Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

สินค้าเกษตร ‘เมดอินไทยแลนด์’ ขึ้นแท่นที่ 1 ในอาเซียน ติดอันดับ 8 ของโลก ยอด 8 เดือน ส่งออกพุ่ง 4.3 แสนล้านบาท นายกฯ เล็งดันติด Top 5 โลกในปีหน้า

(27 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลก ช่วง 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม 2567) นั้น พบว่าประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลก มีมูลค่ามากถึง 19,826 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกไปกลุ่มประเทศคู่ค้าที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย มูลค่า 13,774 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.3 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 69% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด

ซึ่งประเทศไทยสามารถครองแชมป์เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับที่ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 8 ของโลก โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน สัดส่วนกว่า 31% ของการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยทั้งหมด อาเซียน สัดส่วน 15% ญี่ปุ่น สัดส่วน 11% และเกาหลีใต้ สัดส่วน 3% ตลาดที่เติบโตได้ดี ได้แก่ อาเซียน ขยายตัว 39% อินเดีย ขยายตัว 34% ออสเตรเลีย ขยายตัว 23% สิงคโปร์ ขยายตัว 10% เกาหลีใต้ ขยายตัว 9% และญี่ปุ่น ขยายตัว 7% ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเจออุปสรรคการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ และความท้าทายจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน แต่แนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังมีทิศทางที่ดี และขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

นายจิรายุ ยังกล่าวต่ออีกว่า จากรายงานถึงสถิติการส่งออกรายเดือน พบว่าความต้องการสินค้าเกษตรไทยเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 1,651 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 9% จากเดือนก่อนหน้า และภาพรวมของไทยกับคู่ค้าในตลาด FTA เติบโตเพิ่มขึ้น อาทิ จีน และญี่ปุ่น ขยายตัว 11%  อินเดีย ขยายตัว 24%  นิวซีแลนด์ ขยายตัว 34%  อาเซียน ขยายตัว 4% ฮ่องกง ขยายตัว 2%  ชิลี ขยายตัว 42.8%  อีกทั้ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ 5 อันดับต้นของไทย ขยายตัวเป็นที่น่าพอใจทุกรายการ โดยสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกเป็นอันดับที่หนึ่ง คือ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง มูลค่า 604 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 21% ข้าว มูลค่า 562 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 41% ยางพารา มูลค่า 497 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 9% ไก่ มูลค่า 392 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6%  ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง มูลค่า 260 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 2%  

“แม้ว่าแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรไทยในอนาคตมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตรได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งลดอุปสรรคและเงื่อนไขต่างๆในข้อติดขัดเพื่อสนับสนุนให้ผู้ส่งออกของไทย ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นซึ่งจะมีโอกาสส่งผลให้ไทยติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลกได้ในปีหน้า โดยใช้ประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐบาลที่เปิดโอกาส ในการสร้างข้อตกลง FTA อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันไทยได้เจรจาจัดทำ FTA สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยทั้งสิ้น 14 ฉบับกับคู่ค้า 18 ประเทศคู่ค้า อีกทั้ง มีการลดและยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกส่วนใหญ่แล้ว อาทิ  ยางพารา 16 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว ยกเว้นจีนและอินเดีย  ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 15 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทย ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย  ไก่แปรรูป 14 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าไก่แปรรูปจากไทย ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ชิลี และเปรู ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง 12 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าแล้ว ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวระบุทิ้งท้าย

เยาวชนไทย ได้เหรียญทอง!! นักตะกร้อ ‘ม.กรุงเทพธนบุรี’ สุดเจ๋ง!! คว้า!! ‘แชมป์ - รองแชมป์’ ที่เมืองจีน

(27 ต.ค. 67) รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตามที่ คณะนักกีฬาเซปักตะกร้อของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) รวม 14 คน ได้รับโอกาสในการเป็นตัวแทนทีมตะกร้อทีมชาติไทย เดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันซปักตะกร้อ รายการ ‘The  2024 China Sepaktakraw Open of Lancang-Mekong Cooperation’ ที่นครหนานหนิง ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค.67 นั้น

