Tuesday, 17 June 2025
NewsFeed

เปิดโลโก้ ‘พรรคประชาชน’ ค่ายใหม่คณะส้ม ใช้สามเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ พร้อมชื่อย่อ ‘ปชช.-PP’

(9 ส.ค.67) ที่ตึกไทยซัมมิท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชื่อใหม่ของอดีตพรรคก้าวไกล คือ พรรคประชาชน โดยใช้ชื่อย่อว่า ปชช. เขียนภาษาอังกฤษว่า ‘PEOPLE’S PARTY’ มีชื่อย่อในภาษาอังกฤษว่า PP

ขณะที่เครื่องหมายพรรคมีภาพสัญลักษณ์ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม และมุมทุกด้านของสามเหลี่ยมมุมแต่ละมุมเท่ากันกลายเป็นสามเหลี่ยมหกด้าน โดยใช้สีส้มเป็นสีของสามเหลี่ยม ภาพสัญลักษณ์

ตัวอักษรคำว่า พรรคประชาชน PEOPLE’S PARTY ซึ่งเป็นชื่อพรรคปรากฏอยู่ด้านล่างสามเหลี่ยมดังกล่าว โดยใช้สีกรมท่าเป็นสีของตัวอักษรคำว่า พรรคประชาชน และใช้สีส้มเป็นสีของตัวอักษรคำว่า ‘PEOPLE’S PARTY’

'ดร.นิว' ชำแหละ!! 'ปิยบุตร' เปลือกนอกการละคร ภายในเลือดเย็นสูง สักวันจะถูกพวกเดียวกันที่ตาสว่าง 'ชำระแค้น-รุมประชาทัณฑ์'

(9 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า…

สักวันปิยบุตรจะถูกพวกเดียวกันรุมประชาทัณฑ์

นายปิยบุตรน่าจะคลุ้มคลั่งแล้วที่ออกมายั่วยุให้ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงยุบศาลรัฐธรรมนูญไปให้พ้นทาง เจตนาส่อให้เห็นว่านายปิยบุตรไม่ได้เคารพหลักวิชาหรือหลักการประชาธิปไตยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หากแต่เป็นอนาธิปไตยตกขอบหัวรุนแรง เนื้อแท้ของนายปิยบุตรจึงเป็นเพียงแค่อาชญากรในคราบนักวิชาการ หรือเรียกได้ว่า ‘อาชญากรทางวิชาการ’

ตลอดระยะเวลานานกว่า 10 ปี นายปิยบุตรคอยยุยงปลุกปั่นสร้างความขัดแย้งและความแตกแยก มักสร้างวาทกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย เดินตามตูดภรรยาชาวฝรั่งเศส มุ่งบิดเบือนให้ร้าย สร้างความเข้าใจที่ผิด ๆ ตลอดจนสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งล้วนแต่เป็นการแบ่งแยกประชาชนไปสู่การล้มล้างการปกครองทั้งสิ้น

ถ้าได้ประมือกับนายปิยบุตรและมีโอกาสเปิดโปงการบิดเบือนต่าง ๆ ของเขาอยู่เป็นประจำ ก็จะทราบได้ว่าคำแถลงปิดคดีของนายพิธา ตลอดจนข้อแถโง่ ๆ ทั้ง 9 ข้อของก้าวไกลที่ฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย น่าจะมาจากหัวสมองอันสกปรกโสมมของนายปิยบุตรทั้งสิ้น ทั้งความเป็นวาทกรรมสำนวนโวหารอันพิลึกพิลั่น ทั้งความเลวชาติในการบิดเบือนตีความกฎหมายแถทุกอย่างเข้าข้างตัวเองแบบข้าง ๆ คู ๆ

นับว่านายปิยบุตรมีความโดดเด่นอย่างมากในการเป็นอาชญากรทางวิชาการ เป็นนักปลุกปั่นตัวยงที่คอยชี้นำทางความคิดให้สาวกไร้สมองทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง แต่ระยะหลังบรรดาสาวกเริ่มฉลาดขึ้น ถ้าแกนนำจัดตั้ง ไม่ถอดใจ ไม่ลี้ภัย ก็ติดคุก ต่างเห็นความระยำตำบอนของเขาที่คอยชี้นำสาวกไม่ต่างจากไพร่และทาส ขณะที่ตัวเองมุดหัวอยู่ใต้กระโปรงและจิบไวน์อยู่บนหอคอยงาช้าง

ตอนนายปิยบุตรเป็นอาจารย์ นักศึกษาทำผิดติดคุกติดตะราง ตอนนายปิยบุตรเป็นมาเป็นนักการเมือง แกนนำและมวลชนม็อบสามนิ้วก็ทำผิดติดคุกติดตะราง เปลือกนอกนายปิยบุตรอาจเสแสร้งแสดงละครเป็นคนดีแต่ภายในมีความเลือดเย็นสูงมาก มันค่อนชัดเจนว่านายปิยบุตรต่อสู้เพื่อคนอื่นหรือหลอกใช้คนอื่นให้ต่อสู้เพื่อตัวเอง? สักวันนายปิยบุตรจะถูกพวกเดียวกันที่ตาสว่างรุมประชาทัณฑ์

