Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

‘หมอลิลลี่’ เผยโดน ‘พยาบาลดัง’ ตามคุกคาม มา 5 ปี เอาทัวร์มาลง ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันปัจจุบันได้รับข่าวดี!! คู่กรณีได้รับหมายจับแล้ว ชี้!! เหมือนได้ชีวิตคืนมา ไม่ต้องผวา

(12 ต.ค. 67) หมอลิลลี่ แพทย์หญิงวรัญญา งานทวี คุณหมอคนดังในโลกโซเชียล ได้ออกมาเปิดเผยว่า คุณหมอโดนพยาบาลคนหนึ่ง ติดตามคุกคามคุณหมอ ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ แขวนและเอาทัวร์มาลงคุณหมอ จนคุณหมอเครียดและสูญเสียลูก ทั้งที่หมอลิลลี่และพยาบาลคนนั้น ไม่รู้จักกันมาก่อน

ทั้งนี้ หมอลิลลี่ คนดังบนโลกออนไลน์ ได้ออกมาเผยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี หมอลิลลี่ถูกแขวะ ใส่ร้าย โดนเอาทัวร์มาลงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ครอบครัวของหมอลิลลี่ก็โดนหมด แม้กระทั่งตอนที่แฟนขอแต่งงานเมื่อเดือนตุลาคม 2566 หมอลิลลี่ ยังไม่กล้าโพสต์ ได้มาโพสต์ประกาศให้รับทราบอีกทีตอนเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หมอลิลลี่จดทะเบียนสมรสเดือนพฤษภาคม 2567 และจัดงานมงคลสมรสเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนเดือนเมษายน พบว่าพยาบาลคนนั้นยังแขวนหมอลิลลี่และครอบครัวทางหน้าวอลล์เฟซบุ๊ก โพสต์ต่อว่าหมอลิลลี่ในที่สาธารณะ และทำให้ในเดือนเดียวกัน หมอลิลลี่ได้ตัดสินใจที่จะรวบรวมหลักฐานและจัดการฟ้องเงียบ ๆ

เดือนมิถุนายน 2567 ได้มีคนมาขอให้หมอลิลลี่เล่าสิ่งที่โดนลงโซเชียล หลังจากหมอลิลลี่ปิดเฟซบุ๊กไปพักใหญ่เพราะหมอลิลลี่เหนื่อยจากการโดนแขวะ และหมอลิลลี่ก็ยืนยันว่า ตนไม่เคยรู้จักกับพยาบาลคนนี้มาก่อน มีแต่พยาบาลที่ตามคุกคามหมอลิลลี่ฝ่ายเดียว ทำให้หลายเดือนมานี้ หมอลิลลี่เงียบ และตามคดีทุกวัน ไม่มีวันไหนที่หมอลิลลี่หลับลง เพราะกลัวว่าพยาบาลคนนี้จะไม่ได้รับผลกรรมที่ทำกับตนหรือเหยื่อคนอื่น

การที่หมอลิลลี่ออกมาทำเรื่องนี้ เพื่อปกป้องตัวเอง หมออยากมีลูกทันทีหลังแต่งงาน หลังจากที่แต่งงาน หมอก็พยายามจะมีลูก แต่ลูกไม่มาเพราะหมอเครียดเรื่องคดีมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไป สน. ประจำ จนวันที่ 25 กันยายน 2567 หมอได้รับข่าวดีว่ามีลูกแล้ว "แต่ความดีใจนั้นอยู่ได้ไม่ถึง 5 วัน" สิ่งที่หมอโดนทำให้หมอทรมานและคิดทุกวัน เครียดทุกวัน จนหมอต้องเสียลูกไปเพราะกดดันมาก

และเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 หมอลิลลี่ ก็ได้รับข่าวดีว่า "เขาได้รับหมายจับแล้ว"

และ เราเหมือนได้ชีวิตคืนมา หลังจากต้องผวา หวาดกลัวมาเกือบ 5 ปี จากนี้เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตอนนี้เราโชคดีที่มีสามีที่ดีและใส่ใจมาก KV Por เหลือแค่ลูก หวังว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง และรอบนี้จะไม่เสียลูกไปอีก

เราไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว จากนี้เราอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขบ้างค่ะ ขอบคุณทุกคนจริง ๆ สำหรับกำลังใจดี ๆ เสมอมา

