Friday, 20 June 2025
NewsFeed

‘รวมไทยสร้างชาติ’ นำคนไทย ‘บริจาคเลือด’ ถวายในหลวง ร.10 พร้อมส่งมอบเลือดบริจาคให้แก่สภากาชาดไทยสำเร็จลุล่วง

(23 ก.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายชื่นชอบ คงอุดม รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายถาวร เสนเนียม หัวหน้าสถานียุติธรรม พรรครวมไทยสร้างชาติ, นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน, ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายปรเมษฐ์ จินา สส. จ.สุราษฎร์ธานี, นายสัญญา นิลสุพรรณ สส. จ.นครสวรรค์, นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายทินกร ปลอดภัย หัวหน้าคณะทำงานสถานียุติธรรม, อดีตผู้สมัคร สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้าร่วมโครงการ ‘เลือดรวมไทย’ ถวายในหลวง ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น. ณ ห้องประชุมครองราชย์ 60 ปี โรงเรียนสามเสนนอก (ประชาราษฎร์อนุกูล) กรุงเทพมหานคร

โครงการ ‘เลือดรวมไทย’ ถวายในหลวง จัดขึ้นจากการร่วมแรงร่วมใจของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยการนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวว่า “โครงการ ‘เลือดรวมไทย’ ถวายในหลวง ที่จัดขึ้นโดยพรรครวมไทยสร้างชาติในวันนี้ เป้าหมายหลักของเราคือถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะเดียวกัน ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม และการช่วยเหลือแบ่งปันให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รวมถึงการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ที่มีความรัก ความสามัคคี ที่เป็นพื้นฐานอันดีภายในจิตใจของคนไทย สมกับที่มีเลือดเดียวกัน ‘เลือดรวมไทย’ ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นกุศลและการให้ที่ยิ่งใหญ่ครับ” 

พร้อมกันนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้แสดงความขอบคุณ นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน, โรงเรียนสามเสนนอก (ประชาราษฎร์อนุกูล), ศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทย, สำนักงานเคหะชุมชนห้วยขวาง, สำนักงานเขตดินแดง, ผู้อำนวยการเขตดินแดง, สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง, มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้

ในการนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นตัวแทนมอบโล่ขอบคุณ ให้กับหน่วยงานและผู้สนับสนุนที่ร่วมจัดกิจกรรมในครั้งนี้ พร้อมทั้งได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน และเข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการหุ่นยนต์เพื่อการเรียนรู้ (ROBOLAB) โรงเรียนสามเสนนอก (ประชาราษฎร์อนุกูล) อีกด้วย

ด้านนางสาวอรพินทร์ เพชรทัต กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม ‘เลือดรวมไทย’ ถวายในหลวง ในวันนี้ ซึ่งได้รับการตอบรับจากทุกท่านเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีเรื่องต้องสานต่อความช่วยเหลือโรงเรียนสามเสนนอกฯ ตามที่ขอการสนับสนุนอีกหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าในโรงเรียน ซึ่งเป็นนโยบายพลังงานเพื่อประชาชนของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และจะผลักดันความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เช่น การสร้างโรงอาหารเพื่อรองรับนักเรียนจากที่ปัจจุบันไม่สามารถรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น และปรับปรุงสระว่ายน้ำ โดยได้ขอการสนับสนุนไปยังหน่วยงานในพื้นที่ เบื้องต้นได้ประสานไปยังสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตดินแดง เพื่อสนับสนุนให้กับทางโรงเรียนในด้านอุปกรณ์ในการเรียนรู้ของนักเรียน อีกด้วย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการให้ความรู้และสอนวิธีปฐมพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น หรือ การทำ CPR อย่างถูกต้อง เพื่อที่เวลาเจอสถานการณ์คับขัน จะได้ช่วยผู้ประสบเหตุให้ปลอดภัยได้อย่างทันท่วงที พร้อมทั้งนิทรรศการผลงานต่าง ๆ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

สำหรับกิจกรรมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ ได้ส่งมอบให้กับสภากาชาดไทยเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยในการรักษาพยาบาล รวมถึงนำไปช่วยเหลือทหาร ตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำจุดยืนพรรค ปมแก้ 'กฎหมายห้ามตีเด็ก' ใช้ทางสายกลาง-ทำโทษตามสมควร ส่ง 'จุติ' อดีต รมต.พม. ร่วม กมธ.