ท้ายที่สุด เมื่อรู้ว่านายปิยบุตรหลอกใช้ทางความคิด ชี้นำให้ทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง ก็จะโกรธแค้นเกินกว่าที่จะให้อภัยกันได้ ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ลูก ๆ โดนนายปิยบุตรล้างสมองหลอกใช้ก็เช่นเดียวกัน เพราะชุดความคิดของนายปิยบุตรเปลี่ยนลูก ๆ ของพวกเขาให้ก้าวร้าวรุนแรงจนเกิดปัญหาภายในครอบครัว พวกเขาได้แต่กดข่มความคั่งแค้น รอคอยวันที่จะชำระสะสาง

ดร.ศุภณัฐ
8 สิงหาคม พ.ศ. 2567
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ

'อัษฎางค์' ยก!! ปัญหาด้าน 'ปัญญา' เรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทย หลัง 'โค้ชการเงินดัง' พลาด!! บอก 'ศาล รธน.' ไม่ได้มาจากประชาชน

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ปัญหาใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทยคือ คนไทยจำนวนมากมีปริญญาแต่ไม่มีปัญญา' ระบุว่า...

พอล ภัทรพล โพสต์ข้อความว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

อัษฎางค์ ยมนาค จะเอาความรู้สมัยมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยปี 1 มาทบทวนให้ใหม่อีกครั้ง

'องค์กรที่พอลพูดถึง' ก็คงไม่พ้น 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ที่เพิ่งตัดสินยุบพรรคก้าวไกล

อยากถาม พอล กูรูการเงินคนดังว่า ที่วิจารณ์แบบนั้น รู้หรือไม่ว่า องค์กรที่ว่านั้น ซึ่งหมายถึง 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ประชาชนไม่ได้เลือก แล้วใครเลือก?

สงสัยมาก ๆ ว่า พอล เรียนหนังสือจบมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยมาได้ยังไง เพราะวิชากฎหมายพื้นฐานต้องเรียนมาแล้วทุกคน

เริ่มต้นพื้นฐานแบบนี้เลยนะ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 200 กำหนดให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ซึ่งทั้ง 9 คนนี้ได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์'

ถ้าพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง พอลมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

พอล มีปัญหาอะไรกับพระมหากษัตริย์หรือไม่?

หรือพอลเป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์หรือเปล่า?

ที่นี้มาอธิบายแบบรายละเอียดขั้นสูงขึ้นมาอีกนิด เพราะภาษากฎหมายบางที่มัน Complicated

คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' คือภาษากฎหมาย ที่คนไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย หรือบางคนแม้จะจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์อาจไม่เข้าใจว่า...

*คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' แต่ความจริงผู้แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริง 'ไม่ใช่พระมหากษัตริย์'

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติก็จริง แต่ไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน อำนาจแท้จริงที่ทรงมีเรียกว่า 'อำนาจทางพิธีการ' เท่านั้น

**ผู้ที่มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริงคือ 'วุฒิสภา'

***โดยผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาให้ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'วุฒิสภา' ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

เมื่อได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนแล้ว จึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

พระปรมาภิไธย หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว

ที่นี้เข้าใจคำว่า 'อำนาจทางพิธีการ' ของพระมหากษัตริย์หรือยัง?

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลก และไม่ว่าจะเรียกชื่อต่างกันอย่างไร ก็มีหลักการเดียวกันทั้งโลก

>> นั่นคือ ผู้เลือกคณะรัฐมนตรี คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ผู้เลือกศาลหรือตุลาการ คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ส่วนผู้ที่เลือกผู้แทนราษฎร (สส.) วุฒิสมาชิก (สว.) ซึ่งเป็นสมาชิกของรัฐสภา คือ ประชาชน

ดังนั้นอธิบายวิชากฎหมายเบื้องต้น ซึ่งมีสอนในชั้นมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นที่ 1 ซ้ำให้พอลได้ทบทวนแล้ว (ไม่รู้ว่าตอนเรียนสอบผ่านหรือเรียนหนังสือจบมาได้ยังไง)

พอล ได้คำตอบแล้วหรือยังว่า 'องค์กร' ที่อำนาจมาก (ซึ่งพอลหมายถึง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) แต่ 'ประชาชนไม่ได้เลือก' ตามที่พอลบ่นออกมา

ความจริงแล้ว!! ใครเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ?

คำตอบคือ 'วุฒิสมาชิก' เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ วุฒิสมาชิก (ตามวิธีการสรรหาในปัจจุบัน) ประชาชนเป็นคนเลือกเข้าสภาอีกที

ดังนั้น คำตอบสุดท้ายของสมการนี้คือ 'ประชาชน' ก็เป็นผู้เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่นเอง 

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ในโลก ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยโดยตรง แต่เป็นระบบตัวแทน

ระบบตัวแทนก็คือ ประชาชน เลือกผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก เข้าไปทำงานการเมืองและบริหารราชการแผ่นดินแทนประชาชน

แล้ว…ผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ซึ่งทำหน้าที่ในรัฐสภา ก็เป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรีและศาล แทนประชาชน

ดังนั้น คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาและตุลาการในศาล ซึ่งเป็น 3 องค์กรที่อำนาจมากที่สุด (เนื่องจากเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน) โดยใช้อำนาจดังกล่าวนั้นแทนประชาชนทุกคน

- เข้าใจหรือยังว่า
- ประชาชนเลือกผู้แทนฯ 
- ผู้แทนฯ เลือกรัฐมนตรีและศาล
- เลือกได้แล้วจึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

