Saturday, 18 January 2025
NewsFeed

กมธ.การเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา เดินทางไปราชการเพื่อประชุมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับคณะกรรมการ กสทช.

(9 ธ.ค. 67) เวลา 11.30 นาฬิกา ณ อาคารหอประชุม ชั้น 2 (5021) สำนักงาน กสทช. คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา นำโดยนายนิเวศ พันธ์เจริญวรกุล ประธานคณะกรรมาธิการ และคณะ เข้าร่วมประชุมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับคณะกรรมการ กสทช. และผู้บริหารสำนักงาน กสทช. โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการ กสทช. และคณะ ได้ให้การต้อนรับ 

ที่ประชุมมีการหารือประเด็นต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ แนวทางการกำกับดูแลการแพร่ภาพและเสียงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (OTT) ทิศทางการกำกับดูแลและพัฒนาโทรทัศน์ดิจิทัล แนวทางส่งเสริมและกำกับดูแลอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ดาวเทียมสื่อสาร กิจการอวกาศ รวมถึงการประเมินผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับภายหลังมีการควบรวมบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ การวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ ครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดจนการส่งเสริมให้มีและใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเพื่อโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและกาสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม 

ทั้งนี้ การประชุมรับฟังความคิดเห็นร่วมกันในครั้งนี้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง ข้อคิดเห็น รวมทั้งปัญหา และโอกาสต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และกิจการโทรคมนาคม อันเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนและพัฒนา เพื่อสนองต่อความต้องการของประชาชนและส่งเสริมความก้าวหน้าของประเทศไทยต่อไป 

‘พล.ต.ท.ไตรรงค์’ เร่งตรวจสอบแก๊งคอลฯ ตุ๋น ‘ชาล็อต’ 4 ล้าน อ้างเป็นตร.ไซเบอร์หลอกโอนเงิน แต่ตอนนี้ยังติดต่อผู้เสียหายไม่ได้

ตร.ไซเบอร์ เร่งตรวจสอบ ‘ชาล็อต ออสติน’ ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ ตุ๋น 4 ล้าน บังคับวิดีโอคอล 24 ชั่วโมง เผยยังติดต่อเจ้าตัวไม่ได้ รอมาร้องทุกข์ พร้อมแฉใช้รูปแบบเดิม ๆ ในการหลอกลวง

(9 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. กล่าวถึงกรณีที่เพจ Miss Grand Thailand ต้นสังกัดมิสแกรนด์ ได้แจ้งข่าวว่า นางสาวชาล็อต ออสติน นางงามในสังกัด ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพถูกข่มขู่ว่าเป็นตำรวจไซเบอร์ ทำให้สูญเงิน 4 ล้านบาท และยังถูกควบคุมบังคับให้วิดีโอคอล 24 ชั่วโมงว่า หลังได้ทราบข่าวจากสื่อมวลชนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1. ไปดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้พยายามติดต่อกับนางสาวชาล็อต แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้โดยตรง เพราะอาจยังติดภารกิจ

โดยกรณีนี้คนร้ายใช้กลอุบายข่มขู่ให้เหยื่อมีความหวาดกลัวและหลอกให้โอนเงิน ซึ่งรูปแบบการหลอกในครั้งนี้เป็นรูปแบบเดิมที่โทรศัพท์ไปแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ และอ้างว่าเหยื่อถูกนำชื่อไปเปิดบัญชีมีเงินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายโอนเข้าไปในบัญชีพร้อมกับให้โอนเงินมาให้ตรวจสอบ นางสาวชาล็อตจึงได้โอนเงินไป จำนวน 4 ล้านบาท

แม้จะยังติดต่อนางสาวชาล็อตไม่ได้โดยตรงก็ได้มอบหมายให้พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. รับผิดชอบงานด้านการปราบปรามดำเนินการไปอย่างเต็มที่ในระหว่างที่รอนางสาวชาล็อต มาร้องทุกข์ดำเนินคดีอย่างเป็นทางการ พร้อมกับอยากให้นางสาวชาล็อตส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีและเบอร์โทรศัพท์ของมิจฉาชีพมาให้เจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้เร่งดำเนินการตามกฎหมายที่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับธนาคารต่อไป

‘รัฐบาล’ เดินหน้าประสาน!! ผลประโยชน์ ‘เกาะกูด’ เพื่อใคร‘ฝ่ายค้าน’ หมกมุ่น!! แต่การ ‘ล้มล้างสถาบัน’ เพื่อตะวันตก

(10 ธ.ค. 67) การได้เกิดมาเป็นคนไทย เติบโตมาจนปี พ.ศ. นี้ ก็ต้องพบกับความอดสูหัวใจอย่างที่สุด ใครจะคิดว่าเรามี ‘รัฐบาลไทย’ แต่กลับมีใจให้ ‘คนชาติเขมร’ คอยวิ่งเต้นคิดค้นวิธีสารพัดที่จะเอาผลประโยชน์ทางทะเลมหาศาลที่ไทยเราเป็นเจ้าของอย่างชอบธรรมมาตั้งแต่อดีต แบ่งปันให้กับกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานว่าอาณาเขตทางทะเลส่วนนี้เป็นของคนไทยตามหลักสากล

