Sunday, 22 June 2025
NewsFeed

‘เทศบาลภูเก็ต’ สั่งลบแล้ว ‘ทางม้าลายสีรุ้ง’ แยกชาร์เตอร์ด หลังพลังโซเชียล ร้อง!! ฝนตกทำจักรยานยนต์ลื่นล้มหลายคัน

(11 ก.ค.67) กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล เมื่อรถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านทางม้าลายสีรุ้ง บริเวณแยกชาร์เตอร์ดภูเก็ต แลนด์มาร์กยอดฮิตเมืองภูเก็ต ที่เทศบาลนครภูเก็ตทำขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อต้อนรับ Pride Month และสร้างสีสันในการจัดงาน Discover Phuket Pride 2024 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2567 ที่ผ่านมา จนกลายเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจถ่ายภาพเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมีฝนตกลงมาทำให้รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มไปแล้วหลายคัน

จนกลายเป็นดรามาในโลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ประกอบกับการจัดงานได้จบไปแล้ว เทศบาลน่าที่จะลบทางม้าลายสีรุ้งดังกล่าวออกได้แล้ว เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ขับรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกลงมา หลังจากนั้นเทศบาลนครภูเก็ตได้ติดสติกเกอร์เพื่อลดปัญหาการลื่น แต่พลังโซเชียลเรียกร้องทางเทศบาลนครภูเก็ตให้ลบออก

จนล่าสุดเมื่อช่วงคืนวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักช่างเทศบาลนครภูเก็ต เข้าดำเนินการลบทางม้าลายสีรุ้งดังกล่าวออก คืนทางม้าลายสีขาวแดง สี่แยกธนาคารชาร์เตอร์ด โดยเริ่มจากฝั่งถนนพังงา ตรงสี่แยก 1 จุด ด้วยการนำรถแบ็กโฮมาขุดผิวจราจรที่ได้ทาสีรุ้งออก แล้วราดยางมะตอยไว้ครึ่งหนึ่งก่อน หลังจากนั้น จะดำเนินการอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการคืนทางม้าลายสีขาวแดง ให้เสร็จทั้งหมดภายใน 4 วัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการลบทางม้าลายสีรุ้งออกทั้งหมดนั้น การจราจรในบริเวณดังกล่าวอาจจะไม่สะดวกเท่าที่ควร และในช่วงนี้ภูเก็ตมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ขับรถจักรยานยนต์จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

3 รัฐในสหรัฐฯ ติดตั้งตู้ ‘ขายกระสุน’ ในร้านสะดวกซื้อ เงื่อนไขคนซื้อต้องโชว์บัตร ปชช.-สแกนใบหน้าด้วยระบบ AI

(11 ก.ค. 67) เรียกว่าเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Fossbytes’ ผู้ผลิตคอนเทนต์ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ที่มีคนติดตามกว่า 7.7 ล้านคน ได้โพสต์เครื่องกดอัตโนมัติใหม่ในสหรัฐ ที่ทำให้หลายคนอึ้ง

พร้อมระบุข้อความว่า 3 รัฐในสหรัฐ เปิดตัวตู้จำหน่ายกระสุนอัตโนมัติในร้านขายของสะดวกซื้อ เพื่อให้คนเข้าถึงกระสุนได้มากขึ้น

โดยตู้ดังกล่าว เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน เหมือนกับตู้เอทีเอ็ม ผู้ซื้อเพียงสัมผัสบนหน้าจอ สแกนบัตรประจำตัว และ นำกระสุนออกจากเครื่อง ทั้งนี้เครื่องดังกล่าว ได้ติดตั้ง AI เพื่อสแกนบัตร จดจำใบหน้า และ ตรวจสอบอายุ ตัวตน ของผู้ซื้อ

American Rounds ผู้ผลิต วางแผนที่จะขยายไปยังรัฐอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมในการล่าสัตว์ด้วย

โพสต์ดังกล่าว มีคนเข้าไปคอมเมนต์จำนวนมาก อาทิ

“สิ่งนี้จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของภาพยนตร์ซอมบี้ไปเลย”
“ฉันที่เคยตกใจกับร้านเหล้าแบบไดรฟ์ทรู ฉันไร้เดียงสามาก”
“พวกเขาอาจจะใส่ปืนพกเข้าไปด้วย นี่ดูเหมือนจะโง่เขลามาก”
“ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ประเทศนี้ถูกทำลายแล้ว”
“มนุษยชาติบ้าไปแล้ว”

‘คลัง’ ยัน!! หั่นงบ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เหลือ 4.5 แสนล้าน สอดคล้องข้อเท็จจริง ประเมินจาก 'เราเที่ยวด้วยกัน-ชิมช้อปใช้' พบคนใช้อยู่ราว 80% ไม่ถึง 100%