*พระมหากษัตริย์มีอำนาจและหน้าที่ เพียงแค่ลงชื่อหรือเซ็นชื่อรับรองเท่านั้น 

**พระมหากษัตริย์ ไม่มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินเลย

***ผู้มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินคือ ประชาชนอย่างเรา ๆ ทุกคน

สิ่งที่พอล ภัทรพล โพสต์ไว้ว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

เป็นคำพูดหรือประโยคของคนที่เหมือนไม่ได้รับการศึกษา หรือเหมือนจบการศึกษามาโดยไม่มีความรู้ใด ๆ ติดตัวมา นอกจากกระดาษหนึ่งใบที่เรียกว่า 'ใบปริญญา' แต่เหมือนว่าอยากจะแสดงความเห็นอย่างคนที่มีการศึกษา 

พอลคิดว่า เราเลือกผู้แทนฯ ให้ไปนั่งพูดในสภาเท่านั้นหรือ? 

ผู้แทนฯ ของเราคือ ผู้มีอำนาจล้นฟ้าเลยนะ เพราะเขาใช้อำนาจอธิปไตยแทนเรา เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน 

"คำว่าบริหารราชการแผ่นดิน ก็รวมถึงการเลือกคนมาทำงานบริหารราชการแผ่นดิน เช่น คณะรัฐมนตรีและศาลด้วยนั่นเอง"

คิดก่อนพูด มีความรู้จริงค่อยแสดงความคิดเห็น

เพราะคำพูดหรือความเห็นใด ๆ ของใคร บ่งบอกภพภูมิของคน ๆ นั้น

คนเป็นกูรูทางการเงิน แต่ไม่รู้เรื่องการเมืองและกฎหมายพื้นฐานเลยไม่ได้นะ เพราะการเงินมีปัจจัยสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเมืองและกฎหมาย

พูดแต่เรื่องที่รู้หรือเชี่ยวชาญนะดีแล้ว
แต่อย่าไปพูดเรื่องที่ไม่รู้
เพราะ…ไม่พูด คนก็ไม่รู้ว่า เราโง่ หรือไม่รู้!

กรุณาแสดงความเห็นด้วยข้อเท็จจริงและด้วยความสุภาพ

‘เทนนิส’ โพสต์!! บอกลาน้ำหนัก 49 กก. หลังคว้าทองโอลิมปิกสมัยที่ 2 ลั่น!! กลับเมืองไทยจะขอกินแบบจัดเต็ม ปลดล็อกคุมน้ำหนักนาน 10 ปี

(9 ส.ค.67) ‘เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง คว้าเหรียญทองเหรียญแรกในโอลิมปิกกรุงปารีส 2024 ให้กับทีมไทย พร้อมสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยการเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกได้สามครั้งซ้อน ทำเอาแฟน ๆ ชาวไทยต่างภูมิใจกันทั่วประเทศ

ล่าสุด เทนนิส พาณิภัค ได้ออกมาโพสต์ภาพตนเองในชุดสปอร์ตบรา อวดหุ่นน้ำหนักที่ 49 กิโลกรัม โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า "บ๊ายบาย !! หนูนิสที่หนัก 49 kg. ~"

โดยก่อนหน้านี้ เทนนิส ได้เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าเมื่อกลับประเทศไทยจะขอกิน เนื่องจากลดน้ำหนักมานานมาก ๆ เพราะต้องรักษาน้ำหนักที่ 49 กิโลกรัมมานานเป็น 10 ปี จากนี้อาจจะเจอเทนนิสที่มีน้ำมีนวลขึ้น เพราะได้ปลดปล่อยแล้ว

ซึ่งก็ได้มีแฟน ๆ ทั้งในและนอกวงการต่างเข้ามาคอมเมนต์กันเพียบ โดยบอกว่าต่อจากนี้ได้เวลากินแล้ว

ฟ้าเปิด!! ‘9 สถาบันการเงิน’ พร้อมปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กลุ่ม ‘EA’ ปลดล็อกทางการเงิน แก้ปัญหา Liquidity กว่า 8,000 ลบ.

(9 ส.ค. 67) สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ 9 แห่ง รวมถึง 4 กองทุนภายใต้การบริหารของบลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) เซ็นสัญญาเงินกู้ระยะเวลา 3 ปี โดยบริษัทฯจะทยอยจ่ายเงินกู้คืนผ่านกระแสเงินสด (Cash Flow) จากการดำเนินงานตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาครัฐ (PPA) 

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) ของ EA กล่าวว่า “การที่สถาบันการเงินทั้ง 9 แห่งและกองทุนอีก 4 กองทุนของบลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) ร่วมยืนยันให้เงินกู้ EA เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า บริษัทฯยังมีการประกอบธุรกิจและรับรู้รายได้จากการขายไฟตามปกติ และการที่ได้รับเงินกู้ในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง จากเงินกู้ระยะสั้นและตั๋วแลกเงิน (B/E) ในอีก 1 ปีข้างหน้า” 

ในส่วนของหุ้นกู้ 2 รุ่น ประกอบด้วย หุ้นกู้รุ่นที่ 1 EA248A วงเงิน 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระ  ในวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และ หุ้นกู้รุ่นที่ 2 EA249A วงเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระในวันที่ 29 กันยายน 2567 บริษัทฯ จะดำเนินการขอเลื่อนกำหนดการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระออกไป พร้อมทั้งเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็น 5% ต่อปีทั้ง 2 รุ่น และมีหลักประกันให้เพิ่มเติมโดยไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด โดยบริษัทฯยืนยันว่าจะชำระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด เพียงขอเลื่อนการไถ่ถอนเฉพาะเงินต้นเท่านั้น

การขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีรายละเอียดดังนี้

หุ้นกู้: EA248A

เงื่อนไขเดิม: ครบ  15 ส.ค. 67 ดอกเบี้ย 3.11% ต่อปี 

ขอแก้ไขใหม่: ***เดิม ตามหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เลื่อนเงินต้นและดอกเบี้ย เงินต้น ชำระในวันที่ 30 มิ.ย. 68 (ขอเลื่อน 10 เดือน 15 วัน)

**ขอแก้ไขใหม่ ครบกำหนดคืนเงินต้น 31 พ.ค. 68 (ขอเลื่อน 9 เดือน 16 วัน) เลื่อนเฉพาะเงินต้น แต่ชำระดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเดิม 3.11% เพิ่มขึ้น +1.89% รวมเป็นดอกเบี้ย 5% ต่อปี หมายเหตุ: มีหลักประกันให้เพิ่มเติมและไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด

วันที่นัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้: 9 สิงหาคม 2567

หุ้นกู้: EA249A

เงื่อนไขเดิม: ครบ  29 ก.ย. 67 ดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี

ขอแก้ไขใหม่: **เดิม ตามหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เลื่อนเงินต้นและดอกเบี้ย เงินต้น ชำระในวันที่ 30 มิ.ย. 68 (ขอเลื่อน 9 เดือน 16 วัน)

**ขอแก้ไขใหม่ ครบกำหนดคืนเงินต้น  31 พ.ค. 68 (ขอเลื่อน 8 เดือน 1 วัน) เลื่อนเฉพาะเงินต้น แต่ชำระดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยเดิม 3.20% เพิ่มขึ้น +1.80% รวมเป็นดอกเบี้ย 5% ต่อปี หมายเหตุ: มีหลักประกันให้เพิ่มเติมและไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด

วันที่นัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้: 14 สิงหาคม 2567

นายวสุ กลมเกลี้ยง กล่าวเพิ่มเติมว่า “การขอเลื่อนการไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับชำระเงินคืนเต็มจำนวนภายในไม่เกิน 10 เดือน ซึ่งจะได้รับเงินคืนก่อนสถาบันการเงินและกองทุนของ บลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) ที่จะได้รับเงินคืนตามสัญญาเงินกู้ 3 ปี สำหรับแนวทางที่บริษัทฯจะนำมาชำระหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นนี้นั้น นอกจากจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แล้ว บริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ Strategic Partner(s) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินและเพิ่ม Synergy ระหว่างกัน รวมถึงการนำสินทรัพย์บางส่วนมาจำหน่ายต่อกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ทั้งนี้บริษัทฯ มั่นใจว่า หากดำเนินการทุกอย่างได้ตามแผนงาน ผลประกอบการของบริษัทฯ จะกลับมาเติบโตได้ดีเหมือนเดิม และจะสามารถชำระเงินกู้ รวมทั้งหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดต่อไปในอนาคตได้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาให้บริษัทฯ ในระยะยาว และเป็น win-win solution กับทั้งสถาบันการเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ และบริษัทฯ” 

เปิดตำนาน 'พรรคประชาชน' ไม่ใช่ชื่อใหม่ถอดด้าม แต่เคยเป็นรังเก่า 'กลุ่ม 10 มกราฯ' เข้าสภาฯ 19 คน

(9 ส.ค.67) จากกระแสข่าวที่ออกมาช่วงค่ำวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ที่มาแทนพรรคก้าวไกล จะใช้ชื่อว่า 'พรรคประชาชน' ที่มีการแถลงเปิดตัวเวลา 12.00 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม ที่ตึกไทยซัมมิทฯ นั้น

จากการตรวจสอบของ 'ไทยโพสต์' พบว่า ชื่อพรรคประชาชน ไม่ใช่ชื่อพรรคใหม่ทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะเคยเป็นพรรคการเมือง ที่เคยส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งและได้ สส.มาแล้วในช่วงปี 2531 ซึ่งช่วงนั้น เป็นการเมืองในยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี

โดยแกนนำพรรค-ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาชนเวลานั้น ก็คือนักการเมืองจาก 'กลุ่ม 10 มกรา' ที่เป็นกลุ่มการเมืองชื่อดัง จนเป็นตำนานของพรรคประชาธิปัตย์มาถึงทุกวันนี้ 

สำหรับ 'กลุ่ม 10 มกรา' มีแกนนำคือ นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ ที่เป็นนักธุรกิจ เคยเป็นนายทุนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จนขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคที่มีนายพิชัย รัตตกุล อดีตประธานรัฐสภา เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายเฉลิมพันธ์ คือ บิดาของนางทยา ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส.-อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ตำนานของ พรรคประชาชน เกิดขึ้นหลังเกิดปัญหาขัดแย้งทางการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ - นายวีระ มุกสิกพงษ์ โดยมีแนวร่วม เช่น กลุ่มวาดะห์ ที่กำลังเริ่มโด่งดังทางการเมือง กับกลุ่มของนายพิชัย รัตตกุล ที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เวลานั้น ซึ่งกลุ่มของนายพิชัย มีแนวร่วม เช่น นายชวน หลีกภัย - พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายมารุต บุนนาค, นายเล็ก นานา