นั่นเพราะทรัพย์ใต้ทะเลลึกรอบบริเวณเกาะกูดที่เป็นเรื่องเป็นราวนั้นมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาทเป็นอย่างน้อย ด้วยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันดิบมากถึง 300 ล้านบาเรล ก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ประเทศใดได้ไปครอบครองก็จะมีอันจะกินไปอีกยาวนาน เขมรหัวหมอจึงหวานปาก ใช้ความสนิทสนมกับ “นักโทษหนีคดี” ดีลลับส่วนตัว ขอแบ่งสมบัติทางทะเลหน้าตาเฉย เพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่ต้องเป็นคนฉลาดก็จะทราบว่าผลประโยชน์ที่จะได้กลับมาก็จบอยู่ที่ ‘ตระกูลชั้น 14’ หาใช่คนไทยส่วนรวมไม่  

จึงถือเป็น “รัฐบาลไทยหัวใจกัมพูชา” อย่างไม่ต้องสงสัย 

เดินหน้าทำทุกอย่างโดยไม่แคร์เสียงท้วงติงของประชาชน ลุ เหลิงต่ออำนาจ มัวเมาในความโลภ มุ่งแต่จะตัดเฉือนสมบัติชาติของคนไทยทุกคนให้กับชนชาติอื่น ถ้าเป็นสมัยก่อนโทษของคนขายชาติก็ต้องโดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรสถานเดียว 

เมื่อมีรัฐบาลจ้องจะขายชาติ เราก็หวังพึ่งฝ่ายค้านไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะธงของฝ่ายค้านของเรา ก็ปักไว้อย่างโดดเด่นถึงการทรยศคนร่วมชาติไม่แพ้กัน นั่นคือการคิดแต่จะล้มสถาบันยังไงให้สำเร็จเพื่อประเทศตะวันตกที่ขี่คอฝ่ายค้านของเราอยู่ตลอดเวลา 

ทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้านของไทยเรา ต่างมี ‘พฤติกรรมเลว’ ที่กินกันไม่ลง ยากมากที่ประเทศชาติจะพัฒนาไปได้ไกลเพราะนักการเมืองสายพันธุ์ขี้หมาแบบนี้ 

เป็นฝ่ายค้านทีเคยชูว่าจะกำจัดความเหลื่อมล้ำ และกวาดทิ้งนักการเมืองคอร์รัปชั่นให้สิ้นซาก แต่กลับไม่เคยกล้าแตะพฤติกรรมชั่ว ๆ ของ ‘นักโทษชั้น 14’ ที่เป็น ‘หัวหน้าใหญ่ตัวจริงของรัฐบาล’ เริ่มตั้งแต่การไม่นอนคุก กระทั่งดีลลับการขายสมบัติชาติทางทะเล ดีแต่โชว์วาทกรรมโง่ ๆ หลอกต้ม ‘คนที่โง่กว่า’ ไปวัน ๆ 

ถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากความกล้าหน้าด้านที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน 

‘กระทรวงพาณิชย์’ เผย!! TEMU จดทะเบียนนิติบุคคล ในไทยแล้ว พร้อมเดินหน้า แก้ไขปัญหานอมินี ลั่น!! ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

(10 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสินค้าไร้คุณภาพที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งกรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มความเข้มข้นต่อไป หลังจากผลการทำงานที่ผ่านมา ได้ผลเป็นอย่างดี และแก้ไขปัญหาลงไปได้มาก สามารถดูแลผู้บริโภค และผู้ประกอบการ SME ได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ TEMU ล่าสุดตนได้รับรายงานว่า เมื่อ 11 พ.ย.67 ที่ผ่านมาทาง TEMU ได้ดําเนินการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยใช้ชื่อบริษัท เวลโค เทคโนโลยี จํากัด

ส่วนการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้นมี  2 ช่องทางคือ ช่องทางการส่งเสริมการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)และตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทั้งนี้ทางจีนก็ยินดีที่จะส่งเสริมการส่งออกสินค้า SME ไทยให้เข้าไปจำหน่ายในจีนทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรูปแบบใหม่

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริม และยกระดับ SME ไทยและแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานอย่างเข้มข้น ทำให้สินค้าไร้คุณภาพเข้าสู่ประเทศลดลง โดยช่วงก่อนมีมาตรการ ม.ค. - มิ.ย.2567 มีการนำเข้าเฉลี่ยเดือนละ 3,112 ล้านบาท และตั้งแต่เดือนก.ค.- ปัจจุบัน การนำเข้าลดลงเหลือ 2,279 ล้านบาท ลดลง 27% ลดลงทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่มีมาตรฐาน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มมาตรการในการกำกับดูแล โดยสินค้าเกษตร ให้เพิ่มการตรวจสอบสารปนเปื้อน สารเคมีตกค้าง แมลงตกค้าง จาก 500 ครั้งต่อเดือน เป็น 5,000 ครั้งต่อเดือน

และระยะกลาง เพิ่มการตรวจสอบเป็นวันละ 200 ครั้ง หรือปีละ 7.2 หมื่นครั้ง สินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำหน่ายผ่านเว็บไซต์ ให้ อย. และ สคบ. ตรวจสอบการติดสลาก คุณภาพสินค้า จากปกติ 1,200 ครั้ง เป็น 1,600 ครั้งต่อเดือน และเพิ่มเป็น 3,000 ครั้งต่อเดือน