(24 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.จังหวัดราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงมติการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า ในวันที่ 24 - 25 กรกฎาคม 2567 จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประเด็นที่สำคัญ คือ การแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  ซึ่งสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับการทำโทษเด็กและเยาวชน

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า เรื่องการทำโทษเด็กและเยาวชน โดยการตี เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ฉะนั้นกฎหมายฉบับนี้ถือว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญและควรพิจารณาอย่างละเอียดและถี่ถ้วน

ร่าง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว จะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความปลอดภัยในร่างกายและจิตใจ แต่การห้ามอย่างเด็ดขาดนั้น ต้องใช้วิจารณญาณในทางปฏิบัติ เนื่องด้วยสังคมไทยยังมีความเชื่อมาอย่างยาวนานในอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน หากกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร จะมีการสั่งสอนและลงโทษโดยการตีเพื่อย้ำเตือนให้บุตรหลานอยู่ในกรอบความถูกต้อง ซึ่งในหลักการแล้วจะต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน

ดังนั้น การแก้ไข ร่าง พ.ร.บ. ควรยึดหลักทางสายกลาง คือ การลงโทษเพื่อสั่งสอนพอสมควรแก่เหตุ ไม่ลงโทษแบบทารุณกรรม หรือเป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง ต้องมีการสร้างวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้เข้ากับยุคสมัยและสอดคล้องกับบริบทของโลกในปัจจุบัน

เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นไปด้วยความรอบคอบ รับฟังความเห็นอย่างรอบด้านทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ลงมติ ส่งตัวแทน 3 ท่าน เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการในการพิจารณา ได้แก่...

1. นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อของพรรค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านการบริหารกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่หน้าที่ในการดูแลสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน 

2. ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ บุคลากรของพรรคที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเด็ก เยาวชน และสตรี

3. บุคคลภายนอกพรรคที่อยู่ในองค์กรเด็กและเยาวชนซึ่งทำกิจกรรมในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากความรุนแรง อีกทั้งมีประสบการณ์ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน

"พรรครวมไทยสร้างชาติให้ความสำคัญ ใน ร่าง พ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องเด็กและเยาวชน ถือเป็นนโยบายหลักของพรรค ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มีศักยภาพสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และเพิ่มขีดความสามารถของเยาวชนไปสู่ระดับนานาชาติ" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

‘CPF’ ประกาศรับซื้อ ‘ปลาหมอคางดำ’ 2 ล้านกิโลกรัม ทั่วประเทศ ตั้งราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม หวังเร่งกำจัด-นำมาผลิตเป็นปลาป่น

เมื่อวานนี้ (23 ก.ค. 67) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศความร่วมมือกับคณาจารย์จาก 3 สถาบันการศึกษาชั้นนำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งโรงงานผลิตปลาป่น เพื่อบูรณาการแก้ไขสถานการณ์ของปลาหมอคางดำ

โดย นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้ คือ การร่วมมือและสนับสนุนการจัดการปัญหาเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วน ในฐานะภาคเอกชน บริษัทสนับสนุนแผนปฏิบัติการ 5 โครงการ ร่วมแก้ไขปัญหานี้ของภาครัฐตามศักยภาพของบริษัท ต้องขอบคุณ ฯพณฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ประกอบกับ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงที่เข้มแข็งลงมือปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อลดจำนวนปลาหมอคางดำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน

“บริษัทพร้อมนำศักยภาพขององค์กรเข้ามาช่วยสนับสนุนการแก้ไขอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน และลงมือปฏิบัติการเชิงรุกในหลายมิติตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการเชิงรุก 5 โครงการ” ดังนี้

โครงการที่ 1 : ทำงานร่วมกับกรมประมงสนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม นำมาผลิตเป็นปลาป่นเพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบให้มากและเร็วที่สุด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จังหวัดสมุทรสาคร รับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ไปแล้ว 600,000 กิโลกรัม และยังมีแผนรับซื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานจุดรับซื้อเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณกรมประมงที่มีมาตรการที่รัดกุม ออกประกาศห้ามการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า

โครงการที่ 2 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐและชุมชน ปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ จำนวน 200,000 ตัว โดยที่ผ่านมา บริษัทมีการส่งมอบปลากะพงขาว จำนวน 45,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี ทั้งนี้ ขั้นตอนในการปล่อยปลาผู้ล่านั้น เป็นไปตามแนวทางของกรมประมง

โครงการที่ 3 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐ ชุมชนและภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมจับปลา สนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคน ในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกิจกรรม ‘ลงแขกลงคลอง ทีมแม่กลองปราบหมอคางดำ’ ที่จัดขึ้นในจังหวัดสมุทรสงครามแล้ว 4 ครั้ง เป็นต้น และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด

โครงการที่ 4 : การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจเพื่อร่วมดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

ที่ผ่านมา บริษัทได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ อาทิ ปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และ น้ำพริกปลากรอบ

โครงการที่ 5 : ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาในระยะยาวต่อไป และยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่มีโปรตีนที่สามารถนำมาผลิตเป็นปลาป่นคุณภาพ โรงงานยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาปัญหานี้ โดยได้ประสานงานกับซีพีเอฟที่ร่วมปฏิบัติการกับกรมประมง และได้รับซื้อแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นจำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยยังคงเปิดรับซื้ออย่างต่อเนื่อง

