Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

จีน ยัน เตรียมส่งแพนด้ายักษ์คู่ใหม่มาไทย กระชับความสัมพันธ์ 50 ปีสองมิตรประเทศ

(29 ต.ค. 67) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) เป็นประธานการประชุมหารือเตรียมความพร้อมรับมอบสัตว์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมอบแพนด้ายักษ์คู่ใหม่จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปี ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับประเทศไทย ในปี 2568

นายจตุพร ได้กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีความพร้อมในการรับหมีแพนด้าคู่ใหม่จากจีนเข้ามาดูแลในนามของรัฐบาลไทย เพื่อเป็นทูตสันถวไมตรีที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันระหว่างสองประเทศ หลังจากที่องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย โดยสวนสัตว์เชียงใหม่ได้จัดส่งร่างหมีแพนด้าช่วงช่วงและหลินฮุ่ยกลับจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 พร้อมทั้งได้จัดทำรายงาน 20 ปีแพนด้าในไทยส่งให้ทางจีนประเมินโครงการ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 

ทางจีนได้ยืนยันที่จะนำแพนด้ายักษ์คู่ใหม่ให้เป็นทูตสัตถวไมตรีเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้แก่ประเทศไทยอีกครั้ง สำหรับในการเตรียมความพร้อมรับแพนด้ายักษ์คู่ใหม่นี้ ได้สั่งการให้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในด้านการออกแบบสถานที่สำหรับรับหมีแพนด้าคู่ใหม่ให้มีความเหมาะสม ทั้งในด้านความเป็นอยู่ และในส่วนของการจัดแสดงเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้เข้าชมกับหมีแพนด้ายักษ์อีกครั้ง โดยในการออกแบบจะต้องมีความสอดคล้องและเป็นไปตามหลักการของทางจีนเป็นสำคัญ 

แนะเพิ่มช่องทางหาเงินเข้ารัฐ ภาษีลาภลอย ช่วยรัฐบาลได้

(29 ต.ค. 67) ไม่แปลกนักที่ในห้วงระยะเวลานี้จะมีข่าวการเตรียมจัดเก็บค่าธรรมเนียม ภาษี หรือรายได้อื่น ๆ จากทางภาครัฐ เนื่องจากการทำรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

แต่มีอีก 1 ช่องทางในการสร้างรายได้อีก 1 ช่องทาง ที่เหมือนจะหลงลืมกันไป นั่นก็คือ ‘ภาษีลาภลอย’

ภาษีลาภลอย คือ ภาษีที่จะจัดเก็บจากผู้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ทางด่วน รถไฟฟ้า สนามบิน หรืออื่น ๆ

เหตุผลที่มีแนวคิดในการจัดเก็บ เนื่องจากบรรดาที่ดินที่ได้รับประโยชน์เหล่านี้ อยู่ดี ๆ ก็มีมูลค่าสูงขึ้นจากการลงทุนของทางภาครัฐ 

ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีการเตรียมเสนอกฎหมายที่มีแนวคิดคล้าย ๆ กันมาแล้ว ร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐพ.ศ. …

โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาทและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของห้องชุดรอการจำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ

2.โครงการฯ ที่จัดเก็บภาษี คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่น ๆ ที่กำหนดในกระทรวง

3.การจัดเก็บภาษีแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
3.1 ในระหว่างการดำเนินการจัดทำโครงการฯ จะจัดเก็บภาษีจากการขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือห้องชุดซึ่งตั้งอยู่รอบพื้นที่โครงการฯ ในรัศมีที่กำหนด
3.2 เมื่อการก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ จะจัดเก็บภาษีเพียงครั้งเดียวจาก
1) ที่ดินหรือห้องชุดเฉพาะส่วนที่ใช้ประชาชนในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท (ยกเว้นภาษีให้แก่ที่ดินหรือห้องชุดที่ใช้เพื่อพักอาศัยและที่ดินที่ใช้ประกอบเกษตรกรรม)
2) ห้องชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รอจำหน่าย ซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ

4.พื้นที่จัดเก็บภาษี กำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตร รอบพื้นที่โครงการฯ ทั้งนี้ กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่จัดเก็บภาษี ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่จะจัดเก็บภาษีในแต่ละโครงการฯ

5.หน่วยงานจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีโครงการฯตั้งอยู่