ปรากฏว่า การแข่งขันรายการนี้ ทีมนักตะกร้อของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยประเภททีมชาย ทีมตะกร้อชายไทย คว้ารางวัลชนะเลิศ ได้เหรียญทองมาครอง พร้อมกับรับเงินรางวัล 8,000 หยวน หรือประมาณ 40,000 บาท ขณะที่ ประเภททีมหญิง ทีมตะกร้อสาวไทย คว้ารางวัลรองชนะเลิศ ได้เหรียญเงินมาครอง พร้อมรับเงินรางวัล 6,000 หยวน หรือประมาณ 30,000 บาท

รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแขังขันกีฬาเซปักตะกร้อรายการดังกล่าว จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างศูนย์พัฒนากีฬาลูกบอลกว่างซี และกีฬากว่างซี ของประเทศจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการกีฬาและการพัฒนาสมรรถภาพของนักกีฬา อีกทั้งมุ่งส่งเสริมการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงกับประชาชนของจีน

กิจกรรมที่สำคัญในการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อรายการดังกล่าว ประกอบด้วย การอบรมผู้ฝึกสอน, กิจกรรมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการพัฒนากีฬาเซปักตะกร้อ และการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อ

นอกจากนี้การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเซปักตะกร้อ และร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดังกล่าว จะเป็นโอกาสอันดีในการสะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ของประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนในการพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬาและสุขภาพ ตลอดจนจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือด้านการกีฬาระหว่างสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย, การกีฬาแห่งประเทศไทย  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีนและประเทศลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย

เปิดปฏิบัติการ!! คุ้ยบ่อขยะ หาแหวนเพชร ระดมกำลัง 30 ชม. ลุยพื้นที่กว่า 70 ไร่

(27 ต.ค. 67) กลายเป็นเรื่องราวร้อนแรงบนโลกโซเชียล หลังมีผู้ใช้ TikTok @apitchayaningApitchaya Ning โพสต์คลิปวิดีโอ ความยาว 17 วินาที และ 14 วินาที โดยเป็นคลิป อุทาหรณ์ถอดแหวนล้างมือ กับ 30 ชั่วโมงที่บ่อขยะเทศบาลนครพนม โดยในคลิปเป็นภาพเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน กำลังคุ้ยขยะเพื่อหาแหวนเพชรวงใหญ่ ที่เจ้าของแหวนทำหล่นไว้ ก่อนที่จะติดไปกับขยะ จนต้องจ้างเจ้าหน้าที่และชาวบ้านตามหา

โดยในคอมเมนต์ระบุค่าจ้าง 20,000 บาท ค่าแหวนเพชร 20 เท่าของค่าจ้าง ก่อนที่จะมีผู้มาเมนต์ว่า แหวนเพชรราคา 4 แสนบาท อีกคลิปความยาว 14 วินาที เป็นคลิปที่เจ้าของแหวนเพชร โชว์แหวนเพชรวงใหญ่หลายกะรัต ออร่าวิบวับ ที่หาเจอในบ่อขยะ

โดยคลิปวิดีโอดังกล่าวมียอดเข้าชมเกือบ 2.6 ล้าน ครั้ง มีข้อความระบุว่า ‘อุทาหรณ์ถอดแหวนล้างมือ กับ 30 ชั่วโมงที่บ่อขยะ’

พร้อมภาพชาวบ้านกำลังคุ้ยหาแหวนเพชรวงใหญ่ ท่ามกลางกองขยะจำนวนมากในบ่อขยะเทศบาลนครพนม ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 70 ไร่

ภายหลังคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ชาวเน็ตส่วนใหญ่ต่างพากันแสดงความคิดเห็น อาทิ สวยมาก สมกับที่หา30ชั่วโมง, บอกได้ไหมคะว่าเท่าไหร่ สงสัยจะแพงมากๆ, คอมเมนต์บอกว่า 20เท่าของค่าจ้าง, ความสุดยอดคือ หาเจอได้ยังไง, จริงค่ะสุดยอดมาก แต่ถ้าตรวจตามรถขยะที่มาทิ้งก็คงค้นเฉพาะบริเวณนั้น อีกอย่างเพชรแท้จะส่องแสงวิบๆวับๆเข้าตาค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีคอมเมนต์ ที่ถามว่า ‘อยากรู้วิธีหา ว่าจุดไหนคือจุดที่ควรหาครับ’ ก่อนที่จะมีคนเข้ามาตอบว่า ‘ต้องรู้ว่ารถขยะที่มาเก็บที่บ้านเราเค้านำขยะไปรวมไว้ที่ไหนก่อนค่ะ แต่ละเขตจะมีจุดรวมขยะ แล้วก็จะขนไปจุดกำจัด ที่บ่อขยะอีกที’

