Friday, 20 June 2025
NewsFeed

มุกดาหาร -​กกล.สุรศักดิ์มนตรี ตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1.2 ล้านเม็ด อาวุธปืน 9 มม 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 50 นัด และโดรนบิน 1 ลำ

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.67) พ.อ.อุทัย นิลเนตร รองเสนาธิการ กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี (กกล.สุรศักดิ์มนตรี) ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่ามีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาพักไว้ในบ้านเลขที่ 63 ม.7 บ.ไผ่ล้อม ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร ได้แจ้ง ร.อ.อนุพงษ์ พรหมส่วน ผู้บังคับกองร้อยทหารราบ กองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ประสานกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจังหวัดมุกดาหาร รุดไปตรวจสอบยังบ้านหลังที่ได้รับแจ้ง ขณะเข้าทำการตรวจค้น เจ้าของบ้านหลังดังกล่าวไม่อยู่บ้าน เจ้าหน้าที่สอบถามจากบ้านข้างเคียง ทราบชื่อเจ้าของบ้านคือนายบุญไตร​ (นามสมมุติ)ภรรยาชื่อนาง​นก เป็นชาวลาว 

จากการตรวจค้นที่ห้องนอนภายในบ้านพบกระสอบขนาดใหญ่จำนวน 6 กระสอบ เมื่อเปิดออกดูภายในพบว่าบรรจุยาบ้ากระสอบละ 200,000เม็ด รวมเป็นยาบ้าทั้งหมด 1,200,000 เม็ด นอกจากนั้นยังพบปืนพกขนาด 9 มม. ยี่ห้อ smith and wesson จำนวน 1 กระบอก กระสุน จำนวน 50 นัด พาสปอร์ตสัญชาติลาว 1 เล่ม และ โดรน Dji จำนวน 1 ตัว อยู่ภายในห้องนอนของนายอภิศักดิ์ ธิ์ (หรือแทน)​ ไหวตัวทัน หลบหนีไป ในขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.หว้านใหญ่ เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เลย - รมว.กลาโหม "แถลงข่าว" ตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1 ล้านเม็ด

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2567เวลา 18.00 น. นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานแถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1 ล้านเม็ด พร้อมด้วย นายจำนงค์ ไชยมงคล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม , พล.ต.นรธิป โพยนอก ผู้บัญชาการ กกล.สุรศักดิ์มนตรี , นายกิตติคุณ บุตรคุณ  รอง ผวจ.เลย , พ.ต.อ.ยุทธวัฒน์ โชคชัย  รอง ผบก.ภ.จว.เลย , พ.ต.อ.นิพนธ์ สมานชาติ ผกก.สภ.ปากชม , นายยศวัฒน์ พัชระศักดิ์สกุล นายอำเภอปากชม , พ.ต.ท.อภิรักษ์ อังคศิริสรรพ รอง ผกก.สส.สภ.ปากชม , พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ ปราบคนชั่ว สว.สส.สภ.ปากชม , พ.อ.คมศักดิ์ พราวศรี รองผู้บังคับการควบคุมที่ 3 (ร.8) กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี , พ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผบ.กรม.ทพ.21 , พ.ต.ต.สุเมธ พลเยี่ยม ผู้บังคับกองร้อย ตชด.ที่246 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดยาเสพติด ที่สถานีตำรวจภูธรปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย โดยในห้วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานจากสายข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 01.30 น.วันที่ 21 กรกฎาคม 2567 มีรถจักรยานยนต์ 1 คัน และรถกระบะอีซูซุ สีบรอนด์เงิน ทะเบียน ผค 9273 เพชรบูรณ์ ขับมาที่ด่านตรวจลักษณะต้องสงสัย จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น ทราบชื่อว่า นายถิรายุ (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี คนขับรถกระบะ นายจีรวุธ (นามสมมุติอายุ 23 ปี นายวัชรินทร์ (นามสมมุติอายุ 20 ปี ขี่รถ จยย. จากการตรวจค้นพบยาบ้า 5 กระสอบ รวม 1,000,000 เม็ด จึงได้จับกุมตัวพร้อมของกลาง มาขยายผลที่ สภ.ปากชม

จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 3 ให้ถ้อยคำว่าตนได้มารับยาบ้าของกลางดังกล่าวที่เขตอำเภอปากชม เพื่อนำไปส่งที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวข้างต้น พร้อมทั้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ต้องหาทั้งสามทราบ ผู้ต้องหาทั้งสามทราบข้อกล่าวหาและพฤติการณ์ในการกระทำความผิดโดยละเอียดแล้วให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสามพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน  สภ.ปากชม  เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว นายพรพิพัฒน์  เพ็ชรสังหาร
เดวิท โชคชัย มุกดาหารรายงาน 092-5259777

กาฬสินธุ์-ชาวกาฬสินธุ์นับหมื่นรำถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แห่งแรก! จังหวัดกาฬสินธุ์รวมพลังสามัคคี ภักดี องค์ราชัน นำกลุ่มองค์กรสตรีทั้ง 18 อำเภอ และทุกภาคส่วนกว่า 1 หมื่นคน ประกาศเจตนารมณ์จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวสุนทรพจน์"ในหลวงในดวงใจ" พร้อมรำถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการ แต่เป็นความร่วมมือความจงรักภักดีของชาวกาฬสินธุ์