6.ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษี ให้จำนวนจากส่วนต่างของมูลค่าที่ดินหรือที่ขึ้นระหว่างวันที่รัฐเริ่มก่อสร้างโครงการฯ และมูลค่าในวันที่การก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ

7.การคำนวณภาษีให้ใช้ฐานภาษีของที่ดินหรือท้องที่ชุดคำนวณได้คุมด้วยอัตราภาภาษี

8.อัตราภาษี กำหนดเพดานอัตราสูงสุดของภาษีที่กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บได้ ไม่เกินร้อยละ 5 ของฐานภาษี ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดในพระราชกฤษฎีกา

9.ภาษีที่จัดเก็บได้ให้นำส่งเงินภาษีเข้าคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน

จะเห็นได้ว่าการเอาภาษีตัวนี้มาปัดฝุ่นอีกครั้ง สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันอย่างยิ่ง เนื่องจากหลายโครงการโครงสร้างพื้นฐานอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งรายได้ส่วนนี้จะสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นด้านอื่น ๆ ของประเทศได้อีกด้วย

จีนเปิดตัวทีมนักบินอวกาศ 'เสินโจว-19' เตรียมปล่อยยานสู่ห้วงอวกาศพรุ่งนี้

(29 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน ประกาศว่าทีมนักบินอวกาศของจีน ได้แก่ ไช่ซวี่เจ๋อ ซ่งลิ่งตง และหวังเฮ่าเจ๋อ จะเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 (Shenzhou-19) โดยจะทำหน้าที่ผู้บัญชาการ

หลินซีเฉียง โฆษกองค์การฯ กล่าวว่ายานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 มีกำหนดปล่อยสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตอน 04.27 น. ของวันพุธ (30 ต.ค.) ตามเวลาปักกิ่ง

สำหรับ "ไช่ซวี่เจ๋อ" เคยร่วมปฏิบัติภารกิจเสินโจว-14 ในปี 2022 ส่วน "ซ่งลิ่งตง" และ "หวังเฮ่าเจ๋อ" ซึ่งทั้งสองเป็นนักบินอวกาศของจีน ชุดที่ 3 และเกิดในทศวรรษ 1990 จะเดินทางสู่อวกาศเป็นครั้งแรก

ซ่งเป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศก่อนได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศ และหวังเคยเป็นวิศวกรอาวุโสประจำสถาบันเทคโนโลยีขับเคลื่อนการบินและอวกาศ สังกัดบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบินและอวกาศแห่งประเทศจีน (CASC)

ปัจจุบันหวังเป็นวิศวกรหญิงด้านการบินในอวกาศเพียงคนเดียวของจีน และจะเป็นผู้หญิงจีนคนที่ 3 ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม

เจ๊ไฝ ยันไม่แขวนตะหลิวร้านประตูผี เดินหน้าขาย ‘ไข่เจียวปู’ ในตำนานต่อ

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเป็นข่าวมากขึ้น มีสื่อมวลชนจำนวนมากแห่ไปสัมภาษณ์ เจ๊ไฝ กันไม่ขาดสาย ล่าสุด เจ๊ไฝ ออกมาเปิดว่า ไม่เป็นความจริง ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากที่ตนไปช่วยยูเอ็น หาเงินช่วยผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานใหญ่ มีทูต นักข่าวต่างประเทศมามาก ซึ่งสิ่งแรกที่ถามตนว่าอายุ 80 ปี แล้วยังไม่เลิกอีกเหรอ เลยตอบไปแค่ว่า มันก็มีโครงการอยู่ในใจ แค่นั้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องบานปลายดังกล่าว

เจ๊ไฝ เผยอีกว่า ทั้งนี้ยืนยันว่า ยังขายต่อยังไม่เลิก อีกทั้งยังรับงานต่างประเทศอีกหลายงาน เช่นฝรั่งเศส ต้องไปทำอาหาร แล้วจะเลิกได้ยังไง เลิกไม่ได้ ยังติดพันอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ อายุ 81 ปีแล้วปีนี้ ยังยืนทำอาหารได้สบาย วันหนึ่งยืนทำอาหารประมาณ 15 ชั่วโมง ส่วนลูกสาวคงไม่สืบทอดต่อ แต่มีโครงการอย่างอื่นอยู่ในใจ เพราะคุยกันตลอด