(11 ก.ค.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงการกำหนดวงเงินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตไว้ที่ 4.5 แสนล้านบาทนั้น สืบเนื่องมาจากในการประเมินโครงการเก่า ๆ ที่ภาครัฐได้ดำเนินการ อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ พบว่า ประชาชนไม่ได้มาลงทะเบียนใช้สิทธิเต็ม 100% โดยจะอยู่ที่ราว 80% เท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็ควรตั้งงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องข้อเท็จจริง จึงออกมาเป็นงบประมาณที่ 4.5 แสนล้านบาท อีกทั้งเนื่องจากมีข้อกังวลจากหน่วยงานตรวจสอบภาครัฐ ที่มองว่ารัฐบาลไม่ควรจะตั้งงบประมาณสูงเกินไป เพราะจะทำให้เป็นการเสียโอกาสของประเทศด้วย

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผลต่อเศรษฐกิจนั้น ยืนยันว่าตั้งแต่แรกรัฐบาลได้ใช้ตัวเลขคาดการณ์ผู้มาใช้สิทธิในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ 40 กว่าล้านคน เป็นตัวเลขเพื่อประเมินผลต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.3-1.8% แต่หากท้ายสุด มีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าที่ประเมินไว้ ก็เชื่อว่าจะมีผลดีกับเศรษฐกิจมากขึ้นด้วยเช่นกัน

“ตัวเลขกรอบคนที่จะเข้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ 80-90% เป็นตัวเลขที่อยู่ในฐานการประมาณการอยู่แล้ว เวลาเราประมาณการเศรษฐกิจ เราไม่ได้ประมาณการว่าจะเข้าโครงการทั้ง 50.7 ล้านคน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และถ้าใครประเมินเศรษฐกิจจากสิ่งนี้ ก็ต้องถือเป็นการประเมินจากสิ่งที่เว่อร์เกินกว่าความเป็นจริง เราประเมินจากสิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่เป็นกรอบการศึกษามาอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ สิ่งที่เปลี่ยน คือ เราก็ไม่ตั้งงบประมาณเกิน เพื่อไม่เป็นการเสียประโยชน์ของประเทศ แต่ถ้ามีคนมาลงทะเบียนเกิน กลไกงบประมาณก็สามารถรองรับได้” นายเผ่าภูมิ กล่าว

สำหรับประเด็นเรื่องผลกับเศรษฐกิจนั้น ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า อยู่ที่เงื่อนไขว่าจะต้องทำให้เงื่อนไขมีผลเชิงบวกกับเศรษฐกิจมากที่สุด อย่างที่เห็นก็ได้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งต้องยอมรับว่าทำให้ประชาชนใช้ยากขึ้น จุดนี้เป็นข้อเสีย แต่ข้อดี คือ เงินจะถูกหมุนในประเทศมากขึ้น เพราะสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้า Import Content สูง เงินไหลสู่นอกประเทศทันที ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานและการผลิตในประเทศ

ดังนั้นคณะอนุกรรมการกำกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงมีการเปลี่ยนเงื่อนไข เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ในวันที่ 15 ก.ค. นี้ พิจารณาตัดกลุ่มสินค้าเหล่านี้ออก เพื่อให้เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศสูงสุด

ส่วนเรื่องการใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อรองรับโครงการนั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า หากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ มีมติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอเรื่องการใช้งบประมาณปี 2567-2568 แทน ดังนั้น เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ธ.ก.ส. แต่อย่างใด

'นก ยลดา' ชี้!! ไทยยังไม่ใช่สวรรค์ของ LGBTQIA+ ผ่านมุมห้องน้ำหลากเพศด้าน 'ชาวเน็ต' ติง!! เพศที่ 3 ถูกมองตลก เพราะชอบเรียกร้องแบบเกินเบอร์

(11 ก.ค. 67) จากกรณี 'นก ยลดา' Miss Fabulous Thailand ซีซัน 3 ได้โพสต์ตั้งคำถามถึงความเท่าเทียมทางเพศผ่านเฟซบุ๊ก 'Nok Yollada' โดยมองว่าประเทศไทยยังไม่ใช่สวรรค์ของเหล่า LGBTQIA+ อย่างแท้จริง รวมไปถึงการรับรองเพศสภาพและการมีห้องน้ำสำหรับเพศอื่นๆ

โดยทาง นก ยลดา ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "เห็นหรือยังว่าเมืองไทย ’ไม่ใช่สวรรค์ของ LGBTIQNA+’ นี่พูดมาตลอด...รับรองเพศสภาพ? ห้องน้ำ all gender? ยังค้านกันยับ นี่ว่าสิ่งที่ควรที่สุดที่ต้องทำให้สำเร็จคือ แบบเรียนเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียน เรียนกันตั้งแต่อนุบาลเลยค่ะ!! #ให้ฆวายกลายเป็นคน" 

หลังจากที่โพสต์นี้ได้เผยแพร่ออกไปก็ได้มีหลากหลายคอมเมนต์ที่เข้ามาแสดงความเห็นโดยส่วนใหญ่ออกไปในทางไม่เห็นด้วย อาทิ...