ทั้งนี้ พบว่า พยาบาลคนดังกล่าวนั้น เคยมีประเด็นวิวาทะฟาดปากกับคนอื่นมาก่อนจนเป็นข่าวดัง และตอนนั้นก็มีคนเข้าข้างเธอเป็นจำนวนมาก และเมื่อเธอถูกหมายจับ ก็ปรากฏว่าพยาบาลคนนี้ได้ออกมาขอโทษผ่านทางเฟซบุ๊กและ X ทั้งในภาษาไทย และภาษาเยอรมัน ซึ่งพยาบาลต้องขอโทษโดยปักหมุด 60 วันใน Instagram, X, Facebook ไม่ปิดคอมเมนต์ ไม่ลบโพสต์ แต่หมอลิลลี่ก็บอกว่า การขอโทษนั้นดูไม่จริงใจ เพราะเอาภาษาเยอรมันขึ้นก่อน เวลาอ่านต้องเลื่อนลงมาถึงเจอภาษาไทย

ทางหมอลิลลี่ยังได้เล่าอีก หมอลิลลี่โดนพยาบาลตามแขวะตามใส่ร้ายมาหลายปี โดยที่หมอลิลลี่ไม่เคยตอบโต้ แม้ว่าจะบล็อกไปแล้วก็ยังโดนเอาเฟซบุ๊กอื่นมาแขวะต่อ จนกระทั่งพ่อแม่ของพยาบาล ได้มาขอไกล่เกลี่ยเพื่อขอให้เกิดการยอมความ ซึ่งพ่อแม่ของพยาบาล ตอนแรกก็คิดว่าลูกมีปัญหาทะเลาะกับหมอลิลลี่มาก่อน แต่เมื่อหมอลิลลี่ยืนยันว่าไม่รู้จักกัน เพราะทำงานคนละอาชีพ ไม่เคยเรียนด้วยกัน ไม่เคยเจอกัน ไม่เคยด่ากลับ แต่หมอลิลลี่กลับโดนด่าหนัก จนทางแม่ต้องถามพยาบาลว่า ไปตามว่าหมอลิลลี่ทำไม ซึ่งพยาบาลก็บอกแม่ และแม่ก็บอกทนายว่า เหตุที่ทำแบบนั้นเพราะ ‘หมั่นไส้’

‘แพทย์หญิงปรมาภรณ์’ ผู้บริหาร BDMS ติดอันดับ ‘100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย’ จากการจัดอันดับของ ‘นิตยสารฟอร์จูน’ ด้วยผลงานที่เป็นเลิศ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ

(12 ต.ค. 67) แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารอาวุโส บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS (Bangkok Dusit Medical Services Public Company Limited) ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ประจำปี 2024 จากการจัดอันดับของ ‘นิตยสารฟอร์จูน’ (Fortune) ซึ่งได้ประกาศรายชื่อ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 หรือ The Fortune Most Powerful Women Asia 2024’ โดยแพทย์หญิงปรมาภรณ์เป็นผู้บริหารหญิงเพียงคนเดียวจากวงการเฮลท์แคร์ของไทยที่ได้รับเกียรติในปีนี้

ผลการจัดอันดับดังกล่าวมีขึ้นเพื่อเชิดชูสตรีผู้นิยามความเป็นผู้นำในรูปแบบใหม่ ทั้งด้วยการพลิกโฉมบริษัทในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผ่านการขับเคลื่อนให้เจริญเติบโต รวมทั้งในด้านการพัฒนานวัตกรรมที่สนับสนุนความเป็นเลิศทางธุรกิจ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้นำรุ่นต่อไป

BDMS เป็นเครือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของไทย ปัจจุบันมีจำนวนโรงพยาบาลในเครือรวมทั้งสิ้น 59 แห่ง ประกอบด้วยกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลรอยัล (ประเทศกัมพูชา) และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านการดูแลสุขภาพอีกด้วย   

ภายใต้การบริหารของแพทย์หญิงปรมาภรณ์ BDMS ให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศ เช่น การนำ AI ทางการแพทย์มาใช้เพื่อยกระดับการตรวจและรักษา และการนำหุ่นยนต์มาช่วยในการผ่าตัด เป็นต้น

"BDMS มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการแพทย์อย่างยั่งยืน เพื่อมอบบริการด้านสุขภาพที่ดีที่สุดให้แก่คนไทยและสังคมโลก พร้อมทั้งเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล และดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล" แพทย์หญิงปรมาภรณ์กล่าวทิ้งท้าย

‘แบล็คแคนยอน’ คว้าลิขสิทธิ์ ‘น้องหมูเด้ง’ จากองค์การสวนสัตว์ฯ เตรียมจัดกิจกรรม เดินหน้าประชาสัมพันธ์ สื่อสารการตลาด

(12 ต.ค. 67) บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับสิทธิ์อย่างเป็นทางการจากองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในการใช้ลิขสิทธิ์ ‘น้องหมูเด้ง’ เพื่อการประชาสัมพันธ์และดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ขอเชิญทุกท่านร่วมติดตามกิจกรรมดี ๆ ที่จะนำเสนอต่อไปได้ในเร็ว ๆ นี้

