Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

‘ปาเลสไตน์’ ประณาม ‘อิสราเอล’ หลังถล่มค่ายผู้ลี้ภัยในกาซา สังหารพลเรือนบริสุทธิ์ 274 ราย เพื่อช่วยเหลือ 4 ตัวประกัน

กองทัพอิสราเอลถล่มค่ายผู้ลี้ภัยใหญ่ตอนกลางกาซา ระบุช่วยตัวประกันออกมาได้ 4 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์ระบุในวันอาทิตย์ (9 มิ.ย.67) การโจมตีดังกล่าวทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 274 คน และบาดเจ็บอีกเกือบ 700 ซึ่งถือเป็นการโจมตีนองเลือดที่สุดอีกครั้งในสงครามที่ยืดเยื้อมาถึง 8 เดือน

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.67) การปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (8 มิ.ย.67) ในค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต ตอนกลางของกาซา โดยพลเรือตรีแดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอลอ้างว่า กองทหารรัฐยิวได้เข้าโจมตีกลางย่านที่พักอาศัยซึ่งกลุ่มฮามาสใช้เป็นที่กักขังตัวประกันไว้ในอพาร์ตเมนต์สองหลัง แต่ถูกระดมยิงอย่างหนักจึงตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศและจากภาคพื้นดิน ก่อนสำทับว่า กองทัพรับรู้ว่า มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ถึง 100 คน แต่ไม่รู้ว่าในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ก่อการร้ายกี่คน

ด้าน อิสราเอล ยังบอกว่า ตัวประกันที่ช่วยออกมาได้ทั้ง 4 คน ได้แก่ โนอา อาร์กามานี วัย 26 ปี, อัลม็อก เมร์ แจน วัย 22 ปี, แอนเดรย์ คอสลอฟ วัย 27 ปี และชโลมี ซิฟ วัย 41 ปี มีสุขภาพดีและถูกนำตัวไปโรงพยาบาล โดยทั้งหมดนี้ถูกจับจากเทศกาลดนตรีโนวาระหว่างที่นักรบฮามาสบุกเข้าโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1,200 คน อีก 250 คนถูกจับเป็นตัวประกัน และจุดชนวนสงครามในกาซาที่ยืดเยื้อมาจนถึงขณะนี้

ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเพื่อตอบโต้และกำจัดฮามาสทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 36,801 คนแล้ว

ทางด้านอาบู อูไบดา โฆษกของกองกำลังอาวุธอัล-กัสซัม ซึ่งเป็นกองกำลังของฮามาส อ้างว่า ตัวประกันบางคนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการของอิสราเอล

ทว่า ปีเตอร์ เลอร์เนอร์ โฆษกกองทัพอิสราเอลอีกคน ตอบโต้ว่า ฮามาสโกหก

เมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ว่า หน่วยข่าวกรองของอเมริกาให้การสนับสนุนปฏิบัติการช่วยตัวประกันครั้งนี้ เลอร์เนอร์แบ่งรับแบ่งสู้ว่า อิสราเอลและอเมริกามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในด้านปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรอง

ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของอเมริกาที่อยู่ระหว่างการเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ แสดงความยินดีกับการช่วยเหลือตัวประกันในกาซา และย้ำว่า วอชิงตันจะไม่ยุติความพยายามจนกว่าตัวประกันทั้งหมดจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย และทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

ทว่า บรรยากาศในกาซากลับตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์และหน่วยแพทย์ท้องถิ่นเผยว่า การโจมตีของอิสราเอลในค่ายนูเซรัตทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ทั้งนี้ ในวันอาทิตย์ (9 มิ.ย.) กระทรวงสาธารณสุขของกาซา ซึ่งอยู่ในความควบคุมของกลุ่มฮามาส แถลงว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 274 คนจากการบุกโจมตีล่าสุดของอิสราเอลนี้ เป็นเด็ก 64 คน และผู้หญิง 57 คน ขณะที่ในหมู่ผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ ๆ 700 คน ที่เป็นเด็กมี 153 คน และผู้หญิง 161 คน

เจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในนูเซรัตระบุว่า เป็นการสังหารหมู่อย่างแท้จริง โดยโดรนและเครื่องบินรบอิสราเอลซุ่มโจมตีบ้านประชาชนและคนที่พยายามหนีออกจากบริเวณดังกล่าวตลอดทั้งคืน

เขายังบอกอีกว่า การโจมตีทางอากาศพุ่งเป้าที่ตลาดท้องถิ่นและมัสยิดอัล-ออดา และสำทับว่า อิสราเอลสังหารพลเรือนบริสุทธิ์นับสิบเพื่อช่วยตัวประกัน 4 คน

ค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต ที่ตั้งอยู่นอกเมืองเดอีร์ อัล-บาลาห์ ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศอย่างหนักของอิสราเอลระหว่างสงคราม นอกจากนี้กองทหารอิสราเอลยังยกกำลังบุกภาคพื้นดินเข้าโจมตีทางด้านตะวันออกของค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้น หน่วยแพทย์ปาเลสไตน์เผยว่า อิสราเอลยังโจมตีทางอากาศใส่ค่ายผู้ลี้ภัยอัล-บูเรจ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางกาซาเช่นกันเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 5 คน

ขณะเดียวกัน แม้ข่าวการช่วยตัวประกันล่าสุดสร้างความยินดีให้กับชาวอิสราเอล แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวประกันที่เหลืออยู่ ทำให้ผู้คนนับพันไปชุมนุมกันที่กรุงเทลอาวีฟเพื่อเรียกร้องให้ยุติสงครามในกาซา เนื่องจากเชื่อว่า ปฏิบัติการทางทหารไม่สามารถช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดออกมาได้

นอกจากนั้นยังมีการชุมนุมในลอนดอนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ยุติสงครามในกาซา

วันเดียวกันนั้น ที่สหรัฐฯ ผู้ประท้วงต่อต้านสงครามกาซานับพันชุมนุมใกล้ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน โดยส่วนใหญ่สวมเสื้อสีแดง ชูธงปาเลสไตน์และป้ายที่มีข้อความว่า “เส้นแดงของไบเดนคือคำโกหก” และ “การทิ้งระเบิดใส่เด็กไม่ใช่การป้องกันตัว”