ก่อนที่จะมีผู้แสดงความเห็นว่า ‘อยากทราบว่าเราจะบอก คนที่จ้างไปหายังไงไม่ให้เอาแหวนที่หาเจอ’ หลังจากนั้นผู้ใช้ TikTok เจ้าของแหวน เข้ามาตอบระบุว่า ‘บอกว่าเป็นแหวนเลยค่ะ จะได้ละเอียดในการหา’

'ภูมิธรรม' รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจเยี่ยมกองทัพเรือ 'มุ่งเน้นพัฒนากองทัพเรือ ให้มีความเจริญก้าวหน้าและทันสมัย' 

รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจเยี่ยมกองทัพเรือ “มุ่งเน้นพัฒนากองทัพเรือให้มีความเจริญก้าวหน้าและทันสมัย ทั้งในเชิงศักยภาพ ขนาดกองทัพ ภารกิจ และเทคโนโลยีนวัตกรรมทางทหาร มีศักยภาพความพร้อมในการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส”

พลตรี ธนาธิป สวางแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในโอกาสที่ นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและรับทราบภารกิจของกองทัพเรือ โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ รวมถึงนายทหารระดับสูงและหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงของกองทัพเรือ ให้การต้อนรับ ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน

โดย รอง นรม./รมว.กห.ได้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก่อนขึ้นแท่นรับการเคารพและตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ หลังจากนั้นรอง นรม. และ รมว.กห. เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุป ภารกิจ การจัด และบทบาทหน้าที่ของกองทัพเรือ 

โดย ผบ.ทร. ได้กล่าวรายงาน พร้อมเน้นย้ำการปฏิบัติภารกิจของ กองทัพเรือตามนโยบายของ กห. ทั้งในด้านความมั่นคง อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การปรับปรุงโครงสร้างกองทัพ ให้มีขนาดกะทัดรัดทันสมัย การดูแลกำลังพลชั้นผู้น้อยทุกระดับ การเน้นย้ำให้หน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ ปฏิบัติต่อทหารกองประจำการ ด้วยความเสมอภาคและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชน เพื่อเป็น กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ 

ในโอกาสนี้ รอง นรม. / รมว.กห. ได้กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งและขอบคุณกองทัพเรือ ที่ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งชี้แจงศักยภาพและความพร้อมของกองทัพเรือ ในการปฏิบัติภารกิจหลักของกองทัพ โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของชาติ ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากประเทศไทย มีพื้นที่ทะเลที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ และเส้นทางการเดินเรือที่เชื่อมต่อการค้าระหว่างประเทศ การรักษาความปลอดภัยในน่านน้ำเหล่านี้ จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในเวทีโลก ตลอดจนสนับสนุนการปฏิบัติตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและ กห. 

โดยขอชื่นชม กองทัพเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคง พร้อมเน้นย้ำการพิจารณาการจัดหายุทโธปกรณ์ที่มีความจำเป็นและการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลกำลังพลชั้นผู้น้อย 

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึง “ภัยคุกคามใหม่” ซึ่งครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หน้าที่หลักของทหารในสถานการณ์ความมั่นคงรูปแบบใหม่คือการมีบทบาทในการบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ภัยธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว) และภัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (เช่น การก่อการร้าย การฉ้อโกงผ่านคอลเซ็นเตอร์ และยาเสพติด) ซึ่งที่ผ่านมากองทัพ ได้ปฏิบัติภารกิจเหล่านี้อย่างแข็งขัน 

ทั้งนี้ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ชื่นชมการทำงานของหน่วยซีลและนาวิกโยธิน ซึ่งได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังในการการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย หนองคาย นครพนม และสตูล ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เห็นถึงความเสียสละ ความมุ่งมั่น และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการช่วยเหลือประชาชน 

ภายหลังการประชุมฯคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฐานทัพเรือกรุงเทพและอู่ทหารเรือธนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่จอดเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งเอนกชาติภุชงค์ ในการเสด็จพระราชดำเนิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ต.ค. 2567 นี้ โดย รอง นรม. / รมว.กห. ได้รับทราบความพร้อมกองทัพเรือในการเตรียมขบวนเรือพระราชพิธี การถวายความปลอดภัยทางน้ำ 

ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้เตรียมความพร้อมกรณีเกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยมีแผนรองรับในทุกด้าน ทั้งนี้ กำลังพลทุกนายของกองทัพเรือ พร้อมถวายความปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์สูงสุด และจะถวายงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้การจัดขบวนพยุหยาตรา ทางชลมารค เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ 

‘บางปะหัน’ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส จากพื้นที่หน่วงน้ำสู่การท่องเที่ยว

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘คนปากน้ำคุยอะไรกัน’ ได้เผยแพร่โพสต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ณ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดจากการเป็นพื้นที่รับน้ำของพื้นที่ จนสามารถเป็นแหล่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ ความว่า

จุดเช็คอินใหม่!!
เที่ยวใกล้กรุง ทุ่งตาลเอน บางปะหัน พระนครศรีอยุธยา
พื้นที่ทุ่งรับน้ำเหนือ ให้ไหลมากรุงเทพฯ และปริมณฑลน้อยลง ชะลอน้ำไปได้มาก #พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ 
อยากให้มีคนไปเที่ยว ไปเช็คอิน ชมบรรยากาศ เล่นน้ำกันเยอะๆ ค่ะ 
ปล. ศึกษาเส้นทางก่อนไปเที่ยวกันด้วยนะ 

‘สมศักดิ์’ สั่ง ‘กรมสุขภาพจิต’ ระดมสหวิชาชีพ 5 ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต เหตุพลุยักษ์ระเบิดที่กาฬสินธ์ หลังรายงานเสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 10 ราย

(28 ต.ค. 67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า จากกรณีพลุยักษ์ระเบิดในงานฉลองบุญกฐิน ที่บ้านเก่าน้อย หมู่ 3 ต.เจ้าท่า อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา จากรายงานพบมีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 10 ราย นอกเหนือจากการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่แล้ว การฟื้นฟูสภาพจิตใจของญาติพี่น้องที่สูญเสียคนในครอบครัว ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุพลุยักษ์ระเบิดเป็นภารกิจที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงและสั่งการ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ( Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team : MCATT)จังหวัดกาฬสินธ์และอำเภอกมลาไสย โดยมีการแบ่งเป็น 5 ทีมไปดูแลปฐมพยาบาลทางจิตใจ ณ จุดบัญชาการ ณ วัดบ้านเก่าน้อยโนนรัง ต.ท่าใหม่ อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เยี่ยมบ้านผู้เสียชีวิต และเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม มีผู้เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 65 คน ดูแลด้านร่างกาย 16 คน ดูแลด้านจิตใจ 33 คนและวางแผนด้านจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทีม mcatt 3 หน่วยของกรมจิต (ศูนย์/รพจ/ส.เด็ก) เตรียมสแตนบายสนับสนุนหากมีการร้องขอจากจังหวัดต่อไป

ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต หรือ MCATT คือทีมสหวิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาลจิตเวช เภสัชกร นักจิตวิทยา นักสังคมสเงคราะห์ นักวิชาการสาธารณสุข ผู้รับผิดชอบงานสุขภาพจิตและผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ทีม MCATT ในส่วนของกรมสุขภาพจิต และทีมระดับจังหวัดและระดับอำเภอ ซึ่งบุคลากรดังกล่าวจะเข้ามาเป็นองค์ประกอบของทีม ร่วมกันปฐมพยาบาลทางจิตใจ ให้การปรึกษา เสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม การบำบัดรักษาเพื่อให้เกิดความสมดุลทางด้านจิตใจ สามารถปรับตัวและกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติต่อไป

กระจายทั่วโลก ผู้เสียหายมากกว่า 20 ราย จาก 17 ประเทศฟ้องเอาผิด The iCon

(28 ต.ค. 67) นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนผู้รวบรวมผู้เสียหายของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ในต่างประเทศ นำ น.ส.นิน (สงวนนามสกุล) ผู้เสียหายชาวไทยจากฮ่องกง เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ “ดิไอคอน” กับพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.