‘เซมิคอนดักเตอร์’ ร้อนระอุ ‘ไทย-เวียดนาม’ เปิดศึก ดึงเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก ‘บีโอไอ’ เผย!! รอชง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตั้งเซมิคอนดักเตอร์บอร์ด เพื่อรองรับอุตสาหกรรม

(12 ต.ค. 67) อุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญ และมีผลต่อซัพพลายเชนโลกในขณะนี้ คือ เซมิคอนดักเตอร์ โดยหลายประเทศในเอเชียพยายามช่วงชิงการลงบนสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์

ที่ผ่านมา 'มาเลเซีย' ได้ประกาศยุทธศาสตร์ศูนย์กลางผลิตชิประดับโลก โดยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเกือบ 2 แสนล้านบาท เพื่อฝึกอบรมวิศวกรทักษะสูง 60,000 คน พร้อมตั้งเป้าดึงดูดการลงทุนเกือบ 4 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังตั้งคณะกรรมการระดับชาติ 'เซมิคอนดักเตอร์บอร์ด' เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นแนวทางดำเนินการที่วางไว้ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไอจะเสนอรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีดึงการลงทุนเชิงรุกที่เน้นอุตสาหกรรมที่จะเป็นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมต้นน้ำสำคัญ 2 สาขา คือ เซมิคอนดักเตอร์ และแบตเตอรี่

สำหรับการเสนอตั้ง 'เซมิคอนดักเตอร์บอร์ด' จะขับเคลื่อนการดึงลงทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมาแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทจากสหรัฐ และยุโรป รวมทั้งมีบริษัทที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งการผลิตชิปต้นน้ำ และการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่สุดในไทย ซึ่งมีงบประมาณในการลงทุนหลายหมื่นล้านบาท และจะเกิดขึ้นจริงช่วง 1-2 ปีนี้

ส่วนความเคลื่อนไหวของเวียดนามได้ประกาศตัวชัดเจนในการชิงการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน โดยเตรียมออกสิทธิประโยชน์การลงทุนครั้งสำคัญ

สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย รายงานว่า เวียดนามกำลังร่างกฎหมายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลฉบับใหม่ (DTI) ซึ่งมาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย เพื่อดึงบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ระดับโลกเข้าไปลงทุน อาทิ

‘อินวิเดีย’ (Nvidia) ผู้ผลิตชิปจากสหรัฐรายใหญ่ที่ร่วมมือกับ FPT บริษัทเทคโนโลยีใหญ่สุดในเวียดนามในการสร้างโรงงานสำหรับส่งเสริมการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี AI และ 'เบซี่' (Besi) ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปจากเนเธอร์แลนด์ซึ่งได้ลงทุนเบื้องต้น 4.9 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ (ราว 164 ล้านดอลลาร์)

สำหรับร่างกฎหมาย DTI เวียดนามได้เตรียมสิทธิประโยชน์ เช่น ลดหย่อนภาษีสูงสุด 150% สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัย และพัฒนา เพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมใหม่ เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลงทุน อนุมัติวีซ่าแบบฟาสต์แทรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่เข้ามาทำงานในโครงการ และการใช้ที่ดินฟรีเป็นเวลา 10 ปี

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 160 ล้านดอลลาร์ (ราว 5 พันล้านบาท) ขึ้นไป โดยให้พิจารณาเอกสารอนุมัติเร่งด่วน และยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับวัตถุดิบ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ รวมถึงการยกเว้นภาษีรายได้ส่วนบุคคลสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

ทั้งนี้ เวียดนามกำลังนำเสนอกฎระเบียบใหม่เพื่อคว้าโอกาสจากสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งได้ผลักดันให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ และบริษัทอื่นต้องกระจายห่วงโซ่อุปทานของตน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามาตรการจูงใจทางภาษีที่นำเสนอนั้น สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำระดับโลกที่นานาชาติกำลังผลักดันหรือไม่

เจิ่นแมงฮุง จากเบเคอร์ แม็คเคนซี มองว่า ร่างกฎหมายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียดนามจริงจังแค่ไหนในการดึงดูดบริษัทชิป

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารด้านชิปของสหรัฐ ตั้งแต่ 'แพท เกลซิงเกอร์' ของอินเทล (Intel) ไปจนถึง ‘เจนเซน หวง’ ของอินวิเดีย เดินทางเยือนกรุงฮานอย ได้จุดกระแสความสนใจจากสื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่เข้าเวียดนาม