โดยพบว่ากลุ่มนายพิชัย ขัดแย้งกับกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ ในเรื่องโควตารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ และตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

นั่นจึง ทำให้สส.พรรคประชาธิปัตย์ ในปีของนายเฉลิมพันธ์ ตั้งกลุ่ม 10 มกราฯ ขึ้น เมื่อ 10 มกราคม 2530 ที่โรงแรมเอเชีย โดยมีการงัดข้อทางการเมืองกับกลุ่มนายพิชัย ตลอด จนมาถึงจุดแตกหัก ตอนโหวตร่าง พรบ.ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร ที่เป็นร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลพลเอกเปรมเวลานั้น เพราะทางประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐฯ กดดันให้รัฐบาลพลเอกเปรม รีบออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ก็มีกระแสคัดค้านไม่เห็นด้วยมากมาย

จนเมื่อร่าง พรบ.ลิขสิทธิ์ฯ เข้าสภาฯ ทาง สส.กลุ่ม 10 มกราคม โหวตสวนไม่เห็นชอบร่างพรบ.ลิขสิทธิ์ฯทั้งที่ตัวเองเป็น สส.รัฐบาล ทำให้ พลเอกเปรม ตัดสินใจยุบสภาฯ โดยเป็นการยุบสภา ก่อนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านเพียงไม่กี่วัน

และหลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง กลุ่ม 10 มกราคม ก็ย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปตั้งพรรคประชาชน ที่เป็นการตั้งพรรคโดยเปลี่ยนชื่อจากพรรคเดิมคือ พรรครักไทย โดยมีนายเฉลิมพันธ์ เป็นหัวหน้าพรรค และมี นายวีระ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวีระกานต์ อดีตประธาน นปช.เสื้อแดง เป็นเลขาธิการพรรคประชาชน

อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งปี 2531 พรรคประชาชนได้ สส.เข้าสภาฯ ไม่มากเท่าใดนัก คือได้ประมาณ 19 คน และหลังเลือกตั้ง พรรคชาติไทย ที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรค ชนะเลือกตั้ง จนพลเอกชาติชาย ขึ้นเป็นนายกฯ หลังพลเอกเปรม ที่เป็นนายกฯ คนนอกมาแปดปี ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกฯ กับวาทะอมตะ "ผมพอแล้ว"

โดยการตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่มีพรรคประชาชนร่วมด้วย เพราะพลเอกชาติชาย ตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ถูกกับพรรคประชาชน ทำให้พรรคประชาชนกลายเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับพรรคอื่น ๆ เช่น พรรครวมไทย ของนายณรงค์ วงศ์วรรณ - พรรคกิจประชาคม ของนายบุญชู โรจนเสถียร - พรรคก้าวหน้าของนายอุทัย พิมพ์ใจชน

จนต่อมาช่วง เมษายน 2532 ทั้งสี่พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาชน-พรรครวมไทย-พรรคกิจประชาคม-พรรคก้าวหน้า ก็ได้ยุบรวมมาเป็นพรรคเดียวกันชื่อว่า 'พรรคเอกภาพ'

จากนั้นช่วงปี 2534 พลเอกชาติชาย ปรับครม.โดยดึงพรรคเอกภาพเข้าร่วมรัฐบาล แล้วปรับพรรคประชาธิปัตย์ออก แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิดรัฐประหาร รสช. เมื่อ 23 ก.พ.2534 ทำให้ พรรคประชาชน ชื่อก็หายไปจากการเมืองหลายสิบปี พร้อมกับการที่นายเฉลิมพันธ์ วางมือทางการเมือง

โดยพบว่า สส.-นักการเมือง ที่เคยอยู่กับพรรคประชาชน ที่ตอนนี้ยังเป็น สส.อยู่ ก็มีเช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาในปัจจุบัน ที่ตอนนั้นออกจากประชาธิปัตย์มาพร้อมกับกลุ่มวาดะห์ และยังมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เคยอยู่กับกลุ่ม 10 มกราฯ มาก่อน ตั้งแต่ยุคเป็น สส.ฉะเชิงเทรา สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายจาตุรนต์ ออกไปร่วมตั้งพรรคประชาชน พร้อมกับบิดา คือนายอนันต์ ฉายแสง อดีต สส.ฉะเชิงเทราหลายสมัย

ส่วนอดีตศิษย์เก่า พรรคประชาชน ที่ไม่ได้เป็นสส.แต่ยังมีบทบาทการเมืองก็เช่น นายนิกร จำนง ที่เคยเป็น สส.สงขลา กลุ่ม 10 มกราคม แต่ตอนที่ลงสมัคร สส.พรรคประชาชน ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยปัจจุบัน นายนิกร เป็นผอ.พรรคชาติไทยพัฒนามาหลายปี ล่าสุดก็เป็นกรรมาธิการของสภาฯหลายคณะเช่น กรรมาธิการวิสามัญศึกษาการตราพรบ.นิรโทษกรรมฯ เป็นต้น