- "เพศที่ 3 ถูกมองเป็นตัวตลกเรื่องเยอะเรื่องมาก เพราะมีกะเทยบางคนบางกลุ่มชอบออกมาเรียกร้องมาทำเรื่องปัญญาอ่อนไง บางอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไปเนอะ ตัวเองไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของโลกค่ะ" [ชาวเน็ต ตอบกลับ : จริงค่ะ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยปรับเปลี่ยน]

- "พี่ลองลดอีโก้ตัวเองดูครับ เรื่องห้องน้ำนี่มันไม่ไหวจริงๆนะถ้าเรามองในความเป็นจริง" [นก ยกลดา ตอบกลับ: ติดตรงไหนเรอคะ ถ้าเพื่อนเราอยากมีห้องน้ำของเขาเอง]

- "มันคือสิ่งที่เป็นไปได้ยากอะ เรียกร้องอะไรเยอะแยะ เจ้าของกิจการ เวลาทำธุรกิจต้องมาเพิ่มต้นทุนสร้างห้องน้ำเพิ่ม หน่วยงานรัฐ ก็ต้องมาสร้างห้องน้ำเพิ่มอะหรอ มันดูวุ่นวายมากกว่าด้วยซ้ำ แยกชายหญิง มันก็ชัดเจน แล้วนิ หรือพอเป็น LGBT แล้วไม่สามารถที่จะเข้าห้องน้ำได้ปกติ ต้องมีห้องน้ำพิเศษ เหมือนคนชรา และคนพิการ แบบนี้หรอ"

- "ไม่เข้าใจการทำงานของห้องน้ำนี้ค่ะ จะแก้ปัญหาเรื่องอะไรกันแน่ ความสบายใจ อาชญากรรม สุขอนามัย หรืออะไร ถ้าแค่อยากมีห้องน้ำของเพศตัวเองเพื่อความภูมิใจในชุมชนแอลจี ต้องซอยแยกกี่แบบ แยกตามสิ่งใด ใครเข้าได้และไม่ได้ในห้องนั้น หรือแค่อยากมีป้ายแปะว่า "ห้องน้ำ LGBT++" ซึ่งใครเข้าก็ได้ก็พอแล้ว อันนี้ถามนะคะ ไม่เคยฟังเสวนาหรืออะไรมาก่อน อยากช่วยให้มีในอนาคต"

- "เอาแต่ใจตัวเอง มีคืบจะเอาศอก"

"แอบไม่เห็นด้วยกับห้องน้ำรวมเลยค่ะ คิดว่าควรเรียกร้องไปทีละเรื่องก็ดีนะคะพี่นก เรียกร้องเรื่องรับรองเพศสภาพก่อน มันจำเป็นมากที่สุดแล้วจริงๆ ค่ะ"

- "การใช้ห้องน้ำนี่ละเอียดอ่อนนะคุณนก ขนาดคนอื่นมาบ้านยังไม่อยากให้ใช้ห้องน้ำส่วนตัวเลยเอาจริง ๆ บางคนสกปรกมาก แล้วถ้าใช้ได้หมดทุกเพศนี่แย่เลย ไม่ไหวจริง ๆ"

'เรเน่-ผู้ลี้ภัย' แฉผ่านสื่อ ปม 'ทนายไวท์-สส.ก้าวไกล' ขอให้ซื้อตั๋วเครื่องบินให้ เพื่อไปส่งหมายจับคดี 112 ด้านเจ้าตัวยังเงียบ ส่วนศูนย์ทนายสิทธิฯ ปัดเอี่ยว

(11 ก.ค.67) จากกรณีที่สำนักข่าว 'ประชาไท' ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ 'เรเน่' พุทธพงศ์ กลิ่นยี่โถ ผู้ลี้ภัยชาวไทย โดยได้มีการกล่าวถึง คุณากร มั่นนทีรัย หรือ 'ทนายไวท์' สส.ก้าวไกล นนทบุรี และอดีตทนายความอาสาของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เรียกค่าเดินทางจาก 'เรเน่' พุทธิพงศ์ กลิ่นยี่โถ ลูกความคดีมาตรา 112 อายุ 28 ปี เพื่อให้เขาเอาเอกสารทางคดีความไปให้เธอที่ต่างประเทศนั้น