นอกจากนี้ กระทรวงสารสนเทศของเวียดนาม กำลังประชุมหน่วยงานอื่น และตัวแทนภาคเอกชน เพื่อให้ข้อมูลการสรุปกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะเสนอรัฐสภาเดือนต.ค.2567 และมีผลบังคับใช้ช่วงกลางปี 2568

สิทธิประโยชน์เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งให้เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก รวมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านพลังงาน และการฝึกอบรม ที่เวียดนามยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีอุตสาหกรรมขั้นสูงกว่า

อุตสาหกรรมชิปของเวียดนามยาวนานเกือบ 20 ปี แต่ได้เข้าสู่ยุคทองในปี 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความตึงเครียดทางเทคโนโลยีทั่วโลกได้ผลักดันให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับแบรนด์ชั้นนำอย่างซัมซุง (Samsung) ไปจนถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้กับบริษัทระดับโลก เช่น อินฟินีออน ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และบริษัทออกแบบชิป ไซนอปซิส

เวียดนามกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวเข้ากับมาตรฐานภาษีใหม่ของโลก โดยต้องบาลานซ์ระหว่างการดึงดูดนักลงทุนด้วยมาตรการจูงใจต่างๆ กับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำ 15% ที่องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) และกว่า 140 ประเทศทั่วโลกให้การสนับสนุน ซึ่งหมายถึงการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีบางส่วนที่เคยใช้เป็นเครื่องมือดึงดูดนักลงทุนในอดีต แม้ว่าภาคธุรกิจจะพยายามผลักดันให้มีมาตรการชดเชย เช่น เงินอุดหนุนหรือเครดิตภาษีก็ตาม

และความท้าทายด้านงบประมาณก่อนหน้านี้ อินเทลได้เรียกร้องให้เวียดนามปรับปรุงนโยบายจูงใจเพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งรายเดิม และรายใหม่ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่นักลงทุนย่อมส่งผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า 'นเรนทรา โมดี' นายกรัฐมนตรีของอินเดีย พบกับ 'ลอว์เรนซ์ หว่อง' นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในวันที่ 5 ก.ย.2567 ในระหว่างการเยือนสิงคโปร์เป็นเวลา 2 วัน ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงหลายฉบับ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในด้านเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีดิจิทัล

สำหรับความเห็นของโมดีในระหว่างพบปะกับหว่อง โมดี กล่าวว่า ‘สิงคโปร์ไม่ใช่เพียงหุ้นส่วน แต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกประเทศที่กำลังพัฒนา เราต้องการสร้างสิงคโปร์หลายแห่งในอินเดีย และผมยินดีที่เรากำลังพยายามร่วมมือกันในทิศทางนี้’

ทั้งสองประเทศลงนามบันทึกความเข้าใจสี่ฉบับเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาทักษะ และการดูแลสุขภาพ ตามที่รัฐบาลอินเดียระบุ

ในด้านการผลิตชิปสิงคโปร์ จะสนับสนุนอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของอินเดียในขณะที่อินเดียจะส่งเสริมการเข้ามาของบริษัทสิงคโปร์ และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในตลาดขนาดใหญ่ของตน

‘โคตะ มิอุระ’ นักมวยชาวญี่ปุ่นขวัญใจชาวไทย โพสต์ข้อความผ่าน Instagram ชี้!! ประเทศไทยคือบ้านหลังที่สอง ได้รับมิตรภาพมากมาย แม้จะพูดไทยไม่ได้

(12 ต.ค. 67) นี่คือบ้านหลังที่สองของฉัน ! ‘โคตะ มิอุระ’ โพสต์บอกรักประเทศไทย 

โคตะ มิอุระ นักมวยชาวญี่ปุ่นขวัญใจชาวไทย โพสต์ข้อความผ่าน Instagram ถึงเพื่อน ๆ ชาวไทย พร้อมพูดถึงประเทศไทยด้วยการปิดท้ายว่า ‘ประเทศไทยคือบ้านหลังที่สอง’

โดยนักชกชาวญี่ปุ่น ทายาทของ ‘คิงคาซู’ คาซูโยชิ มิอุระ ตำนานนักเตะชาวญี่ปุ่น กลายเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น หลังเขาได้ขึ้นชกกับ บัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยคนดังชาวไทย ในไฟต์พิเศษ เลเจนต์ ออฟ ราชดำเนินของศึก ราชดำเนิน เวิลด์ ซีรีส์ (RWS)ที่สนามมวยเวทีมวยราชดำเนิน เมื่อปี 2565 ซึ่งหลังการขึ้นชกในวันนั้น โคตะ และ บัวขาว ก็กลายเป็นเพื่อนสนิท และมีมิตรภาพอันดีต่อกัน 