น.ส.นิน เปิดเผยว่า ตนเห็นโฆษณาผ่านโซเชียล จึงได้ทักและได้รับการชักชวนผ่านแม่ข่ายที่ชื่ออักษรย่อ จ. ให้ร่วมลงทุน นอกจากนี้ยังเห็นป้ายโฆษณาในประเทศไทยหลายป้ายตามทางด่วน เป็นโฆษณาของดิไอคอน ตนเห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ มีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และตนมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ รับสินค้าจากประเทศไทยไปขายที่เกาลูน ฮ่องกง อยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดบิลสินค้าคอลลาเจนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จำนวน 2 บิล มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท อีกทั้งยังชักชวนเพื่อนชาวไทยอีก 3 คนในฮ่องกงมาร่วมลงบิลด้วย รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

น.ส.นิน กล่าวว่า ตนต้องเป็นคนลงทุนเบิกสินค้าข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศไทยไปฮ่องกง แต่ไม่สามารถขายสินค้าดังกล่าวได้เลย เนื่องจากมีราคาที่สูงและไม่เป็นที่นิยมของคนฮ่องกง ขายได้แต่เพียงแค่คนไทยด้วยกันเองเท่านั้น และเมื่อบริษัทเกิดปัญหา ทำให้ตนไม่สามารถเบิกสินค้าจากคลังของบริษัทได้ อีกทั้งคดีความที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้สินค้าของบริษัทขาดความน่าเชื่อถือ ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายและไม่สามารถคืนทุนได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เพราะถือเป็นการฉ้อโกง ทำให้ตนและเพื่อนคนอื่นที่มาเปิดบิลได้รับความเสียหายรวมกว่า 2 ล้านบาท

ด้านนายอิทธิเดช กล่าวว่า ขณะนี้ตนรวบรวมผู้เสียหายจากต่างประเทศได้มากกว่า 20 ราย ทั้งจากประเทศจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี เอสโตเนีย สวีเดน ลักเซมเบิร์ก แคนาดา สหรัฐอเมริกา มาเก๊าและฮ่องกง

นายอิทธิเดช ระบุว่า ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ และพำนักอยู่ที่นั่น รวมทั้งยังได้ชักชวนญาติชาวต่างชาติให้มาร่วมเปิดบิลลงทุนกับดิไอคอน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ นอกจากตนได้พาผู้เสียหายจากฮ่องกงมาแจ้งความแล้ว ตนยังได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายชาวอังกฤษและคนไทยที่อยู่ในลักเซมเบิร์ก เอสโตเนีย กับอิตาลี ให้เข้าแจ้งความแทนด้วย

‘ดร.โสภณ’ เปิดข้อมูลเชิงลึก อสังหามือหนึ่งถึงจุดสูงสุด เตรียมรับมือเทรนด์ใหม่ ‘บ้าน-คอนโด’ มืองสองราคาไม่แรง

(28 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย(AREA) ได้เปิดเผยว่า

ในขณะนี้ประเทศไทยมีบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบครึ่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ท่านเชื่อหรือไม่บริษัทที่ดินยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีอนาคตอันมืดมน ทำไมจึงจะเป็นเช่นนี้

จากผลการสำรวจล่าสุด ณ กลางปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า 10 บริษัทมหาชนและบริษัทในเครือครองส่วนแบ่งตลาด (จากการเปิดตัวหน่วยขายใหม่ๆ ในครึ่งแรกของปี 2567) สูงสุดถึง 62% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับว่ามีขนาดใหญ่มากถึงเกือบหนึ่งในสามของทั้งตลาด

ในขณะที่ในแง่จำนวนหน่วย 10 บริษัทแรกที่ใหญ่ที่สุด ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 53% ของทั้งหมด ส่วนบริษัทที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คาดว่าจะมีสัดส่วนเพียง 15% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมด ถ้าหมายรวมทั้งปี มูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรก จะมีมูลค่ารวมกันประมาณ 262,802 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่มากจริงๆ