ส่วนที่นำเข้า ให้ตรวจเข้ม 100% ในบางสินค้า และ 20-30% ในบางสินค้า และให้ชะลอการจ่ายเงินไว้ 5 วัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบสินค้า รวมทั้งต้องตรวจสอบการติดสลาก อย. มอก. อย่างเข้มข้น

ส่วนการดำเนินคดี กรมศุลกากรได้ดำเนินคดีแล้ว 12,145 ราย มูลค่าความเสียหาย 529 ล้านบาท สมอ. 59 คดี 33 ล้านบาท สคบ. 159 คดี 27.8 ล้านบาท กรมทรัพย์สินทางปัญญา 177 คดี 153 ล้านบาท และ อย. 30,393 รายการ ยังประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ได้

นายนภินทร กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหานอมินี ได้แบ่งกลุ่มตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยง 6 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจขนส่งทางบก ธุรกิจโกดัง และคลังสินค้า ธุรกิจซื้อขายที่ดินเพื่อการเกษตร และธุรกิจอื่นๆ โดยผลการตรวจสอบตั้งแต่ 1 ก.ย. - 4 ธ.ค.2567 สามารถดำเนินคดีได้ 747 ราย มูลค่า 11,720 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าของธุรกิจที่ได้เข้าไปตรวจสอบ

“ขอแจ้งเตือนไปยังผู้ที่กระทำการเป็นนอมินีให้กับคนต่างด้าว เข้ามาทำธุรกิจในไทย ขอให้หยุดการกระทำ และแจ้งข้อมูลมายังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สายด่วน 1570 จะกันตัวไว้เป็นพยาน แต่ถ้ายังขืนดื้อดึง และทำผิดต่อไป หากจับกุมได้ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ไม่มีละเว้น” นายนภินทร กล่าวทิ้งท้าย

‘เกาหลีใต้’ เตรียม!! ถอนการลงทุน ‘โรงงานอีวี’ ในสหรัฐอเมริกา จากนโยบาย ยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(10 ธ.ค. 67) บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้อยู่ในช่วงพิจารณาแผนลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.89 แสนล้านบาท) อีกครั้ง เนื่องจากกังวลว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า

มากไปกว่านั้น แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เผยว่า บริษัทเกาหลีบางแห่งได้ชะลอหรือหยุดการก่อสร้างโรงงานบางแห่งเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงรวมทั้งท่าทีด้านภาษีของทรัมป์ โดย Posco Future M ผู้ผลิตแคโทดให้กับ General Motors Co. ระบุในเอกสารเมื่อเดือนก.ย.ว่าอยู่ในช่วงเลื่อนการก่อสร้างโรงงานในนครควิเบก ประเทศแคนาดาออกไปเนื่องจาก ‘เหตุผลภายในท้องถิ่น’

เคนนี คิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ SNE Research บริษัทวิจัยในกรุงโซลที่มุ่งเน้นไปที่บริษัทผลิตแบตเตอรี่เกาหลี กล่าวว่า แม้บริษัทจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ผู้ประกอบการจากเกาหลีใต้จำนวนมากเริ่มกังวล "อย่างมาก" ว่าทรัมป์จะปรับลดเงินอุดหนุนสำหรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าลง

ก่อนหน้านี้ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเรื่องการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าผ่านพระราชบัญญัติพลังงานที่ชื่อว่า ‘Inflation Reduction Act’ มาโดยตลอด โดยรัฐบาลใหม่ของทรัมป์มีแผนลดข้อกำหนดในการประหยัดเชื้อเพลิง และตามรายงานของรอยเตอร์สเมื่อเดือนที่แล้ว คณะบริหารอาจจะยกเลิกเครดิตภาษีผู้บริโภครายละ 7,500 ดอลลาร์

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า การยกเลิกเงินอุดหนุน เครดิตภาษี และแรงจูงใจอื่นๆ จำนวนหลายร้อยพันล้านดอลลาร์มีผลเชิงลบต่อการจ้างงานในสหรัฐหลายหมื่นตำแหน่ง และทำลายความพยายามในการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าให้ห่างออกจากจีน นอกจากนี้ยังอาจกระทบรายได้ของบริษัทเกาหลีซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ จากความพยายามลดการพึ่งพาผู้ผลิตจากจีนท่ามกลางช่วงเวลาที่พวกเขากำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัว และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง

"เราติดตามทุกคำพูดจากทรัมป์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า" บยองฮุน คิม ซีอีโอของ Ecopro Materials Co. ผู้จัดหาวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าของ Ford Motor Co. และ General Motors Co. กล่าว

"เราถือว่า Inflation Reduction Act เป็นประเด็นสำคัญมาตลอด" คิม กล่าว พร้อมเสริมว่า "หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เราอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเราด้วย"

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดนเสนอเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการร่วมทุนระหว่าง Samsung SDI Co. และ Stellantis NV ในการสร้างโรงงานผลิตเซลล์ในรัฐอินเดียนา อย่างไรก็ตาม คณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านของทรัมป์รีบตั้งคำถามกับข้อเสนอนี้ วิเวค รามาสวามี หนึ่งในสองรายนามที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานร่วมของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (D.O.G.E) กล่าวในโพสต์บน X ว่าคณะกรรมการฯ จะตรวจสอบการช่วยเหลือของคณะทำงานของไบเดนอย่างละเอียด