โดยข้อความระบุว่า 

ผมไม่เคยมีเพื่อนฝูงในประเทศไทยมาก่อน แต่เมื่อย้อนไป 2 ปีก่อน ผมมีครอบครัวที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อน แม้ผมจะพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ทุกคนในเมืองไทยต้อนรับผมสู่ครอบครัวของพวกเขา และทำให้ผมได้มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ การฝึกซ้อม การทำงาน หรือแม้แต่การสังสรรค์ ทุก ๆ คนสนับสนุนผมและทำให้มันเป็นไปได้สำหรับผมในการทำทุกๆ อย่าง ในสภาพแวดล้อมที่เป็นไปได้มากที่สุด จากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ผมต้องขอบคุณทุก ๆ คน ครอบครัวในประเทศไทยของผม และผมจะเติบโตขึ้นเพื่อที่จะทำอะไรเพื่อพวกเขาได้บ้างเช่นกัน ผมรักพวกคุณ ประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สองของฉัน

'พิชัย' ย้ำ ความสำเร็จ 'นายกแพทองธาร' บนเวทีผู้นำอาเซียน สร้างโอกาสทอง การค้า-การลงทุนให้ประเทศ 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2567 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่า “การประชุมอาเซียนครั้งนี้ ตนถือว่าเป็นความสำเร็จของประเทศไทยบนเวทีโลกอีกครั้งหนึ่งต่อจากการประชุม ACD summit ที่กาตาร์ซึ่งตนได้มีโอกาสร่วมคณะผู้แทนไทยที่นำโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา ในการประชุมอาเซียน ท่านนายกฯ ได้เข้าร่วมการประชุมกว่า 20 วาระ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 ในวันที่ 9 ตุลาคม 67 ต่อด้วยการเปิดเวทีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของผู้นำประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำและทิศทางนโยบายของประเทศไทยที่ชัดเจน ในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกันในมิติต่างๆ ในฐานะที่ประเทศสมาชิกอาเซียนล้วนเป็นคู่ค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ถือเป็นการเปิดโอกาสการเจรจาการค้าการลงทุนต่างๆ อย่างดีเยี่ยม และได้รับความสนใจจากผู้นำประเทศต่างๆ เป็นอย่างมาก”

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า นอกจากการประชุมสุดยอดอาเซียนแล้ว นายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ยังได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมสำคัญอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ประชุมอาเซียน-จีน อาเซียน-เกาหลี อาเซียน-ญี่ปุ่น รวมถึงอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ซึ่งการกล่าวแถลงของท่านนายกรัฐมนตรี ทำให้ในแต่ละเวทีการประชุมให้ความสำคัญในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่กระทบกับด้านเศรษฐกิจ ที่ท่านนายกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ทุกประเทศเล็งเห็นถึงความตั้งใจจริงตรงนี้ และหากมีนโยบายการค้าการลงทุนที่สอดรับกัน ก็จะได้สานต่อให้สำเร็จต่อจากนี้

“ภายหลังการประชุม 3 เวทีใหญ่ มีประเทศต่างๆ ขอพบหารือทวิภาคี หรือการหารือสองฝ่าย อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ กัมพูชา บรูไนดารุสซาลาม เวียดนาม มาเลเซีย แคนาดา เกาหลีใต้ เป็นต้น จนเกิดการประชุมทวิภาคีมากถึง 12 ประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ให้ความสำคัญกับทุกการประชุม แม้จะกินเวลาช่วงพักเบรกก็ตาม นอกจากประเทศในกลุ่มอาเซียนแล้ว ยังมีประเทศมหาอำนาจ และประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์”

“นับว่าประเทศไทยเนื้อหอมจริงๆ ในการค้าการลงทุน เพราะมีหลายประเทศมารุมขอเข้าประชุม และประเทศอินเดียที่ให้การยอมรับท่านนายกอย่างมาก เนื่องจากเห็นถึงความมั่นคงและชัดเจนของนโยบายผู้นำประเทศไทย สำหรับญี่ปุ่นเอง ก็ยังมีการยืนยันที่จะร่วมลงทุนกับไทยในเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง และยังมีประเทศอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้ามาลงทุนในไทยและขยายโอกาสทางการค้าร่วมกันยิ่งขึ้น ซึ่งผมถือว่าเป็นข่าวดีของประเทศไทยที่เกิดขึ้นจากการทำงานหนักของทีมไทยแลนด์ ของคณะผู้แทนไทยที่นำโดยท่านนายกแพทองธารฯ ซึ่งได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับการเจรจาด้านการค้าการลงทุนในเวทีโลก หลังกลับจากกาตาร์ เราก็ได้ยินข่าวดีคือ กลุ่มทุนในประเทศตะวันออกกลางประกาศแผนลงทุนในศูนย์ข้อมูลดาต้าเซนเตอร์ในไทยกว่า 3.2 หมื่นล้าน และจะมีมาต่อเนื่อง ดังนั้น หลังกลับจากการประชุมอาเซียนครั้งนี้ ตนก็คิดว่าจะมีข่าวดีให้คนไทยได้ยินอีกหลายเรื่อง ” นายพิชัย กล่าว