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.67) ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานจัดกิจกรรมโครงการ“กาฬสินธุ์ รวมพลังสามัคคี ภักดี องค์ราชัน” เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดี นำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 

โดยมีนายวิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ นายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายกอบจ.กาฬสินธุ์ รศ.จิระพันธ์ ห้วยแสน อธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ นายจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ นักเรียน กลุ่มองค์กรสตรีทั้ง 18 อำเภอ และทุกภาคส่วนร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน

ทั้งนี้กิจกรรมมีการขบวนธงและพานบายศรีหลวงเดินเข้าสู่สนาม การเป่าแคนลำนำ สำนึกชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จากนั้นนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นำเหล่าพสกนิกรชาว จ.กาฬสินธุ์ ประกาศเจตนารมณ์ เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จะดำรงตนตามหลักปรัญญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการสืบสาน รักษา ต่อยอด และจะรู้รักสามัคคี สืบสานประเพณี ทำความดีทุกวัน ก่อนที่จะร่วมกันขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชอย่างกึกก้องทั่วท้องสนาม  

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสดงความจงรักภักดีของเครือข่ายพัฒนาชุมชนร้องเพลง “องค์เดียวในโลก” โดยนายธรีเมศท์ พลอาจทัง โรงเรียนเหล่ากลางวิทยายน การกล่าวสุนทรพจน์ หัวข้อ "ในหลวงในดวงใจ"โดยนางสาวทอฝัน อินทสอน ตัวแทนนักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ และนางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายกอบจ.กาฬสินธุ์ 

จากนั้นนางรำจากกลุ่มองค์กรสตรีและเครือข่ายสตรีจาก 18 อำเภอกว่า  10,000 คน ซึ่งต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดผ้าไทยและพื้นเมืองสีเหลืองร่วมฟ้อนรำถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ยังได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับฮีสโตรก และมีการจัดนิทรรการเฉลิมพระเกียรติ และจำหน่ายสินค้าโอทอปอีกด้วย

นายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์ โดยภายใต้การนำของนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมกับองค์กรสตรี ภาคีเครือข่ายในงานพัฒนาชุมชน หน่วยงานราชการทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง และผู้นำชุมชนจะจัดกิจกรรม “กาฬสินธุ์ รวมพลังสามัคคี ภักดี องค์ราชัน” เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดี และนำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567การ ซึ่งการจัดกิจกรรมรวมพลังในครั้งนี้ เป็นที่น่าจดจำและประทับใจ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการ แต่เป็นความร่วมมือความจงรักภักดีของชาวกาฬสินธุ์ทุกภาคส่วนที่ได้สนับสนุนการจัดงาน

“อเมริกากำลังจะล้มละลายแล้ว” เสียงกู่ร้องจาก ‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีติดท็อปโลก

(23 ก.ค. 67) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ซีอีโอของเทสลา สเปซเอ็กซ์ และโซเชียลมีเดีย X ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชี X ส่วนตัวของตนเอง ระบุว่า “อเมริกากำลังจะล้มละลายแล้ว”

การโพสต์ในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากกรณีหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มีจำนวน 34 ล้านล้านเหรียญ มีภาระดอกเบี้ยปีละ 1.14 ล้านล้านเหรียญ โดยสหรัฐฯ ต้องเจียดออกมาจากภาษีที่เก็บเข้ารัฐถึงปีละ 76%

‘รมว.ปุ้ย’ หนุน ‘สมอ.’ คุมเข้มมาตรฐานนำเข้าเหล็กเคลือบ ปิดช่องเหล็กด้อยคุณภาพ สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน

(23 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์เหล็กในประเทศอย่างใกล้ชิด พบว่ามีการนำเข้าเหล็กเคลือบ ทั้งเคลือบสังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม และเคลือบสี ที่มีราคาถูกจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหล็กที่มีคุณภาพต่ำ และไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็กเคลือบภายในประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขายสินค้าได้ 

นอกจากนี้ ยังส่งผลถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่นำเหล็กเคลือบดังกล่าวไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ตนจึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เร่งดำเนินการควบคุมเหล็กเคลือบทุกประเภทที่จำหน่ายในท้องตลาดโดยเร็ว เพื่อสกัดกั้นเหล็กเคลือบที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและอุตสาหกรรมภายในประเทศ 

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า จากการประชุมบอร์ด เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ สมอ. ควบคุมผลิตภัณฑ์เหล็กจำนวน 4 มาตรฐาน ได้แก่ 

1) เหล็ก PPGI หรือ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนและเคลือบสี 

2) เหล็ก PPGL หรือ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนและเคลือบสี 

3) เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม 5% ขึ้นไป และแมกนีเซียม 2% ขึ้นไป โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน 

4 ) เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม 0.5% ขึ้นไป และแมกนีเซียม 0.4% ขึ้นไป โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน 