ทั้งนี้ ไบเดนกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากทำเนียบขาวเคยแถลงเมื่อเดือนที่แล้วว่า การโจมตีของอิสราเอลในเมืองราฟาห์ ยังไม่ได้ข้าม ‘เส้นแดง’ ที่ไบเดนระบุไว้เมื่อสองเดือนก่อนหน้านั้นตอนที่ถูกผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะบุกเมืองดังกล่าว โดยที่เขาบอกว่าหากมีการข้ามเส้นแดง สหรัฐฯก็จะพิจารณางดส่งอาวุธให้อิสราเอล

เปิดบันทึก ‘มีชัย ฤชุพันธุ์’ ต้นคิดที่มา ‘สว.’ มุ่งหวังให้ ‘ภาค ปชช.’ มีส่วนร่วมทางการเมือง

การเลือกตั้ง สว. ที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า พร้อมด้วยกติกาใหม่ที่หลายคนงง และออกมาวิพากษ์วิจารณ์คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างรุนแรง แต่จะรู้หรือไม่ว่ากติกาที่ว่ามาจากไหน และใครเป็นผู้เสนอ ถ้าไม่ใช่ มีชัย ฤชุพันธ์ุ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)

มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เขียนบทความชื่อว่า ‘บันทึกไว้กันลืม’ ในหนังสือ ‘ความในใจของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560’ โดยกล่าวถึงที่มาที่ไปของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยมีการกล่าวถึงเรื่อง ‘ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา’ และเชื่อว่าเป็นแนวคิด ‘ฮ้อแร่ด’ หมายถึง ที่สมบูรณ์และยอดเยี่ยม อีกทั้งยังยอมรับว่าคนวิพากษ์วิจารณ์เพราะสร้างความเข้าใจไม่มากพอ

รายละเอียดถึงที่มาที่ไปของสมาชิกวุฒิสภา มีดังนี้

เรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องหนึ่งนั้น เราไม่ได้คิดอย่างหลักลอย หากแต่มีที่มาจากกรอบของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมาตรา 35 ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง เราก็เคยคิดว่าทำไมเราไม่แปลงวุฒิสภาให้เป็นองค์กรที่สร้างความมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างนัยสำคัญ

แต่เดิมมานั้น การมีวุฒิสภา มักจะเกิดจากแนวคิดว่าสภาผู้แทนยังไม่พร้อม ควรมีสภาพี่เลี้ยงเพื่อประคับประคองกันไป ต่อมาก็ว่าเป็นสภากลั่นกรองเพื่อให้เกิดความสมดุล ที่มาของสมาชิกวุฒิสภาในตอนต้นจึงมาจากการแต่งตั้ง เพื่อให้ได้คนที่มีคุณวุฒิสูง มีประสบการณ์มาก ๆ ต่อมาก็ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากแต่ละจังหวัด โดยให้ตัดจากพรรคการเมือง จะได้เป็นอิสระในการกลั่นกรองกฎหมายโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมือง แต่มาถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนมีความรู้ มีปริญญาสูง ๆ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากขึ้น คนที่มิได้มีปริญญาสูง ๆ ก็มีประบการณ์ที่สะสมมามากเพียงพอที่จะไม่ต้องการพี่เลี้ยงอีก

ในขณะเดียวกันในการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยให้ปลอดจากการเมือง ก็เห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะลำพังผู้สมัครเพื่อรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาถ้าไม่ไปศิโรราบกับพรรคการเมือง หรือนักการเมืองในพื้นที่ ย่อมยากที่จะได้รับเลือกตั้ง ความมุ่งหมายที่จะให้สมาชิกวุฒิสภาไม่อยู่ภายใต้พรรคการเมืองจึงเป็นไปได้ยาก

เราจึงคิดว่า ทำไมเราไม่เปลี่ยนวุฒิสภาให้เป็นสภาที่จะรับรู้ความตองการหรือความเดือดร้อน หรือส่วนได้เสียของคนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองอย่างแท้จริงและความต้องการของเขาได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง

นั่นจึงเป็นที่มาของวุฒิสภาที่จะมาจากประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกอาชีพ ทุกลักษณะ

อันที่จริง วุฒิสภาที่เราคิดสร้างขึ้นนั้น ก็คล้ายกับสภาสูงของอังกฤษ เพียงแต่สภาสูงของอังกฤษ เป็นการรักษาประโยชน์ของชนชั้นสูง ส่วนวุฒิสภาที่เราสร้างขึ้น เป็นการรักษาประโยชน์ของคนทุกระดับชั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้า และแนวคิดอย่าง 360 องศา ไม่น่าเชื่อว่าพอเสนอแนวคิดนี้ขึ้น กรธ.ทั้งคณะร้องฮ้อแร่ด ขึ้นพร้อมกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการจะทำให้คนอื่นเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการมีวุฒิสภาที่เปลี่ยนแปลงไป กับขบวนการในการจัดการเลือกที่จะไม่ให้เกิดการฮั้วกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

ในเรื่องแรก เราออกจะประมาทอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ได้ชี้แจงซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เห็นถึงแนวคิดของการมีวุฒิสภาที่เปลี่ยนแปลงไปว่าเราไม่ได้มุ่งหมายให้มีผู้ทรงคุณวุฒิมาคอยกลั่นแกล้งงานของสภาผู้แทนราษฎร หรือเป็นพี่เลี้ยงของสภาผู้แทนราษฎรอีกแล้ว เพราะสภาผู้แทนราษฎรมีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจของตนได้โดยสมบูรณ์แล้ว (เว้นแต่เป็นกรณีที่จงใจจะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง) สิ่งที่ยังขาดอยู่ก็คือ สภาผู้แทนราษฎรยังปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นนโยบายที่มาจากพรรคการเมือง ที่อ้าง ๆ กันว่าเรามาจากประชาชน เราเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยนั้น เอาเข้าจริงบางทีก็มองข้ามความทุกข์ยากของประชาชน ทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะหลายกรณีมุ่งแต่จะให้พรรคเป็นที่นิยม โดยไม่ได้นึกถึงอันตรายในระยะยาว หรือ ความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมหรือประเทศชาติได้ ดังที่เห็น ๆ กันอยู่แต่นั่นก็เป็นระบบที่เรียกว่าประชาธิปไตย เราจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แนวคิดในเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา จึงมุ่งที่จะทำให้ จึงมุ่งที่การทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมทางการเมือง ในขณะเดียวกันให้ทุกภาคส่วนสามารถบอกเล่าความคับแค้น อุปสรรค และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขในส่วนของเขาได้อย่างมีนัยสำคัญผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจึงมิใช่ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้มีประสบการณ์ล้นฟ้าอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ที่มาจากคนทุกหมู่เหล่าที่ประกอบอาชีพหรือมีคุณลักษณะเฉพาะ เพื่อจะได้สะท้อนถึงความต้องการของเขาอย่างแท้จริง