“ตั้งแต่กระทรวงเกษตรฯ เริ่มการจับปลาหมอคางดำใน จ.สมุทรสาคร ชาวประมงที่เริ่มออกปลาตั้งแต่วันแรก บอกกับท่านรัฐมนตรีเองว่า วันนี้ปลาหายไป 80% แล้ว แต่เรายังต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งรัฐก็มีมาตรการในการกำกับไม่ให้เกิดการลักลอบเลี้ยงและนำมาจำหน่าย การกำจัดด้วยวิธีการนี้จึงมาถูกทางและช่วยลดปริมาณปลาได้มาก การที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันเช่นนี้ถือว่าดีมาก” นายปรีชากล่าว

ด้านนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผศ.ดร.สิทธิชัย ฮะทะโชติ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญโดยตรงกับการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการควบคุมปลา รวมถึงการพัฒนาแปรรูป เพื่อเร่งนำปลาออกจากแหล่งน้ำได้อย่างรวดเร็วและการปล่อยปลากะพงในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมหาวิทยาลัยได้มีการทำการวิจัยปลาชนิดนี้มาหลายปี และคิดว่างานวิจัยจะช่วยเติมเต็มภารกิจของกรมประมงได้ ปลามีโปรตีนที่ดี สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยมหาวิทยาลัยจะนำปลาหมอคางดำมาทำปลาร้า โดยใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่นระยะเวลาการหมักปลาร้าให้สั้นลง ทั้งยังสามารถทำปลาป่นใช้ผลิตอาหารสัตว์ได้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาหาแนวทางอื่น ๆ ในการจัดการควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับความกังวลว่าจะมีการเพาะเลี้ยงปลาเพื่อนำมาขายในโครงการรับซื้อนั้น ข้อเท็จจริง ระยะการเลี้ยงปลาหมอคางดำใช้เวลาเลี้ยงนานเป็นปี แต่มีเนื้อน้อย ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาที่รัฐบาลรับซื้อ ที่สำคัญการนำมาเป็นปลาป่นสำหรับอาหารสัตว์ยังช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปลาป่นจากต่างประเทศ

ผศ.ดร นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ควรสร้างการรับรู้การบริโภคปลาชนิดนี้ให้มากขึ้น ภาควิชาได้ศึกษานำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระดับครัวเรือน อุตสาหกรรม และร้านอาหาร และปรุงเป็นอาหารหลากหลายเมนู อาทิ ขนมจีนน้ำยา ในช่วงนี้ผู้คนสนใจชิมปลาหมอคางดำ จึงควรมีการเชื่อมโยงสู่การแปรรูปตัดแต่งเนื้อปลาและทำ ‘เนื้อปลาแช่แข็ง’ เพื่อให้สามารถขนส่งแก่ผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น หากมีคนที่พร้อมแปรรูปหรือตัดแต่งปลาจะช่วยปลาชนิดนี้เข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น และการทำเป็นอาหารแปรรูปยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของปลาเข้าสู่พื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย

ด้าน ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้ช่วยคณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน และ คณาจารย์ สจล.มีความยินดีที่จะร่วมมือกำหนดแนวทางเพื่อจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับวิธีควบคุมทางชีวภาพ เช่น เทคโนโลยี Environmental DNA ซึ่งเป็นการสำรวจร่องรอย DNA ในธรรมชาติ สำรวจการระบาดได้ตั้งแต่ช่วงต้น ก็สามารถนำปลาผู้ล่าเข้ามาได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนำปลานักล่าท้องถิ่นกลับสู่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการมุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลทางธรรมชาติ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำของไทย ทั้งนี้ ปลาหมอคางดำ ไม่ใช่เอเลี่ยนตัวแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งภาคประชาชนสำคัญมากในการตระหนักรู้และช่วยกันแก้ปัญหาตลอดจนรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

ผศ.ดร.สรณัฎฐ์ ศิริสวย ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงมีการศึกษาเชิงลึกอยู่แล้ว และมีการเตรียมแผนอย่างดี เพื่อนำปลาขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติให้เร็วที่สุด เหลือแต่ปลาหมอคางดำขนาดเล็ก ทั้งการผ่อนปรนใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมในการปล่อยปลาผู้ล่า วิธีการดังกล่าวช่วยกำจัดวงจรชีวิตของปลาไปเรื่อย ๆ ขณะที่ กรมประมงอยู่ระหว่างทำการวิจัยปลา 4N เพื่อผสมกับปลาปกติ 2N ให้ได้ปลา 3N ซึ่งเป็นหมัน ส่วนกรณีที่เกษตรกรเข้าใจว่าไข่ปลาสามารถอยู่ได้ถึง 2 เดือนในช่วงที่ตากบ่อนั้น แทบเป็นไม่ได้เลย ขอให้ประชาชนทุกคนตระหนักแต่อย่าตระหนก หากพบเจอปลาหมอคางดำที่ไหนให้แจ้งกับกรมประมงทันที