ภายหลังจากที่บทความดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ด้านชาวเน็ตก็ตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นนี้อย่างหนาหู โดยเฉพาะกับทางเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง’ ก็ได้ตีเรื่องนี้ต่อผ่านเฟซบุ๊ก ว่า…

“#ทุกคนคะ อย่าให้เรื่องเงียบค่ะ”

“ประชาไทออกมาแฉว่า ทนายไวท์ สส.ก้าวไกล นนทบุรี เรียกขอตั๋วฟรีไปปารีสจากผู้ลี้ภัย”

“ด้าน ทนายไวท์เงียบกริบ มีแต่พี่เพชร รองโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาตอบไม่ตรงคำถาม”

“สังคมถามว่า สส.ก้าวไกล เรียกตั๋วฟรี จริงหรือไม่ ไม่ได้ถามเรื่องเอกสาร เหมือนถามเรื่องม้า ตอบเรื่องควาย ที่สำคัญ ทนายไวท์ ทำไมไม่ออกมาชี้แจงเองคะ”

ทั้งนี้ ในส่วนที่ ‘เพชร’ กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ได้ออกมาตอบคำถามถึงประเด็นดังกล่าวก่อนหน้านั้น ระบุว่า…

“เท่าที่คุยกับ ทนายไวท์ เป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ เพราะเอกสารทั้งหมดฝากไว้กับศูนย์ทนายสิทธิแล้ว และหลังจากคุณเรเน่ ไม่มาตามคำสั่งศาล ทนายไวส์ได้ติดต่อไปเพื่อขอถอนการเป็นทนายเพราะไม่สามารถตามคุณเรเน่มาให้ศาลได้ตามที่ศาลสั่ง และคุณเรเน่สามารถประสานงานตรงกับศูนย์ทนายสิทธิได้ ซึ่งเป็นผลดีกว่าติดต่อตรงกับทนายไวท์ครับ”

ขณะที่ล่าสุดฟาก 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ด้วย โดยระบุว่า…

กรณีเรเน่ พุทธพงศ์ กลิ่นยี่โถ ตามที่สำนักข่าวประชาไทได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ เรเน่ พุทธพงศ์ กลิ่นยี่โถ ชื่อ “ชีวิตที่ยังไร้สถานะของ ‘เรเน่’ หญิงข้ามเพศที่ต้องลี้ภัยแค่จากโพสต์ไวรัลของตัวเอง” เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 โดยมีประเด็นกล่าวถึงอดีตทนายความอาสาของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่ยอมส่งมอบเอกสารให้ลูกความ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอชี้แจงกรณีดังกล่าวต่อไปนี้...

1. ในช่วงปี 2563-2565 มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นจำนวนมาก เกิดการจับกุมผู้ชุมนุมและดำเนินคดีประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณคดีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และเพื่อพยายามให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายในช่วงเวลาดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เปิดรับสมัครทนายความอาสาเข้ามาร่วมงานในการให้ความช่วยเหลือทางคดีในชั้นจับกุม

2. ทนายความคุณากร มั่นนทีรัย (ทนายไวท์) เริ่มมาเป็นทนายความอาสาในช่วงดังกล่าว จากการมาช่วยรับทราบข้อหาในชั้นจับกุม เมื่อเห็นว่าทนายไวท์สามารถรับผิดชอบคดีได้ ศูนย์ทนายความฯ จึงมอบหมายคดีเรเน่ให้ทนายไวท์เป็นผู้รับผิดชอบคดี โดยศูนย์ทนายความฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและติดตามผลทางคดีเป็นระยะ ๆ

3. ต่อมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 ศูนย์ทนายความฯ ได้รับทราบว่ามีปัญหาการขอเอกสารของผู้ลี้ภัยทางโซเชียลมีเดียของนักกิจกรรมท่านหนึ่ง ซึ่งทราบต่อมาว่าเป็นกรณีเรเน่ ศูนย์ทนายความฯ จึงติดต่อทนายไวท์ขอคำชี้แจง และให้ทนายไวท์ดำเนินการส่งมอบเอกสารสำนวนคดีของเรเน่คืนมายังศูนย์ทนายความฯ และทางศูนย์ทนายความฯ ได้จัดส่งเอกสารให้เรเน่ผ่านช่องทางออนไลน์โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย

4. พร้อมกันนี้ ศูนย์ทนายฯ ตรวจสอบด้วยว่าในคดีอื่น ๆ พบพฤติการณ์ดังกล่าวอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตามศูนย์ทนายความฯ ไม่ได้มอบหมายคดีอื่นๆ ให้กับทนายไวท์อีกต่อไป และเรียกคืนสำนวนคดีทั้งหมดจากทนายไวท์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566  เป็นต้นมา

5. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ขออภัยต่อคุณเรเน่ พุทธิพงศ์ ที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอยืนยันว่า ศูนย์ทนายความฯ ให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายกับประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การส่งเอกสารในคดีต่าง ๆ เป็นสิทธิของลูกความ ศูนย์ทนายความฯ ไม่มีนโยบายในการเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ จากลูกความทั้งสิ้น

6. หากพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมของทนายความอาสา ทนายความประจำ เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความ หรือ ผู้ช่วยทนายความ สามารถร้องเรียนได้โดยตรงที่เบอร์โทร 092-2713172 หรือ 096-7893173 หรือทางเพจศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ทนายไวท์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยังไม่มีการออกมาชี้แจงถึงประเด็นที่เกิดขึ้น

***ต้นตอประเด็น: ชีวิตที่ยังไร้สถานะของ ‘เรเน่’ หญิงข้ามเพศที่ต้องลี้ภัยแค่จากโพสต์ไวรัลของตัวเอง >> https://prachatai.com/journal/2024/07/109864

'Interlink Communication Company Visit' ครั้งที่ 2/2567 ต้อนรับนักลงทุน เผยผลความสำเร็จ เปิดแผนทิศทางโชว์ศักยภาพธุรกิจ 'ที่เติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน'

เปิดบ้านใหญ่ ILINK บริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยี และมีความเชี่ยวชาญอันโดดเด่นด้านสายสัญญาณ พร้อมกับอุปกรณ์ส่งสัญญาณอันดับต้น ๆ ของประเทศ จากความตั้งมั่นของ CEO ที่ต้องการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย จึงมีความตั้งใจเผยแผนกลยุทธ์ของทิศทางการเติบโตกว่า 38 ปี ทั้ง 3 ธุรกิจ ให้เห็นภาพชัดอย่างเป็นที่ประจักษ์ ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ 'เติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน' ซึ่งสามารถขับเคลื่อนดำเนินธุรกิจให้บรรลุเป้าหมาย และก้าวหน้าได้อย่างมีคุณภาพมาจนถึงทุกวันนี้

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK นำโดย คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ต้อนรับเหล่านักลงทุน และผู้ที่สนใจ ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมบริษัทฯ เผยผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา และทิศทางในขับเคลื่อนของทั้ง 3 ธุรกิจ รวมทั้งชูกลยุทธ์จากความชำนาญของบริษัทฯ ที่ได้นำมาปรับใช้ให้ประสบผลสำเร็จ ในงาน “Interlink Communication Company Visit” ครั้งที่ 2/2567 ณ สำนักงานใหญ่ อาคารอินเตอร์ลิ้งค์ฯ เพื่อส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และทั่วถึง ตามหลักการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักลงทุนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจกว่า 38 ปี ของทั้ง 3 ธุรกิจ และ 1 มูลนิธิ อันได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business), ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business), ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center Business) และมูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ (Interlink Hai Jai Foundation) ได้วางแนวทางไว้อย่างเด่นชัด และยังคงตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นหนึ่งในรากฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และทั่วถึง ซึ่งจากผลการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เติบโต ตามเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องที่มาเหนือความคาดหมายจนถึงปัจจุบันนั้น ด้วยการเติบโตที่ โตเร็ว โตแรง โตทุกธุรกิจ ปัจจุบันก็ยังคงมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก ด้วยความเชื่อที่ว่า เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และนับเป็นปัจจัยที่สำคัญของแผนการผลักดันธุรกิจที่บริษัทฯ ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งในโลกปัจจุบัน และอนาคต  

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ (11 - 12 ก.ค. 67) นับเป็นการเปิดเผยหลักการ เจาะลึกถึงกลยุทธ์ และวางแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อตอกย้ำให้เห็นภาพชัดของผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ซึ่งวางเป้าหมายหลัก ๆ ของปี 2567 และในปีถัดไป ล่วงหน้าในปี 2568, 2569, และ 2570 ของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ โดยนำมาเล่าให้ฟังถึงแนวทางการเติบโต และการปรับตัวในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้เข้าใจรายละเอียด ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพได้อย่างมีคุณภาพที่ครอบคลุมทุกรอบด้าน ทุกมิติขององค์กร อีกทั้ง ยังเป็นการสร้างโอกาสอันดีร่วมกัน เพื่อจูงใจให้ทุกท่านเข้าร่วมลงทุน เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนสืบต่อไป นอกจากนี้ ทุกท่านยังได้มีโอกาสร่วมซักถาม และตอบคำถาม โดยมี คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการฯ ที่จะมาให้ข้อมูลอย่างกระจ่างชัด และโปร่งใส รวมถึงเปิดให้ได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น และสร้างสัมพันธ์อันดีให้แก่นักลงทุนร่วมกัน