เราออกจะหย่อนในการทำความเข้าใจในเรื่องนี้ไปหน่อยเพราะเมื่อในเวลาที่เราทำกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา แม้แต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติยังไม่เข้าใจ ยังกังวลว่าด้วยวิธีการเลือกอย่างที่กำหนดไว้ จะทำให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิได้อย่างไร

เราแบ่งกลุ่มออกเป็น 20 กลุ่ม เพื่อให้สามารถกระจายกันไปแต่ละกลุ่มจะมีหลักประกันว่าจะมีตัวแทนของคนอยู่ในวุฒิสภา มีคนตั้งข้อสงสัยว่าการกำหนดไว้ 20 กลุ่ม ไม่มีเหตุผลอะไร ทำไม่จึงไม่เป็น 25 กลุ่ม 30 กลุ่ม หรือ 40 กลุ่ม แล้วเลยเสนอให้ลดลงเหลือ 10 กลุ่ม ซึ่งว่าที่จริง การลดลงเหลือ 10 กลุ่มก็ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาอย่างเดียวกันว่าทำไมถึง 10 กลุ่ม

การที่ กรธ. กำหนดไว้ 20 กลุ่ม ไม่ได้เกิดจากการเสี่ยงทาย หรือหยิบขึ้นมาเฉย ๆ หากแต่เกิดจากการพยายามคิดอาชีพและคุณลักษณะทั้งหมดของประชาชนทุกหมู่เหล่า (โดยใช้ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหลัก) และจับอาชีพหรือคุณลักษณะที่ใกล้เคียงมากที่สุดเข้าไว้ในกลุ่มเดียวกัน เมื่อรวมแล้วได้ 19 กลุ่ม บวกกับกลุ่มเผื่อเหลือเผื่อขาด เพื่อให้ทุกคนมีที่ลงได้ จึงเพิ่มอีก 1 กลุ่ม คือ ‘กลุ่มอื่น ๆ’ รวมเป็น 20 กลุ่ม

ถามว่าทำไมไม่เป็น 30 หรือ 40 กลุ่ม คำตอบก็คือเราต้องคำนึงถึงจำนวนที่แต่ละอาชีพหรือแต่ละคุณลักษณะจะพึงมี เพื่อให้ได้สัดส่วนของผู้แทนของแต่ละอาชีพ หรือ คุณลักษณะจะไม่ทัดเทียมกัน ที่สำคัญในระหว่างร่างรัฐธรรมนูญก็ดี เราได้ออกไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมาทุกภาค ผลการรับฟังความคิดเห็น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการกำหนดเป็น 20 กลุ่มเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุด

เรากำหนดกลุ่มสตรีแยกไว้ต่างหาก ก็เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 27 และมาตรา 90 วรรคสาม จริงอยู่สตรีอาจสมัครเข้าในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามอาชีพ หรือคุณลักษณะอย่างอื่นของตนได้ แต่ในการเลือกย่อมยากที่จะกำหนดให้ผู้เลือกต้องเลือกสตรีเพราะจะเป็นการจำกัดสิทธิของคนอื่น การที่จะเกิดความแน่นอนว่ากลุ่มสตรีแยกไว้ต่างหาก แต่ สนช. ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ในเรื่องนี้ จึงจับสตรีไปอยู่ในกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มด้อยโอกาส ซึ่งไม่มีหลักประกันว่าสตรีจะได้รับเลือกมา การกำหนดจำนวนกลุ่มน้อยเท่าไร โอกาสที่คนหลายอาชีพ หลายคุณลักษณะจะไม่มีตัวแทนในวุฒิสภาย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น

'สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล’ เนรมิตภาพ ‘ในหลวง ร.9’ บนผนังอาคาร รพ.สุราษฎร์ฯ มอบให้ชาวบ้านได้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นจังหวัดที่ 23 จาก 77

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.67) รายงานข่าวแจ้งว่า สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับทีมงานสตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล โดยมูลนิธิสานต่อที่พ่อทำ นำโดย นายชวัส จำปาแสน หรือครูอะไหล่ จัดโครงการจิตอาสาวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) เป็นจังหวัดที่ 23 จากเป้าหมาย 77 จังหวัด โดยได้สถานที่ผนังอาคารฉุกเฉิน อาคารสูง 6 ชั้น โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อมอบให้ชาวสุราษฎร์ฯ ได้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและน้อมนำคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาปฏิบัติ

ในวันนี้ได้มีกำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดีรังสิต มาช่วยสนับสนุนการเตรียมสถานที่ ช่วยจัดการพื้นผิวผนัง รวมทั้งติดตั้งกระเช้ากอนโดลา จากบริษัท โมเดิร์นคิท เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด นอกจากนี้ ยังมีรถเครนจาก บริษัท ดี.เร้นท์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด มาร่วมสนับสนุนอีกด้วย โดยภาพวาดสตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล จังหวัดที่ 23 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ ทีมงานสตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล จะลงพื้นที่ในวันพุธที่ 12 มิ.ย. โดยเป็นการวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์บนผนังทั้งหมด 3 ด้าน โดยมีกำหนดส่งมอบในวันที่ 26 มิ.ย. 2567