เปิดเรื่องราว ‘ชาวฮ่องกง’ ผู้ถือ ‘พาสปอร์ต BNO’ หวังหนี ‘จีน’ ซบ ‘อังกฤษ’ ไร้สิทธิประโยชน์-อยู่ต่ำกว่าพลเมืองในประเทศ สุดท้ายมีคนจบชีวิตประท้วง

ก่อนและหลัง...สหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งถึงทำก็คือ ‘การอพยพ’ ไปอยู่ประเทศอื่น ๆ อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ ประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม โดยการอพยพไปอยู่อังกฤษนั้น ชาวฮ่องกงใช้สถานะความเป็น ‘พลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล)’ หรือ British National (Overseas) ซึ่งจะได้หนังสือเดินที่เรียกว่า ‘British National (Overseas) passport หรือ BN(O) passport’

โดยสถานะดังกล่าวได้มาจากการลงทะเบียนโดยสมัครใจของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนอดีตอาณานิคมฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นพลเมืองในดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ (British Overseas Territories citizen : BDTC) ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1997 การลงทะเบียนสถานะ BN(O) จำกัดเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีก่อนการโอน โดยถือเป็นการจัดเตรียมชั่วคราวสำหรับอดีต BDTC ผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน (หลังปี 1997) ไม่สามารถได้รับสถานะนี้ได้

BN(O) ถือเป็นพลเมืองของเครือจักรภพ จึงไม่ใช่พลเมืองอังกฤษ ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเข้าสู่สหราชอาณาจักรเหมือนชาวต่างชาติอื่น ๆ ทั้งยังไม่มีสิทธิ์ในการพำนักในอังกฤษโดยอัตโนมัติ และชาวฮ่องกงที่เลือกเป็น BN(O) แล้ว ทุกคนจะต้องสละสัญชาติจีน(ฮ่องกง) โดยมีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในฮ่องกงหลังจากที่รัฐบาลจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (ซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลในฮ่องกงในปี 2019-2020) สหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) และสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในความอุปการะของพวกเขาสามารถสมัครวีซ่าถิ่นที่อยู่แบบต่ออายุทุก 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2021

BN(O) ทำให้ผู้ถือได้รับสถานะพิเศษเมื่ออาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ได้รับสัญชาติอังกฤษภายใต้กระบวนการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถดำรงตำแหน่งสาธารณะหรือตำแหน่งในรัฐบาล มีผู้ถือ BN(O) ประมาณ 2.9 ล้านคน โดยประมาณ 720,000 คนในจำนวนนี้ถือหนังสือเดินทางอังกฤษที่ถูกต้อง และได้รับความคุ้มครองจากกงสุลเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนไม่รับรองหนังสือเดินทางประเภทนี้ว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่ถูกต้อง และจำกัดไม่ให้ผู้ถือ BN(O) เข้าถึงการคุ้มครองจากกงสุลอังกฤษหรือจากคณะผู้แทนทางการทูตของสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและสาธารณรัฐประชาชนจีน

หนังสือเดินทาง BN(O) ยุคแรกจนถึงปี 1990

สำหรับชาวฮ่องกงผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีการจัดทำโครงสร้างโครงการปลอดวีซ่าอย่างชาญฉลาด ซึ่งปัจจุบันปี 2024 ผู้ที่ต้องการอพยพออกจากฮ่องกงส่วนใหญ่เพื่อค้นหา 'ประชาธิปไตย' และ 'เสรีภาพ' และที่มากกว่านั้นคือ กลุ่มหัวรุนแรงรุ่นใหม่ที่เคยเป็นแกนกลางของการประท้วงต่อต้านรัฐบาล/การจลาจล/การก่อการร้ายในปี 2019 แต่กลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์ย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากเกิดหลังจากการส่งมอบในปี 1997 และ BN(O) ของผู้ปกครองไม่สามารถส่งต่อไปยังพวกเขาได้ ดังนั้น สหราชอาณาจักรจึงสามารถหลีกเลี่ยงการอพยพเข้ามาของเยาวชนที่ปัญหาเหล่านี้ได้

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1990-1997

นอกจากนี้ สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เกิดหลังปี 1997 มีน้อยมาก ๆ ที่จะยอมต้องทิ้งลูก ๆ ไว้ข้างหลังหรือจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาในสหราชอาณาจักรในฐานะนักเรียนต่างชาติ ส่วนผู้ประกอบการอิสระส่วนใหญ่มักจะไม่ยินยอมอพยพแบบถอนรากถอนโคนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้นในประเทศใหม่ที่ต่างไปกว่าเดิม เว้นแต่พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำ สื่อตะวันตกอาจนำเสนอภาพที่ชาวฮ่องกงถูกกดขี่ ข่มเห่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว ฮ่องกงคือแหล่งทำมาหาเงินของพวกเขา