ขณะที่ คนอื่น ๆ ที่ยังโลดแล่นการเมืองอยู่ก็มีเช่น นายถวิล ไพรสณฑ์ ที่เคยเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หลังลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ตอนช่วงหลังเลือกตั้งปี 2562 ที่มีสมาชิกพรรคลาออกหลายคนที่เรียกกันตอนนั้นว่า ประชาธิปัตย์เลือดไหลไม่หยุด โดยปัจจุบันนายถวิล ช่วยงานพรรคก้าวไกลในเรื่องท้องถิ่นมาหลายปีแล้ว จนน่าจับตาว่า นายถวิล อาจจะมีส่วนในการช่วยคิดชื่อ พรรคประชาชน รวมถึงยังมีศิษย์เก่า พรรคประชาชนอีกหลายคน เช่น นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีตเลขาธิการนายกฯ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) อดีตนายกอบจ.ภูเก็ต ที่เคยลงสมัครสส.พรรคประชาชน เป็นต้น

'โคลิน หวง' ผู้ก่อตั้ง Temu ขึ้นแท่นรวยสุดในจีน ด้วยวัย 44 ปี ท่ามกลางแรงประท้วงจากผู้ผลิตที่ถูกกดดันเรื่องมาตรฐานอย่างหนัก

(9 ส.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า 'โคลิน หวง' (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Temu วัย 44 ปี กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในจีน โดยมีทรัพย์สิน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้า 'จง ซานซาน' เจ้าของธุรกิจน้ำดื่ม ไปเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับ โคลิน หวง เคยประสบความสำเร็จในธุรกิจเกมและอีคอมเมิร์ซหลายแห่งมาก่อน โดยในปี 2015 เขาได้ก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เน้นการขายสินค้าราคาถูกพร้อมโปรโมชันจำนวนมาก

ความสำเร็จของเขาได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งของชาวจีนหลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

หวงยังเป็นนักธุรกิจเทคโนโลยีคนแรกที่ติดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในรอบกว่าสามปี แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาลจีนเหมือนกับคู่แข่งอย่าง Jack Ma ของ Alibaba

อย่างไรก็ตาม หวงต้องเผชิญกับการประท้วงจากซัพพลายเออร์เรื่องการกดราคาสินค้า และการกำหนดตารางการทำงานที่หนักหน่วงสำหรับพนักงานของเขา

สำหรับร้านค้าส่วนใหญ่บน Temu มีที่เป็นทั้งโรงงานผลิต และซัพพลายเออร์ที่ขายสินค้าอยู่บนแพลตฟอร์ม ทำให้สินค้ามีราคาถูก เพราะส่งตรงมาจากผู้ผลิต ซึ่งกว่า 100,000 ร้าน ดำเนินการอยู่ในประเทศจีน แต่ล่าสุดผู้ผลิตกลับพบกับความอยุติธรรมที่ทางแพลตฟอร์มมีการลงโทษร้านค้าที่เกิดความผิดพลาด ทั้ง สินค้าไม่ตรงปก เกิดปัญหาหลังการขาย หรือลูกค้าเข้ามาร้องทุกข์จากปัญหาของสินค้า ด้วยการเรียกเก็บค่าปรับ และระงับบัญชีร้านค้า

นอกจากนี้ Temu จะคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดกับสินค้า แต่สินค้าดังกล่าวกลับไม่ได้ส่งคืนซัพพลายเออร์ และจะมีการปรับเงินกับร้านค้า จากรายงานของ CNN พบว่า ร้านค้าจะต้องจ่ายค่าปรับที่ 1-5 เท่าของราคาสินค้า บางรายถูกระงับบัญชีร้านค้าในระบบจนไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ 

ทว่า จากการเรียกเก็บค่าปรับดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมหาศาล และบางรายถึงขั้นล้มละลาย

อย่างไรก็ตาม ทางโฆษกของ Temu เคยออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยว่า "ร้านค้าแค่ไม่พอใจที่ Temu ให้มีกฎเกณฑ์กับเรื่องของสินค้าและบริการหลังการขายที่ต้องมีประสิทธิภาพ เราดำเนินการอย่างโปร่งใสในการกำหนดกฎเกณฑ์และค่าปรับแล้ว และหลังจากนี้เราจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับร้านค้าต่อไป"

Temu ให้นิยามตัวเองว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลูกค้า ‘Shop Like a Billionaire’ ด้วยสินค้าที่มีราคาถูกมาก และใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ Temu เปิดตัวมาเมื่อปี 2022 และปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดแอปฯ ไปแล้วกว่า 600 ล้านครั้ง 

นอกจากนี้ ข้อมูลของ Goldman Sachs ได้ชี้ว่า Temu จะสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ได้กว่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 18,000 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้ 3 ตัวแปร Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลก 'AI ไม่ปังดังหวัง-ญี่ปุ่นปรับขึ้นดอกเบี้ย-สหรัฐฯ ว่างงานพุ่ง'

จากรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 11 ส.ค.67 ได้พูดคุยในประเด็น 'Black Monday ตลาดหุ้นทั่วโลก: ไทยเตรียมรับแรงกระแทกอย่างไร?' โดยมี 'อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์' อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้พูดถึงประเด็นนี้ ว่า...

ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญที่สุดกลไกหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่การที่ตลาดทุนมีอารมณ์ผันผวนอย่างรุนแรงเมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม และ 2-3 วันก่อนหน้า ทั้ง ๆ ที่ 2 สัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดโตเกียวต่างก็ทำสถิติ New High มาด้วยกัน บรรยากาศความโลภ (Greed) ถูกแทนที่ด้วยความกลัว (Fear) ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงต้องถือว่าตลาดทุนได้ส่งสัญญาณบางอย่าง ซึ่งผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมิอาจที่จะละเลยได้

ประการแรก Artificial Intelligence-AI คือทางออกของโลกจริงหรือไม่ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังในอนาคตของธุรกิจ AI และบริษัท Tech Firms ต่าง ๆ อาทิ Apple, Amazon, Alphabet, Meta และ Microsoft เมื่อผลประกอบการที่ประกาศออกมาไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับแนวโน้มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกซึ่งจะมีผลต่ออุตสาหกรรมผลิต Chips จึงก่อเกิดผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

ประการที่สอง ตลาด Unwind Yen Carrytrade การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นในรอบหลาย 10 ปี ในสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสำคัญรวมทั้ง Fed กำลังและเตรียมที่จะลดดอกเบี้ย ได้ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลสำคัญของโลกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และได้ก่อให้เกิดการปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุน (Portfolio Rebalancing) ของนักลงทุนทั่วโลก ที่เคยกู้เงินเยนมาลงทุนในตราสารสกุลดอลลาร์ แต่ตลาดที่ได้รับผลโดยตรงและแรงที่สุดก็คือ ตลาดนิวยอร์กและตลาดโตเกียว ซึ่งมีดัชนีร่วงลงกว่า 10%

ประการสุดท้ายและน่าจะเป็นสาเหตุสําคัญที่สุด คือความกลัว Recession แม้ สหรัฐฯ รอดพ้นจาก Recession มาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0 มาเป็น 5.5% ในปัจจุบัน แต่ความกลัวดังกล่าวเริ่มเข้าใกล้ความจริงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคมมีการประกาศออกมาอยู่ที่ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี การที่ Fed ไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบที่แล้วก็ทำให้ตลาดผิดหวังมาทีหนึ่งแล้ว แม้ว่า ประธาน Jerome Powell จะได้ออกมาปลอบว่า Fed เตรียมพร้อมลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าในเดือนกันยายน โดยตลาดเชื่อว่าอาจจะมีการลดถึง 50%

ในด้านของตลาดไทย ถึงจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ก็สามารถตีกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ในระยะปานกลาง-ยาว แต่ตลาดไทยก็น่าจะได้รับผลบวกจากความผ่อนคลายแรงกดดันต่าง ๆ จากการลดดอกเบี้ยของ Fed 

ส่วน ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ แม้จะไม่ค่อยจะมีความห่วงใยต่อปากท้องชาวบ้านเท่าไหร่ ก็ควรจะเลิกทำตัวเป็นตัวตลก และกลับตัวกลับใจมาทำหน้าที่ของตนที่ควรจะเป็นในการร่วมมือกับรัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชาติเสียที มิเช่นนั้นคนไทยอาจจะลืมว่าประเทศไทยก็มีธนาคารกลางกับเขาเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมา ธปท.ทำตัวเหมือนจ่าเฉยที่มีอยู่ตามแยกจราจรทั่วไป แทนที่จะเป็นธนาคารกลางที่ดีเช่นธนาคารกลางชั้นนำอื่น ๆ

เหตุผลที่ 'ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์' ขายหุ้น Apple ออกกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต 'การเติบโตเริ่มจำกัด-ยอดขายในจีนตก-กระแสเงินสดไปจมอยู่กับ AI'

(9 ส.ค.67) สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทาง Live สด กับ Business Tomorrow เมื่อ 8 ส.ค. 2567 เวลา 20.00 น. โดยให้มุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และท่าทีของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ขายหุ้น Apple ครั้งใหญ่

ทำไมปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงขายหุ้น Apple ออกกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต? ปู่เห็นสัญญาณอะไรที่เราไม่รู้? 

สำหรับการขายหุ้น Apple ของปู่ ถือเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงการลงทุนของสัปดาห์นี้เลยทีเดียว เพราะทิ้งคำถามตัวใหญ่ ๆ ให้นักลงทุนทั่วโลกสงสัยและต้องการคำตอบของการตัดสินใจของปู่ครั้งนี้ เนื่องจาก Apple ถือว่าเป็นหุ้นคู่บุญของ Berkshire Hathaway มานับหลายปี 

คุณสิทธิชัย มองว่า การขายครั้งนี้อาจมาด้วยเหตุผลการลงทุนระยะยาว ที่มองถึงอัตราการเติบโตของ Apple ที่เริ่มจำกัดและอาจไม่ได้ดีเท่าที่ผ่านมา รวมถึงยอดการขายในประเทศจีนที่ลดลง 

เพราะในอดีตเราจะสังเกตว่าคุณปู่ชอบหุ้น Apple เพราะถือเงินสดเยอะมาก แต่ตอนนี้เทรนด์โลกเปลี่ยน ทำให้ Apple ต้องปรับตัว บริษัทจึงใช้เงินไปลงทุนด้าน AI ค่อนข้างเยอะ รวมถึงธุรกิจใหม่ ๆ หลายอย่างที่ Apple ตั้งแผนไว้ ซึ่งคำถามว่า ‘เงินมหาศาลที่ Apple ลงทุนไป’ จะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตไหม นั่นก็เป็นสิ่งที่เราไม่รู้