แต่หากเทียบกับบริษัทพัฒนาที่ดินจีน ไทยยังมีขนาดเล็กมาก

จะเห็นได้ว่ามูลค่าการพัฒนาของบริษัทมหาชน 10 แห่งแรกของไทยที่ประมาณการไว้ทั้งปี 2567 จะเป็นเงินรวมกันเพียง 262,802 ล้านบาท ยังเล็กกว่าบริษัทที่เล็กที่สุดใน 9 อันดับแรกของจีนที่เมื่อปี 2566 ผลิตที่อยู่อาศัยมีมูลค่ารวมกันถึง 813,011 ล้านบาท (บริษัท Longfor Properties) ดังนั้นหากบริษัทพัฒนาที่ดินจีนเข้ามาในประเทศไทย ก็จะถึงคราวหายนะของบริษัทพัฒนาที่ดินไทยอย่างแน่นอน และมูลค่ารวมของบริษัทพัฒนาที่ดินจีน 9 แห่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นเงินสูงถึง 11,950,280 ล้านบาท หรือราวสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทยที่ราวๆ  18 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตามโดยที่ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งจีนและไทยต่างสร้างที่อยู่อาศัยออกมามากมาย ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ก็จะลดลง กลายเป็นตลาดบ้านมือสองแทน  จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่าประเทศไทยในวาระครบรอบ 200 ปี (พ.ศ.2525) มีที่อยู่อาศัยรวมกันในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประมาณ 1 ล้านหน่วย แต่พอถึงปี 2567 หรืออีก 42 ปีต่อมา มีการผลิตที่อยู่อาศัยใหม่ 3 ล้านกว่าหน่วย (มากกว่าช่วง 200 ปีแรกถึง 2 เท่าตัวหรือมีที่อยู่อาศัยรวมเป็น 3 เท่าของที่อยู่อาศัยเดิม) ทำให้ในอนาคต ความต้องการสร้างบ้านใหม่ๆ จะลดน้อยลง เพราะสามารถนำบ้านมือสองมาซื้อขายต่อกันได้ เพราะบ้านมือสองมักจะถูกกว่า ทำเลที่ตั้งดีกว่า แม้จะต้องซ่อมแซมบ้างก็ตาม

เมื่อหันมามองบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่สร้างบ้านจัดสรรและอาคารชุดขาย ณ ปี 2565 จะพบใน 10 บริษัทแรก มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม 3.6155 ล้านล้านบาท เล็กกว่า 9 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีขนาดเป็นเพียง 30% ของจีนเท่านั้น  หลายบริษัทพัฒนาที่ดินมานับร้อยปีในสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากนัก เพราะการสร้างที่อยู่อาศัยให้มีแบรนด์เป็นที่ยอมรับกันทั่วประเทศถึง 50 มลรัฐเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

จะเห็นได้ว่าบริษัทนายหน้าใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ 10 บริษัทแรก มีการขายทรัพย์สินรวมกันถึง 1,293,872 หน่วย มากกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินที่ขายอยู่ 258,800 หน่วยเสียอีก และยิ่งพิจารณาในแง่มูลค่าของสินค้าที่ขาย ก็สูงถึง 28.787 ล้านล้านบาท 

เมื่อบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ที่สุดที่มียอดขายรวมกัน 3.6155 ล้านล้านบาท หากสมมติว่าได้กำไรปีละ 8% ก็เป็นเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท แต่ในกรณีบริษัทนายหน้าที่มียอดขาย 28.787 ล้านบาท สมมติได้กำไรสุทธิเพียง 2% จากค่านายหน้าประมาณ 6% ก็เป็นเงินถึง 570,000 ล้านบาท สูงกว่าของบริษัทพัฒนาที่ดินเสียอีก

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าบริษัทพัฒนาที่ดินใหญ่ๆ ก็จะค่อยๆ ลดบทบาทลง เพราะความต้องการบ้านใหม่จะลดลง การซื้อขายบ้านมือสองจะมีราคาถูกกว่า ได้ทำเลดีกว่า กิจการนายหน้าจะเฟื่องฟูขึ้นมา และรวมศูนย์เป็นบริษัทนายหน้าขนาดยักษ์มากยิ่งขึ้น ส่วนบริษัทพัฒนาที่ดินรายย่อยก็อาจมีบทบาทมากขึ้นในท้องถิ่นต่างๆ แต่เป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีออร์เดอร์จากการสั่งสร้างมากกว่าการสร้างบ้านและห้องชุดจำนวนมากๆ ออกมาขายเช่นเดิม

และด้วยอำนาจของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริษัทนายหน้าใหญ่ที่สามารถจัดหาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดีและมากกว่า ก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดไปในอนาคต

ทางหลวงชนบท พัฒนาถนนเชื่อม ‘พัทลุง-ทะเลสาบสงขลา’ หนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง-ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้