นอกจากการประชุมที่โดดเด่นแล้ว นายกรัฐมนตรียังแสดงให้เห็นถึง Soft Power ที่โดดเด่น สวยงามของไทย โดยแต่งกายผ้าไทยที่สวยงามจนเป็นที่สะดุดตาของสื่อต่างชาติทำให้ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก และยังได้รับคำชื่นชมจากสื่อและประชาชนลาวที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากมีการติดตามนายกหญิงของไทยทุกวันที่เข้ามายังสถานที่ประชุม และบางเวลาที่รอประชุมต้องมีการต่อคิวถ่ายรูปกันเลยทีเดียว ซึ่งท่านนายกฯ ก็ให้โอกาสทุกคนได้ถ่ายภาพร่วมกันอย่างเป็นกันเอง 

'พิพัฒน์' โชว์ผลงาน up skill  ช่างเชื่อมไทยอู่ต่อเรือ สู่การจ้างงานในเกาหลี รายได้เริ่ม 75,000 บาทต่อเดือน 

เมื่อวานนี้ (11 ต.ค.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านอุตสาหกรรมการต่อเรือ ระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และบริษัท HD Hyundai Heavy Industries C0. , Ltd. โดยมีนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคุณ คิม ดอง อิล รองประธานบริษัท HD Hyundai Heavy Industries ร่วมลงนาม   นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน  นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน  นายปาร์คยองมิน (Yong-min Park) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย  ผู้บริหารสังกัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารบริษัท HD Hyundai Heavy Industries และนางสาวอรัญญา สกุลโกศลประธานสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย ร่วมพิธีด้วย ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อพบปะหารือกับผู้แทนบริษัท HD Hyundai Heavy Industries ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้านอู่ต่อเรือ พบว่าในปัจจุบันบริษัทมีความต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือจำนวนมาก โดยเฉพาะช่างเชื่อม เนื่องจากกระบวนการต่อเรือ 1 ลำ ใช้ทักษะเฉพาะที่อาศัยความประณีต ถูกต้องและแม่นยำสูง นอกจากนี้ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงหลายด้านในการต่อเรือ จึงมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งยกระดับช่างเชื่อมไทยให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่อเรือ และการจ้างงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงได้เกิดความร่วมมือในวันนี้ขึ้น ต้องขอบคุณนายปาร์คยองมิน (Yong-min Park) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย ในการสนับสนุนแรงงานไทยและผู้ประกอบการในสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อบูรณาการร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาฝีมือแรงงาน การพัฒนาหลักสูตร การพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการต่อเรือ

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับวันนี้ ยังมีการมอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรม จำนวน 88 คน ที่จะได้เดินทางไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ในอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ กลุ่มแรก ที่ผ่านการอบรม 3 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรการประกอบท่อแรงดันสูงในงานอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ จำนวน 41 คน ฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรการเชื่อม จังหวัดสมุทรปราการ 2) การเชื่อมทิกสำหรับท่อแรงดันสูงในงานอุตสาหกรรมการต่อเรือ จำนวน 21 คน และ 3) การเชื่อมฟลักคอร์ 3G,  6G จำนวน 26 คน ฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี ซึ่งนายจ้าวจะรับเข้าทำงานในสาธารณรัฐเกาหลี โดยจะได้รับเงินเดือนเริ่มต้นจำนวน 75,000 บาทต่อเดือน

"ฝากเชิญนะครับชวนนักเรียน นักศึกษา ที่สนใจในการฝึกอาชีพ พัฒนาทักษะฝีมือ หรือเรียนในสายอาชีวะศึกษานั้น เมื่อเรียนจบมาจะมีโอกาสได้มีงานทำทันที หรือสร้างรายได้ ในระหว่างช่วงการเรียน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ยินดีสนับสนุนตรงนี้ครับ"