สำหรับโครงการสตรีทอาร์ตคิงภูมิพล คือ โครงการจิตอาสาวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ควบคู่กับการเผยแพร่พระราชดำรัส เพื่อมอบให้คนไทยและทั่วโลกได้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านไปใช้สานต่อในชีวิตตนเองและส่วนรวม ให้ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ทำมาแล้ว 22 จังหวัด จำนวน 24 ผลงาน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังมีโครงการกิจกรรมสานต่อที่พ่อทำ นำปัญญาสู่เด็กเยาวชน, กิจกรรม คนละก้าว ซ่อมสร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล สำหรับผู้สนใจสามารถบริจาคได้ที่ ชื่อบัญชี มูลนิธิสานต่อที่พ่อทำ ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 176-1-37719-8 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก Street Art King Bhumibol และ Line Official : @followroyalfather

‘แม่ฮ่องสอน’ ลั่น!! พบกลโกง เลือกสว. สะพัด!! นักการเมืองจ้างคนของตนลงสมัคร วอน กกต.อย่านิ่ง

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ระดับอำเภอ โดยที่ จ.แม่ฮ่องสอน พบกลโกงของนักการเมืองระดับประเทศ ด้วยการจ้างคนของตัวเองลงสมัคร เพื่อให้เลือกคนของนักการเมืองที่วางตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว และคาดว่ามีการส่งคนลงสมัครเพื่อเลือกคนของนักการเมืองทุกอำเภอ

ผู้สมัคร สว.รายหนึ่งใน จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยกลโกงดังกล่าว ว่า ก่อนหน้านี้มีคนของนักการเมืองระดับประเทศรายหนึ่งของ จ.แม่ฮ่องสอน ทำการทาบทามจ้างคนลงสมัคร สว. โดยจ่ายเงินให้หัวละ 5,000 บาท หักค่าสมัคร 2,500 บาท ค่าถ่ายรูปอีกคนละ 400 บาท ทำให้นักรบรับจ้างเหล่านั้นจะได้เงินเข้ากระเป๋า 2,100 บาท รวมถึงถ้างานสำเร็จได้มีการรับปากว่าจะพาไปเที่ยวทะเลอีกด้วย

นักการเมืองเหล่านี้จะมีการส่งคนของตัวเองลงสมัครในแทบทุกสาขาอาชีพ ทั้งนี้ระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเลือก สว.คือ ในรอบแรก ให้ผู้สมัครเลือกตนเองได้ 1 คะแนน และเลือกคนอื่นได้อีก 1 คะแนน ซึ่ง กกต.ได้วางระเบียบไว้อย่างแน่นหนา แต่พวกนักการเมืองรู้ทัน จึงวางคนไว้ทุกสาขาอาชีพ ถึงแม้จะมีการจับฉลากแบ่งสาย ก็ยังมีคนของนักการเมืองอยู่ในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งมีอยู่ 20 กลุ่ม โดยมีการสั่งให้คนที่ถูกจ้างมาให้เลือกคนของนักการเมืองเท่านั้น และไม่ต้องเลือกตัวเอง ทั้งยังพบว่าในวันเลือกวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในสายเดียวกัน มีกลุ่มอาชีพกลุ่มหนึ่งเทคะแนนให้กับผู้สมัครรายหนึ่งที่อยู่ต่างสาขาอาชีพถึง 5 คะแนนเลยทีเดียว

ผู้สมัคร สว.รายนี้ ระบุว่า เมื่อถึงตอนเลือกไขว้ในสายเดียวกัน กกต.ได้มีการวางระเบียบไว้ว่าทุกคนสามารถเลือกผู้สมัครคนอื่นได้ 4 คน ยกเว้นตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีการจับคู่ของผู้สมัคร ทุกคนจะได้คะแนนเท่ากันหมด คือ ได้คนละ 4 คะแนน เมื่อได้คะแนนเท่ากัน ทุกคนจะมีการจับสลากเพื่อคัดเอาคนที่ผ่าน รวมรอบระดับอำเภอไม่เกิน 3 คน เพื่อเข้ารอบไปสู่การเลือกระดับจังหวัด ซึ่งในการเลือกตั้งระดับอำเภอแห่งหนึ่งของ จ.แม่ฮ่องสอน พบว่า มีผู้สมัครหลายราย มีคะแนนเกิน 4 คะแนน บางรายสูงผิดปกติ ถามว่าคะแนนที่เกินมาได้มาจากไหน ถ้าไม่มีคนของตนเองส่งเข้าไปในกลุ่มนั้นๆ

ผู้สมัคร สว.รายนี้ กล่าวอีกว่า ที่มาลงสมัคร สว.ในครั้งนี้ พบว่า ไม่ง่ายอย่างที่คิด จากการสังเกตที่คณะกรรมการการเลือก สมาชิกวุฒิสภา ให้เวลาผู้สมัครแนะนำตัวเองเพื่อให้แต่ละท่านได้รู้จักเพื่อที่จะได้ลงคะแนนรับเลือกนั้น ปรากฏว่าบางกลุ่มไม่ได้สนใจในการที่จะไปแนะนำตัว นั่งอยู่กับที่นั่ง จนถึงเวลาเลือก ซึ่งทางคณะกรรมการการเลือกให้ทุกคนสามารถที่จะจดบันทึกหมายเลขที่จะเลือกเข้าคูหาการเลือกได้ บางกลุ่มจะมีหัวหน้าทีมในกลุ่มเขียนโพยให้อยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจ และเวลาเราเข้าไปแนะนำตัว จะไม่ค่อยพูด หรือรับปากส่งเดชว่าจะลงให้ ท้ายที่สุดเวลานับคะแนนมาเรากลับไม่ได้คะแนนจากกลุ่มเขาเลยแม้แต่คะแนนเดียว การจัดตั้งจากนักการเมืองไม่ใช่แค่ที่ จ.แม่ฮ่องสอน เท่านั้น หลายจังหวัดน่าจะเจอปัญหาแบบเดียวกัน แต่พูดอะไรไม่ได้ เนื่องจาก กกต. ไม่จัดการแบบจริงๆจังๆ ได้แต่เพียงบอกว่าไม่มีใครมาร้องเรียน ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือจะปล่อยให้พรรคการเมือง มาครอบงำ สว.