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรฐานอื่น ๆ อีก จำนวน 122 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานปูนซิเมนต์ไฮดรอลิก เครื่องซักผ้า เครื่องสูบของเหลว เต้ารับเต้าเสียบสำหรับงานอุตสาหกรรม ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระบบบันทึกการขับขี่รถยนต์ น้ำยางข้นธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์จากขยะชีวภาพ ถั่วลันเตากระป๋อง และมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ 

รวมทั้ง เห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปีนี้อีกจำนวน 192 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานเครื่องดับเพลิงแบบยกหิ้วชนิดฮาโลคาร์บอน เจลกันยุงนาโน ชุดทดสอบฟอร์มาลินแบบกระดาษ และกันชนหรือชิ้นส่วนที่ป้องกันอุปกรณ์ด้านหน้าและด้านหลังยานยนต์ เป็นต้น รวมเป็นมาตรฐานที่ สมอ. ตั้งเป้าจัดทำในปีนี้ จำนวน 1,450 มาตรฐาน

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมอ. มิได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้ประชุมหารือร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเหล็กทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหลังจากที่บอร์ดมีมติเห็นชอบมาตรฐานเหล็กเคลือบทั้ง 4 มาตรฐาน แล้ว สมอ. จะเร่งดำเนินการให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ 

ปัจจุบัน สมอ. ประกาศใช้มาตรฐานเหล็กจำนวน 213 มาตรฐาน เป็นสินค้าควบคุมจำนวน 22 มาตรฐาน และเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจจำนวน 191 มาตรฐาน นอกจากการดูแลประชาชนและอุตสาหกรรมในประเทศแล้ว ด้านการค้าระหว่างประเทศ สมอ. ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะทำงานด้านอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า ภายใต้การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ได้แจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการส่งออกเหล็กของไทยได้ทราบถึงความคืบหน้าของมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ ‘มาตรการ CBAM’ (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าที่เข้ามาใน EU โดยอ้างอิงตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า 

สำหรับสินค้า 6 กลุ่มแรกที่มีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูงในกระบวนการผลิต ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ ปุ๋ย อะลูมิเนียม ไฟฟ้า และไฮโดรเจน โดยในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลปริมาณสินค้าที่นำเข้าและการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับให้ผู้นำเข้าต้องรายงานตามปริมาณจริงของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต 

ทั้งนี้ สมอ. อยู่ระหว่างการหารือกับผู้แทน EU เพื่อให้ยอมรับรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่ออกโดยหน่วยตรวจสอบความใช้ได้และทวนสอบก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง สมอ. จะแจ้งความคืบหน้าของการหารือดังกล่าวให้ผู้ประกอบการทราบเป็นระยะ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการดังกล่าวต่อไป เลขาธิการ สมอ. กล่าว

ปล่อยทำกันเป็นขบวนการแบบเกลื่อนโซเชียล 'นายหน้าขนแรงงาน-สายรายงาน-เจ้าหน้าที่'

เอย่า เคยรายงานเรื่อง VIP Pass ที่คนพม่าอยากมาไทยจ่ายแค่หลักพัน แล้วสามารถผ่าน ตม. มาได้แบบไม่ต้องมีหลักฐานการจองโรงแรม ไม่ต้องสำแดงเงิน แถมนายหน้าบางคนนี่ ยังช่วยนำรูปถ่ายของผู้ใช้บริการในเครือข่ายตน มาโพสต์บนสื่อโซเชียลตัวเอง ว่ามีรถกอล์ฟรับจากด้านในออกมาด้านนอกเลย VIP ... ระดับนี้ขนาด Elite card ยังทำไม่ได้!!

การกระทำเช่นนี้ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ หากไม่มีคนของการท่าอากาศยานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีคำตอบจากการท่าอากาศยานออกมาสักที

นอกจากนี้ เชื่อไหมว่าในสื่อโซเชียลของนายหน้าชาวเมียนมา ถึงขั้นมีการประกาศอย่างโจ๋งครึ่มด้วย ว่าสามารถรับขนคนจากย่างกุ้ง, เมียวดี, ท่าขี้เหล็ก มากรุงเทพฯ ได้อย่างปลอดภัย 

อยากถามหน่อยว่าเข้ามาได้อย่างไร? ตม. สามารถปล่อยให้เข้ามาได้ง่ายขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ? รึว่ามีผู้มีอิทธิพลหรือข้าราชการชายแดนใดได้ผลประโยชน์ร่วมกับนายหน้าเหล่านี้ จึงง่ายดายเสียขนาดนั้น

ที่เด็ดกว่า คือ มีโพสต์หนึ่งที่ถูกแขวนประกาศบนเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) ว่ามีคนไทยรายหนึ่งสามารถพิมพ์ภาษาพม่าได้ เป็นสายคอยแจ้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวในการออกพื้นที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยระบุวันไว้อย่างละเอียด พร้อมแจ้งให้คนพม่าที่เข้าเมืองอย่างไม่ถูกต้อง อย่าออกมาค้าขายให้เก็บตัวอยู่ในบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวเสียด้วย

ดังที่ทราบกันว่า ตอนนี้มีคนต่างด้าวที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายในไทยมากขึ้น ทั้งทางช่องทางธรรมชาติและผ่านการใช้วีซ่าแล้ว Overstay เมื่อวีซ่าขาด หลายคนมาแบบใช้วีซ่าท่องเที่ยวที่จะอยู่ไทยได้ 60 วัน และ Extend visa ต่อได้อีก 30 วัน เพื่อหางานและให้ได้ Work permit ในช่วงเวลาดังกล่าว 

ที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแล้ว และก็คงได้แต่คอยตั้งคำถามว่า ทางการไทยไม่ทำงานประสานกันเลยอย่างนั้นหรือ?

ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน คงไม่มีใครทำร้าย ทำลายชาติตนเองได้เท่ากับคนในชาติดังปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว 

เอย่า ไม่ได้จะกล่าวโทษว่าการมีคนต่างด้าวหรือต่างชาติเข้ามาทำงานพัฒนาประเทศเป็นสิ่งไม่ดี แต่การเข้ามาที่ไม่ถูกต้อง ... ย้ำทุกครั้งว่า 'ไม่ถูกต้อง' จะนำพาซึ่งปัญหามากมาย ทั้งอาชญากรรม รวมถึงแก๊งสเตอร์ ระดับที่ว่า มีชาวพม่าผู้ยิ่งใหญ่ในสมุทรสาคร สามารถปิดซอยจัดงานเลี้ยงวันเกิดลูกกันได้เลยทีเดียว...

ฉะนั้น ยาเสพติด ลักขโมย และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย คงไม่ต้องให้บรรยายแล้วเนาะ...

‘สาว’ อวดแชตคุยกับ ‘เพื่อนตำรวจ’ ช่วยเคลียร์ค่าปรับ 500 บาท หลังโดนข้อหาไม่สวมหมวกกันน็อก โว!! ใช้งานให้เป็นประโยชน์

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.67) เพจ ‘Red skull’ โพสต์ภาพสตอรี่ของสาวรายหนึ่ง โดยเป็นแชตที่เจ้าตัวถูกใบสั่งในข้อหาไม่สวมหมวกกันน็อก ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดคุยกับเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยบอกว่าตนเองโดนจับ ให้ไปเสียค่าปรับจำนวนเงิน 500 บาท โดยเพื่อนที่เป็นตำรวจได้ตอบกลับไปว่า ให้เอาใบสั่งมาให้ตนเอง ทั้งนี้ สาวเจ้าของโพสต์ได้ระบุข้อความว่า…

“เพื่อนโดนจับหมวก ก็ใช้งานตำรวจให้เป็นประโยชน์ซะเลย“

ทั้งนี้ พบว่ามีชาวเน็ตต่างเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของสาวรายนี้เป็นจำนวนมาก

'กองทัพเรือ' โดยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ช่วยเหลือประชาชน จากอุทกภัย

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.67) พลเรือโทสมรภูมิ จันโท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ สั่งการให้ กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน จัดกำลังพล เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ณ บริเวณ ตลาดเจริญสุข ต.ท่าช้าง อ.เมือง จว.จันทบุรี 

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ได้กำหนดเป็น "มอตโต้" แนวทางในการปฏิบัติงานของกำลังพลทุกระดับไว้คือ "เทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นระเบียบวินัย ประชาชนภูมิใจ ทะเลไทยมั่นคง" Fit for the Future

‘วราวุธ’ วอน!! ปชช. ‘หยุดให้เงินขอทาน’ ชี้!! ยิ่งให้เท่ากับยิ่งหนุนขบวนการ ‘ผิดกฎหมาย’

(23 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อมวลชน นำเสนอข่าว กลุ่มขอทานต่างด้าว 10 กว่าราย มีทั้งเด็กทารกแรกเกิด เด็กเล็ก คนพิการ และผู้เฒ่าผู้แก่ นั่งนอนขวางถนน ขอทานผู้ใจบุญตามจุดต่าง ๆ ในงานวัดชัยมงคลพระอารามหลวง พัทยาใต้ จังหวัดชลบุรี 

และสื่อรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาจัดการ แต่เมื่อทิ้งช่วงไป กลุ่มขอทานต่างด้าวจะกลับเข้ามาในพื้นที่อีก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขอทานต่างด้าวกลุ่มเดิม ๆ ที่เคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปทำประวัติ แล้วกลับมาขอทานซ้ำอีก 

เมื่อคืนวันที่ 21 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา ทีมเจ้าหน้าที่ พม. ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน จังหวัดชลบุรี (ศรส.จังหวัดชลบุรี) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองชลบุรี และฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักปลัดเมืองพัทยา ลงพื้นที่เพื่อจัดระเบียบผู้ทำการขอทานในเมืองพัทยา 3 แห่ง คือ 

1) วัดชัยมงคลพระอารามหลวง พัทยาใต้
2) บริเวณชายหาดพัทยา และ
3) บริเวณถนนพัทยาสาย 2 

