Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

เชียงใหม่-เริ่มแล้ว! งาน “มหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่: HOP Chiangmai Art and Music Festival” สุดคึกคัก

(22 ก.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ จังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชียงใหม่ จัดงาน “มหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่:HOP Chiangmai Art and Music Festival” ในวันที่ 20-29 กันยายน 2567 ต่อยอดแนวคิดเมือง แห่งเทศกาล “เชียงใหม่ 12 เดือน 12 ธีม” โดยนำดนตรีและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นผนวกเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้คอนเซปต์ Music Hopping “Harmony & Art Performance” ส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขด้วยเทศกาลดนตรี 3 เวที 3 สไตล์ ใจกลางเมืองเชียงใหม่ พบกับการแสดงของศิลปินชื่อดัง ศิลปินท้องถิ่น และการแสดงวัฒนธรรมร่วมสมัย พร้อมประดับไฟ 3 จุดแลนด์มาร์กสำคัญ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวช่วงนอกฤดูกาล และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวในหลากหลายรูปแบบ โดยได้มีการสร้าง City Branding ภายใต้แนวคิดงานเทศกาล “เชียงใหม่ 12 เดือน 12 ธีม” สอดรับกับการที่จังหวัดเชียงใหม่ได้รับเลือกให้เป็น เมืองเทศกาลโลก (World Festival and Event City) ประจำปี 2565 จากสมาคมงานเทศกาลนานาชาติ (International Federation of Technical Analysts : IFTA) ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ตามความสนใจตลอดทั้งปี โดยในเดือนกันยายน แม้ว่าจะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ แต่เป็นเดือนแห่งการแสดงผลงานและกิจกรรมของศิลปินหลากหลายแขนง ทั้ง Music และ Performing Art  สอดคล้องกับการจัดงาน “มหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่ : HOP Chiangmai Art and Music Festival” ในครั้งนี้ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว สร้างการรับรู้อัตลักษณ์ท้องถิ่นของเชียงใหม่ ทั้งยังเป็นโอกาสอันดีในการนำเสนอขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและยกระดับคุณภาพมาตรฐานการท่องเที่ยว ตลอดจนผลักดันจังหวัดเชียงใหม่เป็น Word Class Event Hub ต่อไปในอนาคต

นายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการ ด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. เดินหน้ากระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวด้วยการจัดงานมหกรรมเสน่ห์ไทย 5 ภูมิภาค นำเสนออัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์    ภายใต้แนวคิด “เสน่ห์ไทย หรือ Soft Power” จัด Event Marketing ยิ่งใหญ่ตลอดเดือนกันยายนใน 5 พื้นที่ 5 ภูมิภาค สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือกำหนดจัดงาน “มหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่ : HOP Chiangmai Art and Music Festival” ในระหว่างวันที่ 20-29 กันยายน 2567 นำเสนอประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด  5 Must Do in Thailand

เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางกระจายเข้าสู่พื้นที่ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low Season) สะท้อนศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างงาน สร้างรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างทั่วถึง เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้รับประโยชน์สูงสุด  คาดว่าจะสามารถสร้างรายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้จากการเดินทางเข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 314 ล้านบาท

มหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่ : HOP Chiangmai Art and Music Festival ททท. ตั้งใจส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวสุดพิเศษด้วยเทศกาลดนตรีและศิลปะใจกลางเมืองเชียงใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ Music Hopping “Harmony & Art Performance” นำดนตรี ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นจุดแข็งจุดขาย สร้างแรงจูงใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ควบคู่กับการนำเสนอ“เสน่ห์ไทย” ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวภายในงาน ตามแนวคิด 5 Must Do in Thailand ประกอบด้วย Must Taste : ยกทัพอาหารถิ่นมาให้ลิ้มลอง / Must Try : ร่วมสะสมสแตมป์ Hopping Passport แลกรับของที่ระลึกและสิทธิพิเศษจากผู้ประกอบการในพื้นที่ /  Must Buy : เลือกซื้อสินค้าและบริการจากพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ โรงแรม คาเฟ่ ร้านอาหาร ตลอดจนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น Art & Craft / Must Seek : สัมผัสประสบการณ์แห่งเทศกาลดนตรีรูปแบบเวที Hopping และเช็กอินจุดประดับไฟทั่วเมืองเชียงใหม่ / Must See : เข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง ศิลปินท้องถิ่น และการแสดงวัฒนธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่

กิจกรรมไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ การแสดงคอนเสิร์ต โดยศิลปินที่มีชื่อเสียงและศิลปินท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ โดยจัดให้มีเวทีการแสดงกระจายตามจุดต่าง ๆ (Hopping) ในตัวเมืองเชียงใหม่ ได้แก่ เวที Main Stage – Pop Stage ณ ลานประตูท่าแพ, เวที Classic Stage- Local music and Performance ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ และเวที Hopping Stage – Bus Stage เวทีบนรถบัสที่จะเคลื่อนไปส่งความสนุกตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ จำนวน 3 จุด ในตัวเมืองเชียงใหม่ ได้แก่ หน้าห้างสรรพสินค้า MAYA วันที่ 20-22 กันยายน 2567, ลาน More Space วันที่ 23-26 กันยายน 2567 และลานข้างโรงแรม Dusit d2 เชียงใหม่ไนท์บาซ่า : วันที่ 27-29 กันยายน 2567 ซึ่งจะได้พบกับศิลปินชื่อดัง อาทิ เจนนิเฟอร์ คิ้ม, บุรินทร์, ตู่  ภพธร, ลานนา คัมมินส์, นุนิว (NU NEW), THE TOYS, ไม้เมือง, เขียนไขและวานิช และการแสดงของศิลปินท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ คณะสุเทพการบันเทิง, พาวิน หนึ่งเดอะสะล้อ, Worthless Boy, The Bundit Boy, Chiangmai Blues, สภาพสุภาพ, LAWN, The Funckster, Money Shelby Bar