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1997-2020

ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) เมื่อย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักรจะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้จนกว่าจะได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตด้วยเงินออมที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ย่ำแย่ จะมีชาวฮ่องกงสักกี่คนที่หางานได้ดีกว่างานที่ใช้ทักษะธรรมดา สำหรับงานระดับบริหารในสหราชอาณาจักรปิดโอกาสสำหรับผู้ถือ BN(O) แทบจะโดยสิ้นเชิง ผู้ที่ไม่สามารถหางานประจำได้ก่อนที่เงินออมจะหมดจะถูกบังคับให้หาทางออกต่าง ๆ ผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่าสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตนเองได้ แต่ต้องหาเขตที่คนท้องถิ่นมีอัธยาศัยดีต่อผู้อพยพมาก ๆ 

หนังสือเดินทาง BN(O) ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2020

เมื่อวีซ่า 5 ปีหมดอายุ และภายใน 1 ปีหลังวีซ่าหมดอายุจะไม่มีการรับประกันการได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหางานได้ค่าตอบแทนดี รัฐบาลอังกฤษอาจแค่บอกว่า “คุณอยู่มานานมากแล้วและขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา” หลังจากแยกผู้ที่มีศักยภาพที่จะอยู่ต่อออกจากมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีภาระผูกพันด้านสวัสดิการระยะยาว ในขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรได้รับการสนับสนุนทางการเมืองบางส่วนจากพันธมิตรตะวันตก เนื่องจากความมีมนุษยธรรมที่ชัดเจนในการช่วยเหลือชาวฮ่องกง 'หลายล้านคน' ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของ 'จีน(ที่ชั่วร้าย)' ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรัฐบาลไม่ขัดแย้งกับรายงานของสื่อที่บอกเป็นนัยว่าประชากรฮ่องกงทั้งหมดมีสิทธิ์ในการต่อต้านจีน 

ท้ายที่สุด จำนวนผู้ที่ไปนับหมื่นครอบครัวและผู้ที่อยู่ระยะยาวจะยิ่งลดน้อยลงไปอีก ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ฆ่าตัวตายในอังกฤษ หลังชีวิตในสหราชอาณาจักรแทบไม่มีอะไรดั่งที่เธอฝัน เพราะชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) ถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’ เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับหนังสือเดินทาง ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

นี่คือเรื่องราวของชาวฮ่องกง ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีต่างพากันเห็นว่า หนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล) หรือ British National (Overseas) passport (BN(O) passport คือ หนังสือเดินทางที่จะนำพาพวกตนและครอบครัวไปสู่แดนสวรรค์ในสหราชอาณาจักร แต่พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่จริงแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนกับการตกอยู่ในนรกทั้งเป็น ถือเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ของบรรดาผู้ที่ชังชาติ อยากย้ายประเทศจนตัวซีดตัวสั่นทั้งหลาย ว่า “ไม่เจอ...ก็ไม่รู้ ไม่เจ็บ...ก็ไม่จำ”

‘ชายวัย 60 ปี’ ขี่ซาเล้งฝ่าฝน 4 คืน 5 วัน จากตรังมาสุโขทัย กลับมาช่วยดูแลลูกหลาน หลังทราบข่าวว่ากำลังลำบาก

(24 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนดล หรือลุงสิทธิ์ อายุ 60 ปี ชาว ต.วังทองแดง อ.เมือง จ.สุโขทัย ไปทำงานรับจ้างอยู่ที่ จ.ตรัง นานถึง 16 ปีแล้ว แต่พอรู้ข่าวว่าตอนนี้ลูกสาวกับหลาน ๆ อีก 5 คน กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก และไร้ที่อยู่อาศัยของตัวเอง จึงตัดสินใจขี่รถซาเล้ง จากตรังกลับมาอยู่บ้านเกิดที่สุโขทัยอีกครั้ง เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดลูกหลาน รวมทั้งคอยดูแลช่วยเหลือกันและกันได้บ้าง

ขี่รถซาเล้งมา 4 คืน 5 วัน เจอฝนตกตลอดทาง หมดค่าน้ำมันไป 1,500 บาท ระหว่างทางก็อาศัยนอนตามปั๊มน้ำมัน โชคดีเจอคนขับสิบล้อให้เงินติดตัวมา พร้อมกับซื้อของกินให้ และมีนายตำรวจใจดีตรงด่านตรวจชุมพรให้เงินมาอีก 700 บาท แต่พอมาถึง จ.เพชรบุรี จู่ ๆ ดุมล้อหลังก็แตกต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่ กว่าจะกลับถึงบ้านที่สุโขทัยได้ก็ลุ้นกันตลอดทาง

ลุงสิทธิ์ บอกว่า ตอนนี้มาอาศัยนอนที่บ้านแม่อายุ 80 ปี ส่วนครอบครัวลูกสาวกับหลาน ๆ รวม 7 ชีวิต มีคนใจบุญซ่อมบ้านเก่าให้อยู่ได้ชั่วคราว และตนพอมีความรู้ในการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ก็จะหารายได้จากอาชีพนี้มาช่วยเลี้ยงดูลูกหลานอีกแรง