เจ๊ไฝ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันร้านหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ เปิดขาย 4 วัน วันพุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และ เสาร์ ถือว่าหยุดมากแล้ว นอกจากนี้ตนก็อยากให้รัฐบาลทำจริงจัง ทำเกี่ยวกับถนนคนเดินสัก 1 สาย ที่จัดให้มีการขายอาหารให้ชาวต่างชาติมาเดินเที่ยวกัน ส่วนที่ นายกฯอิ๊งค์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเสียดายหากร้านจะปิดนั้น ตนยินดีให้นายกฯอิ๊งค์ มาชิมอาหารที่ร้าน ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก เพราะเป็นร้านเล็ก

จดหมายจาก ‘ขนุน-สิรภพ’ ผู้ต้องขังคดี 112 บรรยายถึง ‘ฤดูหนาวที่แสนร้อน’ ในโลกหลังกำแพง

(29 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กบัญชี Sirapob Phumphengphut ของ ขนุน สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หนึ่งในแกนนำม๊อบเมื่อช่วงปี 2563 ซึ่งปัจจุบันถูกจำคุกจากการกระทำความผิดตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ได้โพสต์ว่า..

20 นาทีในทุกวันกับ จดหมาย 1 ฉบับที่มีค่าทางจิตใจ

ฤดูหนาวที่แสนร้อนนนนนนนนน

28/10/2024
สวัสดีครับแม่ เมื่อคืนที่ผ่านมาอากาศร้อนมากจนทำให้ การนอนนั้นยากมาก จากเหงื่อ ไอร้อน ทั้งสัญญาณที่บอกว่าฤดูหนาวกำลังจะมาเยือน (แม้จะเย็นแค่วันสองวันก็ตาม) อย่างพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว ฝนที่ค่อย ๆ จากไป ท้องฟ้าที่ค่อนข้างโปร่ง (จากบทสนทนาพี่อานนท์กับพี่หนุ่ม) แต่สิ่งหนึ่งที่หายไปคือ ความหนาวเย็น  นอนไม่หลับ ร้อน!!!!!!

รูปที่เห็นคือภาพที่หนุนวาดหลังพี่อานนท์ชี้ท้องฟ้าที่ค่อยๆมืด ไม่รู้สิถ้าหนุนได้อยู่บ้านคงดีกว่านี้ "ถึงจะร้อนก็มีแอร์เย็น ๆ" "ถึงจะร้อนก็มีน้ำเย็น ๆ ให้ดื่ม" "ถึงจะร้อนก็ได้ออกไปห้างฯ หอสมุด ร้านกาแฟเพื่อหลบร้อน" แต่พอหนุนถูก พรากสิทธิการประกัน สิ่งทั่วไปพวกนี้กลับดูราวเป็นเพียงความฝันที่ทำได้เพียง ระลึกถึง "ไม่มีที่ใดสุขเท่าบ้าน"

หนุนหวังว่า กระบวนการอำนวยความยุติธรรม จะเกิด/ ปฏิบัติกับ ผู้ต้องขังทางการเมือง ในเร็ววัน การประกัน คือหัวใจสำคัญที่จะสามารถ พาหนุนกลับบ้านได้ สุดท้ายหนุนไม่อยากอยู่ในสภาพอากาศร้อน ๆ แบบนี้ เพราะผื่นร้อนขึ้นง่ายมาก ทั้งการอ่านหนังสือก็ทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หนุนอยากกลับบ้าน จะได้กลับไปทำตามความฝันดังที่ควรจะเป็นซักที

"คิดถึงแม่ ป๊า นะครับ"
ปล. เวลาร้อนชวนคิดอะไรไม่ออก

18.00 น. 27/10/2024
สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ
ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

‘เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ’ ยังคึกคัก พร้อมเดินหน้าต่อเนื่อง แม้เผชิญโควิด-เศรษฐกิจซบ

(30 ต.ค.67) เพจ Biz Laos ได้รายงานความเคลื่อนไหว เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ล่าสุด โดยระบุว่า โครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดปี 2023 - 2024 

การก่อสร้างและพัฒนาโครงการ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้เผชิญปัญหาทั้งสถานการณ์โควิด ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จนประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ส่วนของโครงการ อาทิ 

- โครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานและซ่อมแซมถนนภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แล้วเสร็จ 90%