นอกจากนี้ ททท. ยังได้สร้างบรรยากาศเมืองเชียงใหม่ให้คึกคักยิ่งขึ้นด้วยซุ้มไฟและ Art Installation ใน 3 พื้นที่แลนด์มาร์ก ได้แก่ ประตูท่าแพ พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา และสะพานขัวเหล็ก ให้ผู้ร่วมงานได้แชะ แชร์ โมเมนต์แห่งความสุขให้สุขทันทีที่เที่ยวไทย รวมทั้งร่วมกับผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พัก ร้านอาหาร ธุรกิจสถานบันเทิง ร้านกาแฟในพื้นที่กว่า 200 แห่ง มอบสิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยวผ่านกิจกรรม Passport Stamps โดยรับ Passport จากสถานที่จัดงานและโรงแรม/ที่พักที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อสะสมแสตมป์ประทับการเข้าร่วมงานฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครบ 3 จุด แลกรับกระเป๋าผ้าของที่ระลึก ส่วนลดราคาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวตามเงื่อนไขที่ ททท. กำหนด

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน “มหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่: HOP Chiangmai Art and Music Festival” สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: GoNorthThailand  / HOP Chiangmai Instagram: hopchiangmai และ TAT Contact Center 1672 Travel Buddy

นภาพร/เชียงใหม่

'เผ่าภูมิ' เผยผลประชาพิจารณ์ร่าง พรบ. กอช. 'หวยเกษียณ' ปชช. เห็นด้วย 99.05% ! เข้า ครม. ตุลานี้

(23 ก.ย. 67) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2567 ผ่านทางเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th และระบบกลางทางกฎหมาย https://www.law.go.th ได้ผลการรับฟังความคิดเห็นที่น่าสนใจ ดังนี้

1.    ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ที่ กอช. จะออกจำหหน่ายสลากออมทรัพย์เพื่อการเกษียณ (หวยเกษียณ) (ตอบ : เห็นด้วย 99.05% ไม่เห็นด้วย 0.95%)
2.    ท่านเห็นด้วยหรือไม่ หากเงินที่ท่านซื้อสลากไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูกรางวัล เงินของท่านจะถูกเก็บสะสมไว้ และท่านจะได้รับเงินนั้นคืนเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ (ตอบ : เห็นด้วย 92.45% ไม่เห็นด้วย 4.72% เสนอทางเลือกอื่น 2.83%)
3.    ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กรณีสมาชิกที่ซื้อสลากได้เสียชีวิตลง เงินที่ซื้อสลากมาทั้งหมด และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน (ถ้ามี) จะคืนเป็นเงินก้อนทั้งหมดในคราวเดียวให้กับทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์ที่ได้แสดงเจตจำนงไว้ (ตอบ : เห็นด้วย 98.11% ไม่เห็นด้วย 0.94% เสนอทางเลือกอื่น 0.94%)
4.    ถ้าท่านมีสิทธิเลือกรับเงินคืนตอนอายุครบ 60 ปี ท่านจะเลือกวิธีการรับเงินคืนแบบใด (ตอบ :เงินก้อนงวดเดียวทั้งจำนวน 80.2% แบ่งรับเงิน 2 งวด 12.2%)

นอกจากนี้ยังพบข้อสังเกตว่า ประชาชนมีข้อเสนอแนะให้ 1. ขยายอายุผู้เข้าร่วมโครงการให้เกิน 60 ปี และ 2. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างกว่าแรงงานนอกระบบ

กระทรวงการคลังจะรับข้อสังเกต และจะพิจารณาปรับเงื่อนไขให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อไป และคาดว่าจะสามารถนำร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ได้ในช่วงต้น-กลางเดือนตุลาคมครับ

'พิชัย' ยกระดับร้านอาหาร Thai SELECT เจาะห้างใหญ่ กลางกรุงลอนดอน กระตุ้นการบริโภค หวังดันยอดส่งออกโตต่อเนื่อง

'พิชัย' ใช้ห้างไทยในต่างประเทศบุก Selfridges กลางกรุงลอนดอน จัดกิจกรรมโปรโมตร้านอาหาร Thai SELECT นำร้านเด็ด 8 ร้านเสนอเมนูพิเศษ ให้นักธุรกิจ ผู้นำเข้า อินฟลูเอนเซอร์ ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ได้ลิ้มลอง มั่นใจยกระดับภาพลักษณ์ กระตุ้นการบริโภคอาหารไทยและดันเป้าการส่งออกอาหารโตต่อเนื่อง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในงานเลี้ยงรับรอง Thai SELECT Night ร่วมกับ Celebrity Chef และ Influencers ณ โรงภาพยนตร์ ในห้าง Selfridges กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ว่า การจัดงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากธุรกิจไทยที่อยู่ในต่างประเทศ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกตามนโยบายรัฐบาล และผลักดัน Soft Power ของไทยผ่านอาหารไทยและร้าน Thai SELECT ซึ่งจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์และขยายการรับรู้ในตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ของกลุ่มผู้บริโภคในตลาดสหราชอาณาจักร และส่งเสริมภาพลักษณ์อันดี สร้างกระแสความนิยมให้กับครัวไทยในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ระดับกลางถึงบน รวมทั้งสร้างและขยายการรับรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะของอาหารไทย

ทั้งนี้ ในการจัดงานกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เชิญร้านอาหาร Thai SELECT จำนวน 8 ร้าน มานำเสนอเมนูอาหารพิเศษร้านละ 1 เมนู (Signature Menu) ณ บริเวณพื้นที่จัดเลี้ยงหน้าโรงภาพยนตร์  และตนได้ใช้โอกาสนี้ แจกประกาศนียบัตรแก่ร้านอาหาร Thai SELECT จำนวน 18 ร้าน และจัดให้มีการฉายคลิปประชาสัมพันธ์ประเทศไทย “Think Thailand Next Level” และคลิปอาหารไทย และการท่องเที่ยวไทย โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการร้านอาหารไทย เชฟ นักธุรกิจและผู้นำเข้ารายใหญ่ ตลอดจน Influencers และผู้สื่อข่าวท้องถิ่น