นางสาวอรัญญา สกุลโกศล ประธานสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย กล่าวว่า เป็นความโชคดีของแรงงานไทย ที่ภายหลังจากท่าน พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เดินทางกลับมาจากสาธารณรัฐเกาหลีได้ติดต่อมายังสมาคมฯ และเมื่อเดือนกรกฎาคมทางสมาคมฯ ได้ประกาศให้แรงงานที่มีฝีมือช่างเชื่อมมาทดสอบ โดยทางนายจ้างจากสาธารณรัฐเกาหลีก็ได้เดินทางมาทดสอบด้วยตนเอง และได้จัดให้มีการเข้าอบรมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อีกทั้งทางเกาหลียังได้จัดส่งผู้ฝึกสอนมาสอนด้วย ควบคู่ได้ไปกับการศึกษาภาษาเกาหลี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านที่ไปทำงานที่เกาหลีแล้ว ฝีมืออย่าตก ให้รักษาคุณภาพ และพัฒนายิ่งขึ้น ให้ได้งานที่ถูกต้องและถูกใจนายจ้าง ตามที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว และหวังว่าทุกท่านที่ไปแล้วจะไม่สร้างผิดหวังให้กับทางกระทรวงแรงงาน

ถอดรหัสล้มล้างฯ ภาคสอง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ สยองขวัญ..!? เก้าอี้สั่น ‘ทนายธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ใช้โมเดลเดียวกับกรณี ยุบก้าวไกล

(12 ต.ค. 67) กรณีที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่1 เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

กรณีที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

จำเป็นต้องคัดลอกมาให้อ่านเต็ม ๆ สำหรับ 2 กรณีจากเอกสารสรุปสาระสำคัญ 6 กรณี ที่ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ผู้หาญกล้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลวินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องที่1 ทักษิณ ชินวัตร และผู้ถูกร้องที่ 2 พรรคเพื่อไทย “เลิกการกระทำใช้สิทธิเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49”

วิเคราะห์กระชับสั่น ๆ ได้ว่า ทนายธีรยุทธดำเนินการโมเดลเดียวกับกรณีพรรคก้าวไกล คือ หลังจากยื่นอัยการสูงสุดครบ 15 วันเรื่องเงียบก็เดินเกมสองสเต็ปท์ สเต็ปท์แรก- ยื่นคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องเลิกการกระทำ สเต็ปท์สอง – ต่อยอดคำวินิจฉัยนำไปร้องกกต.ให้ยุบพรรคหรือดำเนินคดีอาญา..

กรณี 'ทักษิณ-เพื่อไทย' จะถูกเช็กบิลเหมือนกรณี ‘พิธา-ก้าวไกล’หรือไม่..ด่านแรก คือต้องรอการพิจารณาของศาลรธน.ว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่..คาดว่าแถวๆพุธที่ 30ต.ค.อาจจะพอทราบ ถ้าศาลไม่รับก็จบข่าว...ถ้าศาลรับก็ต้องรอดูว่าจะเป็น “จุดเริ่มนำไปสู่จุดจบ” ของทักษิณ-เพื่อไทยหรือไม่..ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี

เมื่อทบทวนอดีต..กรณีคดีล้มล้างฯภาคพิธา-ก้าวไกล  สเต็ปท์แรก ทนายธีรยุทธยื่นเรื่อง 16 มิ.ย.2566 ศาลตัดสิน  31 ม.ค.2567 ใช้เวลา 228 วัน สเต็ปท์สอง(ยุบพรรค) กกต.ยื่นศาลรธน. 18 มี.ค.2567 ศาลตัดสิน 7 ส.ค.2567 รวม 201 วัน

ก็ต้องลุ้นกันว่ากรณีล่าสุดนี้ ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่...คุณธีรยุทธอธิบายว่าทั้ง 6 กรณีที่ร้องเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ซึ่งกันและกัน ในมุมมองของ 'เล็ก เลียบด่วน' เห็นว่ากรณีที่1 และกรณีที่ 4 ดังที่ยกมาตอนต้นเป็นกรณีที่น่าขีดเส้นใต้มากที่สุด  ทั้งในแง่อาจทำให้ศาลรับไว้พิจารณาและชี้เป็นชี้ตายผู้ถูกร้อง (หากศาลรับไว้พิจารณา)..

ประเมินความเห็นของผู้สันทัดกรณีหลายฝ่าย ณ จุดเริ่ม เห็นว่า ‘น้ำหนัก’ ของเรื่องอาจจะเบากว่ากรณีพรรคก้าวไกล แต่โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาก็พอมีแต่เฉียดฉิวระดับ51/49เปอร์เซ็นต์..ถ้าเป็นมติก็5ต่อ4 ประมาณนั้น..

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...รายการนี้หากได้อ่านไส้ในคำร้อง 65 หน้า น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยและนายใหญ่อยู่ในอาการ (ปากกล้า) ขาสั่นใจสั่นอย่างแน่นอน!!