- โครงการก่อสร้างโรงแรมดอกงิ้วคำ, สนามกอล์ฟ รีสอร์ท พูกิ่วลม, สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว, โรงเรียนประถมศึกษาดอกงิ้วคำ (อนุบาล-ทั่วไป), ท่าเรือน้ำลึกสามเหลี่ยมทองคำ เสร็จสมบูรณ์ 100% 

- ท่าเรือขนส่งสินค้า บ้านมอม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

- โครงการก่อสร้างตลาดน้ำวัฒนธรรมนานาชาติ แล้วเสร็จ 70%

- โครงการก่อสร้างด่านตรวจสากลเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สร้าง และ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงโรงแรมดอกงิ้วคำ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% 

- การก่อสร้างศูนย์บำบัดน้ำเสีย 80%

- โครงการก่อสร้างสวนสาธารณะแคมของ แล้วเสร็จ 80%, การก่อสร้างสำนักงานรักษาความปลอดภัย

- โครงการก่อสร้างโรงน้ำประปาใหม่ เสร็จสมบูรณ์ 100%

- โครงการก่อสร้างบ้าน และอื่น ๆ 

ปัจจุบันโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเสร็จและบางโครงการยังอยู่ในช่วงดำเนินการทั้งการตกแต่งภายในและภายนอก ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เพื่อเตรียมเปิดทดลองอย่างเป็นทางการ

สำหรับบางโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะดำเนินการต่อเนื่อง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% ภายในสิ้นปี 2567 ตรงตามแผน

‘หมอยง’ เปิดข้อเท็จจริงต่อเนื่อง ‘มหาวิทยาลัย’ ทุ่มงบดันการจัดลำดับ

(30 ต.ค. 67) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘ธุรกิจสำนักพิมพ์ทางวิชาการ กับดัก ผลงานทางวิชาการของมหาวิทยาลัย’

การจัดอันดับมหาวิทยาลัย จะรวมผลงานทางวิชาการที่เผยแพร่ในระดับนานาชาติ และการอ้างอิง (citation) เป็นเหตุให้มหาวิทยาลัย จึงต้องกำหนด ให้ตีพิมพ์ในวารสารที่คาดว่าจะมีการอ้างอิงสูง 

วารสารที่มีการอ้างอิงสูงไม่ว่าเป็นวารสารเกิดใหม่ จะเป็นวารสารที่เป็น open access (OA) มากกว่าวารสารเก่าแก่ ที่ ไม่เสียสตางค์ และเราจะดู Impact Factor หรือ IF กันมาก วารสารที่อ้างอิงสูง ก็จะมีค่า IF สูง หลายคนพยายามพูดว่าสำนักพิมพ์ MDPI, Hindawi, Frontier เป็นธุรกิจ ผมไม่เคยคิดเช่นนั้น เพราะทุกสำนักพิมพ์เป็นธุรกิจเหมือนกันหมด ไม่ต่างกัน และที่ผ่านมาถ้าไม่ดีจริงก็อยู่ไม่ได้ เช่น Hindawi 

วารสารบางวารสาร จะเพิ่มตัวเลข IF ด้วยการเพิ่มจำนวนผลงานที่เป็นรีวิว และแน่นอนวารสาร open access ก็มีการอ้างอิงสูงกว่า การตั้งราคาค่าตีพิมพ์สูงตาม ขึ้นอยู่กับ IF ด้วย หรือ ranking ของวารสาร ก็จัดโดยภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับสำนักพิมพ์

สำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียง รู้ดี และเมื่อมีผลงานที่ส่งมาให้เป็นจำนวนมาก (raw materials) สำนักพิมพ์ก็ได้โอกาส ก็ออกวารสาร ลูก ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เช่นเมื่อส่งมามากก็ปัดลงเสนอให้ลงพิมพ์ในวารสารลูก และทุกวารสารเสียสตางค์ทั้งนั้น วารสารบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ก็ทำเช่นนั้น เป็นที่รู้ดีกัน เมื่อวัสดุเข้ามาถึงโรงพิมพ์แล้ว กระบวนการส่งให้ทบทวน การทบทวนทางวิชาการ ก็ไม่ได้มีค่าตอบแทนอะไร มีน้อยบริษัท ที่จะให้ค่าตอบแทนเป็นคูปองส่วนลดในการตีพิมพ์ ก็ยังดีกว่าไม่ให้อะไรเลย ในเมื่อเป็นธุรกิจ ก็น่าจะคิดกันแบบธุรกิจ เป็นการลงทุนเพียงบริหารจัดการ 