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า หลังจาก Inflation Reduction Act มีผลบังคับใช้ในปี 2022 ทางการสหรัฐต่างประกาศอย่างโจ่งแจ้งต่อโรงงานในเกาหลีกว่า 50% ว่าจะมีการสร้างงานมากกว่า 20,000 ตำแหน่งบริเวณ Battery Belt’ ของสหรัฐซึ่งครอบคลุมพื้นที่จากมลรัฐมิชิแกน โอไฮโอ เคนทักกี ไปจนถึงจอร์เจีย

เกาหลีใต้ได้มีส่วนในการสร้างงาน และการลงทุนในพื้นที่ Rust Belt พัคแท ซอง รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่เกาหลี กล่าว พร้อมกล่าวเสริมว่าการมีผู้ผลิตแบตเตอรี่จากเกาหลีจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในการแข่งขันกับห่วงโซ่อุปทานที่จีนครองตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และกลุ่มของเขาอยู่ในช่วงเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐเพื่อเจรจาล็อบบี้เพื่อรักษานโยบายจูงใจด้านยานยนต์ไฟฟ้าไว้

ศูนย์วิจัย Reshoring Initiative เปิดเผยว่า แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการย้ายฐานการผลิตกลับมาในสหรัฐ ระหว่างปี 2021 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 นอกจากนี้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรง และการย้ายฐานการผลิตของเกาหลีในสหรัฐสร้างงานในอเมริกาเหนือ ได้ 20,360 ตำแหน่งในปี 2023 มากกว่าประเทศอื่นใดๆ

ดังนั้นการตัดเครดิตภาษีของทรัมป์จะกระทบกับบริษัทแบตเตอรี่ของเกาหลีอย่างหนัก ในช่วงที่บริษัทเหล่านี้กำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัวลง ราคาลิเทียม ซึ่งเป็นแร่สำคัญที่เชื่อมโยงกับราคาขายของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ดิ่งลงเกือบ 90% จากจุดสูงสุดในปี 2022 เนื่องจากปริมาณการนำไปใช้ในรถไฟฟ้าน้อย และช้ากว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

LG Energy Solution พันธมิตรสำคัญของ GM ได้บันทึกเครดิต Inflation Reduction Act ประมาณ 1 ล้านล้านวอน (773 ล้านดอลลาร์) ในบัญชีของตัวเองในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขาดทุนสุทธิในปีงบประมาณ 2023 ด้าน SK On พันธมิตรของ Ford ได้รับเครดิตภาษีจากสหรัฐประมาณ 2.11 แสนล้านวอนในสามไตรมาสแรก แต่ยังคงเผชิญกับสภาวะขาดทุน

บริษัทสัญชาติเกาหลียังกังวลว่าทรัมป์อาจอนุญาตให้บริษัทแบตเตอรี่ของจีนเข้าสู่สหรัฐโดยรอยเตอร์สรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า Contemporary Amperex Technology Co. Ltd หรือ CATL ของจีนจะพิจารณาสร้างโรงงานในสหรัฐหากทรัมป์เปิดประตู

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Inflation Reduction Act ของไบเดนปิดกั้นการลงทุนจากจีนมาจนถึงปัจจุบัน โดยขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่อยๆ ลดการจัดหาแร่ธาตุสำคัญสำหรับแบตเตอรี่จาก ‘Foreign Entities of Concern’ หรือ FEOC ซึ่งหมายความถึงบริษัทต่างชาติที่ดำเนินกิจการแล้วอาจกระทบความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

ด้าน ปาร์ค ชุลวาน ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมยานยนต์ มหาวิทยาลัยซอจอง กล่าวว่า "การเข้ามาของจีนในสหรัฐจะเป็นหายนะสำหรับเกาหลี" และ "บริษัทแบตเตอรี่ของจีนจะเสนอราคาที่ต่ำกว่ามาก"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมีความหวังว่าทรัมป์จะไม่ตัดเครดิตสำหรับผู้ผลิตแบตเตอรี่ เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐที่บริหารโดยพรรครีพับลิกัน

คิตาเอะ คิม ซีอีโอของ SungEel Recycling Park Indiana โรงรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเมือง ไวท์สทาวน์ รัฐอินเดียน่า กล่าวว่า  "ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่ [ทรัมป์] จะลดสิทธิประโยชน์จาก Inflation Refuction Act"

ทั้งนี้ หุ้นของ LG Energy ปรับตัวขึ้น 0.3% ในวันจันทร์ ขณะที่หุ้นของ Samsung SDI ร่วงลง 2.8%

ด้าน แพท วิลสัน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน SK On สามแห่ง กล่าวในอีเมลถึงบลูมเบิร์ก นิวส์ ว่าจอร์เจียจะช่วยให้บริษัทเกาหลี "สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"

"ตลาดสหรัฐยังคงเป็นตลาดผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดในโลก" เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "บริษัทเกาหลีรู้เรื่องนี้มาก่อนยุคของรัฐบาลไบเดน และข้อเท็จจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้มีรัฐบาลใหม่"

หาทางออก!! แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ในเวทีสานพลังไทย รับมือ!! ‘สังคมสูงวัย’