สถานการณ์ความรุนแรงใน ‘เมียนมา’ เริ่มจะเบาบางลง เหตุ!! ‘งบน้อย-จีนออกมาปราม-เตรียมเดินหน้าเจรจา’

(12 ต.ค. 67) หลายวันก่อนเอย่าไปคุยถึงสถานการณ์เมียนมากับมิตรสหายสายข่าวกรองในเมียนมาท่านหนึ่งว่าทำไมช่วงนี้ความรุนแรงในเมียนมาเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิตรสหายท่านนั้นได้บอกเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว

อันแรกคือการที่ประเทศผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการกำลังมีการจะมีเลือกตั้งผู้นำ  ทำให้นโยบายต่างประเทศไม่ชัดเจนดังนั้นพอเงินที่มาน้อยลงใบเสร็จก็ลดลงตาม

ประเด็นที่ 2 การที่จีนผู้เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องออกโรงมาปรามกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องอันมาจากเหตุที่เข้าไปยึดล่าเสี้ยว ทำให้สถานการณ์ทางเหนือของเมียนมาเงียบลง

ล่าสุดทางรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกประกาศเชิญชวนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม PDF ไปถึง NUG ให้เข้ามาเจรจาสันติภาพเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งในเมียนมา ซึ่งแน่นอนว่าประกาศนี้ถูกฝ่าย NUG ออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งถ้าถามเอย่าว่าแปลกใจไหมบอกเลยว่าไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะทางรัฐบาลทหารเมียนมาก็ต้องการคำตอบนี้จาก NUG เช่นกันและผลักดันให้ NUG กลายเป็นตัวร้ายในสายตาชาวโลก

การที่เมียนมากล้าทำแบบนี้เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้การช่วยเหลือ อันได้แก่รัสเซีย จีน และอินเดีย ดังปรากฏให้เห็นแล้วว่าเมื่อจีนกับอินเดียเป็นแบ็กอัปให้เมียนมาทำให้สถานการณ์ทางเหนือและฝั่งตะวันตกเบาบางลงเหลือเพียงสถานการณ์ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

จากสถานการณ์สงครามในเมียนมาฝั่งตะวันออกติดแนวชายแดนไทยทำให้มูลค่าส่งออกลดลงนับหลายพันล้านบาทนี่ไม่นับปัญหาที่ไทยจะต้องมานั่งรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้อพยพหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทยไปถึงการฟอกขาวเป็นคนไทย ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดสุดท้ายคือการที่ไทยกลายเป็นแหล่งระดมทุนซื้อขายอาวุธส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ทั้งหมดที่เอย่ากล่าวมานี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ทว่ารัฐบาลไทยก็ดี กองทัพไทยก็ดี ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยสร้างความสงบสุขในเมียนมา

เอย่าก็ไม่ได้อยากจะต่อว่ารัฐบาลและกองทัพไทยในเวลานี้เข้าใจว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพคงกำลังช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกับสถานการณ์วาตภัยอยู่ แต่การละเลยปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทยด้วยกันเอง

สุดท้ายผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยควรหัดมาถามชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีต่างด้าวมากมายเพ่นพ่านในประเทศไทย

‘รัสเซีย’ บล็อก!! ‘Discord’ ข้อหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ด้านการสื่อสาร งานเข้า!! ทหารหมีขาว เต็มๆ เพราะดันใช้สื่อสารกันเอง ในกองทัพ

(12 ต.ค. 67) รัสเซียสั่งบล็อกการใช้งาน Discord ด้วยเหตุผลว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านการสื่อสารของรัสเซีย ที่ต้องป้องกันการนำไปใช้ก่อการร้าย และยาเสพติด

รัสเซียบล็อกช่องทางโซเชียลของต่างชาติ เช่น Facebook, Twitter ตั้งแต่วันแรก ๆ ของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนช่วงต้นปี 2022 การบล็อก Discord หลังเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 3 ปีอาจเป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมเพิ่งมาบล็อกตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Washington Post รายงานว่าการบล็อก Discord ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อกองทัพรัสเซียเอง เพราะทหารในกองทัพรัสเซียสื่อสารกันด้วย Discord เนื่องจากเป็นช่องทางการส่งข้อความที่ปลอดภัย เข้ารหัส และยังไม่ถูกบล็อกการใช้งานในประเทศ ทางการรัสเซียเคยสัญญาว่าจะทำแอปแชตของตัวเอง แต่มาถึงปัจจุบันก็ยังไม่เกิดขึ้น

การบล็อก Discord ของรัสเซีย เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการบล็อกในตุรกี ซึ่งหน้าสถานะของ Discord ก็ยืนยันว่าถูกทั้งสองประเทศบล็อกจริง ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top