'ยาฮู เจแปน' ยก!! 'กรุงเทพฯ' เมืองที่มีการพัฒนาได้ก้าวหน้า เสริมแกร่งความเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาค ด้วยสาธารณูปโภคดีเยี่ยม

(10 มิ.ย.67) กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยสถิติการสํารวจจํานวนผู้อยู่อาศัยของประชาชนสัญชาติญี่ปุ่นในต่างประเทศ ด้วยการจัดอันดับ 30 เมืองทั่วโลก เมื่อสิ้นสุดวันที่ 1 ตุลาคม 2023 พบว่า กรุงเทพมหานคร ติดอันดับ 2 จาก 30 เมืองทั่วโลก มีจำนวนชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่จำนวน 51,407 คน ที่สำคัญ  นับเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่ปี 2019 ที่กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีประชาชนชาวญี่ปุ่นอาศัยในต่างประเทศอันดับ 2 

ยาฮู เจแปน ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ชื่อดังระดับโลกในญี่ปุ่น รายงานว่า กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า มีเส้นทางถนนที่ทันสมัย ตึกสูงระฟ้ามีจำนวนมากขึ้น และห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นและขยายออกไปมาก ในขณะที่วัดวาอารามในศาสนาพุทธมีอย่างหนาแน่นในเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานครในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางของการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังพัฒนาความเป็นเมืองระหว่างประเทศที่ก้าวหน้าอีกด้วย นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ทางรถไฟ และรถประจําทาง และสามารถเข้าถึงเมืองได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงสนามบินด้วย

หากพิจารณาเฉพาะในอาเซียน (ตัวเลขในวงเล็บ คือ อันดับรวมจากทั้ง 30 อันดับทั่วโลก) จะพบว่า กรุงเทพมหานครยังเป็นอันดับ 1 เมืองเมืองที่คนญี่ปุ่นอยู่มากที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่น อันดับ 2 สิงคโปร์(6) จำนวน 31,366 คน อันดับ 3 โฮจิมินห์ ซิตี้(23) เวียดนาม จำนวน 10,063 คน อันดับ 4 กัวลาลัมเปอร์(24) มาเลเซีย จำนวน 9,889 คน อันดับ 5 กรุงฮานอย(29) เวียดนาม จำนวน 6,547 คน และอันดับ 6 กรุงมะนิลา(30) ฟิลิปปินส์ จำนวน 6,047 คน 

สำหรับอันดับ 1 เมืองที่คนญี่ปุ่นอยู่มากที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ นครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จำนวน 64,457 คน นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันด้วย ส่วนเมืองสำคัญอื่นๆ ได้แก่ อันดับที่ 4 เซี่ยงไฮ้ จีน 37,315 คน อันดับที่ 10 ฮ่องกง จีน จำนวน 22,930 คน อันดับที่ 15 กรุงโซล เกาหลีใต้ 13,546 คน และอันดับที่ 25 ไทเป ไต้หวัน 9,398 คน 

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า การจัดอันดับเมืองที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ต่างประเทศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2023 นั้น หมายถึงบุคคลที่มีสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งอยู่ต่างประเทศมานานกว่า 3 เดือน

'นักวิชาการ' แซะ!! แอนิเมชัน 2475 ไม่กล้าฉายโรงแบบหนังทอน ด้านคนในวงการเข้ามาชี้แนะ เข้าโรงต้องใช้เงินหลัก 1-2 ล้าน

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย. 67) เฟซบุ๊ก ‘สุรพศ ทวีศักดิ์’ นักวิชาการด้านปรัชญา คอลัมนิสต์ผู้ใช้นามแฝงว่า ‘นักปรัชญาชายขอบ’ โพสต์ข้อความพาดพิงถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘2475 Dawn of Revolution’ หลังจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Breaking The Cycle’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ เข้าโรงไม่นาน ระบุว่า…

"ทำไม 2475 Dawn of Revolution ไม่กล้าฉายในโรงภาพยนตร์เหมือน Breaking The Cycle เรื่องแรกกลัวคนไม่ยืน? เรื่องหลังคนนั่งแน่ๆ"

ปรากฏว่ามีผู้ใช้นามว่า ‘ศุภวัฒน์ หงษา’ นักเขียนบท ผู้กำกับละครเวที ซีรีส์ ภาพยนตร์ โฆษณา โพสต์ข้อความระบุว่า…

"การนำหนังเข้าฉายโรงฯ (โรงภาพยนตร์) ต้องใช้เงิน 1-2 ล้านบาท เป็นประกันว่าทางโรงฯ จะไม่ขาดทุนในกรณีหนังไม่มีคนดูครับ ไม่ใช่ทำหนังเสร็จแล้วเอาเข้าโรงฉายแบ่งเงินกับโรงฯ ได้เลย ซึ่งตรงนี้ชัดเจนว่าทีม 2475 เขาทำงานแบบออร์แกนิกไม่มีทุนใหญ่หนุนหลัง มีเพียงงบผลิตแบบกระท่อนกระแท่น ไม่มีงบโปรโมตหรืองบที่จะนำหนังเข้าโรง ตรงกันข้าม Breaking the Cycle ได้โรงฯ จำนวนมากก็เพราะมีทุนมากไปจ่าย ทำให้โรงหนังมั่นใจว่ายังไงฉายแล้วเขาก็ไม่เจ๊ง (เพราะได้ตังค์แล้ว) ซึ่งยิ่งพอส่องดูผู้ชมในแต่ละรอบในโรงต่าง ๆ ก็พบว่ายังมีจำนวนน้อยมาก ๆ ประมาณ 2-5 คนต่อรอบ ก็ยิ่งชัดเจนว่าหนังได้โรงจำนวนมากเพราะมีการจ่ายเงินครับผม"

เมื่อมีกลุ่มผู้สนับสนุนนายสุรพศถามว่า "ได้ตามข่าวจริง ๆ รึเปล่าเนี่ย" นายศุภวัฒน์ ตอบว่า "ตามสิครับ ทราบดีว่าค่ายไหนจัดจำหน่าย แล้วมันผิดจากที่ผมอธิบายยังไงว่าหนังมีทุนในการนำเข้าโรง ต่างจากแอนิเมชัน 2475 ที่ไม่มี ซึ่งเป็นคำตอบต่อสิ่งที่คุณสุรพศตั้งคำถามนี่ครับ"