อย่างไรก็ตาม ใครมีทีวี ตู้เย็น พัดลม เครื่องซักผ้าเก่า ๆ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียหรือทิ้งแล้ว สามารถนำมาบริจาคเพื่อเป็นทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กับลุงสิทธิ์ 

>> ติดต่อได้ที่เบอร์ 080-6864805 

>> หรือส่งของใช้จำเป็นให้เด็ก ๆ ได้ที่ น.ส.พาตีเมาะห์ บ้านเลขที่ 2/2 หมู่ 1 ต.วังทองแดง อ.เมือง จ.สุโขทัย 64210 โทร 088-6961701

หึ่ง!! ‘สาวออสเตรเลีย’ ถูก 5 ชายฉกรรจ์ รุมข่มขืนในกรุงปารีส เบื้องต้นจับกุมยังไม่ได้ ท่ามกลางโอลิมปิกเกมส์กำลังจะเกิดขึ้น

(24 ก.ค.67) ตำรวจฝรั่งเศสกำลังทำการสืบสวน หลังหญิงสาวชาวออสเตรเลียรายหนึ่งบอกว่าเธอถูกชายฉกรรจ์ 5 คน รุมข่มขืนในย่านใจกลางกรุงปารีส ไม่กี่วันก่อนหน้ามหกรรมโอลิมปิกเกมส์ ที่เมืองหลวงแห่งนี้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจะเริ่มขึ้น

โดยสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่า ผู้หญิงวัย 25 ปี หลบอยู่ในร้านเคบับ ในย่าน Pigalle ของกรุงปารีส ในตอนเช้าวันเสาร์ (20 ก.ค.) ในสภาพที่ชุดถูกฉีกขาดเป็นบางส่วน เธออ้างว่าโดนข่มขืน เบื้องต้นยังไม่มีการจับกุมใคร แต่อัยการยืนยันว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสืบสวนคดีนี้ในฐานะคดี ‘รุมโทรม’ โดยเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่เมืองหลวงของฝรั่งเศส จะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ 2024

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ Le Parisien ของฝรั่งเศส รายงานว่า เจ้าของร้านเคบับ โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หลังพบหญิงสาวอยู่ในสภาพชุดถูกฉีกขาดเป็นบางส่วน และเธออ้างว่าถูกประทุษร้ายทางเพศ เบื้องต้นเธอได้รับการดูแลจากหน่วยดับเพลิง จากนั้นถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล Bicha เพื่อตรวจร่างกาย โดยแพทย์มืออาชีพ

ต่อมา สำนักงานอัยการปารีส เปิดเผยว่า ตำรวจกำลังสืบสวนคำกล่าวอ้างดังกล่าวและกำลังทำการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ในเหตุการณ์ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงค่ำวันศุกร์ (19 ก.ค.) จนถึงเช้าวันเสาร์ (20 ก.ค.)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแม้ว่าปัจจุบันมีตำรวจจำนวนมากกระจายกำลังอยู่ทั่วกรุงปารีส เพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ผู้คนภายในเมือง ระหว่างการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันศุกร์นี้ (26 ก.ค.)

เจ้าหน้าที่ใช้บุคลากรจำนวนมากในการลาดตระเวนในกรุงปารีส นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ในนั้นรวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยติดอาวุธแถว ๆ แม่น้ำแซน

นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดโซนความปลอดภัยหลายพื้นที่รอบเมือง โดยที่กรุงปารีสถูกแยกเป็นโซนต่าง ๆ หากใครก็ตามปรารถนาเข้าไปยังบางพื้นที่ ในนั้นรวมถึงหอไอเฟล จำเป็นต้องยื่นขอบัตรผ่านพิเศษบนแพลตฟอร์มหนึ่งที่จัดทำโดยตำรวจ

'ทนายเคน' เอือม!! ใครได้อันดับดีกว่า 'นันทนา-อังคณา' เลวหมด ต้องเลือก 'พวกเจ๊' เท่านั้นหรือไม่ จึงจะเรียกว่า 'อิสระ'

(24 ก.ค. 67) นายณรงค์ ประดับสุข หรือ ทนายเคน อดีตผู้สมัคร สส.จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณี น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แสดงความไม่พอใจผลการเลือกประธานวุฒิสภา ว่า

ในวันที่มีการเลือกตั้ง สว. ระดับประเทศ รอบสุดท้าย ซึ่งพอประกาศผลคะแนนออกมา ‘เจ๊’ ได้อันดับที่ ๘ ของกลุ่ม ก็ออกมาแสดงความเห็นออกสื่อด้วยการด้อยค่า ว่าที่ สว.ท่านอื่น (ขณะนั้น) ว่า " ..จะร้องให้ กกต.ตรวจสอบคนที่ได้คะแนนอันดับที่ ๑-๗ ของทุกกลุ่มว่ามีการ 'ฮั้ว' คะแนนกัน.." เสมือนประมาณว่า คนอื่นที่ได้อันดับดีกว่าตนนั้น ‘เลวหมด’ ฉันดีเลิศประเสริฐศรีคนเดียว...!!!