(28 ต.ค. 67) นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสู่ต้นแบบการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ ระบบนิเวศสามน้ำ ทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย และน้ำจืด หนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 117 แห่งทั่วโลก เป็นพื้นที่มี ศักยภาพ มีคุณค่า ซึ่งถูกประกาศให้ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 

ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย พท.4007 แยก ทล.4047 – บ้านทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่นริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแถบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างยั่งยืน

นายมนตรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ไป – กลับ ผิวจราจรกว้างข้างละ 3.5 เมตร ไหล่ทางข้างละ 1 – 2.5 เมตร พร้อมก่อสร้างระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ติดตั้งเครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัย มีการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 2 แห่ง และขยายสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเดิม จำนวน 3 แห่ง โดยมีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.ที่ 0+000 (หาดแสนสุขลำปำ) ถึง กม.ที่ 21+033 (ทะเลน้อย) ระยะทาง 21.033 กิโลเมตร ใช้งบประมาณรวม 249.100 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทช. พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ อีกทั้ง จะช่วยผลักดันยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้จะสามารถรองรับปริมาณการจราจรการขนส่ง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อมุ่งยกระดับเมืองชั้นรอง เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบันโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จสมบูรณ์ ประชาชนสามารถสัญจรผ่านได้เรียบร้อยแล้ว

นายกฯ หารือ กกร. เดินหน้าสางปัญหาเศรษฐกิจ จับตา ‘หนี้ครัวเรือนสูง-ปรับค่าแรงขั้นต่ำ’

(28 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3 สถาบัน (กกร.) นำโดยนายสนั่น อังอุบลกุล ในฐานะประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย และนายสุธีร์ สธนสถาพร ผู้อำนวยการสำนักงาน กกร.

โดยก่อนเริ่มหารือนายสนั่นได้มอบ สมุดปกขาว ข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจัดทำโดย กกร. ให้กับนายกรัฐมนตรี

ขณะที่นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ดีใจที่ได้เจอที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งเพราะได้เจอครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยก่อนแถลงนโยบายรัฐบาล ก็อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งครั้งที่แล้วก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี  

และแน่นอนว่าผลกระทบนี้ส่งผลถึงประชาชนมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น อยากให้ภาครัฐและภาคเอกชนได้พูดคุยร่วมมือกัน เราไม่สามารถจะพูดได้แค่เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเดียวที่เป็นปัญหา แต่ต้องมีการหารายได้ใหม่เข้าสู่ประเทศถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และสิ่งที่รัฐบาลทำขณะนี้ก็มีเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ และมีความร่วมมือกับเอกชนจำนวนมากเพราะมองว่าเอกชนคือภาคสำคัญที่จะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มและสนับสนุนประชาชนด้วยจึงอยากจะให้รัฐกับเอกชนทำงานร่วมกันเยอะขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจและโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก วันนี้รัฐบาลพร้อมที่จะซัพพอร์ตรับฟังจากภาคเอกชน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้านโยบายของรัฐบาลต่อไป

ด้านนายสนั่น กล่าวว่า เชื่อมั่นรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯแพทองธาร ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายและปัญหาหลากหลายมิติ กกร.จึงได้ระดมความคิดเห็นจากภาคธุรกิจในสาขาต่างๆ จัดทำเป็นสมุดปกขาวเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วนระยะกลาง และระยะยาว 

โดยมีทั้งหมด 4 ประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  หรือ SMEs การบริหารจัดการน้ำและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น ระยะเร่งด่วน เสนอมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ลดต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งการควบคุมราคาสินค้าพื้นฐาน และบริการที่จำเป็น ตรึงราคาค่าไฟ น้ำมันดีเซล เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และลดภาระประชาชน รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเอกชนขอให้เป็นไปตามกลไกของคณะอนุกรรมการไตรภาคี  

ประธาน กกร. และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรแยกวิธีให้เหมาะสมและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพโดยมุ่งเป้ากระตุ้นไปยังกลุ่มเปราะบาง ถือเป็นสิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลดำเนินการไปแล้ว  

ขณะที่ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อสามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคูณสองเพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณมาก สำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงสามารถออกมาตรการดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเช่น มาตรการทางภาษี  ที่รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top