พบผู้ทำการขอทาน ทั้งหมด 11 คน พร้อมผู้ติดตาม ประกอบด้วย คนไทย 3 คน และคนสัญชาติกัมพูชา จำนวน 8 คน โดยมีการนำเด็กมานั่งทำการขอทานด้วย เด็กอายุต่ำสุด 1 ปี 2 เดือน และเด็กอายุสูงสุด 9 ปี

ทีม ศรส.จังหวัดชลบุรี พร้อมทีมสหวิชาชีพได้ดำเนินการสอบประวัติ และทำบันทึกจับกุมตาม พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 พร้อมนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย 

โดยได้ลงบันทึกประจำวัน ถูกเปรียบเทียบค่าปรับ และผลักดันส่งกลับประเทศต้นทาง 8 รายที่เป็นสัญชาติกัมพูชา และคนไทย 3 ราย ถูกเปรียบเทียบปรับและทำบันทึกตักเตือน พร้อมทั้งจะลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อจะได้ไม่กลับมาทำการขอทานซ้ำอีก

สำหรับผลการดำเนินงานจากระบบฐานข้อมูลจัดระเบียบคนขอทาน ประจำปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 มิถุนายน 2567 พบผู้ทำการขอทานจำนวนทั้งสิ้น 467 ราย เป็นคนไทย 307 ราย และเป็นคนต่างด้าว 160 ราย โดยมีสัญชาติกัมพูชามากที่สุดถึง 130 ราย รองลงมาเป็นเมียนมา 18 ราย สปป.ลาว 4 ราย จีน 5 ราย และไร้สัญชาติ 3 ราย  

สำหรับจังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่พบขอทานเป็นอันดับ 2 คือจำนวน 39 ราย รองลงมาจากกรุงเทพมหานคร จำนวน 156 ราย รวมทั้งจังหวัดเชียงใหม่ 21 ราย และจังหวัดภูเก็ต 19 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก นับเป็นแหล่งรายได้สำคัญของขอทาน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยังมีขอทาน คือ การให้ เมื่อมีผู้ให้ เพราะความสงสาร นำมาซึ่งการมีขอทานในสังคม ซึ่งขอทานมักมีพฤติการณ์ที่น่าสงสาร มีข้อจำกัดด้านร่างกายและจิตใจ มีความพิการ และบางส่วนเกิดกระบวนการค้ามนุษย์ เป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างรุนแรง 

ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าหากพบเห็นขอทาน เราไม่ควรให้เงิน ด้วยความสงสาร เพราะการขอทานเป็นการกระทำผิดกฎหมาย 

หากพบเห็นขอให้พี่น้องประชาชนโทรแจ้งมาที่ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่านสายด่วน 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! ช่องทางตีตลาดออนไลน์ใน ‘จีน’ เน้นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ไทย-จีนเลียนแบบได้ยาก

(23 ก.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ อ้างอิงข้อมูลจากเพจ ‘Kritta Bhokharsathit’ โดยมีเนื้อความระบุว่า…

>> พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต้องอ่าน : สถานการณ์ล่าสุดของตลาดออนไลน์ในจีน

(1) คนที่ขายดีกำลังขาดทุนหนัก... ตอนนี้ตลาดที่จีนกำลังเข้าสู่ขั้น ‘การแข่งขันโดยสมบูรณ์’ คนขายเก่ง ๆ เต็มไปหมด

คำว่าเก่งคือ เก่งมาก ๆ เก่งจริง ๆ รู้เทคนิคเหมือนกันหมด สินค้าดี ๆ เต็มตลาด ของถูกเต็มตลาด อะไรที่ขายดี อีก 3 วันจะมีของตัดราคามาขายแข่งทันที

Life Cycle ของสินค้าที่ขายดี กำไรสูงจะสั้นลงจนน่าใจหาย แต่ที่แน่ ๆ คือต้นทุนในการผลิต และ ทำการตลาดจะเพิ่มขึ้นแบบน่าใจหาย

คำว่าขายเก่ง ขายได้มาก กลับกลายเป็น ‘กับดัก’ ให้ยิ่งขาดทุน ไม่ขาดทุนได้ไง ต้นทุน R&D สูง
ต้นทุนการตลาดสูงแต่ Margin ต่ำ และมีเวลาให้ทำกำไรแวบเดียว ก่อนที่จะมีสินค้าเหมือน ๆ กันมาขายแข่ง

เวลาคนไทยไปดูงานแล้วตื่นเต้นกับ ‘ยอดขาย’ ของเขา อย่าลืมกระซิบถามด้วยว่า ‘เหลือกำไรมั้ย?’
พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์เก่ง ๆ คนจีนที่ผมรู้จักเริ่มถอดใจและไปไม่เป็นแล้วกับสถานการณ์นี้ เลิกขายไปหลายคน ที่ยังทนขายเพราะไม่รู้จะไปทำอะไรกิน

(2) Loud Budgeting (เทรนด์อวดความประหยัด) กำลังกู่ก้อง ลูกค้า gen Y คนจีนประกาศชัดเจนว่า…

"ฉันต้องรัดเข็มขัดและประหยัดสุด ๆ"

"ฉันจะใช้จ่ายน้อยที่สุดและเท่าที่จำเป็น"