เมื่อมีกลุ่มผู้สนับสนุนนายสุรพศถามว่า "1. ไม่น่าจะจริงตามที่บอกนะ บริษัทที่ทำอนิเมะดูมีทุนอยู่นะครับ มีการเตรียมการและมีการวางแผน 2. เรื่องรับรองว่าไม่เจ๊งเพราะเอาเงินมาอุดก่อน อันนี้ก็ดูจะไม่จริง เพราะตอนแรกเขาตกลงฉายไม่กี่โรงครับ จนเมื่อวันก่อนเพิ่งจะเพิ่มเป็นทั่วประเทศ จนเอาหนังไปฉายไม่ทัน ดรามาไปดูแต่ไม่มีหนังดู (เกิดปัญหาเทคนิค)"

นายศุภวัฒน์ตอบว่า "1. จริงสิครับ ทุกวันนี้เงินก็ยังไม่คุ้มทุน ยังต้องมีการผลิตออกมาเป็นหนังสือขายเพื่อให้ได้ทุนคืน

2. ระบบเอาหนังเข้าโรงไทยเป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ จะมาไม่จริงอะไร ในกรณีที่คุณไม่ใช่ค่ายใหญ่ที่การันตีว่าจะมีคนดูอย่าง GDH การจะเอาหนังเข้าโรงต้องมีเงินให้โรงก่อน 1-2 ล้านบาท เพื่อให้โรงยอมฉายให้ ซึ่งถ้าฉายแล้วจู่ ๆ วันแรกได้สักสิบล้านบาทขึ้นไป โรงจะพิจารณาเพิ่มโรง เพิ่มรอบเอง (เพราะเขาอยากได้ส่วนแบ่งเพิ่ม) แต่ถ้าวันแรกไม่ปัง ดูทรงไม่ทำเงิน ไม่คุ้มจะเอาเวลาฉายไปเสี่ยงเขาก็จะค่อย ๆ ทยอยลดรอบลง (เรียกกันว่า 4 วันอันตราย พฤหัสบดี-อาทิตย์) แต่ถ้ามีปรากฏการณ์วันแรกได้เงินไม่เยอะ แล้วจู่ ๆ โรงเพิ่มรอบให้เยอะ ๆ ก็มีเหตุผลเดียวครับ คือเจ้าของหนังจ่ายเงินเพิ่มให้โรง ยิ่งมากโรงเท่าไรก็แพงขึ้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าน้อง ผกก.สองคนจ่ายไม่ได้แน่ ค่ายที่จัดจำหน่ายก็ไม่ได้แมสมีเงินมากขนาดนั้น ก็พิจารณาเอาเองครับว่าเงินมาจากไหน

ปล.หนังทุกเรื่องที่ไม่การันตีรายได้ต้องทำแบบนี้หมดนะครับ ไม่มีโรงหนังไหนในไทยรับหนังมาฉายไปก่อนแล้วลุ้นว่าจะได้ตังค์มั้ยครับ ทุกเรื่องต้องจ่ายเงินก่อนหมด ยกเว้นหนังแมสอย่าง GDH หรือหนังมีฐานผู้ชมแบบ พชร์ อานนท์"

ด้านเฟซบุ๊ก ‘2475 Dawn of Revolution’ โพสต์ข้อความระบุว่า "เนื่องจากพวกเราเป็นมือใหม่มากครับ และมีทีมงานน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานทั้งนั้น ไม่มีคอนเน็กชันกับโรงภาพยนตร์ ไม่มีทีมการตลาดเอางานไปขาย สปอนเซอร์ยังไม่มีเลยครับ เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง ดังนั้น ถ้ามีคนช่วยผลักดันก็จะดีมากครับ คงต้องฝากไปถึงผู้บริหาร SF Cinema Major Group ตอนนี้ยอดวิวยูทูบแค่ 1.1 ล้านเท่านั้นครับ ยังเหลือคนอีก 65 ล้าน ที่ยังไม่ได้ดู และเวอร์ชันล่าสุด ปรับปรุงจากในยูทูบ และได้เรตติ้ง ‘ทั่วไป’ แล้วนะครับ”

มุกดาหาร - ชุดเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2105 สกัดจับ ตรวจยึดรถยนต์3คันคาเรือแพ ขณะเตรียมส่งลาว ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงท่าเรือบ้านนามหาราช อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 01.00 น. พ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 (ผบ.ฉก.ทพ.21) ได้รับแจ้งว่าจะมีขบวนการลักลอบนำรถยนต์ส่งข้ามแม่น้ำโขงออกไปยัง สปป.ลาว ในพื้นที่ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ ร.ท.วัชรสรณ์ เชื้อไพบูลย์ ผบ.ร้อย.ทพ. 2105 กรม ทพ.21 นำกำลังพลออกทำการลาดตะเวนเฝ้าตรวจริมตลิ่งแม่น้ำโขง เมื่อไปถึงพื้นที่บ้านนามหาราช ม.10 ต.ดอนตาล อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

พบขบวนการลักลอบนำรถยนต์ส่งออกข้ามชาติกำลังนำรถยนต์ลงเรือยนต์เตรียมขับลำเลียงข้ามไปยังฝั่ง สปป.ลาว  ชุดลาดตระเวนจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่เมื่อกลุ่มขบวนการดังกล่าวพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันกระโดดลงแม่น้ำโขงว่ายน้ำหลบหนีไป ชุดลาดตระเวน จึงได้เข้าตรวจสอบในบริเวณดังกล่าว พบรถยนต์จำนวน 3 คัน และเรือเหล็กพร้อมเครื่องยนต์จำนวน 2 ลำ ประกอบด้วย รถยนต์ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-max สีขาว ทะเบียน ผก 4415 จันทบุรี  รถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-max สีเทา ทะเบียน 4 ขผ 7252 กรุงเทพมหานคร ส่วนคันที่ 3 ตกลงไปในแม่น้ำโขงเจ้าหน้าที่ต้องใช้ลวดสลิงลากขึ้นมาจากแม่น้ำโขงเป็นรถยนต์ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-max สีขาว ทะเบียน งจ 5382 สงขลา และเรือเหล็กพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางทั้งหมด แล้วนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดอนตาล ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว​ เดวิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ ​รายงาน​    092-5259777​

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดอบรมเชิงปฎิบัติการภายใต้”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police)