ด้อยค่าคนอื่น แล้วใครจะเลือกให้เจ๊เป็นประธานวุฒิสภา ละครับ 555+
#สรุปแล้ว_พันธุ์ใหม่_คือพันธุ์อะไร ..???

และได้โพสต์ตอบโต้ นางอังคณา นีละไพจิตร สว. ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “วันนี้ทำให้เห็นชัดเลยว่า วุฒิสภาไม่มีความเป็นอิสระจริงๆ” 

ต้องเลือก ‘พวกเจ๊’ เท่านั้น จึงจะเป็น ‘อิสระ’...??
#ตรรกะเดียวกับ_สส_บางพรรคเปี๊ยบเลย

‘อ่างน้ำพุร้อน’ เยลโลว์สโตน ‘ระเบิด’ จากความร้อนใต้พิภพ ด้าน นทท.วิ่งหนีตายวุ่น ล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ

(24 ก.ค.67) รายงานข่าว จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ระบุว่า อ่างน้ำพุร้อนบริเวณ Biscuit Basin เกิดการระเบิดขึ้นจากความร้อนใต้พิภพ ที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone) รัฐไวโอมิง ซึ่งเป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สะพานพังเสียหาย นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างพากันวิ่งหนีตาย เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ 

ล่าสุด ได้ทำการปิดพื้นที่โดยรอบชั่วคราว ทางนักธรณีวิทยา กำลังเร่งตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยลโลว์สโตน หลายคนมองว่า นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ผิดปกติ

‘ชาวเกาะปันหยี’ น้อมรับเสียงวิจารณ์ ปมดรามาสินค้า-ของฝากแพง วอนโซเชียลเลิกแชร์ข้อมูลปลอมเรียกยอดไลก์ ลั่น!! ไม่หยุดเจอฟ้อง

หลังจากมีประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อแฟน ๆ ได้ดูคลิปล่าสุดในช่อง ‘Cullen Hateberry’ ของ ‘คัลแลน-พี่จอง’ ยูทูบเบอร์หนุ่มชาวเกาหลี ที่ได้ไปเที่ยวที่เกาะปันหยี จ.พังงา ได้เป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ ที่ถูกแคปออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ตั้งแต่เรื่องค่าเรือที่เดินทางไปที่เกาะปันหยี ค่าเรือแพง 1,000 บาท ซื้อของฝากพวกเครื่องประดับ หอยมุก สร้อยข้อมือ 300 บาท เปลือกหอยมุก 500 บาท รวมราคาแล้ว 800 บาท และเมื่อขอลดราคา เจ้าของร้านบอกว่า แถมไป 1 อัน รวมเป็น 1,000 บาท จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าการขายของที่ระลึกในราคานี้ มันแพงเกินเหตุไปหรือไม่

และยังพบว่ามีการคอมเมนต์ต่าง ๆ นานา ในลักษณะของการขายของแพงทั้งเรื่องอาหาร ที่พัก ต่าง ๆ ด้วยจนเป็นกระแสสุดฮอต สร้างความเสียหายให้กับชาวเกาะปันหยีและบรรยากาศการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงา

ล่าสุด (24 ก.ค. 67) นางยาวาเราะห์ ประสานพันธ์ เจ้าของร้านปันหยีซีฟู้ด กล่าวว่า ขอชี้แจงในเรื่องของอาหารแพงนั้น ทางร้านอาหารส่วนใหญ่ก็จะมีการแจ้งราคาไว้แล้ว ทั้งแบบรายหัวบุฟเฟต์หรือเมนูตามสั่ง ในส่วนของปลาแพงนั้นก็อาจจะเกี่ยวกับการสั่งปลาเป็น ๆ ที่มีราคาสูงในกระชังขึ้นมาปรุงก็ได้ และยืนยันว่าทางร้านไม่มีการบวกราคาเพิ่มกับลูกค้า

ขณะที่ร้านขายของฝากก็เป็นงานฝีมือซึ่งแต่ละร้านก็ตั้งราคากันเอง และมีอยู่หลายร้าน ซึ่งผู้ซื้อผู้ขายต่อรองราคากันตามพอใจ จึงขอเรียกร้องให้โซเชียลหยุดการแชร์การคอมเมนต์ที่สร้างความเสียหายให้กับชาวเกาะปันหยี เพราะหากกระทบต่อการท่องเที่ยวจะสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านบนเกาะที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวและการประมง

ด้านนายประสิทธิ์ เหมมินทร์ รองนายก อบต.เกาะปันหยี เปิดเผยว่า ตนเองเป็นผู้นำในพื้นที่หลังจากได้ทราบข่าวก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบสอบถามข้อมูลทันที ซึ่งพบว่าในเรื่องของค่าเรือ 1,000 บาทนั้น พบว่าใช้บริการที่ท่าเรือบ้านในหงบ เป็นการเหมาเรือไปส่งและไปรับกลับอีกวันหนึ่ง ซึ่งขอบอกว่าเป็นราคาปกติ ซึ่งปกติถ้าตนเองใช้บริการเหมาเรือก็จะอยู่ในราคาประมาณนี้ ขณะราคากลางของทางราชการนั้นอยู่ที่ 1,000 บาท จึงขอบอกว่าเป็นราคาปกติ

