลองการโจมตีแบบผสมผสาน ทั้งขีปนาวุธและไซเบอร์ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรง รัฐมนตรีหลายรายแสดงความกังวลถึงความพร้อมของประเทศในการรับมือสงครามสมัยใหม่

ในอีกด้าน สหราชอาณาจักรยังตรวจพบเซ็นเซอร์สอดแนมของรัสเซียในน่านน้ำใกล้ชายฝั่ง ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของอังกฤษ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ที่กำลังทวีความรุนแรงในภูมิภาค

แผนการทั้งหมดอยู่ภายใต้ความลับอย่างเข้มงวด และไม่น่าจะมีการเปิดเผยต่อสาธารณะในอนาคตอันใกล้ ขณะที่การสอดแนมและความเคลื่อนไหวทางทหารของรัสเซียยังคงเป็นประเด็นเฝ้าระวังหลักของรัฐบาลอังกฤษต่อไป

ผบช.สตม.ตรวจเยี่ยมการทำงาน ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานภูเก็ต พร้อมหารือการติดตั้งระบบช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ

(6 พ.ค. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ภาณุมาศ  บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และคณะ ฯ เดินทางตรวจราชการ พร้อมหารือแนวทางในการติดตั้งช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Border Channel: ABC)  ร่วมกับ นายมนต์ชัย ตะโหนด ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต และ นายธนพล กองบุญมา CEO บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด พร้อมคณะ ณ ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว

รอง ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(6 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและผู้เข้ารับการฝึกอบรม ร่วมพิธี ที่โรงแรมสามพรานภิรมย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 
 
สำหรับการจัดโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั้งระดับผู้บังคับบัญชาและระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน เข้าใจสภาพปัญหาสำคัญในการปฏิบัติงานในพื้นที่รับผิดชอบ สามารถวิเคราะห์แนวโน้มการเกิดอาชญากรรม และนำไปสู่การวางแผนในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ เทคนิควิธีปฏิบัติงานใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และปรับปรุงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สอดคล้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 หลักสูตร โดยจะมีผู้บังคับบัญชาและข้าราชการตำรวจที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์เป็นพิเศษในงานป้องกันปราบปราบอาชญากรรม รวมถึงบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญกับงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม ได้แก่
1. หลักสูตรการบริหารงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รวม 72 นาย ประกอบด้วย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม พร้อมทีมงานบริหารป้องกันปราบปราม หน่วยละ 6 นาย และหน่วยงานด้านยุทธวิธีและด้านอำนวยการ หน่วยละ 1 นาย ซึ่งมีการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 5-7 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมสามพรานภิรมย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 

2. หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามของสถานีตำรวจ (สน./สภ.) ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 อย่างน้อย 1,484 นาย ฝึกอบรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 รุ่น รุ่นแรกวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 มีพิธีเปิดการฝึกอบรมฯ ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนอีกรุ่นฝึกอบรมระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2568 

ครบรอบ 72 ปี กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานในพิธีสดุดีอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ผบช.ตชด.นำยกย่องเชิดชูเกียรติ “ตชด.ผู้กล้า ผู้เสียสละ”เปิดผลงาน Seal ชายแดน ปราบเข้มยาเสพติด ต่างด้าว ภัยความมั่นคงทุกมิติ
 
(6 พ.ค. 68) เวลา 09.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( บช.ตชด. ) เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานในพิธีสดุดีและวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และผู้ก่อตั้งตำรวจตระเวนชายแดน เนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 72
โดยมี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
อาทิ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.อ.สมศักดิ์ บุบผาสุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ร่วมพิธี
พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน คุณสุวรรณยา  หลังยาหน่าย
ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจตระเวนชายแดน, ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน, คณะแม่บ้านตำรวจตระเวนชายแดน และผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 72 ซึ่งตรงกับวันนี้ 6 พฤษภาคม 2568 โดยในเวลา 06.39 น. คณะผู้บังคับบัญชาได้ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงพระพุทธศรีประกายสิทธิ์ ศาลพระภูมิ และบวงสรวงอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
จากนั้น 09.00 น. พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีสดุดี
และวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
และในเวลา 10.00 น. พล.ต.ท. นิตินัย  หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นประธานพิธีมอบโล่ ประกาศนียบัตร ให้แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัวข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นการสดุดียกย่อง “ตชด.ผู้กล้า” จำนวน 14 ราย  มอบรางวัลให้แก่ข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 11 รางวัล และมอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจ 50 ทุน
สำหรับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2496 ภายใต้สภาวะที่ประเทศไทยเผชิญกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้รัฐบาลและกรมตำรวจในขณะนั้น ได้จัดตั้งตำรวจตระเวนชายแดนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่รักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน โดยมี
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนคนแรก
 
ตำรวจตระเวนชายแดน มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
1.ทำการรบในระดับหน่วยขนาดเล็กได้อย่างทหาร
2.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างตำรวจ
3.พัฒนาและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างข้าราชการพลเรือน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตำรวจตระเวนชายแดนได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่มีปัญหา
ความมั่นคงอย่างมืออาชีพ ด้วยความเสียสละ และอดทน ยึดถือในอุดมการณ์ของตำรวจตระเวนชายแดน
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในชีวิตและทรัพย์สิน พัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน โดยมีผลงานสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมสำคัญ
ในพื้นที่ชายแดน เช่น การปราบปรามยาเสพติด การปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น
ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ  รวมถึงการดำเนินงานโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 222 แห่ง
ทั่วประเทศ
 