สำหรับเมนูพิเศษ ที่ได้นำมาเสนอ ประกอบด้วย ร้าน Farang นำเสนอเมนู Prawn Miang (เมี่ยงกุ้ง) ร้าน Patara นำเสนอเมนู Thai Mango with Sticky Rice (ข้าวเหนียมมะม่วง) ร้าน The Great Thai Restaurant นำเสนอเมนู Grilled chicken served with egg noodles, topped with soya sauce (บะหมี่หน้าไก่ราดซอส) ร้าน Supawan Thai นำเสนอเมนู Yum Hoa Plee (ยำหัวปลี) ร้าน Kin Deum นำเสนอเมนู Coconut Floral Jellies (เยลลี่มะพร้าว) ร้าน Monkey and Me นำเสนอเมนู Chicken Money Bags (ถุงทองไส้ไก่) ร้าน Thai Square นำเสนอเมนู Salmon Zaap Golden Cups (แซลม่อนแซ่บกระทงทอง) ร้าน Siam Niyom นำเสนอเมนู Som Tam (ส้มตำ)

“การจัดงานในครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า จะช่วยผลักดัน Soft Power ของไทยในส่วนร้านอาหาร Thai SELECT และอาหารไทย ให้เป็นที่รู้จัก เป็นที่ต้องการบริโภคชาวสหราชอาณาจักร และนักท่องเที่ยว และจะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหาร วัตถุดิบอาหาร และเครื่องปรุงรส ได้เพิ่มขึ้น นำรายได้เข้าประเทศมากขึ้น”นายพิชัยกล่าว

'บีโอไอ' หนุน 'ฮานา-ปตท.' ยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ ผุดโรงงานผลิตชิปชนิด 'ซิลิคอนคาร์ไบด์' แห่งแรกของประเทศไทย

'บีโอไอ'หนุนบริษัทร่วมทุน 'ฮานา - ปตท.' เดินหน้าแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์แห่งแรกของไทย ภายในสิ้นปีนี้ หลังได้รับอนุมัติจากบีโอไอและออกบัตรส่งเสริมเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ลงทุนเฟสแรก 11,500 ล้านบาท เริ่มผลิตภายใน 2 ปี รองรับการเติบโตของกลุ่ม Power Electronics ทั้ง EV, Data Center และระบบกักเก็บพลังงาน ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำของไทย

(23 ก.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ได้นำคณะลงพื้นที่จังหวัดลำพูน เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการลงทุนผลิตชิป (Wafer Fabrication) แห่งแรกของประเทศไทย ของบริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. หลังจากที่บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จากนั้นบริษัทได้ดำเนินการออกบัตรส่งเสริมเมื่อเดือนสิงหาคม

ที่ผ่านมา บีโอไอได้ทำงานร่วมกับบริษัทฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโรงงาน และเตรียมเริ่มก่อสร้างโรงงานในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน ภายในเดือนธันวาคมของปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 2 ปี ก่อนจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2570

บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด จะจัดตั้งโรงงานผลิตชิปต้นน้ำแห่งแรกในประเทศไทย เงินลงทุน เฟสแรกกว่า 11,500 ล้านบาท โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตชิปชั้นนำของเกาหลีใต้ เพื่อผลิตชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) ขนาด 6 นิ้ว และ 8 นิ้ว โดยมีคุณสมบัติสำคัญที่แตกต่างจากชิปทั่วไปที่ผลิตจากซิลิคอน คือ สามารถทนกระแสไฟฟ้าและความร้อนสูงได้ จึงเหมาะสมสำหรับการใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการแปลงพลังงานไฟฟ้า (Power Electronics) เช่น เครื่อง Server ใน Data Center อุปกรณ์อัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า Inverter ในยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุปกรณ์แปลงพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต

เหตุผลสำคัญของการเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งของโครงการนี้ เนื่องจากข้อกำหนดหลักของลูกค้า คือ...

1) ต้องตั้งในประเทศที่มีความเป็นกลางเพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ 
2) มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และ...
3) มีขีดความสามารถในการขยายกำลังการผลิตในอนาคต ซึ่งประเทศไทยสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ 

นอกจากนี้ ไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง ไฟฟ้ามีความเสถียร มีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด บุคลากรมีคุณภาพสูง มาตรการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ระบบกักเก็บพลังงาน และ Data Center ที่กำลังเติบโตสูง อีกทั้งโรงงานของฮานาฯ ในไทย มีการประกอบกิจการที่ต่อเนื่องจากการผลิตชิปอยู่แล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนการประกอบและทดสอบวงจรรวม (IC Assembly and Testing)    

“อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล โทรคมนาคม ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์การแพทย์ ที่ผ่านมาบทบาทของไทยอยู่ในขั้นกลางน้ำ คือ การรับจ้างประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ หรือที่เรียกว่า OSAT โครงการลงทุนผลิตชิปครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลต่อการยกระดับประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ นอกจากนี้จะช่วยสร้างงานและการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรกับมหาวิทยาลัยในไทยและการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเซมิคอนดักเตอร์จากเกาหลีใต้แล้ว ยังจะส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ และนำไปสู่การพัฒนาระบบนิเวศของอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถดึงดูดผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำรายอื่นๆ ให้เข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

'อ.อุ๋ย-ปชป.' เตือน!! นักการเมืองแก้ รธน. ปมจริยธรรม มีความผิดประมวลกฎหมายอาญา โทษจำคุกถึง 10 ปี

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญปมจริยธรรมนักการเมือง ว่า...