(10 ธ.ค. 67) ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช  ผู้ทรงคุณวุฒิ ประธานการประชุมกล่าวเปิดว่า มุมมองของคนไทยต่อ ‘สังคมสูงวัย’ ยังค่อนข้างแคบ หลายคนยังมองว่าสังคมสูงวัยเป็นเรื่องของ ‘ผู้สูงอายุ’ เท่านั้น โดยเน้นไปที่ความจำเป็นในการดูแลสุขภาพ หรือการจัดสวัสดิการสำหรับผู้สูงวัย แต่ในความเป็นจริง สังคมสูงวัยคือเรื่องของ ‘ทุกคน’ และทุกช่วงวัยในสังคม  พร้อมเสนอข้อคิดมุมมองเพื่อการเตรียมรับมือสังคมสูงวัยไว้  5 ประการ คือ

(1) รณรงค์สร้างความรู้ ว่าผู้สูงอายุ คือพลัง ไม่ใช่ภาระ ผู้สูงวัยมีศักยภาพที่จะเป็น ‘ครูชีวิต’ ที่ดีได้  การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่จำกัดเฉพาะช่วงวัยใดวัยหนึ่ง แต่เป็นพื้นฐานที่ทุกคนควรมี เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัว

(2) ให้มีกลไกสานพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ให้เข้ามาขับเคลื่อนงานในลักษณะการนำหมู่ (Collective Leaderships) 

(3) ปรับสภาพแวดล้อมทั้งในเชิงพื้นที่และกลไกให้เอื้อต่อการดำรงชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ร่วมกันของผู้สูงอายุและคนทุกวัย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยลดช่องว่างระหว่างวัย

(4) ใช้วัฒนธรรม ‘สังคมเกื้อกูล’ เป็นธงนำ ใช้รูปแบบวัฒนธรรมของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และ 

(5) ขยายผลนวัตกรรมและรูปธรรมความสำเร็จไปสู่วงกว้าง อย่างการปรับตัวของภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชน

“การที่ 12 องค์กรร่วมกันสานพลังทำงานนี้บนแนวคิด สานพลังไทย รับมือสังคมสูงวัย ไปด้วยกัน  เป็นการเดินในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสม   และมองว่าการเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นโอกาสที่เราจะร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมที่เป็นสุข สังคมที่เกื้อกูลกัน สามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน มุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของตนเอง และส่งเสริมการใช้ศักยภาพของผู้สูงวัยอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด” นายแพทย์วิจารณ์ กล่าว

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่าการขับเคลื่อนเพื่อรองรับสังคมสูงวัย เป็นภารกิจใหญ่และสำคัญ มีทั้งโอกาสและความท้าทายมากมาย ไม่สามารถดำเนินการเพียงลำพังโดยกลไกภาครัฐเท่านั้น จำเป็นต้องมีการสานพลังทั้งสังคม เพื่อการขับเคลื่อนร่วมกันอย่างเป็นระบบ และเกิด ความรับผิดชอบร่วมและการขับเคลื่อน ซึ่งการจัดประชุมวิชาการครั้งนี้  เพื่อให้เกิดการสานพลังองค์กรภาคีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานโยบายรองรับสังคมสูงวัย  พัฒนาวิชาการและองค์ความรู้จากประสบการณ์ขององค์กรภาคีเครือข่าย และสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายนำไปสู่ขับเคลื่อนรองรับสังคมสูงวัยทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ 

รศ.ดร.เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  ผู้ทรงคุณวุฒิและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘สังคมสูงวัย…จุดเปลี่ยนสู่ศักยภาพใหม่ของสังคมไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า’ โดยกล่าวว่า หากปล่อยปัญหาเรื่องสังคมสูงวัยไปไม่มีการดำเนินการใดๆ  และยังคงให้มีปัญหาผลกระทบในอีกสิบปีข้างหน้าจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น ยังไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหาเด็กเกิดใหม่ลและความพร้อมของครอบครัวที่มีคุณภาพก็ลดน้อยลง  ผู้สูงวัยไม่สามารถพึ่งพิงตนเองได้จึงเป็นภาระของวัยคนทำงาน ไม่มีเงินออม คนจน ความเหลื่อมล้ำ อาชญากรรมจะมีมากขึ้น รัฐเก็บภาษีอากรได้น้อยลงเพราะคนทำงานมีน้อยลง ขณะที่หนี้สาธารณะมีมากขึ้น สวัสดิการมีไม่เพียงพอ ยังไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีได้แม้มีหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุแต่ก็ไม่อาจฝากชีวิตได้  มองว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมแก้ไขปัญหาเดี๋ยวนี้ ช่วยกันปลุกเตือนให้ทุกคนได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศไทยด้วยการสานพลัง มีระบบช่วยดูแลผู้สูงอายุ มีการปรับสภาพแวดล้อมทางกายภาพให้เอื้อกับผู้สูงวัย รัฐบาลส่วนกลางต้องรับผิดชอบและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ คิดและทำให้ประชากรแก่ให้ช้า โดยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและมีสุขภาพดียาวนานที่สุด  ให้ระยะเวลาเจ็บป่วยเกิดสั้นที่สุด พึ่งพาตัวเองให้ยาวที่สุด เสริมทัศนคติให้ระยะเวลาทำงานยาวขึ้น ออมตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพราะออมเมื่อสูงอายุแล้วจะไม่ทัน