ส่วนในเรื่องของฝากจากหอยมุกนั้น สอบถามจากคนขายพบว่าคนซื้อเลือก 2 ชิ้น 800 บาทและอยากได้ของแถม จึงเพิ่มสร้อยข้อมืออีก 1 ชิ้น รวมราคา 1,100 บาท และลดเหลือ 1,000 บาท ไม่ได้มีการยัดเยียดขายแต่อย่างใด

สำหรับเกาะปันหยีนั้นเรามีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวมากว่า 70 ปี แต่ละวันจะมีการต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้ามาหลายพันคนได้ ทุกคนจึงให้ความสำคัญกับการรักษาภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเสมอมา ในเรื่องของกินต่าง ๆ ก็ราคาไม่ต่างจากในเมือง เราไม่อยากจะแก้ตัวหรือแก้ต่างกับกระแสดรามาในโลกโซเชียล ถือเป็นบทเรียนที่พวกเราชาวเกาะปันหยีจะต้องทำอย่างไรต่อไป

เราน้อมรับในกระแสข้อวิจารณ์ที่ใช้เหตุผล ส่วนข้อวิจารณ์ที่ไม่เป็นความจริงและกล่าวหามุสลิมเพื่อต้องการเรียกยอดไลก์และสร้างความเสียหายกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมบนเกาะปันหยี ทางเราก็อาจจะพิจารณาใช้กฎหมายดำเนินการต่อไป

‘สุริยะ’ นำชาวคมนาคมร่วมโครงการ ‘คมนาคมร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชัน’ มอบทุนการศึกษา-บริจาคโลหิต ถวาย ‘ในหลวง’ เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

(24 ก.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทั้ง 22 หน่วยงาน ได้พร้อมใจกันจัดทำโครงการ ‘คมนาคมร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชัน’ ถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน 

โดยได้มอบธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ประกาศเจตจำนงการบรรลุเป้าหมายในการบริจาคโลหิตร่วมกันของบุคลากรกระทรวงฯ รวมทั้งสิ้น 2 ล้านซีซี ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมอบทุนการศึกษา จำนวน 172 ทุน ให้กับนักเรียนในโรงเรียนบริเวณรอบท่าเรือกรุงเทพ เพื่อเพิ่มโอกาสและสร้างขวัญกำลังใจให้กับเยาวชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้าง และพัฒนาสังคม รวมถึงประเทศชาติที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ผู้บริหารและพนักงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระราชวิริยะอุตสาหะทรงดำรงพระองค์เป็นแบบอย่างแก่ข้าราชการทั้งปวงในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของปวงประชา ซึ่งข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกคนจักได้น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตามให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อสนองพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดีสืบไป

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดได้ร่วมกันดำเนินโครงการคมนาคมร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในวันนี้ (24 ก.ค. 67) ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานในสังกัด รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้แทนสายการเดินเรือ ผู้ประกอบการ และประชาชนในชุมชนรอบพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ จำนวน 7,200 คน ได้รวมตัวกัน ณ บริเวณลานริมน้ำ อาคาร OB ท่าเรือกรุงเทพเพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อม ๆ กับข้าราชการและพนักงานหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ ในภูมิภาคทั่วประเทศ 

ซึ่งในโอกาสนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ ให้กับหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และส่งต่อให้ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 72 ผืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา จำนวน 172 ทุน ให้กับนักเรียน จำนวน 6 โรงเรียน บริเวณรอบท่าเรือกรุงเทพ ประกอบด้วย โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา โรงเรียนวัดคลองเตย โรงเรียนวัดสะพาน โรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์ โรงเรียนไทยประสิทธิ์ศาสตร์ และโรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทยด้วย

ในโอกาสนี้ กระทรวงคมนาคมได้ร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินโครงการรวมน้ำใจบริจาคโลหิต ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยมีเป้าหมายในปี 2567 จำนวน 2 ล้านซีซี ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นมา มีผู้บริหารและบุคลากรของกระทรวงฯ ได้ร่วมกันบริจาคโลหิตไปแล้วมากกว่า 1.4 ล้านซีซี ในวันนี้จึงได้มอบป้ายประกาศเจตจำนงการบริจาคโลหิตของกระทรวงคมนาคมให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติเพื่อเป็นการกำหนดเป้าหมายร่วมกันและเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2567 บุคลากรของกระทรวงคมนาคมจะรวมใจกันบริจาคโลหิตจนครบ 2 ล้านซีซี เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่จำเป็นต้องใช้โลหิตและนำไปช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top