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 บัญญัติว่า ‘ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท’ ซึ่งมาตรา 4 แห่ง พรป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง พ.ศ. 2561 กำหนดให้ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าจะเป็น สส. รัฐมนตรี หรือ สว. ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ โดยเฉพาะ สส. มีหน้าที่ในการเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ใช้อำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายเพื่อบริหารและแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน ตามที่กำหนดไว้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น การที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางส่วน มีดำริที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดระดับมาตรฐานทางจริยธรรมลง ทำให้ตนเองและพวกพ้องถูกดำเนินคดีทางจริยธรรมได้ยากขึ้น จึงถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการแก้ไขกฎหมาย ทำการแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เป็นการกระทำอันเป็นผลประโยชน์ขัดกัน (Conflict of Interest) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี และปรับสูงสุดถึงสองแสนบาท 

นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรม เพื่อลดมาตรฐานจริยธรรมลง ยังส่งผลให้ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้มีนักการเมืองที่มีจริยธรรมมาเป็นตัวแทนของตน ทำให้ประชาชนเสียหาย จึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามมาตรา 157 อีกสถานหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี หรือปรับสูงสุดถึงสองแสนบาท 

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ยังกำหนดให้สมาชิกต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด และห้ามกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม การที่นักการเมืองจะทำการแก้ไขกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องจึงถือว่าละเมิดจริยธรรมข้อนี้เช่นกัน 

ผมจึงอยากเตือนนักการเมืองทั้งหลาย ว่าคิดให้ดีว่าประชาชนเลือกท่านมาทำอะไรกันแน่ ด้วยความปรารถนาดี  

'อาเซียน-เอเชียใต้' แข่งดูดมนุษย์สายพันธุ์ 'ดิจิทัล นอแมดส์' หลังกลุ่มนี้สร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจกว่า 26 ล้านล้านบาท

(23 ก.ย. 67) บราเธอร์ อะบรอด เปิดเผยรายงานการสำรวจ 'ดิจิทัล นอแมดส์' (Digital Nomads) ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่มีอาชีพการทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หรือเป็นนายจ้างของตัวเอง (Self Employed) และทำงานในสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ต่างประเทศในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง พบว่าในปี 2022 ที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านี้มีจำนวนมากถึง 35 ล้านคนทั่วโลก ที่สำคัญเป็นกลุ่มคนที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 787,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 26 ล้านล้านบาท และเป็นที่คาดการณ์ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะเพิ่มจำนวนเป็น 60 ล้านคนภายในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.5 เท่าอีก 6 ปีข้างหน้า

กลุ่มมนุษย์ดิจิทัล นอแมดส์ จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้และอาเซียน ซึ่งต้องการดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้ให้เดินทางเข้ามาทำงานและพักผ่อนท่องเที่ยวในเวลาเดียวกัน เนื่องจากสถิติการใช้จ่ายของกลุ่มคนดิจิทัล นอแมดส์ เฉลี่ยอยู่ที่ 22,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือกว่า 765,000 บาทต่อปี มูลค่าการใช้จ่ายดังกล่าวยังพบว่า มีจำนวนมากกว่ารายได้ประชาชาติในภาพรวม (Gross National Income) ของหลายประเทศที่อยู่ในแถบอาเซียน และเอเชียใต้ นอกจากนี้ การใช้ชีวิตและการทำงานสามารถใช้จ่ายเงินสูง ซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบการทำงานและการท่องเที่ยวแบบหรูหรา

สำหรับปัจจัยบวกที่มีผลให้กลุ่มมนุษย์ดิจิทัล นอแมดส์ สนใจและอยากจะเดินทางมาในภูมิภาคอาเซียน และเอเชียใต้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากสภาวะของภูมิอากาศในแถบนี้อยู่ในเขตร้อน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับในยุโรปหรืออเมริกาเหนือ ที่ต้องเผชิญกับความหนาวเย็นจัดในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างโดยเฉพาะตัวด้านวัฒนธรรมมากมายหลายแห่งในทั้งสองภูมิภาค และปัจจัยสุดท้ายคือ ค่าใช้จ่ายถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานในประเทศต้นทางของกลุ่มมนุษย์ดิจิทัล นอแมดส์

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศชั้นนำในแถบอาเซียนและเอเชียใต้ที่เปิดตลาดรองรับกลุ่มมนุษย์ดิจิทัล นอแมดส์ โดยในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ประกาศใช้มาตรการ ผ่อนคลายข้อจำกัดวีซ่าของชาวต่างประเทศย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมารัฐบาลไทยประกาศใช้ วีซ่าฟรีเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 90 จากเดิม 60 ประเทศทั่วโลก สำหรับการเข้ามาอยู่ในแต่ละครั้งของชาวต่างชาติกับวีซ่าฟรีนั้น จะสามารถอยู่ได้นานถึง 180 วันและสามารถขอต่อได้อีก 180 วัน และมีระยะเวลานานถึง 5 ปี

รัฐบาลประเทศอินโดนีเซีย ประกาศใช้มาตรการวีซ่าฟรีกับ 20 ประเทศซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะมีระยะเวลาของมาตรการดังกล่าวนานถึง 1 ปี ด้านรัฐบาลประเทศมาเลเซียซึ่งใช้มาตรการวีซ่าฟรีให้กับชาวต่างชาติมาตั้งแต่ปี 2022 นั้นพบว่าเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียได้ขยายประเภทวีซ่าฟรีให้ครอบคลุมอีก 2 อาชีพของชาวต่างชาติ ได้แก่ บัญชี และทนายความที่ปรึกษาการลงทุน