นายวีระศักดิ์  โควสุรัตน์  ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและอดีตสมาชิกวุฒิสภา  ปาฐกถาก่อนปิดการประชุม ในหัวข้อ ‘ต่อยอดจุดแข็งประเทศไทย ไปสู่  Smart Aging Society’  กล่าวว่า สถานการณ์โครงสร้างประชากรทั่วโลกที่ลดน้อยลง ฐานปิรามิดประชากรใน 100 ปีข้างหน้า จะผอมลงมาก  และสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ทำให้คนไม่กล้ามีลูก ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง  20 ปีที่ผ่านมาไม่มีเสถียรภาพ จึงไม่มีสมาธิที่จะเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่ลดน้อยลง  สภาพโลกร้อนขึ้นไม่หยุด รวมถึงนโยบายเลือกเฟ้นคนเข้าเมือง นโยบายถิ่นที่อยู่ นโยบายสัญชาติ ที่น่าจะสามารถเลือกสรรคนมีความสามารถจากทั่วโลกมาร่วมพัฒนาบ้านเมือง  เพราะเราไม่มีทางผลิตประชากรเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทันในเวลาอันใกล้นี้  

นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ประธานกรรมการบริหารโครงการสานพลังพัฒนาโยบายรองรับสังคมสูงวัย เพื่อสุขภาวะองค์รวม พ.ศ. 2568 และอดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวปิดเวทีว่า การขับเคลื่อนสังคมสูงวัยต้องมีการปรับความคิดว่าไม่ใช่เรื่องผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้อง เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องช่วยกันขยับทั้งภาครัฐ  ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ  เพื่อสร้างสังคมที่ Smart  และเชื่อมั่นว่าทำได้  เวทีที่จัดขึ้นเป็นเพียง  1 กิจกรรมในความพยายามที่ต้องทำต่อเนื่อง  เหมือนการวิ่งมาราธอน  เพื่อร่วมกันสร้างความรู้และปัญญาจากงานที่จัด  โดยจะมีการสรุปประมวลเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย  ข้อเสนอไปสู่การพัฒนาปฏิบัติ   บางเรื่องอาจต้องมีการศึกษาวิจัยต่อจากเวทีในครั้งนี้  มีหลายหน่วยงานที่มาได้รู้จักว่ากลุ่มไหน ทำอะไร  ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้ว ยังประสานทำงานร่วมกันต่อไปอีกด้วย  

การประชุมวิชาการ (Mini-symposium) สานพลังไทย รับมือสังคมสูงวัย ไปด้วยกัน  (Smart Aging Society : Together, We can)  จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับมูลนิธิสานพลังเพื่อแผ่นดิน (มสผ.) และองค์กรเจ้าภาพอีก 10 องค์กร ได้แก่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นเวทีคู่ขนานกับการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ 2567 มีผู้เข้าร่วมกว่า200 คน จากภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และนักวิชาการ  พบว่าเรื่อง ‘สังคมสูงวัย’ ยังไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง มีเพียงการดูแลสวัสดิการ สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ  และคาดว่าจะผลิตแรงงานไม่ทันกับความต้องการ ระบบโครงสร้าง ยังไม่รองรับความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก เด็กเกิดน้อย แรงงานลดลง พร้อมนำเสนอ 14 กรณีตัวอย่างขับเคลื่อนสังคมสูงวัยแลกเปลี่ยนประสบการณ์

‘จักรภพ’ ข้ามขั้ว!! จัดรายการให้ ‘ท็อปนิวส์’ เทปแรก ผลตอบรับดีเกินคาด ชี้!! นี่คือ ‘กูรูด้านต่างประเทศ’

(10 ธ.ค. 67) หลังมีคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับการไปจัดรายการช่อง TOP NEWS  ของนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการโดดไปร่วมงานกับช่องโทรทัศน์ที่มีความเห็นทางการเมืองต่างขั้วอย่างสิ้นเชิง จนหลายฝ่ายจับตาถึงท่าทีของนายจักรภพ ต่อการทำหน้าที่ในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 นายจักรภพ ได้จัดรายการ ร่วมกับนายอุดร แสงอรุณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวท็อปนิวส์ เป็นเทปแรก โดยนายจักรภพ ได้วิเคราะห์ 3 สถานการณ์ทางการเมืองต่างประเทศที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก ทั้งเรื่องประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายยุน ซ็อกย็อล ประกาศกฎอัยการศึกท่ามกลางความสงสัยของคนทั้งประเทศและทั่วโลกว่าทำไมต้องทำ ทั้งที่สถานการณ์ไม่ได้เอื้ออำนวย โดยนายจักรภพได้วิเคราะห์เจาะลึกถึง สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งกันทางการเมืองภายใน ที่คุกรุ่นมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนนำไปสู่การประกาศอัยการศึก ซึ่งเป็นเรื่องเกินจินตนาการของคน และถือเป็นการประเมินการสถานการณ์ผิดพลาดอย่างมากของนายยุน ซ็อก ย็อล ที่ต้องหมดอนาคตทางการเมืองในที่สุด 

นายจักรภพ ยังได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์สหรัฐ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และรอพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 20 มกราคม 2568 โดยขณะนี้ทรัมป์ ก็กำลังเลือกทีมทำงานอย่างเข้มข้น ท่ามกลางการถูกจับตาว่า เขาตั้งคณะรัฐมนตรี ในตำแหน่งสำคัญจากเงาสะท้อนของตัวเอง ไม่ได้ตั้งคนที่จะมาช่วยคิดที่จะมาเติมเต็มใด ๆ โดยเฉพาะเรื่องการแสดงท่าทีต่อจีน และสงครามยูเครน ซึ่งผู้ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคือ นายมาร์โก รูบิโอ ซึ่งเป็นคนที่ต่อต้านจีนอย่างหนัก  รวมทั้งประกาศกร้าวก่อนหน้านี้ว่าจะยุติสงครามยูเครนอย่างรวดเร็วด้วย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐจะเป็นผู้ตัดสินชี้อีกครั้งว่าเหมาะสมหรือไม่  