วันนี้ 10 มิ.ย.67 เวลา 09.00 โรงแรม ทีเค พาเลซ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น (TK Palace Hotel and Convention). ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่,กรุงเทพมหานคร

ท่าน พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผบช.สยศ.ตร.มอบหมายให้ พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ผอ.เดินทางเป็นประธานในพิธีเปิดอบรมเชิงปฎิบัติการภายใต้”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police) พร้อมคณะผู้บริหารตัวแทนจากบริษัทไพร์ม โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส จำกัดผู้ร่วมพัฒนาและดำเนินโครงการ โดยการอบรมจัดขึ้นในวันที่10-11 มิ.ย.2567 โรงแรมTK Palace ห้อง ลาเวนเดอร์ 2-3  

โดยการอบรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police)”ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานยุทธศาตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการข้อมูลต่างๆให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่ทันสมัย และง่ายต่อกระบวนการทำงานตลอดจนการบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลให้ปลอดภัยห่างไกลอาชญากรรมดิจิทัล การอบรมในวันที่10-11 มิ.ย.2567นั้นเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับรองผู้บังคับการ,ผู้กำกับการและรองผู้กำกับการโดยแบ่งออกเป็น3หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรที่1 อบรมการใช้ประโยชน์จากการรายงานดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับผู้บริหาร,หลักสูตรที่2 การใช้งานซอฟต์แวร์สำหรับการแสดงผลข้อมูลและจัดทำรายงาน(Analytics Software and Dashboard),หลักสูตรที่3 การใช้งานและดูแลระบบสำหรับผุ้ดูแลระบบ(Aamin) 

ด้าน พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ผอ. กล่าวว่า โครงการนี้มีความคิดริเริ่มตั้งแต่ ท่าน พล.ต.อ.สุวัจน์ แจ้งยอดสุขอดีตผบ.ตร.ซึ่งในขณะนั้นท่านอยากให้มีแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและสามารถบริหารข้อมูลต่างๆภายใต้หน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ จึงทำให้เกิดโครงการ(One Police)ขึ้น โดยหลักๆโครงการนี้จะเป็นการรวมข้อมูลของกองบัญชาการหรือกองบังคับการที่คิดว่าข้อมูลนั้นต้องการความปลอดภัยและสามารถต่อยอดการปฎิบัติหน้าที่คดีต่างๆได้ต่อไป  โดยคาดหวังที่จะพัฒนาเป็นBIG DATA ที่คอยสนับสนุนข้อมูลในการปฎิบัติหน้าที่ต่างๆ  ควบคู่กับการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยและเท่าทันเทคโนโลยีในปัจจุบันอีกด้วย

'พีระพันธุ์' เยือน!! Meet & Greet เซอร์ไพรส์ Thailand Morning Call ย้ำชัดการเมืองแบบ 'รวมไทยสร้างชาติ' ทำงานใต้ DNA แบบ 'ลุงตู่-พี่ตุ๋ย'

(10 มิ.ย. 67) จากรายการ 'Thailand Morning Call' ทางช่อง 'Nomad Media Thailand' ดำเนินรายการโดย คุณวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าวและนักจัดรายการชื่อดัง ร่วมกับ อาจารย์แพท-พัฒนพงศ์ แสงธรรม ได้พูดถึงความชัดเจนทางการเมืองของ 'พี่ตุ๋ย' นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในช่วงหนึ่งของรายการ โดย อ.แพท ได้ระบุว่า...

สําหรับงานวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 มิ.ย.67) กับงาน SING งาน Meet & Greet งานแรกในปีนี้ของ Thailand Morning Callsing จัดมาตั้งแต่คืนวันศุกร์ โดยมีสำนักข่าว THE STATES TIMES เป็นหนึ่งในมีเดียพาร์ตเนอร์นั้น ได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญที่แวะเวียนมาในงานนี้ด้วย นั่นก็คือ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

งานนี้ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์จริง ๆ เพราะท่านให้เกียรติขึ้นพูดในงานครั้งนี้ด้วยในหลายประเด็น ซึ่งถ้าคนที่ติดตามการเมืองอย่างสม่ำเสมอ จะจําได้ว่าสิ่งที่คุณพีระพันธุ์ไม่ว่าจะที่ใด ไม่เคยเปลี่ยน และคำพูดที่มอบให้พวกเราฟังในงานนี้ ก็ยังตรงกับที่ท่านพูดมาโดยตลอด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ

อ.แพท เล่าว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เกิดขึ้นในจังหวะที่อนหน้านี้นั้น พรรคที่ลุงตู่สังกัดอยู่คือ พรรคลุงป้อม แล้วมันก็มีข่าวระหองระแหงกันภายใน ขณะที่คุณพีระพันธ์เองก็ยึดมั่นในความคิดเสมอว่า "ไม่เชื่อในนักการเมือง" และพอได้เห็นการทำงานของลุงตู่ ก็ยอมรับในความเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง และด้วยความรู้สึกที่ตรงกัน เราก็เลยได้เห็นการมาร่วมกันทำงานของบุคคลทั้ง 2 ท่านนั่นเอง 

อ.แพท เล่าถึงความรู้สึกที่คุณพีระพันธุ์มาเยี่ยมงาน Meet & Greet ในครั้งนี้อีกด้วยว่า ท่านพีบอกว่าคอยติดตามฟังรายการอยู่ ซึ่งเราก็รู้ดีว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในระดับนี้ ไม่มีการโอกาสที่จะมาได้ฟังเป็นประจําหรอกก็อาจจะฟังย้อนหลังบ้างหรือบางวันก็ไม่ได้ฟัง แต่แค่นี้ก็น่าภูมิใจแล้ว แล้วท่านก็ยังสละเวลามาพบกับพวกเราในงานนี้อีก 

แน่นอนว่า ท่านมักจะย้ำเสมอว่า ท่านไม่ใช่นักการเมือง แต่ด้วยตําแหน่งท่านก็คือหลีกเลี่ยงความเป็นนักการเมืองไม่ได้ แต่ไม่ว่าท่าจะอยู่ในบทบาทใด Nomad Media Thailand ก็มีความปลาบปลื้มอย่างมาก 