โดย คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “จากความตั้งมั่นของผม ด้วยการปรับกลยุทธ์ของทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะต้องสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และต้องลดค่าใช้จ่ายที่เป็นการสูญเสีย เพื่อหนุนให้ทุกธุรกิจดำเนินงาน และขับเคลื่อนไปตามแบบแผน ขานรับกำไร ทำรายได้อย่างเติบโตแบบมีคุณภาพต่อไปในทุก ๆ ไตรมาส ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้ก้าวกระโดดทำกำไรเหนือความคาดหมายสูงเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ที่ทุกท่านสามารถเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอนว่า บริษัทฯ ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสินค้า และอุปกรณ์ รวมทั้งโปรดักส์ต่าง ๆ ที่เราได้รังสรรค์ คิดค้น พัฒนานวัตกรรมใหม่ให้ตอบโจทย์แก่ยุคสมัย และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังคงเป็นปัจจัยหลักสำคัญแห่งการสื่อสารถึงกันอยู่เสมอ ตลอดจนยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศร่วมกันทั้ง 3 ธุรกิจ เพื่อกระตุ้นการทำยอดขายที่เพิ่มขึ้น ร่วมกับสร้างกำไรแบบมีคุณภาพ นับว่าเป็นภาพสะท้อนความสำเร็จที่เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ที่ทุกท่านสามารถมั่นใจได้ว่า ในปีนี้ และในอนาคตข้างหน้า จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เติบโต ขยายกว้าง และมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน อีกทั้ง จะสามารถเติบโตได้ตามที่ตั้งเป้าหมายความสำเร็จไว้ โดยใช้ความสามารถจากการเป็นผู้นำอันดับต้น ๆ ในธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ และความชำนาญในแต่ละธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโต ต่อเนื่อง อย่างยั่งยืนแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ ดั่งวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ เรา” 

   

 

🔎ส่อง 5 อันดับ ‘มหาวิทยาลัยไทย’ เรียนจบไป ไม่ต้องกลัวตกงาน

‘QS World University Rankings’ เผย 5 อันดับมหาวิทยาลัยที่ได้คะแนนความยอมรับจากผู้จ้าง ที่มากที่สุดในประเทศไทย

โดยประเมินจาก...

- คุณภาพการสอน (Academic Reputation) ดูจากการประเมินของนักวิชาการทั่วโลกว่ามหาวิทยาลัยนั้นๆ มีชื่อเสียงในด้านการสอนมากน้อยแค่ไหน

- งานวิจัย (Employer Reputation) ประเมินจากนายจ้างว่า นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยนั้นมีคุณภาพและมีความพร้อมในการทำงานเพียงใด

- อัตราการจ้างงาน (Faculty/Student Ratio) เปรียบเทียบจำนวนอาจารย์กับจำนวนนักศึกษา เพื่อดูว่ามหาวิทยาลัยมีการให้ความสำคัญกับนักศึกษาอย่างไร

- จำนวนการอ้างอิงงานวิจัย (Citations per Faculty) วัดจากจำนวนการอ้างอิงงานวิจัยของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย เพื่อดูความมีอิทธิพลทางวิชาการ 

- จำนวนนักศึกษาต่างชาติ (International Faculty and Students) ดูจำนวนอาจารย์และนักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัย เพื่อดูความเป็นนานาชาติและการเปิดรับจากทั่วโลก

‘7 มหาวิทยาลัยจีน’ ติดโผ TOP 10 โลกด้านงานวิจัย แซงหน้า ‘สหรัฐฯ’ ไกล เหลือแค่ 'ฮาร์วาร์ด' ยังยืนท็อป

(11 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“วงการวิจัยและพัฒนาสหรัฐ เพิ่งตื่นตัวว่าการศึกษาจีน ด้านวิจัยและพัฒนาได้แซงหน้าสหรัฐไปแล้ว

การศึกษาแนว STEM หรือการศึกษาแนวบูรณาการ วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (ที่มาของชื่อย่อ Science Technology Engineering & Mathematics) ขณะนี้สหรัฐเหลือเพียง ‘มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด’ ที่ยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกด้านงานวิจัย เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นมหาวิทยาลัยของจีนถึง 7 แห่ง

ที่สำคัญงานวิจัยอเมริกัน ราว 40% ก็เป็นผลงานนักศึกษาจีนสัญชาติสหรัฐ (คล้าย ๆ ทีมแชมป์โอลิมปิกคณิตศาสตร์สหรัฐ ล้วนเป็นคนจีนที่ถือสัญชาติสหรัฐทั้งนั้น)