และอีกประการหนึ่ง นอกจากวารสารเฉพาะทางแล้ว ทุกสำนักพิมพ์ธุรกิจ จะออกวารสาร 'จับฉ่าย' หรือจะเรียกให้เพราะหน่อย ก็เป็น miscellaneous เช่น PLOS ONE, Peer J, Scientific Reports, Heloyon, Cureus, F1000research, etc วารสารในกลุ่มนี้เมื่อจัดอันดับแล้ว จะอยู่ใน Q ที่สูงโดยเฉพาะ Q1 ตามที่มหาวิทยาลัยต้องการแน่นอน เพราะตัวหารในกลุ่ม miscellaneous มีมากทุกสาขาวิชามารวมกัน ทั้งที่ค่าเพจชาร์จ ก็ไม่เบาเลย ยกตัวอย่างเช่น Scientific reports ก็ไม่ต่ำกว่า 80,000 บาท หรือทั่วไปก็มักจะเกิน 2,000 เหรียญ US 

ผมอยู่ในสาขาไวรัส วารสารดังของไวรัส ถ้าจัดลำดับแล้วน่าสงสารที่สุด เพราะมีวารสารที่เกี่ยวกับ HIV มีการอ้างอิงสูงจึงทำให้การจัดลำดับลงมา ค่อนข้างต่ำ ผมยกตัวอย่างเช่น Archive Virology อยู่ใน Q3, เป็นไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นวารสารที่ดำเนินการมาร่วมร้อยปี และลงพิมพ์ได้ฟรี ผู้อ่านจะต้องเป็นคนเสียสตางค์ J Gen Virology วารสารที่ดีมาก แต่ก็อยู่ใน Q2 ของ Scimaco หรือเครือข่ายของสำนักพิมพ์ เราจะยังยึดถือลำดับ หรือ IF กันอีกต่อไปหรือ 

สมมุติประเทศไทยตีพิมพ์วารสารต่างประเทศ ปีละ 10,000 เรื่อง และ 60% ต้องเสียสตางค์ค่าตีพิมพ์ และเฉลี่ยเรื่องละ 50,000 บาท ช่วยลองเอา 6,000 เรื่องคูณกับ 50,000 บาท จะเป็นเงินเท่าไหร่ ที่ประเทศไทยจะต้องเสียออกไป ความจริงน่าจะมากกว่าหมื่นเรื่อง และห้องสมุดยังต้องจ่ายให้กับสำนักพิมพ์อยู่ รวมทั้งยังต้องซื้อ ฐานข้อมูล น่าจะมีใครทำวิจัยเรื่องนี้ และเงินทั้งหมดนี้ใครเป็นคนจ่าย ผมเองคงตอบไม่ได้ว่าเราจ่ายเงินเรื่องนี้ไปเท่าไหร่ ถ้าให้ผมประเมินก็มากกว่า 500 ล้านบาทของทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย จริงเท็จอย่างไรคงต้องประเมินกันจริงๆ และผู้บริหารเท่านั้นที่รู้ว่าจ่ายไปเท่าไหร่ 

รายได้ของประเทศไทย อยู่ในระดับปานกลางสูง แต่ก็ยังต่ำกว่ากลุ่มรายได้ประเทศที่จัดว่าเป็นรายได้สูง แต่การเก็บค่าตีพิมพ์ ของเราเท่ากับประเทศที่มีรายได้สูง เราจะสู้ไหวไหม 

โปรดติดตามตอนต่อไปอีก และพยายามคิดหาทางออก

ส่อง กมธ.พิทักษ์สถาบัน - ป.ป.ช. บ้านเมือง...ในอุ้งมือสภาสีน้ำเงิน!!

รัฐสภาส่งท้าย 30 ต.ค.2567 ปิดสมัยประชุม เปิดประชุมสมัยหน้า 12 ธ.ค.2567  แต่ในห้วงเวลาการปิดสมัยประชุมกรรมาธิการชุดต่างๆ ยังคงทำหน้าที่กันตามพันธกิจสืบเนื่อง...ดังนั้นแนวรบรัฐสภาจะไม่เงียบเหงา วังเวงอย่างแน่นอน..โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวรบของวุฒิสภา หรือสภาสีน้ำเงิน...