ลูกค้าจะใช้เวลาในการหาสินค้าที่จำเป็น และเปรียบเทียบมากขึ้น เพราะต้องมั่นใจว่า ‘ซื้อคราวนี้ต้องคุ้มค่าเงิน’ จะใช้เวลาในการแสวงหาโปรโมชั่นและส่วนลด แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

แม่ค้าที่อยากได้ลูกค้าก็จะทุ่มลดราคา ออกโปรโมชั่น เพื่อดึงลูกค้า เจ้านี้ทำได้ เจ้านั้นก็ทำมั่ง ทำจนตลาดพัง ไม่เหลือกำไร

(3) ถึงยุคที่ Platform กลายเป็น ‘เจ้าพ่อ’ หลังจากที่เล่นบท 'คนดี' ลดแลกแจกคูปองมานาน ผลาญเงินไปมหาศาล วันนี้ก็มาถึงเสียทีที่จะเอาคืน

เมื่อลูกค้า ‘ชิน’ กับการหาซื้อของดี ๆ ราคาถูก ๆ จาก Platform และ enjoy กับ ความสนุกสนานต่าง ๆ ที่ Platform มีให้ เหมือนฝูงปลาที่หลั่งไหลมารวมกันมากมายมหาศาล 

Platform ที่รู้ว่าชั้นมีแหล่งปลาที่ดี มีปลาจำนวนมาก ก็เริ่มหากำไรจาก ‘นักตกปลา’ ไม่ว่าจะเป็น

- การขึ้นค่าเบ็ด = ค่า GP 
- ขึ้นค่าถัง = ระบบโลจิสติกส์ 
- ขึ้นค่าตู้แช่  = ระบบ warehouse

ทุก Platform ใหญ่ของจีน ไม่ว่าจะเป็น โต่วอิน และ JD จะมีระบบโลจิสติกส์ และคลังสินค้าเป็นของตัวเองทั้งหมด

Platform จะเริ่มออกกฎต่าง ๆ ให้คนขายปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันความพึงพอใจ ถ้าลูกค้าใช้แล้ว กินแล้ว แค่ ‘ไม่ชอบ’ ก็คืนของได้ ไม่ต้องมีเหตุผล การรักษาเวลาในการขนส่ง ถ้าใช้เวลาในการส่งเกิน 3 วัน ลูกค้ายกเลิกได้ทุกเมื่อ และอื่น ๆ

ตอนนี้สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้า กลัวที่สุดคือ ลูกค้าพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไป ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้า เพราะ ‘ต้องการซื้อ’ แต่ลูกค้าซื้อสินค้าเพราะ ‘ต้องการเอามาลอง’ ก่อน ซื้อเสื้อมา 20 ตัว ใช้จริง 2 ตัว อีก 18 ตัวคืน และรู้ไหมว่าคนที่รับผิดชอบค่าส่ง ไป-กลับ คือ ‘คนขาย!’ 

สถานการณ์การขายออนไลน์ตอนนี้ พ่อค้าแม่ค้า จึงเหมือนคนที่ต้องหาเงินมาให้ Platform ไปผลิตของดีมา ขายแพงได้แป้บเดียว เดี๋ยวก็โดนตัดราคา ต้องทำตามกฎสารพัด หือมากไม่ได้เพราะลูกค้าอยู่ที่ Platform ดังนั้น ‘การส่งออก’ จึงเป็นทางหนีตายของพ่อค้าแม่ค้าคนจีน คำว่าหนีตาย ไม่ได้หมายถึง ‘มีกำไร’ แต่หมายถึง ‘ขอแค่ได้ทุนคืน’ หรือ ‘ขาดทุนนิดหน่อยได้’

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมของจากจีนถึงทะลักมาไทย ในเมื่อพวกเขากำลังหนีตาย อย่าพึ่งถามนะว่า พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในจีนจะทำอย่างไร เพราะสถานการณ์นี้ ‘กำลังเกิดขึ้น’ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่า ‘จะทำอย่างไรต่อ?’

******
หมายเหตุ : การตลาดแบบฝรั่งที่เราร่ำเรียนกันมาก่อนถึงยุคจีนป่วนโลก เป็นการตลาดแบบไม่ใช่มะม่วงบ่มแก๊ส… ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยสร้าง ผลออกค่อยเก็บกินระยะยาว ถ้าเทรนด์โลกเปลี่ยนก็ค่อยเติมความรู้ ปรับเปลี่ยนกันไป 

แต่การตลาดยุคจีนป่วนโลก เน้น ‘ทุบตลาด’ เน้นสำเร็จอย่างรวดเร็ว ว่องไว เร่งกำลังซื้อขั้นสุดแบบแทบจะรีดกระเป๋าตังค์ลูกค้าออกมา ทั้ง ๆ ที่บางทีไม่ใช่ความต้องการซื้อจริง เป็นเพียง ‘อุปทานหมู่’ รวยเร็ว รวยจริง แต่ตลาดก็พังไว เพราะฝืนธรรมชาติหลายอย่าง
*******