ทางการจีนจ้างนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้าน STEM เมื่อเดือนที่แล้วเกือบ 4.7 ล้านคน (เรียกได้ว่าจบมามีงานรออยู่) และด้านการศึกษา จีนลงทุนงานวิจัยพัฒนาในระดับอุดมศึกษา เป็นอัตราส่วนเมื่อเทียบกับสหรัฐ เกือบ 4:1 (1 ล้านล้านเหรียญ : 3 แสนล้านเหรียญ)”

‘ไทยคม’ ประกาศความสำเร็จแพลตฟอร์ม 'CarbonWatch' ได้รับการรับรองเป็น 'เครื่องมือวัดคาร์บอนเครดิต' รายแรกในไทย

(11 ก.ค. 67) บริษัท บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม 'CarbonWatch' ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ภายใต้โครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนด้วยเทคโนโลยี AI และการสำรวจระยะไกล เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมทั้งเตรียมให้บริการคาร์บอนเครดิตและขยายความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กล่าวว่า อบก.ได้พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต ภายใต้ชื่อ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน ไทยคมได้รับการรับรองเครื่องมือประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าไม้ด้วยเทคโนโลยี AI และการสำรวจระยะไกลจาก อบก. ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่สามารถใช้ประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือและกลาง เครื่องมือนี้เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการปลูกฟื้นฟูป่าจากภาคธุรกิจเอกชน สร้างแรงจูงใจในการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซ มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 โครงการนี้ยังเป็นแรงจูงใจให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมอย่างมีผลบังคับใช้และยั่งยืน

นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า ไทยคมยินดีที่แพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าไม้ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมและ AI ได้รับการรับรองจาก อบก. เป็นรายแรกของประเทศไทย ตอกย้ำความสำเร็จในการนำความเชี่ยวชาญด้านดาวเทียมมาสู่ธุรกิจเทคโนโลยีอวกาศ ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจโลก ร่วมกับเทคโนโลยี AI และ ML เพื่อประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และตรวจสอบได้ แพลตฟอร์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริการ Earth Insights ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) ได้รับรางวัล Sustainability Award 2023 และระดับ AAA จาก SET ESG Rating แพลตฟอร์มนี้จะถูกนำไปใช้ในพื้นที่ป่าชุมชนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และเดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศชาติสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

"ไทยคม ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากผู้นำด้านดาวเทียมสู่ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศ เน้นความสำคัญของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับโลก โดยใช้เทคโนโลยีสเปซเทคตอบสนองความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการคาร์บอน ไทยคมได้ร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง นำความรู้เรื่องดาวเทียมมาสร้างแพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งได้รับการรับรองจาก อบก. ช่วยให้การประเมินการกักเก็บคาร์บอนเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ คุ้มค่า และเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในราคาเริ่มต้นที่ 100-300 บาทต่อไร่ นอกจากนี้ ยังสามารถขยายความสามารถนี้ไปยังต่างประเทศได้ การใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำเท่านั้น แต่ยังเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบได้ สนับสนุนการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยอย่างยั่งยืน" นายปฐมภพ กล่าว

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เริ่มโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าชุมชน 290,000 ไร่ตั้งแต่ปี 2563 และมีแผนขยายไปทั่วประเทศ การประเมินการกักเก็บคาร์บอนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายโครงการนี้ เพื่อสนับสนุนชุมชนต่างๆ มูลนิธิฯ ได้ผนวกความเชี่ยวชาญในภาคสนามกับเทคโนโลยีของไทยคม สร้างเครื่องมือที่ได้รับการรับรองซึ่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำ มีความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือนี้จะช่วยประเมินการกักเก็บคาร์บอนได้มีประสิทธิภาพและเร่งพัฒนาโมเดลการประเมินมวลชีวภาพในพื้นที่ป่าอื่น ๆ ด้วย ร่วมกันรับมือกับภาวะโลกร้อนและส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้รุ่นหลัง

"โครงการคาร์บอนเครดิตเริ่มต้นจากประสบการณ์การจัดการป่านานกว่า 30 ปี ซึ่งได้พัฒนากระบวนการปลูกและดูแลป่าอย่างยั่งยืน เทคโนโลยีดาวเทียมและ AI ที่นำมาใช้ได้ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการประเมินคาร์บอนให้ถึง 90% ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทั้งยังสร้างรายได้และความยั่งยืนให้ชุมชนท้องถิ่น โดยการใช้เทคโนโลยีนี้ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ และเปิดโอกาสให้ไทยเป็นผู้นำในการจัดการคาร์บอนในอาเซียน การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการดูแลป่าเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิภาค และเป็นโมเดลที่สามารถขยายผลไปยังประเทศอื่นในอนาคตได้" ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ รับลูก!! ‘นายกฯ’ เดินหน้ายกระดับไทยสู่ ‘ศูนย์กลางฮาลาล’ ล็อกเป้าระยะแรก ‘อาหาร-ยา-แฟชั่น-เครื่องสำอาง-โกโก้-ท่องเที่ยว’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) เป็นประธานการประชุม กอฮช. ครั้งที่ 1/2567 โดยมีนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาลเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง  