วันนี้ขอหมายเหตุถึงสภาสีน้ำเงินก่อนปิดสมัยประชุมสักเล็กน้อย...

1) วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับวุฒิสภาชุดก่อนหน้านี้ 2-3 ชุด ถ้าจำกันได้ชุดที่แล้ว มี ‘สุวพันธ์  ตันยุวรรธนะ’ เป็นประธานกมธ. และมีบิ๊กเนมทั้งจากสว.และบุคคลภายนอกเพียบ...

มาถึงชุดนี้สภาสีน้ำเงินได้รายชื่อ กมธ.มา 14 คน และเพิ่งเคาะตำแหน่งกันเมื่อวันที่ 29 ต.ค.และฟิตจัดประชุมนัดแรก 30 ต.ค.วางกรอบการทำงาน โดยประธานกมธ.คือ ‘พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา’ อดีตผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา อดีตตุลาการศาลทหารสูงสุด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กำลังขึ้นหม้อ...

แต่ที่น่าสนใจคณะกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ ชุดนี้มีสองดร.หนุ่มไฟแรงหัวใจสีน้ำเงินของแทร่..คือ ‘ดร.เจษฎ์ โทณะวนิก’ และ ‘ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ร่วมอยู่ด้วย..รับประกันซ่อมฟรีด้านวิชาการและการเคาน์เตอร์ หากว่ากมธ.ต้องการ...โดยครั้งนี้ ดร.เจษฎ์ได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษก กมธ.

2) ที่ประชุมวุฒิสภา 29 ต.ค.ได้ลงมติตั้งคณะกมธ.สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช. โดยกำหนดระยะเวลาการทำงาน 60 วัน ซึ่งในวันเดียวกันคณะกมธ.ชุดนี้ได้ประชุมในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เลือก ‘พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา’ เป็นประธานกมธ.

หากเป็นวุฒิสภา..ชุดก่อนหน้านี้ แทบทุกครั้งในการวางตัวประธานกมธ.สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติฯ ทำนองนี้ก็จะหนีไม่พ้นต้องใช้บริการ ‘พล.อ.อู๊ด เบื้องต้น’ อดีตปลัดกลาโหมและนายทหารคนสนิทของ ‘พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์...

คราวนี้..งานแรกที่พล.อ.สวัสดิ์จะต้องพิสูจน์ฝีไม้ลายมือในการทำงานก็คือ..ตรวจสอบประวัติความประพฤติและพฤติกรรมจริยธรรมของ นายประภาศ คงเอียด อดีตผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง, อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง, อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ ฯลฯ  ที่ผ่านด่านกรรมการสรรหามาให้สภาสีน้ำเงินลงมติลับให้ความเห็นชอบว่า...ผ่านไม่ผ่าน...ถ้าได้คะแนนเกินครึ่งของสว.ทั้งหมดคือมากกว่า 100 เสียงก็ผ่าน..ถ้าน้อยกว่าก็ชวด...

สายข่าวรายงานด้วยความเสียววูบวาบว่า...โอกาสผ่านหรือไม่ผ่านของนายประภาศนั้น หากว่ากันตามเนื้อผ้าแม้จะมากประสบการณ์การทำงาน แต่ปูมประวัติบางฉากเช่นกรณีตรวจสอบภาษีอันเนื่องจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กองทุนเทมาเส็กนั้น ยังมีการปุจฉา/วิสัชนากันไม่จบจนวันนี้...งานนี้ไม่รู้ค่ายสีแดงหรือสีน้ำเงินจะจับมือกันหรือประลองกำลังกัน..ต้องตามไปดู...

แน่นอนที่สุด..หลังกรณี ‘ประภาศ คงเอียด’ ต้นปีหน้าสภาสีน้ำเงินมีวาระที่จะต้องชี้ขาด  3 กรรมการป.ป.ช.ที่ครบวาระปลายปีนี้ 3 คนคือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ,วิทยา  อาคมพิทักษ์และสุวณา สุวรรณจูฑะ...หลังจากนั้นกรรมการป.ป.ช.ก็คงจะได้เลือกประธานคนใหม่กัน..