ทั้งนี้ ในห้วงปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา มีผลงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ดังนี้
1. การจับกุมคดียาเสพติด จำนวน 3,850 คดี ของกลาง ยาบ้า 20,910,461 เม็ด ไอซ์ประมาณ
1,260 กิโลกรัม และเฮโรอีน 21 กิโลกรัมเศษ
2. การจับกุมความผิดตาม พรบ. คนเข้าเมือง จำนวน 586 คดี ผู้ต้องหา 3,019 คน
3. การจับกุมกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 111 คดี ผู้ต้องหา 55 คน ของกลาง พื้นที่ป่าบุกรุก 487 ไร่เศษ มูลค่า 9,285,337 บาท ไม้ต่างๆ เช่น พะยูง 211 ท่อน มูลค่า 414,800 บาท, ไม้สัก 925 ท่อน มูลค่า 813,580 บาท,
4. การจับกุมความผิดตาม พรบ.อาวุธปืน จำนวน 355 คดี ผู้ต้องหา 373 คน ปืนชนิดต่างๆ รวม 396 กระบอก ระเบิดขว้าง 4 ลูก และเครื่องกระสุน 3,351 นัด
5. การจับกุมความผิดตาม พรบ.ศุลกากร จำนวน 97 คดี ผู้ต้องหา 83 คน ของกลาง ได้แก่ บุหรี่ 73,983 ซอง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3,723 ขวด และน้ำมันดีเซล 2,513 ลิตร
6. การจับกุมความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จำนวน 55 คดี ผู้ต้องหา 36 คน
ของกลาง รถยนต์ 69 คัน และ จักรยานยนต์ 29 คัน

ขอนแก่น - 'มทบ.23' จัดกิจกรรม วันกำลังสำรอง ประจำปี 2568 

เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดกองเสือป่าอันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง และให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของกำลังสำรอง ที่พร้อมสนับสนุนในทุกภารกิจของกองทัพ 

เมื่อเวลา 09.00 น. (6 พ.ค.68) ที่ อาคารสโมสรนายทหารค่ายศรีพัชรินทร มณฑลทหารบกที่ 23 ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พลตรีกิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเนื่องใน 'วันกำลังสำรอง' ประจำปี 2568 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดกองเสือป่าอันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง และให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของกำลังสำรอง ที่พร้อมสนับสนุนในทุกภารกิจของกองทัพ 

โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย พิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ของประธานและส่วนราชการ, การอ่านสารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการกล่าวคำปฏิญาณตนเป็นกำลังสำรองที่ดี ทั้งนี้มีผู้แทนหน่วยงานองค์กรกำลังสำรองจำนวน 6 หน่วยงานและผู้แทนข้าราชการทหารเข้าร่วมพิธีและวางพานพุ่ม อาทิ สมาคมผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารและนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 23, ชมรมไทยอาสาป้องกันชาติ, ศูนย์ประสานงานเครือข่ายกำลังพลสำรอง มณฑลทหารบกที่ 23, กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 2, กองอาสารักษาดินแดนจังหวัดขอนแก่น และกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 23 ร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการแข่งขัน Cops Combat ประจำปี 2568 วางยศ ลดอัตตา ปรับใช้ในการทำงานของตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(6 พ.ค. 68) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้การต้อนรับ ณ สนามมวยราชดำเนิน ซึ่งการแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 6 พฤษภาคม 2568 โดยในวันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบรางวัลชนะเลิศกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้ทบทวนการต่อสู้ป้องกันตัว การต่อสู้ระยะประชิด รวมไปถึงเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของข้าราชการตำรวจไปในตัว โดยปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สำหรับคะแนนรวมทั้งประเภทชายและหญิง 12 รุ่นน้ำหนัก โดยคะแนนรวมมากที่สุดของการแข่งขัน เป็นของกลุ่ม 13 ซึ่งเป็นนักกีฬาจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว 

ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ในปัจจุบันคนร้ายได้มีการต่อสู้กับตำรวจมากขึ้น ทำให้ตำรวจต้องมีความรู้ในการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน นักกีฬาทุกคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บนสังเวียนแห่งนี้มีแต่มิตรภาพ เพราะเราคือพี่น้องที่หน้าที่เพื่อจุดหมายเดียวกันคือ เพื่อประชาชน พร้อมขอบคุณนักกีฬาตำรวจทุกคน ที่ร่วมแข่งขันกันอย่างมีสปิริตบนเกมกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย วางยศ ลดอัตตา

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า Cops Combat เป็นกีฬาที่มีการผสมผสานระหว่างมวยไทยและทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวจากประเทศอื่น น้องๆ ตำรวจที่มาเป็นนักกีฬา สามารถนำไปปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้ป้องกันตัว ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อาจต้องใช้ความรู้จาก Cops Combat มาใช้ในการป้องกันตนเอง จากผู้คลุ้มคลั่ง หรือจากอาชญากร ที่อาจจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ถึงชีวิตได้ ดังนั้น กีฬาต่อสู้ป้องกันตัวที่จัดขึ้นโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีความจำเป็นกับทุกคน ซึ่งการจัดการแข่งขัน Cops Combat ปีนี้ พบว่ามีนักกีฬาจำนวน  14 กลุ่ม มากกว่า 14 กองบัญชาการ ที่ร่วมส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน และมีนักกีฬาเข้าร่วมจำนวนมากทั้งหญิงและชาย จึงอยากให้ข้าราชการตำรวจและนักกีฬาได้มีการพัฒนาตัวเอง พัฒนากำลังกายและทักษะเป็นประจำและสม่ำเสมอ เพราะตำรวจเรามีความจำเป็นต้องใช้ในภารกิจตำรวจกับชีวิตประจำวัน ขอบคุณนักกีฬาทุกคนที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน และคาดหวังว่าในปีต่อๆ ไป จะมีการพัฒนาในการต่อสู่กับฝ่ายตรงข้ามอย่างมีประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top