ส่วนคำถามว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายเพราะกังวลเศรษฐกิจแย่ไหม? คุณสิทธิชัยมองว่า การขาย Apple ‘อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจแย่แต่อย่างใด’ เพราะภาพระยะสั้น ครึ่งปีหลัง 2024 - ต้นปี 2025 หุ้น Apple อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้น Coca-Cola หรือ หุ้น OXY ที่ปู่ถืออยู่ด้วยซ้ำ 

เมื่อถามกลุ่มหุ้น 7 นางฟ้าที่น่าสนใจสำหรับปู่ในตอนนี้ (Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla) คุณปู่จะซื้อตัวไหน? ในมุมของคุณสิทธิชัยมองว่าตัวนั้นคือ Microsoft ด้วยเหตุผลว่ามี Total Addressable Market, มีอัตราเติบโตที่ดี และราคาไม่แพงมาก

เชียงใหม่-แถลงข่าว “วิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8”

สมาคมนักศึกษาเก่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานแถลงข่าว “วิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024)” ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้ธีม “Precious Memories” ความทรงจำอันล้ำค่าในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาวิ่งร่วมกันตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โดยมีศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน พร้อมด้วย คุณสุมิตร เพชราภิรัชต์ นายกสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐ วรยศ  คุณสมยศ วงษ์ทองสาลี ที่ปรึกษาสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณะผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา ศิษย์เก่า สื่อมวลชน ตลอดจนผู้สนใจกิจกรรม ร่วมการแถลงข่าว ณ Auditorium ชั้น 3 อาคารศูนย์นวัตกรรมการสื่อสาร (CIC) คณะการสื่อสารมวลชน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2567

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำหนดจัดแข่งขันการวิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024) ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 ในธีม “Precious Memories” ความทรงจำอันล้ำค่าในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาวิ่งร่วมกันตลอด 7 ปีที่ผ่านมา 

ความพิเศษของ CMU – Chiang Mai Marathon 2024 คือเหรียญรางวัลซีรีส์ 2 (2nd Generation) ซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายที่ทำให้โมเดลหอนาฬิกาเสร็จสมบูรณ์ โดยเป็นฝาปิดด้านบนของหอนาฬิกา เพื่อเก็บเรื่องราวที่ดีและความทรงจำอันล้ำค่าของนักวิ่งทุกคนไว้ตลอดไป รวมถึงการจัดงานในรูปแบบ Carbon Neutral Event ที่ช่วยลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์หรือก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานและทรัพยากรในการจัดงาน เช่น การใช้ภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะและของเหลือใช้ การใช้รถไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงสะอาด การจัดซื้อคาร์บอนเครดิตชดเชย (Carbon Credit) เพื่อยื่นขอ
ใบประกาศนียบัตรรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) ต่อไป 

ในปีนี้ เปิดรับสมัครนักวิ่งที่สนใจสองรอบ คือรอบ VIP วันที่ 8 สิงหาคม 2567 เวลา 10.08 น. ถึงก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 15 กันยายน 2567 และรอบปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เวลา 10.08 น. ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 ทางเว็บไซต์ www.cmu-marathon.com ทั้งรูปแบบ Onsite และ Virtual Run 

โดยมีอัตราขอรับบริจาคดังต่อไปนี้ รูปแบบ Onsite รับสมัครนักวิ่งไม่เกิน 7,000 คน VIP ระยะทางตามระยะที่สมัคร อัตราขอรับบริจาค 3,000 บาท, Full Marathon ระยะทาง 42.195 km. อัตราขอรับบริจาค 1,200 บาท, Half Marathon ระยะทาง 21.1 km. อัตราขอรับบริจาค 1,000 บาท, Mini Marathon ระยะทาง 10.5 km. อัตราขอรับบริจาค 800 บาท และ Fun Run ระยะทาง 5 km.  อัตราขอรับบริจาค 600 บาท

นักวิ่งที่ติดอันดับ Top 30 จาก Virtual Run ของปีที่ผ่านมา ระบบจะส่งข้อมูลให้ท่านผ่านทางอีเมลเพื่อลงทะเบียนล่วงหน้าในระหว่างวันที่ 8 - 25 สิงหาคม 2567 

รูปแบบ Virtual Run ครั้งที่ 5 รับสมัครไม่จำกัดจำนวน  Iron Heart ระยะทาง 123 km. อัตราขอรับบริจาค 1,288 บาท,Full Marathon ระยะทาง 42.195 km. อัตราขอรับบริจาค 1,030 บาท, Half Marathon ระยะทาง 21.1 km. อัตราขอรับบริจาค 824 บาท, Mini Marathon ระยะทาง 10.5 km. อัตราขอรับบริจาค 618 บาท และCombo ระยะใดก็ได้ (รับเหรียญและเสื้อ อัตราขอรับบริจาค 2,266 บาท Finisher ทั้ง Full, Half, Mini)โดยกำหนดส่งผลการวิ่งก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 1 ธันวาคม 2567 

ทั้งนี้ อัตราขอรับบริจาคข้างต้นยังไม่รวมค่าธรรมเนียมในการโอนเงินบริจาคทางอิเล็กทรอนิกส์ 

สำหรับรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จัดสรรเป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักหอพักนักศึกษา สมทบทุนสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ และนำรายได้ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอขอบคุณผู้สนับสนุนและนักวิ่งทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันการวิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024) และขอความอนุเคราะห์ประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง การแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักวิ่ง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top