เดิมพันกระบวนการยุติธรรม เดิมพันประเทศส่วนสำคัญ..อยู่ในอุ้งมือของสภาสีน้ำเงินโดยแท้...ระหว่างน่าลุ้นกับน่าเสียวไส้..ครือๆ กัน!!

‘แมนยู’ เดินหน้าเจรจา ‘อโมริม’ คาดเรื่องจบหลังเกมวันเสาร์

(30 ต.ค. 67) รูเบน อโมริม นายใหญ่ของสปอร์ติ้ง ลิสบอน กล่าวว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของเขา หลังจากที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความสนใจที่จะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการทีม

สปอร์ติ้งยืนยันก่อนหน้านี้ในวันอังคารว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ติดต่อเข้ามาแล้ว และยินดีที่จะจ่ายเงิน 10 ล้านยูโร (8.3 ล้านปอนด์) ให้กับอโมริม

อโมริม กล่าวกับ Sport TV ว่า "ยังไม่มีการตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเกมอำลาหรือเปล่า" หลังจากที่ทีมของเขาเอาชนะนาซิอองนาลในศึกฟุตบอลถ้วยโปรตุเกส ลีก คัพ ไปได้ 3-1 เมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมา 

จากนั้นในการแถลงข่าว เขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “มีความสนใจจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีการจ่ายเงื่อนไขสัญญา และเมื่อผมมีบางอย่างที่แน่ชัดกว่านี้ ผมจะมาที่นี่และบอกตำแหน่งของผม เพราะนั่นจะเป็นทางเลือกของผม

“แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตัดสินใจทุกอย่าง ไม่ว่าจะสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก”

อาโมริมกล่าวเสริมว่าเขาจะเข้าร่วมการฝึกซ้อมในวันพุธเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมลีกในวันศุกร์กับเอสเตรลา ดา อามาโดรา

เมื่อถูกถามว่าเขาจะอยู่ในม้านั่งสำรองที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดสำหรับเกมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับเชลซีในวันอาทิตย์หรือไม่ อาโมริมกล่าวว่า “ผมจะอยู่ที่นี่” แต่เมื่อถูกถามเพิ่มเติมว่า “ผมไม่รู้”

เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่ายูไนเต็ดจะได้อาโมริมเป็นโค้ชระดับสูง

“สิ่งเดียวที่ผมพูดได้คือประสบการณ์การเล่นสองครั้งกับทีมสปอร์ติ้ง ลิสบอนของรูเบนเมื่อหนึ่งหรือสองฤดูกาลก่อน และความกดดันนั้นดีมากจริงๆ” เป๊ปกล่าวในการแถลงข่าว

“และดูในฤดูกาลนี้ เขาทำได้” ไม่แพ้ใครและชนะทุกเกมในลีกโปรตุเกสและแชมเปี้ยนส์ลีก [พวกเขามี] แต้มเท่ากับเรา ดังนั้นเขาเป็นผู้จัดการทีมระดับสูง

"ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะจากประสบการณ์ของผม สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้ผลสำหรับทีมอื่น ผู้จัดการทีม ทีม สโมสร โครงสร้าง นักกายภาพบำบัด แพทย์ ผู้เล่น มีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง"

"ผมไม่คิดว่ายูไนเต็ดเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเขา"

แฟนบอลสปอร์ตที่พูดคุยกับ BBC Sport นอกสนามก่อนเกมกับนาซิอองนาลรู้สึกเสียใจกับการจากไปของอาโมริม โดยบางคนตั้งคำถามถึงการตัดสินใจย้ายไปโอลด์ แทรฟฟอร์ด

รูเบน: "ผมหวังว่าเขาจะไม่จากไป ผมรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะเราต้องการเขา ผมไม่คิดว่ายูไนเต็ดเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเขาในตอนนี้ แต่มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"

เอริค: "การจากไปกลางฤดูกาลมันแย่มาก มันเป็นเรื่องของสโมสรในลีกใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ที่ดี แต่จังหวะเวลามันน่าเศร้ามาก ผมไม่เคยเห็นโค้ชแบบเขาในชีวิตเลย"