ช่วงท้าย อ.แพท เล่าติดตลกอีกว่า ผมขอเรียกท่านพีระพันธุ์ ว่า 'ลุงตุ๋ย' ได้ไหม ท่านก็บอกว่า เรียก 'พี่ตุ๋ย' ก็ได้

ก็เอาเป็นว่า ถ้าจากนี้บรรดา 'ด้อมพีระพันธุ์' จะเรียกท่านพีระพันธุ์ ก็เรียก 'พี่ตุ๋ย' กันได้เลยนะจ๊ะ…

‘ตาวัย 80 ปี’ เจ้าของแพมาลัย ปลูก 'ทุเรียนลอยน้ำ' ต้นแรกของโลก นายอำเภอ ลุยนำไปทดสอบ หวังพัฒนาต่อยอดคุณภาพต่อไป

(10 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้นทุเรียนสายพันธุ์หมอนทองที่ลอยน้ำได้มีต้นเดียวในโลก และกำลังติดลูกพร้อมตัด 3 ลูก อยู่ที่ ‘แพมาลัย’ บ้านโบอ่อง ต.ปิล็อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยมีตาปี๊ด สินเธาว์ อายุ 80 ปี เจ้าของแพและเจ้าของต้นทุเรียนลอยน้ำ โดยเดินทางไปที่แพมาลัยต้องนั่งเรือจากฝั่งท่าแพไปใช้เวลาประมาณ 25 นาที

โดยแพมาลัยตั้งอยู่กลางเขื่อนเขาวชิราลงกรณ์ เป็นแพที่เป็นสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยว เมื่อมาถึงแพมาลัย พบกับต้นทุเรียนสายพันธุ์หมอนทอง ที่ถูกปลูกอยู่บนแพลอยน้ำ กำลังติดลูกอยู่ 3 ลูก

ด้าน นายศุภวัฒน์ มุรินทร์ บอกว่า ตนเป็นผู้จุดประกายทุเรียนลอยน้ำ และเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับทุเรียนต้นนี้ตั้งแต่แรก บ้านตนอยู่ไม่ห่างจากแพมาลัยของตาปี๊ดกับยายบำรุง เมื่อช่วงปี 2527 คุณตาและคุณยายได้มาตั้งหลักทำแพอาศัยอยู่ที่นี่ ประกอบอาชีพหาปลาและขายของชำทั่วไป

ภายหลังได้สร้างแพพักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวขึ้น โดยเอาชื่อลูกสาวคนโต มาตั้งเป็นชื่อว่าแพมาลัย ซึ่งคุณตาและคุณยายเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีตนจึงสนิทสนมกันมาก และตนมักแวะเวียนมาเยี่ยม พูดคุยกับคุณตาคุณยายอยู่บ่อยครั้ง

นายศุภวัฒน์ บอกต่อว่า ต้นทุเรียนต้นนี้ ตาปลูกอยู่บนบวบไม้ไผ่ผุ ๆ ซึ่งในแพยังปลูกผลไม้อย่างอื่น เช่น ต้นมะม่วง และต้นโพธิ์ต้นไทร ที่เกิดขึ้นเองก็เจริญเติบโตอยู่บนแพลอยน้ำที่มีความลึกประมาณ 30 เมตร ตอนแรกตนไม่ได้สนใจอะไรกับต้นทุเรียนต้นนี้

แต่ในระยะ 2-3 ปีมานี้ เห็นต้นทุเรียนเริ่มมีดอกแต่ไม่เคยมีลูก ประกอบกับช่วงนั้นตนมีความสนใจในการทำทุเรียนอย่างจริงจัง จึงไปนั่งดูปัญหา และพบว่าที่ไม่ติดลูกเพราะรากของต้นทุเรียนแช่น้ำมากเกินไปจึงจ้างคนตัดไม้ไผ่มาหนุนใต้แพ ดันโคนต้นทุเรียนสูงจากผิวน้ำมาเกือบเมตร แล้วเอาดินมาเพิ่มรอบ ๆ โคนต้น

ปรากฏว่าได้ผล ต้นทุเรียนเริ่มติดลูกเล็ก ๆ แล้วก็ติดหลายลูก แต่ค่อย ๆ หลุดร่วงไป จนเหลือเพียง 3 ลูกตามที่เห็น ซึ่งนับจากวันที่ดอกบานจนถึงแก่จัดตัดได้อายุ 130 วัน

นายศุภวัฒน์ บอกอีกว่า ตาปี๊ด รู้สึกภูมิใจ เมื่อมีคนถามว่าคิดอย่างไรถึงเอาทุเรียนมาปลูกลอยน้ำ ตาปี๊ดบอกว่าอยากทดลองดูว่ามันจะออกลูกได้หรือเปล่า อีกทั้งตาปี๊ดเป็นคนชอบปลูกต้นไม้อยู่แล้ว อยากลองปลูกทุเรียนดูบ้าง เพราะเห็นมีคนปลูกกันเยอะ เวลาคนมากินข้าวที่แพก็ได้ยินพูดกันบ่อย ซึ่งในฝั่งผืนดิน ที่อยู่ห่างไม่ไกลกับแพมีการปลูกทุเรียนกันเยอะ ซึ่งตาปี๊ดไม่มีที่ดินผืนใหญ่ และเวลาส่วนมากจะอาศัยอยู่บนแพก็เลยนำมาปลูกบนแพ

ล่าสุด ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้ นายชาคริต ตันติพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ ร่วมตัดทุเรียนลอยน้ำของลุงปี๊ด มอบให้หัวหน้าสำนักงานจังหวัด นำมามอบให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อได้ชิมรสชาติ

ส่วนลูกที่ 2 ท่านนายอำเภอทองผาภูมิ ตัดแล้วมอบให้เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี นำมาทดสอบรสชาติความหวานเพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการในการพัฒนาต่อยอดคุณภาพทุเรียนลอยน้ำต่อไป

โดยการตัดในครั้งนี้ ท่านนายอำเภอทองผาภูมิ มอบเงินค่าทุเรียนลอยน้ำให้กับลุงปี๊ด 5,000 บาท เพื่อให้ลุงปี๊ดมีกำลังใจในการผลิตทุเรียนลอยน้ำในฤดูกาลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top