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเรื่องมหาอำนาจของมหาอำนาจงัดข้อกันเอง โดยเฉพาะกรณีกบฏซีเรียบุกเข้ายึดเมืองอเลปโป้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของรัฐบาลซีเรีย เชื่อมโยงกับการช่วยเหลือของรัสเซีย รวมทั้งสถานการณ์ยูเครน ที่ยังไม่สงบ และจะส่งผลกระทบต่อไทยและต่อโลกอย่างแน่นอน หากทรัมป์ตัดความช่วยเหลือทั้งหมด ขณะที่รัสเซียต้องเข้าไปวุ่นวายทั้งสมรภูมิ ยูเครน และซีเรีย นั่นหมายความว่าจีนซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัสเซีย จะเป็นผู้อำนาจสูงสุดในการจัดระเบียบโลก 

“และในฐานะที่ประเทศไทยอยู่ใกล้กับจีน เรายิ่งต้องระวังในเรื่องของดุลยภาพ แน่นอนว่าเราอยากคบกับจีน เพราะจีนมีศักยภาพ ขณะเดียวกันเราก็ต้องการคบ และต้องการค้าขายกับคนอื่นด้วย ดังนั้น ไทยจะต้องมีขีดความสามารถในการเลือกข้าง โดยไม่ให้ใครมาว่าเราได้ว่าเลือกทางนี้ไม่เอาทางโน้น ดังนั้นเราต้องจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดี ปูติน แห่งรัสเซีย ต่อสถานการณ์ซีเรียและยูเครน ซึ่งแน่นอนว่านโยบายต่างประเทศของเราจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก” นายจักรภพ กล่าว  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดรายการ มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางบวก ที่มองว่า นายจักรภพ วิเคราะห์ข่าวได้คม เป็นผู้ที่รู้ลึกรู้จริงด้านต่างประเทศเกินความคาดหมาย และการสื่อสารได้ชัดเจน จะช่วยให้คนไทยได้เข้าใจโลกใบนี้ได้มากขึ้น

บางจากฯ กวาด 4 รางวัลใหญ่ อันทรงเกียรติจาก 3 เวที ตอกย้ำ!! ความแข็งแกร่งด้าน ‘ผลิตภัณฑ์-บริการ-แบรนด์’

(10 ธ.ค. 67) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ย้ำความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์ บริการและแบรนด์ จากรางวัลทรงเกียรติในปี 2567 รวม 4 รางวัล จาก 3 งานประกาศผลรางวัล ประกอบด้วย

1) รางวัลถ้วยพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 
สยามบรมราชกุมารี สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Product/Service Excellence) ในงานประกาศผลรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2024 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2) รางวัล Superbrands Thailand 2024 จากแบรนด์บางจาก โดยแบรนด์ ‘บางจาก’ ได้รับรางวัล Superbrands Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงของ ‘บางจาก ไฮ พรีเมียม 97’ น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง สูตรที่ดีที่สุดของบางจากฯ 

3) รางวัล Superbrands Thailand 2024 จากแบรนด์กาแฟอินทนิล โดยแบรนด์ ‘อินทนิล’ ได้รับรางวัล Superbrands Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ในฐานะแบรนด์กาแฟรักษ์โลกอันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่มีความโดดเด่นในด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินทนิล เพื่อคุณ เพื่อโลก’

4) รางวัล ‘แบรนด์สร้างแรงบันดาลใจ’ ระดับภูมิภาคเอเชีย โดยแบรนด์ “บางจาก” ได้รับรางวัล 
Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2024 สาขา Inspirational Brand Award หรือ รางวัล ‘แบรนด์สร้างแรงบันดาลใจ’ ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil and Gas ที่ได้รับการยกย่องในด้านภาพลักษณ์และปรัชญาที่เป็นต้นแบบและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มาตลอดระยะเวลา 40 ปี ก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ด้วยแบรนด์ไอเดีย Greenovate to Regenerate: สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด

นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “รางวัลต่าง ๆ ที่บางจากฯ ได้รับในปี 2567 นี้ถือเป็นความภาคภูมิใจและนับเป็นบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับสินค้าและบริการของบางจากฯ เพื่อส่งมอบความสุขพร้อมประสบการณ์ที่แตกต่าง จนได้รับการยกย่องการันตีด้วยรางวัลอันทรงเกียรติ และเป็นรางวัลที่ได้รับอย่างต่อเนื่องในทุกปี ขอขอบคุณท่านผู้ประกอบการ คู่ค้า สมาชิกบางจากกรีนไมลส์ และลูกค้าทุกท่าน สำหรับทุกการสนับสนุน ความเชื่อมั่น และรางวัลจากทุกเวทีที่มอบให้กับบางจากฯ เราจะยังคงสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย พร้อมพัฒนาธุรกิจอื่น ๆ เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพการให้บริการควบคู่กันไป” 

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ชัดเจน ไม่แก้ระเบียบกลาโหม มอง!! กองทัพเป็นสถาบันหลัก แก้กฎหมาย จะกระทบถึงความมั่นคง