นายเศรษฐา ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ตนได้ลงนามในคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 โดยได้มอบหมายให้ ดร.นลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย รับผิดชอบภารกิจที่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล และ รมว.อุตสาหกรรม เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเลขานุการ พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานที่มีบทบาทสําคัญในแวดวงฮาลาลไทย อีก 21 เพื่อทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาสินค้าฮาลาล โดยเชื่อมโยงเอกลักษณ์ Soft Power ของไทย รวมถึงบูรณาการแนวทาง มาตรการ แผนงานด้านการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศ ให้เกิดการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นําด้านการผลิตและการส่งออกสินค้าฮาลาลในภูมิภาค

“ผมอยากเห็นการจัดตั้งหน่วยงานที่มีบทบาทภารกิจในการเป็นหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศอย่างครบวงจร โดยมีภารกิจขับเคลื่อนนโยบายและแผนการพัฒนา อุตสาหกรรมฮาลาลไทยให้บรรลุตามเป้าหมาย ติดตามและประเมินผลการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ขยายตลาดและส่งเสริมการค้าสินค้าและบริการฮาลาลระหว่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสินค้าฮาลาล พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจสินค้าและบริการฮาลาล รวมถึงอยากเห็นศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทยที่ได้ทราบว่ามีการจัดตั้งแล้ว มีโครงสร้างการบริหาร กําลังคน รวมถึง งบประมาณที่ชัดเจน ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม” นายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ประเด็นสําคัญที่อยากฝากทุกท่านให้ความสําคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ โดยผลักดันการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยจะสนับสนุนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงาน การสร้างอาชีพ การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการบริการในพื้นที่ภาคใต้ และผลักดันให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อมุ่งสู่การสร้างความผาสุก ความกินดีอยู่ดีรวมถึงการพัฒนาที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งนี้ สินค้าปศุสัตว์ จะเป็นกลุ่มที่จะได้รับความสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนา

ด้านนางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมฮาลาล เป็นหนี่งอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพ และมีมาตรฐานในการผลิต สามารถกระจายรายได้ กระจายโอกาส สร้างเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย สร้างความั่นคงให้แก่ประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามแนวทางที่ กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ในการเร่งผลักดันให้เกิดศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ 

ขั้นตอนต่อไปจะนำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เสนอต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อให้ความเห็นชอบ โดยแผนปฏิบัติการฯ ได้กำหนดผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลเป้าหมาย (ระยะแรก) ไว้ 5 กลุ่ม ได้แก่

1. อาหารฮาลาล เช่น เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป อาหารทะเล อาหารพร้อมรับประทาน อาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ และอาหารมุสลิมรุ่นใหม่ 
2. แฟชั่นฮาลาล ประกอบด้วย สิ่งทอ อัญมณี เครื่องหนัง 
3. ยา สมุนไพร เครื่องสำอางฮาลาล 
4. โกโก้และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง 
5. บริการและการท่องเที่ยวฮาลาล

ทั้งนี้ ภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ปี 2567-2570 ได้วางกรอบใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,230 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 มาตรการ คือ 

1.การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตฮาลาลไทย 
2. การพัฒนาการผลิตได้มาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลไทย 
3. การยกระดับปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมฮาลาลไทย 

โดยมีโครงการที่เป็น Quick Win (พ.ศ. 2567 - 2568) ใช้งบประมาณ 95 ล้านบาท ในการดำเนินงาน ได้แก่ สร้างการรับรู้ศักยภาพสินค้าและบริการอาหารฮาลาลไทย การขยายตลาดสินค้าและบริการอาหารฮาลาลไทยในประเทศและต่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย และการจัดทำระบบ Halal IU ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลรายงานเชิงลึกและวิเคราะห์ตลาด เป็นต้น 

"มูลค่าของตลาดการค้าอาหารฮาลาลโลกในปี 2567 อยู่ที่ 2.60 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5.28 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้น 12.5% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรมุสลิมโลกและการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศมุสลิม นับเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยต้องเข้าไปมีส่วนร่วม และเป็นการปักหมุดประเทศไทย ให้โลกได้รู้ว่าเรามีศักยภาพในการผลิตสินค้าฮาลาล" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top