รัฐบาลประเทศศรีลังกากำลังพิจารณา การออกวีซ่าใหม่ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมนุษย์ดิจิทัล นอแมดส์ ด้วยความหวังว่าจะมีเม็ดเงินจากกลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งเป็นคนต่างประเทศเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศศรีลังกาที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอย่างรุนแรงในปี 2022 เป็นต้นมา ในปี 2023 ที่ผ่านมาศรีลังกาได้ออกวีซ่าที่ไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย ในการขอวีซ่า เพื่อดึงดูดชาวต่างประเทศจากจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย นอกจากนี้รัฐบาลศรีลังกายังเตรียมที่จะขยายมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมไปเป็น 30 ประเทศภายในเดือนตุลาคมนี้ 

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจและสังคมในประเทศต่างๆเหล่านี้ ล้วนมีความกังวลอย่างยิ่งกับมาตรการดังกล่าวที่จะส่งผลให้เกิดผลทางลบ ซึ่งได้แก่การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอาชญากรรมโลกไซเบอร์

'บีบีซี' ชี้!! เหตุข่มขืนเกิดขึ้นทุกๆ ชั่วโมงในลอนดอน เฉลี่ยแล้ว 24 คดีต่อวัน อาจมีต้นตอจากวัฒนธรรมเป็นพิษทางออนไลน์-ภาพลามกอนาจารรุนแรง

(23 ก.ย. 67) BBC รายงานว่า ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ มีเหตุข่มขืนเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในทุก ๆ ชั่วโมง จากรายงานของตำรวจที่เผยแพร่เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลพบว่าพวกเจ้าหน้าที่ต้องจัดการกับเหตุข่มขืนเกือบ 8,800 คดีในปี 2023 ซึ่งเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 24 คดีต่อวัน

ตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลที่สำนักข่าวบีบีซีได้มาผ่านคำร้องเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล หรือ Freedom of Information ซึ่งเผยให้เห็นว่านอกจากคดีข่มขืนแล้ว ยังมีเหตุล่วงละเมิดทางเพศอื่นอีกกว่า 11,000 คดี รวมแล้วมีเหตุข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศอื่น ๆ เกือบ 20,000 คดีในปี 2023 เพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีหลังสุดราว 14% นั่นหมายความว่าเฉลี่ยแล้ว ตำรวจได้รับแจ้งความเหตุความรุนแรงทางเพศและเหตุข่มขืนในทุก 26 นาที 30 วินาที

มูลิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์เด็กและสตรีจากความรุนแรงทางเพศ เปิดเผยว่าขอบเขตที่แท้จริงของเหตุการณ์ลักษณะนี้สูงกว่านี้มาก

ศูนย์วิกฤตคดีข่มขืน ซึ่งมีสำนักงานในลอนดอน ให้คำจำกัดความตัวเลขดังกล่าวว่า "น่าสยดสยอง" และเรียกร้องผ่านบีบีซีว่า "จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน"

องค์กรการกุศลแห่งนี้อ้างว่าในบรรดาผู้หญิงที่ถูกข่มขืนนั้น มีเพียงแค่ 1 ใน 6 เท่านั้น ที่กล้าหาญพอเข้าแจ้งความตำรวจ และว่ากันว่าในบรรดาเหยื่อนั้น มีผู้ชายรวมอยู่ด้วยคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 และมีเพียง 1 ใน 4 ที่เข้าแจ้งความเกี่ยวกับเหตุประทุษร้ายทางเพศในรูปแบบอื่นๆ

ที่น่าช็อกที่สุดคือ ข้อมูลของตำรวจยังเผยด้วยว่ามีเด็กกว่า 4,300 คนที่ตกเป็นหยื่อของเหตุข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศในปี 2023

เอียน คริต์ลีย์ หัวหน้าฝ่ายพิทักษ์เด็ก แห่งสภาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยอธิบายถึงเหตุล่วงละเมิดเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยเขาบอกในตอนนั้นว่า การเพิ่มขึ้นของเหตุเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศจากเด็กคนอื่น อาจมีต้นตอจากวัฒนธรรมเป็นพิษทางออนไลน์ อย่างเช่นภาพลามกอนาจารรุนแรง

'Nikkei Asia' อวย 'มาเลเซีย-กัมพูชา' เจ้าแห่งการสแกนจ่าย QR code พอเจอท้วง ตัดไทยออกดื้อๆ แถมที่ผ่านมาก่อวีรกรรมไว้อีกเพียบ

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชีย ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวและบทวิเคราะห์จากประเทศญี่ปุ่น รายงานข่าวหัวข้อ ‘Malaysia and Cambodia lead QR payment expansion in ASEAN’ (มาเลเซียและกัมพูชาเป็นผู้นำการขยายตัวของระบบการชำระเงิน QR Payment ในอาเซียน) ลงวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา และโปรยว่า ‘Cross-border links and tourist services add to region's growing digital money usage’ (การเชื่อมโยงบริการข้ามพรมแดน และบริการด้านการท่องเที่ยว ทำให้การใช้เงินดิจิทัลในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น)

โดยได้นำเสนอแผนภูมิหัวข้อ QR code payments in Southeast Asia หรือปริมาณการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า ในปี 2023 มาเลเซียมียอดธุรกรรมผ่านระบบ QR Code ราว 2,000 กว่าล้านครั้ง อินโดนีเซียประมาณ 1,600 ล้านครั้ง กัมพูชาประมาณ 700 ล้านครั้ง สิงคโปร์ประมาณ 400 ล้านครั้ง และเวียดนามประมาณ 200 ล้านครั้ง แต่ไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับดังกล่าว ทั้งที่ประเทศไทยมีระบบชำระเงิน QR Payment ผ่านระบบพร้อมเพย์ ส่งผลให้มีชาวเน็ตไทยเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ข่าวชิ้นดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กเพจ Nikkei Asia จำนวนมาก