>> KOL / Influ อนาคตเป็นอย่างไร ยังน่าทำไหม? : กรณีศึกษาจากจีน

ต่อไปนี้จะขอเรียก KOL / Influ รวม ๆ ว่า KOL (key opinion leader) ปัจจุบันนอกจาก Platform แล้ว บุคคลที่มีวรรณะในแวดวง eCommerce สูงยิ่ง คือ KOL นี่แหละ เนื่องจากยอดขายในทุก Platform ของจีน ตอนนี้ตกหมด เหลือแต่ โต่วอิน = Tiktok จีน ที่ยังคงสูงเด่นเป็นสง่า

ดังนั้น KOL จึงเป็น วรรณะสำคัญที่จะช่วยสร้างความน่าสนใจ ความสนุกสนาน ความตื่นเต้น ความตื่นตาตื่นใจ เพื่อดึงดูด lead เข้ามาได้ KOL จีนเบอร์ต้น ๆ คิวทองมาก ไม่ง้อลูกค้า และต้องจองคิวก่อน 2  เดือนล่วงหน้า ระดับครีม ๆ พวกนี้  Live ครั้งนึงยอดขายหลายร้อยล้าน (หลายร้อยล้านหมายถึง ‘เคยทำถึง’ แต่ไม่ใช่ ‘ทุกครั้ง’) วันที่ขายได้น้อยก็มี แต่ใครจะสนใจ

ถ้า KOL อย่างคุณไปถึงจุดสูงสุดของปิรามิด คุณจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง แม้แต่ไปไหนมาไหน ลูกค้าจะมีเครื่องบินส่วนตัวไปรับ เรื่องนี้จริง เพราะประเทศจีนกว้างมาก KOL ของจีนจะไม่ Live ไปทุก Platform แต่เขาจะเลือก Live ให้ Platform ใด Platform หนึ่ง เช่น โต่วอิน ไค้วโซ่ว JD (เริ่มมี live) etc.

ค่าตัว KOL ระดับสูง ๆ ‘แพงระยิบระยับ’ มีตั้งแต่ 7 หลัก ไปจนถึง 8 หลัก แต่หลัง ๆ มานี้ เจ้าของแบรนด์ประสบปัญหา จ้าง  KOL มาไลฟ์แล้วยอดไม่ขึ้น ไม่คุ้ม เลยเปลี่ยน model เป็น hybrid คือจ่ายเงินให้ส่วนหนึ่ง คิดค่า commission ให้ส่วนหนึ่ง 

การทำงานของ KOL ระดับนี้จะมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก จะมีทีมงานคอย Screen สินค้า ตัว KOL เองก็ต้องทดลองใช้จนมั่นใจ เขามองว่า ‘ความน่าเชื่อถือของเขา’ คือ ‘สินทรัพย์’ สำคัญ KOL เขาจะเก่งเป็นด้าน ๆ ไปไม่ mix เช่น คนไหนเก่งเรื่องทุเรียน จนมี FC หลายล้าน ก็จะไม่เอาเครื่องสำอางไปขายเด็ดขาด กว่าจะขึ้นมาเป็น KOL ระดับ ‘เจ้ายุทธจักร’ ได้ ต้องผ่านการฝึกฝน เคี่ยวกรำมาอย่างหนักหน่วง 

จีนน่าจะมี KOL หลายสิบล้านคน กว่าจะขึ้นมาได้จึงไม่ง่าย แต่ก็เป็นอาชีพที่คนจีนใฝ่ฝันมาก มีคนถามว่าใช้ AI มา Live แทนคนได้ไหม? ก็พอได้แต่มันไม่ ‘แซ่บ’ ยังไงผู้บริโภคก็ยังชอบดูคนมากกว่า
Platform จีนรู้จุดนี้ดี เมื่อเขาต้องการ ‘บุก’ ตลาดไทย และโดนปรามาสว่า

‘ทำ content ไม่โดนใจคนไทยหรอก ไม่ต้องกลัว คนจีนต้องเรียนภาษาไทยอีกนาน’

เขาเลยแก้เกมด้วยการ ‘ส่งเทียบเชิญ’ KOL ดัง ๆ ของไทยไปพบปะ และคัดเลือกสินค้าจากเจ้าของแบรนด์จีนซะเลย KOL จึงเป็นทางออกหนึ่งสำหรับผู้ที่ชอบงานสายนี้มาก ๆ แต่ประเทศไทยเราจะเป็นการฝึกเอง ลองเอง เป็นส่วนมาก ในขณะที่จีนเขาบรรจุเป็น ‘หลักสูตร’ ให้นักเรียนสายนี้เรียนโดยเฉพาะ

และจากที่ผมคุยกับคนจีน นี่คือ ‘โอกาสมหาศาล’ ของคนไทย รู้ไหมครับว่าคนจีน ‘ชอบ Content ไทย’
เพราะเขารู้สึกว่าประเทศเรา สนุกสนาน เถิดเทิง ดูแล้วหายเครียด ยิ่งถ้า KOL ไทยเราพูดจีนได้ เขายิ่งรักเลย ปัจจุบัน มี KOL จีนมาฝังตัวในไทยแล้วมา live ขายสินค้าไทยไปจีนปีนึงรายได้หลายร้อยล้าน แบบนี้มีจริง ๆ