(10 ธ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ... ว่า

ในการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว ได้เคยมี สส.ฝ่ายค้าน ยื่นเรื่องร่างกฎหมายเพื่อจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาแล้วในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งในขณะนั้น ทางคณะรัฐมนตรีได้รับไปพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าให้ชะลอไว้ก่อน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าการแก้ไขดังกล่าวเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่อย่างไร เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบกับหลายภาคส่วน ในการเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือกฎเกณฑ์ในกระทรวงกลาโหม จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และที่สำคัญกองทัพถือเป็นสถาบันหลักของชาติที่เกี่ยวกับความมั่นคง จะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ

ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เคยหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และ สส.ของพรรค ได้มีความมติในเบื้องต้นว่าไม่เห็นด้วยในการรับร่างของ พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฯ ของพรรคก้าวไกล ในสมัยนั้น ซึ่งไม่เห็นด้วยในรายละเอียดหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกองทัพโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของสภากลาโหมที่มีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งหลักในกองทัพและประเด็นอื่นๆอีก  ซึ่งในขณะนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติไม่เห็นด้วย กับเสนอร่างกฎหมายของพรรคฝ่ายค้านที่เคยยื่นเข้ามา 

ดังนั้น ในกรณีการยื่นร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ... ของพรรคเพื่อไทย หากมีรายละเอียดที่มีความคล้ายคลึง กับ ร่างกฎหมายของพรรคฝ่ายค้านที่เคยยื่นมาแล้ว โดยให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกองทัพ พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอยืนยันมติพรรคไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติเห็นด้วยกับการทำให้กองทัพมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่ต้องไม่กระทบกับความมั่นคงโดยเฉพาะการให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงกิจการของกระทรวงกลาโหม

กมธ. เตรียมสรุปมาตรการคุมบุหรี่ไฟฟ้าในไทยยันป้องกันเด็กและเยาวชน แต่ต้องไม่ริดรอนสิทธิในทางเลือกของผู้สูบบุหรี่

(10 ธ.ค. 67) โฆษก กมธ. วิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ย้ำศึกษากฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างโปร่งใส พิจารณาข้อมูลจากทุกฝ่าย และใกล้สรุปรายงานฉบับสมบูรณ์เพื่อเสนอสภาฯ ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ เข้าใจสังคมและฝ่ายสุขภาพกังวลเรื่องเด็กใช้บุหรี่ไฟฟ้า ชี้ กมธ. เห็นปัญหาและต้องการแก้ไขอย่างรอบด้าน ไม่ผลักให้ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย

กรณีการจัดเวทีเสียงประชาชน รัฐบาลและรัฐสภารวมพลังคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายทศพร ทองศิริ อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการชี้แจงความคืบหน้าการทำงานของ กมธ. ว่า “คณะกรรมาธิการฯ เริ่มดำเนินงานตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 โดยเชิญหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนสมาคมแพทย์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า มาร่วมแสดงความคิดเห็น มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ 2 คณะ เพื่อพิจารณากฎหมายและรวบรวมข้อมูล ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสรุปผลและจัดทำรายงาน รายงานฉบับดังกล่าวจะเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 3 ทางเลือก ได้แก่ 1) การคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อน พร้อมเพิ่มมาตรการปราบปรามเข้มงวด 2) การคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแต่ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อน และ 3) การควบคุมผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบบภายใต้กฎหมาย”
 
พร้อมเสริมว่า “การศึกษานโยบายบุหรี่ไฟฟ้าที่ผ่านมา มีการดำเนินงานอย่างโปร่งใส มีการพิจารณาข้อมูลจากทุกฝ่าย คณะกรรมาธิการประกอบด้วยสมาชิก 35 คน มาจากทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ข้อกล่าวหาที่ว่าการทำงานของ กมธ. ถูกแทรกแซงโดยกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกล่าวอ้างที่ไร้ความรับผิดชอบ กมธ. เห็นว่า วิธีที่ดีที่สุดในการศึกษาประเด็นต่างๆ คือการรวมความเห็นและข้อมูลจากทุกกลุ่ม เพื่อให้แน่ใจว่ารายงานจะครบถ้วน รอบด้าน สมบูรณ์ ดังนั้น การรวมมุมมองที่หลากหลาย รวมถึงมุมมองของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณานโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างสมดุล เหมาะสม และทั่วถึง”
 
นายทศพร ยังกล่าวถึงความกังวลเรื่องการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนว่า “เรื่องนี้กำลังเป็นที่กังวลของคนในสังคม ซึ่ง กมธ. ยินดีรับฟังเสียงของประชาชน และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพ เราเข้าใจและรับฟังข้อเสนอของฝ่ายสุขภาพ แต่ก็ต้องพิจารณามิติในด้านอื่นให้รอบด้าน ไม่สามารถมองเฉพาะมิติด้านสุขภาพเพียงอย่างเดียวได้ ยกตัวอย่างเช่น มิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม มิติทางกฏหมายและการบังคับใช้ เป็นต้น เราดูทั้งบริบทในประเทศ และตัวอย่างจากประเทศที่ทั้งควบคุมให้ถูกกฎหมาย จึงอยากให้นำเรื่องนี้มาช่วยกันพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหา แต่อยากให้ใช้กลไกของรัฐสภาในการพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลมากกว่าที่จะผลักให้ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นอาชญากรที่ทำผิดกฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top