โดยชาวเน็ตไทยบางคนนำสถิติของประเทศไทยมาอ้างอิง ระบุว่า เฉพาะเดือน ส.ค. 2024 เดือนเดียวก็มียอดการทำธุรกรรมผ่านระบบ QR สูงถึง 2,109 ล้านครั้ง มูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาท มากกว่ามาเลเซียทั้งปีเสียอีก บ้างก็มีคนเข้าไปทำกราฟประชดว่า สงสัยที่สำนักข่าวนี้ไม่ใส่ไทยไว้ในอันดับด้วย เพราะถ้าใส่ไปไทยจะมีตัวเลขสูงกว่า 20,000 ล้านครั้งต่อปี ซึ่งจะทำให้ประเทศอื่นดูไม่ดีใช่หรือไม่ บ้างก็ตั้งคำถามว่า Nikkei Asia คงกลัวที่จะรวมไทยที่มียอดการทำธุรกรรมออนไลน์อยู่อันดับ 1 ใน 5 ของโลกเข้าไปด้วยใช่หรือไม่

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจ ‘ลงทุนแมน’ ระบุว่า "Nikkei Asia จัดอันดับ QR payment ในกลุ่มอาเซียน โดยให้ประเทศไทยรั้งท้าย ตามหลังแม้กระทั่ง กัมพูชา และเวียดนาม และได้มีคนไทยจำนวนมากไปร้องเรียนว่าข้อมูลผิด มาวันนี้โพสต์ใหม่ไฉไลกว่าเดิม จัดอันดับ QR payment ในอาเซียน โดยไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับไปเลย…

“สรุป วิธีการแก้ปัญหาด้านข้อมูลของเขาคือ ฉันอยากจะจัดอันดับอาเซียนอยู่นะ แต่การจัดอันดับอาเซียนไม่ต้องมีประเทศไทยเป็นตัวแทนแล้วละกัน ในฐานะลงทุนแมนเป็นผู้ทำคอนเทนต์ด้านการเงินของไทย อยากปกป้องว่าด้านการเงินของไทยก็มีดี อย่างน้อยคือการจ่ายเงินด้วย QR มากที่สุดในภูมิภาคนี้ และการนำประเทศไทยออกไป อาจทำให้ภาพการวิเคราะห์ของคนเห็นข้อมูล เข้าใจผิดไปได้ว่าประเทศไทยที่อยู่ในอาเซียนยังไม่พัฒนาในเรื่องนี้ พอเห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่ทำใจ"

อย่างไรก็ตาม การนำเสนอข่าวดังกล่าว เป็นจังหวะเดียวกับธนาคารกลางมาเลเซีย และธนาคารแห่งชาติกัมพูชาเปิดตัวระบบชำระเงิน QR ข้ามพรมแดน สำนักข่าวรอยเตอร์และซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศเปิดตัวระบบดังกล่าวในแถลงการณ์ร่วมของทั้งสองธนาคารกลางระบุว่า โครงการดังกล่าวจะทำให้ผู้ค้ามากกว่า 5 ล้านรายในกัมพูชาและมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงลูกค้าที่กว้างขึ้นจากทั้งสองประเทศ

โดยนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาสามารถใช้แอปฯ Bakong และ M2U KH สแกนจ่ายตามร้านค้าที่มี Duit Now QR ของมาเลเซียกว่า 2 ล้านแห่ง และระยะต่อไป นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียสามารถสแกนจ่ายผ่าน KHQR ที่ร้านค้าในกัมพูชา จากแอปพลิเคชันธนาคารที่เข้าร่วม ซึ่งที่ผ่านมาประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่างทำงานร่วมกันเพื่อเชื่อมต่อระบบการชำระเงินของตน และใช้ระบบ QR Code ในการทำธุรกรรมการค้าปลีกด้วย

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชีย มีความไม่ชอบมาพากลในการรายงานข่าว ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาเว็บไซต์และเพจบางเพจ เช่น สำนักข่าว เดอะ สแตนดาร์ด หรือ บัญชา ชุมชัยเวทย์ ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 นำเสนอข่าวทำนองว่ากำลังเกิดวงจรอุบาทว์ขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย โดยอ้างอิงข่าวจากเว็บไซต์นิกเกอิ เอเชีย ทำให้เพจเฟซบุ๊ก Bangkok Media Academy โพสต์ข้อความหัวข้อ "นิกเกอิ กับข่าววงจรอุบาทว์ ! จริงหรือ ??" เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา

สาระสำคัญระบุว่า มีสื่อมวลชนหลายค่ายนำบทความจากนิกเกอิ เอเชีย มาลง ในฐานะที่เป็นนักข่าว และจบด้านบริหารธุรกิจ อ่านอย่างละเอียดแล้วจึงมีทัศนะว่า เนื้อหาในข่าวนั้นเป็นการชี้นำไปในทิศทางที่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าค่ายจากจีน เป็นตัวที่ทำให้ตลาดปั่นป่วน ซึ่งตนค้านมุมมองของนิกเกอิ เอเชีย ว่ามันไม่ใช่วงจรอุบาทว์ แต่เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของตลาด ที่มีสินค้าใหม่ (รถยนต์อีวี) เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับการแข่งขันในตลาดเดิม (รถยนต์สันดาป) ทำให้ตลาดเดิมต้องหาทางรอด หลังจากที่โกยกำไรจำนวนมากมาเป็นเวลานาน

"รถยนต์ของยุโรปก็เจอปัญหานี้อย่างหนัก เมื่อรถไฟฟ้าอย่างเทสล่าเกิดขึ้นในตลาด ขณะที่รถญี่ปุ่นในบ้านเราก็ไปไม่ถูก เมื่อเจอรถไฟฟ้าจากจีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่ง ผมใช้ความรู้เรื่องบริหารธุรกิจไปหารายละเอียดเพิ่ม ก่อนมองแบบวิเคราะห์เรื่องตลาดรถยนต์ แล้วขอย้อนมาที่เรื่องสื่อ ซึ่งเจ้าของ Nikkei นั้นแยกกันไม่ออกเลยกับ กลุ่มทุนแห่งแดนอาทิตย์อุทัย"