อังเดร: "ผมรู้สึกสับสนมากกว่าโกรธ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไปยูไนเต็ดตอนนี้ พวกเขาบอกว่ารถไฟของยูไนเต็ดจอดแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเขาอยู่ที่นี่และคว้าแชมป์อีกสมัย เขาจะได้รถไฟที่ดีกว่า ยูไนเต็ดไม่รู้สึกเหมือนแบบนั้นตอนนี้"

ดิโอโก: "มันยากที่จะเสียเขาไปกลางฤดูกาล แต่เขาก็ต้องสร้างเส้นทางอาชีพของตัวเอง เราซาบซึ้งในทุกสิ่งที่เขาทำ โค้ชคนต่อไปไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็จะทำหน้าที่ได้ดีเช่นกัน รูเบนเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมและจะทำผลงานได้ดีที่ยูไนเต็ด"

อินโดนีเซีย กดดัน แอปเปิล หนัก ผลประโยชน์จากทั้งยอดขาย-แร่นิกเกิล

(30 ต.ค. 67) นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัววิเคราะห์ถึงการตัดสินใจแบนไอโฟนในประเทศอินโดนีเซีย ว่า 

ตามที่มีข่าวอินโดนีเซียกดดันไม่ให้ขาย iPhone 16 Series จากการที่ Apple ไม่ได้ลงทุนตามที่ตกลงรับปากรับคำกันเอาไว้กับรัฐบาลก่อน ... หลังจากที่พวกเขาประกาศไป ศุลกากรก็ตรวจกระเป๋าและจับยึดที่สนามบินไปแล้วเกือบหมื่นเครื่อง ... ทำไม Prabowo Subianto ถึงเอาจริง?

ประธานาธิบดีคนก่อน Joko Widodo พบกับ Tim Cook หลายต่อหลายครั้งและได้พูดคุยกันในประเด็นการลงทุนในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตและกำลังจะกลายไปเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมประชากรสองร้อยกว่าล้านคนที่อายุเฉลี่ยค่อนข้างน้อย ... อินโดนีเซียต้องการที่จะเป็นประเทศ "ต้นทาง" ของการผลิตเทคโนโลยีเพราะพวกเขามีแหล่งนิกเกิลปริมาณมากที่สุดในโลกอยู่ในมือ ... การผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายต้องใช้ Nickle เป็นส่วนประกอบสำคัญ ... วิโดโดจึงประกาศห้ามส่งออกแร่นิกเกิล เพื่อกดดันให้เกิดการลงทุนในอินโดนีเซียเท่านั้น

ด้วยเหตุแหล่งสำรองของนิกเกิลและการห้ามส่งออกแร่ ทำให้ผู้ผลิตของจีนรีบตกลงมาลงทุนทันที, ออสเตรเลียก็มา, แม้กระทั่งเกาหลีและญี่ปุ่น ต่างก็เข้ามาลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน (ผมเขียนเอาไว้ปีที่แล้วว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ มากันหลายหมื่นล้านเหรียญ) ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมต้นน้ำของสินค้ายุคใหม่ ... แอปเปิลก็เช่นกันครับ แอปเปิลตกลงกับวิโดโดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลงทุนสร้าง Developer Centre เพื่อพัฒนาทางเทคนิคให้กับอินโดนีเซีย ถึงตอนนี้พวกเขาก็มีถึง 4 แห่งในประเทศนี้ 

การลงทุนที่ตกลงเอาไว้ขนาด 100+ ล้านเหรียญก็ทำได้จริงราว 90% ถือว่าไม่แย่แต่ในรายละเอียดนั้นยังไม่มีโรงงานประกอบของแอปเปิลในอินโดนีเซีย, ยังไม่มีการ Committed ว่าจะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 40% ตามที่วิโดโดเคยขอเอาไว้ (แต่ทิมไม่ได้รับปากตรง ๆ ว่าจะทำ) การเอาประชากร 283 ล้านคนของพวกเขาที่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ 354 ล้านเครื่องมาเป็นเดิมพันให้แอปเปิลต้องคิดก็ถือว่า Make Sense ครับ 

จากทุกมุมมอง พวกเขากำลังจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในไม่ช้า และจะเป็นประเทศที่มีอิทธิพลอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดและจำนวน ... คู่แข่งสำคัญของพวกเขาอย่างมาเลเซียก็เล่นแรง ฉกเอาการลงทุนใหญ่ ๆ จากอินโดนีเซียและสิงคโปร์ไปหลายดีลแล้ว ... พวกเขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top