สรุปคือ KOL ยังมีอนาคตสดใส แค่คุณต้องไปให้ถึงจุด ๆ นึงให้ได้เท่านั้น

******
หมายเหตุ : ตลาดธุรกิจ KOLในจีน อยู่ได้เฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ ที่มี KOL ตัว Top ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสังกัด หรือเซ็นสัญญา ตั้งแต่ปีที่แล้วและครึ่งปีนี้ กิจการบริษัทไลฟ์สดในจีนปิดตัวลงไปก็เยอะเกิน 60 % เพราะขาดทุนอยู่ไม่ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการไลฟ์แต่ละครั้งที่สูง มีค่าใช้จ่ายหลายอย่างมาก และ ยอดขายบางไลฟ์ก็ไม่ได้ตามเป้าเหมือนแต่ก่อน การแข่งขันที่สูง ราคาสินค้าที่ต้องทำโปรโมชั่นให้น่าสนใจ การส่งของต้องหลังจบไฟล์ภายใน 48 ชม.ต้องออกจากโกดัง /การรับประกันสินค้า/ความพึงพอใจของลูกค้า/สินค้าตีกลับ/และอื่น ๆ อีก

ค่าตัว KOL ก็หนึ่งตามความดัง สิ่งที่จะทำให้รอดหรือร่วงคือ บริษัทหรือผู้จ้างต้องแบ่งกำไรให้ KOL ต่อชิ้น (ย้ำว่าตอนนี้เป็นแบบแบ่งกำไรต่อชิ้น เช่น 5-20 บาท) ส่วนแบ่งเป็น GP% เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี หลังจ่ายกำไรค่าตัวแล้ว ถ้าของสินค้าตีกลับ แล้วต้องคืนเงิน เจ้าของคือแบกรับ / KOLไม่เกี่ยว รับเงินไปเต็ม ๆ สินค้าที่ขายจีนตอนนี้ ต้องสั่งผลิตจากโรงงานเท่านั้น เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด ผลิตทีหลักแสน และ หลักล้านชิ้น เพื่อให้คุ้มกับต้นทุน และตีแบรนด์เอง + คุณภาพสินค้าต้องดี (ราคาไม่แพง + คุณสภาพสินค้าต้องดี + ต้องส่งของเร็วรับ + รับประกันสินค้า) 4 Key นี้ ที่จะทำให้ขายดี และขายได้ยอด 

ส่วนสินค้าไทย ไม่สามารถขึ้นไลฟ์ได้ สำหรับ เครื่องสำอาง/อาหารเสริม/สกินแคร์ ถ้าไม่มี NMPA อย.จีน หมดสิทธิ์จ้าง KOl ไลฟ์ กฎหมายจีนเข้มงวด และ กฎระเบียบแพลตฟอร์มมีข้อบังคับ Douyin / Kuaishou / Pindoudou แพลตฟอร์มดังเหล่านี้ สินค้าไทยที่ขายดีจะมีแค่ ‘มิสทีน’ เท่านั้นนอกนั้นไม่เคยเห็น

ถ้าสินค้าของกิน ของทาน/ เครื่องดื่ม ขอ GACC เลย ของ่ายไม่ยากเท่ากับขอ อย.จีน ถ้ามี GACC แล้ว ขึ้นไลฟ์ได้ แต่ต้องมีของสต๊อกในโกดังที่จีนก่อนถึงจะไลฟ์ได้ 

ถ้าเป็นพวก ผลไม้สด ทุเรียน/มังคุด/มะม่วง พวกนี้ไลฟ์ขายได้เลย ไม่ต้องยุ่งยาก แต่ต้องมีของเข้าไปในจีนพร้อมส่ง ที่เห็นคนจีนมาไลฟ์มาที่ล้งทุเรียนไทย ส่วนมาก บินมากับทีมงาน มาเช่าหน้าล้ง เช่าสถานที่เฉย ๆ เพื่อให้ได้ Backgroud สร้างความน่าเชื่อถือ ฉากหลังที่มีทุเรียนเยอะ สร้างความน่าสนใจ น่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าคนจีน เชื่อมั่น ว่าทุเรียนไทยแท้แน่นอน 

สินค้าไทยที่จะตีตลาดจีนได้ /โดนใจคนจีนจริง/ ณ ตอนนี้ ต้องเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของไทยแท้ที่จีนเลียนแบบได้ยาก เช่น เครื่องปรุงรส/ ผงปรุงรส/ พริกแกง/ ขนมคบเคี้ยว/ ของทานเล่น/ ผลไม้แปรรูป ...ยังพอได้อยู่ 

อะไรที่หาวัตถุดิบในไทยได้ รสชาติอร่อยถูกปาก และในจีนไม่มี อันนี้ขายได้แน่นอน ตลาดของกินของไทย ยังมีช่องทางสร้างรายได้ ทำยอดขายในจีนได้ดีมาก คู่แข่งน้อยมาก ถ้าเทียบกลับสินค้าในกลุ่มอื่น ที่กล่าวมาข้างต้น ตอนนี้ KOLจีน ต้องการไลฟ์สดขายสินค้าประเภทนี้มาก กว่าสินค้าอื่น ๆ ของไทย นอกจากผลไม้สด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top