สำหรับเว็บไซต์นิกเกอิ เอเชีย เป็นเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและบทวิเคราะห์ทางธุรกิจ สถานการณ์ทางการเมือง การเติบโตทางเทคโนโลยี ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มทางการตลาดทั้งในภูมิภาคและตลาดโลกจากมุมมองเอเชีย และยังนำเสนอดัชนี Asia300 เสนอข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวทางการเงินและการลงทุนที่สำคัญของบริษัทที่ทรงอิทธิพลในเอเชีย 300 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์, ปตท., ธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น

'บิ๊กอ้วน' ยอม 'บิ๊กแมว' ขึ้น 'ผบ.ทร.' เดิมพันผลงาน...เป็นที่ประจักษ์

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย. 67) ถ้าจะให้ขานรายชื่อขุนทหารที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 22 ก.ย.67 สัก 5 ตำแหน่งสำคัญ พร้อมขีดเส้นใต้ขยายความสั้นๆ ก็ขอเลือกดังนี้...

1) พล.อ.พนา แคล้ว ปลอดทุกข์ 'บิ๊กปู' (ตท.26) เสธ.ทบ. เป็น 'ผบ.ทบ.' ... ถ้าไม่มีอุบัติเหตุรายทางใดๆ บิ๊กปูจะอยู่ในตำแหน่งยาวนาน (3 ปี) ถึง 30 ก.ย.70...จะว่าไป พล.อ.พนา ก็คือ น้องเลิฟสายตรงของ 'บิ๊กต่อ' (ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน) บิ๊กแดง-บิ๊กตู่...เป็นนายทหารคอแดง มั่นคงต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เกินร้อย...

2) พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ 'บิ๊กหนุ่ย' (ตท.24) ผช.ผบ.ทบ.สายบูรพาพยัคฆ์ นายทหารคอแดง ที่เคยเป็นตัวเต็ง ผบ.ทบ.มาก่อน แต่แผ่วปลาย เดิมคาดจะไปเป็นรองผบ.ทหารสูงสุด รอขึ้นเป็นผบ.ทหารสูงสุดปีหน้า สุดท้ายถูกสับโผไปเป็นรองปลัดกลาโหม คาดว่าจะสืบต่อ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ เพื่อนเลิฟ ตท.24 ในปลายปีหน้า...

3) พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ 'บิ๊กหยอย' (ตท.24) ผช.ผบ.ทบ. นายทหารคอเขียว...โผแรกจะไปเป็นรองปลัดกลาโหม แต่สุดท้ายสลับใหม่โยกไปเป็นเสนาธิการทหาร รอขึ้น ผบ.ทหารสูงสุด ปี 2568...

เป็นไปได้ว่าอันเนื่องจากกรณี 'บิ๊กหยอย' จากนี้ไปที่เชื่อกันว่า...นายทหารคอแดงเท่านั้นที่จะขึ้นเป็นผบ.ทหารสูงสุด ก็อาจจะไม่เป็นสูตรตายตัวอีกต่อไป ยกเว้นก่อนถึงก.ย.ปีหน้า 'บิ๊กหยอย' จะไปเข้าอบรมหลักสูตรนายทหารคอแดง...หรือหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904

4) พล.ท.อมฤต บุญสุยา 'บิ๊กใหญ่' (ตท.27) แม่ทัพน้อยที่ 1 อดีตนายทหารเสือราชินี ผงาดขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 รอที่จะเข้าไลน์ 5 เสือทบ.ต่อไป

5) พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ 'บิ๊กแมว' (ตท.23) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. เป็น ผบ.ทร.ตามข้อเสนอของผบ.ทร.คนปัจจุบัน (พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม) ถือเป็นการแหวกม่านประเพณีหรือหลักนิยมเดิม ที่ผบ.ทร.จะมาจาก 5 ฉลามเสือ ซึ่งกรณีตำแหน่ง ผบ.ทร.ถูกจับจ้องเป็นพิเศษว่า 'บิ๊กอ้วน' ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม จะรื้อโผตามแรงกดดันจากอีกฝ่ายหรือไม่...สุดท้ายก็อย่างที่เห็น...คือไม่เปลี่ยน!!

เท่าที่สดับตรับฟังมาทั้งจากนักข่าวภาคสนามและสายข่าวในกองทัพก็กล่าวได้ว่า 'บิ๊กอ้วน' หรือฝ่ายการเมืองแทบจะไม่แตะหรือรื้อโผแม้แต่น้อย ทำให้บอร์ด 7 เสือกลาโหม หรือคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ซึ่งประกอบด้วย รมว.กห./รมช.กห./ปลัดกห./ผบ.ทหารสูงสุด/ผบ.ทบ./ผบ.ทร/ผบ.ทอ. มีความขลังมีความหมายในตัวมันเอง...

นั่นคือเป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักที่จะให้ บอร์ด 7 เสือ...นี้เป็นด่านสกัดการแทรกแซงกองทัพของฝ่ายการเมือง แต่ให้เป็นจุดลงตัวของการร่วมตัดสินใจของทั้งสองฝ่าย...

อย่างไรก็ตามกรณีของ 'บิ๊กแมว' ที่ย่างก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ทร.ภายใต้สถานการณ์ใบปลิว บัตรสนเท่ห์ เรื่องส่วนตัว และการตั้งคำถามเรื่องหลักนิยม ก็คงต้องเดิมพันตัวเองด้วยการพิสูจน์ผลงานความรู้ความสามารถตลอดจนความซื่อสัตย์สุจริตให้เป็นที่ประจักษ์ ขณะที่อยู่ในตำแหน่งแค่ปีเดียว...ลบล้างข้อใส่ร้ายกล่าวหาที่ว่าภารกิจหลักขึ้นมารับตำแหน่งเพื่อปกปิดความบกพร่องของเพื่อนที่เกษียณให้จงได้...

ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า การจบนักเรียนนายเรือจากต่างประเทศ (เยอรมัน) และตำแหน่งส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายอำนวยการ/เสนาธิการ ก็มีกึ๋นเพียงพอที่จะแก้ปัญหา-นำพาพัฒนากองทัพเรือให้ไปสู่ความแข็งแกร่ง ล้างความบาดหมางขัดแย้งที่หมักหมมได้...

มีอีกหลายตำแหน่งที่จะได้มาส่องกล้องมองภาพรวมกันในโอกาสต่อๆ ไป ในวันนี้ต้องสรุปรวบยอดว่าเมื่อมองจากบัญชีรายชื่อแต่งตั้งนายทหารระดับนายพล 808 นาย ก็เป็นสัญญาณเชิงบวกว่า...ฝ่ายการเมืองค่อนข้างระมัดระวังตัวสูงในการที่จะเข้าไปยุ่มย่ามรุกล้ำเขตทหาร...

แต่ทั้งหลายทั้งปวง...ถึงที่สุดจะดูกันเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารเรื่องเดียวกันไม่ได้...ต้องมองเหตุการณ์และสถานการณ์ในอนาคตเป็นกรณีๆ ไปด้วย

อย่างไรก็ตาม...สัปดาห์ก่อน 'เล็ก เลียบด่วน' ได้หมายเหตุเอาไว้แล้วว่า กลาโหมยุค 'บิ๊กอ้วน' เป็นความลงตัวเชิงอำนาจที่ดูดีไปอีกแบบ ขอยกบางตอนมาฉายซ้ำ...

“...จะว่าไปฝ่ายเมืองกระทรวงกลาโหมรอบนี้จะเรียกว่า...ลงตัวแบบธรรมะจัดสรรหรือ 'นาย(ทุน)ใหญ่' จัดสรรก็น่าจะพูดได้...รมว.เป็น 'บิ๊กอ้วน' สายตรงนายใหญ่ทักษิณ ส่วน รมช.คือ 'บิ๊กเล็ก' (พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์) โควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ว่ากันว่า...นาย(ทุน)ใหญ่รุ่นใหม่รูปหล่อหนุนช่วยอยู่...”

สำรวจข้อมูล 'Qualcomm' และ 'Intel' 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกก่อนจะควบรวมกัน

(23 ก.ย. 67) ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดในช่วงนี้ และจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อโลกของเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ ข่าวที่บริษัท Qualcomm ต้องการจะเข้าซื้อกิจการของบริษัทอย่าง Intel ซึ่งถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะทำให้บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia เจอคู่ต่อสู้ที่สามารถแข่งขันได้อย่างน่ากลัว แถมดีลนี้จะยิ่งทำให้ตลาดผลิตชิปของสหรัฐฯ แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมและจะสร้างการเปลี่ยนแปลงของทิศทางของเทคโนโลยีทั่วโลกได้ 

Qualcomm เองเป็นบริษัทผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์พกพาและการสื่อสาร ในขณะที่ Intel เป็นผู้นำด้านชิปสำหรับพีซีและเซิร์ฟเวอร์ แถมยังมีโรงานผลิตชิปเป็นของตัวเอง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมชิปเลยก็ว่าได้ และการรวมตัวนี้จะทำให้ Qualcomm เข้าไปสู่ตลาดที่กว้างมากขึ้น และได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถของ Intel ในการพัฒนาชิปสำหรับ AI และ Data Center 

แม้ในช่วงปี 2007 Qualcomm จะเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับ Intel แต่ในปี 2024 นี้เอง  Qualcomm กลายมาเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า Intel จากการขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G และตลาดมือถือ ขณะที่ Intel ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในตลาดพีซีและ Data Center จากคู่แข่งอย่าง AMD และ Nvidia 

และประเด็นที่น่าจับตามองต่อไปคือ ความท้าทายเรื่องการผูกขาด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปเองให้ความสำคัญอย่างมาก และถ้าดีลนี้เกิดขึ้นได้จริงจะเป็นดีลที่ใหญ่มากของปีนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 122 พันล้านเหรียญ และ Qualcomm เองอาจจะต้องใช้วิธีการแลกหุ้นหรือระดมทุนเพื่อใช้ในการเข้าซื้อกิจการ Intel ครั้งนี้

>> บริษัท / ปีที่ก่อตั้ง 
Qualcomm = 1985
Intel = 1968

>> ประเภทอุตสาหกรรม
Qualcomm = โทรคมนาคม, เซมิคอนดักเตอร์ 
Intel = เซมิคอนดักเตอร์, เทคโนโลยี

>> ผลิตภัณฑ์หลัก 
Qualcomm = ชิปประมวลผลมือถือ, 5G, เซมิคอนดักเตอร์ 
Intel = โปรเซสเซอร์พีซี, Data Center, AI, การขับขี่อัตโนมัติ 

>> จุดแข็ง
Qualcomm = Snapdragon, โปรเซสเซอร์, ผู้นำด้าน 5G
Intel = โปรเซสเซอร์ x86 สำหรับพีซีและ Data Center 

>> ตลาดสำคัญ 
Qualcomm = อุปกรณ์มือถือ, ยานยนต์, IoT เครือข่าย
Intel = คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, Data Center, Cloud, การขับขี่อัตโนมัติ 

>> มูลค่าตลาด 
Qualcomm = 188.17 พันล้านเหรียญ 
Intel = 93.288 พันล้านเหรียญ 

>> รายได้ Q2/2024 
9.4 พันล้านเหรียญ 
12.8 พันล้านเหรียญ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top