Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

‘มาม่า’ ไร้ปัญหา หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เชื่อ!! ปรับตัวได้อยู่แล้ว ห่วงก็แต่ผู้ประกอบการรายเล็ก

(15 พ.ค.67) นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า เปิดเผยถึง กรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่น่าห่วงเท่ากับผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ เอสเอ็มอี เนื่องจากเชื่อว่ามีการปรับตัวได้อยู่แล้ว

ในส่วนของบริษัทถือว่ามีผลต่อการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน้อยมากประมาณ 1% ไม่เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การขอปรับขึ้นราคาต่อกรมการค้าภายใน

ขณะเดียวกันในการปรับขึ้น ทางรัฐบาลมีการทยอยประกาศออกมา จึงทำให้ผู้ประกอบการยังมีเวลาในการปรับตัว ทั้งนี้บริษัทมีการปรับขึ้นค่าแรงให้กับพนักงานในเดือนมกราคมของทุกปีอยู่แล้ว โดยเฉลี่ยปีละ 5-6 บาท

ค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับขึ้น มองว่าการขึ้นค่าแรงจะช่วยให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น กระทบกับบริษัทเพียงเล็กน้อย เพราะปัจจุบันค่าแรงเป็นต้นทุนทางตรงในการผลิตของบริษัทเพียง 10% หากปรับค่าแรงขึ้น 10-15% จะกระทบต้นทุนบริษัทแค่ 1% เราต้องเพิ่มสปีดการผลิต ลดการสูญเสีย เช่น ปัจจุบันเราผลิตบะหมี่แบบซองและถ้วยอยู่ที่วันละ 7 ล้าน จะเพิ่มเป็นวันละ 8 ล้าน โดยที่คนไม่ได้เพิ่ม, เท่ากับค่าแรงต่อการผลิตไม่มีผลแต่อย่างใด

‘นายกฯ’ แสดงความเสียใจ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เสียชีวิต เผย ไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียในทุกกรณี

(15 พ.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม ว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รู้สึกเสียใจต่อการสูญเสีย และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้เหตุการณ์แห่งการสูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ว่ากับใครหรือสาเหตุใด

“นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง สาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรม และกระทรวงยุติธรรมจะแถลงข้อเท็จจริงเมื่อได้ข้อสรุป”

ILINK ยิ้มรับกำไร Q1/67 252 ลบ. ปักธงดันรายได้ปีนี้แตะ 7,002 ลบ.

กำไรแรงมาก ILINK มาเหนือคาดการณ์ ยิ้มรับกำไร เผยตัวเลขสดใสตั้งแต่ไตรมาสแรก ทำรายได้ Q1/67 รวม 1,832.75 ล้านบาท มีกำไรเติบโตแรงมากกว่าปีที่แล้ว 59.72% สะท้อนภาพความก้าวหน้า พร้อมโชว์ศักยภาพอันโดดเด่น จากผลงาน และการขับเคลื่อนทุกธุรกิจเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้าความสำเร็จไว้ ชี้แนะแนวโน้มทั้งปี 67 ฉายแววชัดสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน มุ่งผลักดันนำความชำนาญของทุกกลุ่มธุรกิจต่อยอดสู่การทำรายได้ สร้างอัตรากำไรให้เพิ่มพูนแบบมีคุณภาพ พร้อมวางธงชัยดันรายได้ทั้งปีนี้แตะ 7,002 ล้านบาท

(15 พ.ค. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ มีรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2567 จาก 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center ทำรายได้รวมอยู่ที่ 1,832.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 197.69 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 12.09% ในขณะที่กำไรสุทธิโตแรงเท่ากับ 252.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 94.41 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 59.72% ทะลุเป้าหมายทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ โดยสามารถทำอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าอดีต ที่เป็นผลเกิดจากการปรับกลยุทธ์ของทั้ง 3 ธุรกิจหลัก จากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ‘เติบโตแบบมีคุณภาพ’ กล่าวคือ ทุก ๆ ธุรกิจ จะต้องสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และต้องลดค่าใช้จ่ายที่เป็นการสูญเสีย

ด้านธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) นับเป็นธุรกิจเริ่มต้น และยังคงเป็นธุรกิจหลักที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน แย้มมีผลการดำเนินงานทั้งรายได้ และทำกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลากว่า 37 ปี โดยในไตรมาส 1/67 นี้ มีรายได้รวม 865.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.00 ล้านบาท หรือ 10.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำกำไรรับการเติบโตรวม 90.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.06 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 7.16% และยังสามารถคงอัตรากำไรสุทธิได้มากกว่า 10%ตามเป้าหมายอีกด้วย

สำหรับธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ที่อาศัยหลักความเชี่ยวชาญ และการมีประสบการณ์ โดยเน้นงานประมูลหลักจากโครงการภาครัฐที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างเด่นชัด 
ส่งผลทำรายได้รวมที่ได้ทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสแรก ประจำปี 2567 อยู่ที่ 179.83 ล้านบาท มีกำไรรวม 25.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2566 ที่มีกำไรรวมของกลุ่มธุรกิจนี้อยู่ที่ 16.98 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกนี้ทำกำไรเพิ่ม 9.00 ล้านบาท หรือ โตแรงถึง 53.04%

ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL เปิดงบการเงินไตรมาส 1/67 กวาดรายได้ 788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิ 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% จากช่วงเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการเตรียมนำธุรกิจย่อย คือ บริษัท บลู โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BLUE ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคม และดิจิทัลโซลูชั่น ซึ่ง ITEL ถือหุ้น 51% เพื่อเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2567 นี้อีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของผลประกอบการในไตรมาส 1/67 พร้อมเผยถึงแผนงานทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยผู้ลงทุน และผู้ที่สนใจทุกท่าน สามารถเข้าร่วมรับฟัง อัปเดตข้อมูลบริษัทฯ ในงาน ‘Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน หรือ Opp Day Q1/2024’ ได้ผ่านการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ ในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 - 12.00 น. ซึ่งสามารถรับชมผ่านช่องทาง ดังนี้

-Facebook: INTERLINK FAN
-YouTube: LINK CHANNEL
-Facebook: SET Opportunity Day
-YouTube: SET Thailand
-Website: www.set.or.th/oppday 
-App: SET Application

'พีระพันธุ์' เตรียมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านพลังงานชุมชนสู่ประชาชน ผลิตน้ำมันจากขยะ-แบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

พีระพันธุ์ นำเสนอ นายกฯ โชว์นวัตกรรมผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก แบตเตอรี่สำหรับระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีด้านพลังงาน เตรียมพร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่าย

เมื่อวานนี้ (14 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เข้าร่วมประชุม ครม.สัญจร จังหวัดเพชรบุรี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยก่อนการประชุมได้นำเสนอนิทรรศการด้านพลังงานแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม โดยเป็นนวัตกรรมการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก/ยางพารา ใช้เทคโนโลยีไพโรไลซีส ซึ่งน้ำมันที่ได้จะนำไปใช้กับเครื่องยนต์การเกษตรเป็นหลัก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร นอกจากจะสามารถผลิตน้ำมันได้ในราคาถูกแล้ว ยังสามารถลดปริมาณขยะได้อีกด้วย โดยเทคโนโลยีนี้เกิดจากครูน้อย หรือ นายทวีชัย ไกรดวง ครูอัตราจ้างโรงเรียนในจังหวัดสกลนคร ที่เกิดความสนใจ ทดลอง จนประสบความสำเร็จ 

จากนั้น ได้มีการนำเสนอเทคโนโลยีชุดแบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือน ซึ่งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควบคุมการจ่ายไฟ หรือ Battery Management System (BMS) ซึ่งทำให้แบตเตอรี่สามารถจ่ายกระแสไฟได้เสถียร ยาวนาน และจากการประดิษฐ์คิดค้นและประยุกต์ใช้เอง จึงทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่ที่ได้ ราคาถูกเมื่อเทียบกับการนำเข้าจากต่างประเทศ 

นอกจากนี้ ยังมีโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งประยุกต์การรับแสงของแผงโซลาร์เซลล์ มาใช้วัดค่าแสงและสั่งการมอเตอร์ให้หมุนชุดเฟือง เพื่อให้แผงโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถหมุนได้ถึง 300 องศา ทำให้โซลาร์เซลล์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 7 ชั่วโมงเต็มต่อวัน เทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ปกติที่รับแสงได้มากสุดที่ 5 ชั่วโมงต่อวัน และยังสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่ารูปแบบปกติ 4 - 5 เท่า ซึ่งทำให้สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ในครัวเรือน สร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน จากการใช้พลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้เตรียมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านพลังงานดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยจะนำไปเป็นต้นแบบผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวให้ประชาชนใช้ในราคาถูก ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงพลังงาน

“วันนี้ผมรู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอนิทรรศการด้านพลังงานให้คณะรัฐมนตรีและผู้ที่เข้าร่วมการประชุม โดยเฉพาะเทคโนโลยีซึ่งเกิดจากการไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเอง อย่างครูน้อยหรือ นายทวีชัย ไกรดวง ครูอัตราจ้าง ที่ทดลอง พัฒนา จนสามารถสร้างเครื่องผลิตน้ำมันด้วยวิธีไพโรไลซิส ซึ่งนอกจากจะสามารถผลิตน้ำมันที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดแล้ว ยังสามารถลดขยะได้อีกด้วย และยังได้นำเสนอเทคโนโลยีชุดแบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือนและโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับการดำเนินการให้นวัตกรรมของครูน้อยใช้เป็นผลิตภัณฑ์ราคาถูกให้ประชาชน ผมก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายทั้งราคาสินค้าและค่าใช้ไฟ พอตรงนี้สำเร็จ ก็จะส่งผลไปในด้านอื่น ๆ ประชาชนมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยลง ก็จะมีเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพิ่มรายได้ ก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายพีระพันธุ์ กล่าว

สยบข่าวลือทุบทิ้ง 'สะพานสารสิน' หลังสะพัดเป็นดรามาในภูเก็ต เมื่อรัฐเล็งสร้างสะพานขึงเป็นแลนด์มาร์ก-รองรับฮับเรือท่องเที่ยว

ทุบทิ้งสะพานสารสินกลายเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันมากในภูเก็ตขณะนี้ ตามสื่อโซเชียลต่างๆ หลังจากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางมาภูเก็ตเพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในภูเก็ต และได้ลงพื้นที่ติดตามโครงการก่อสร้างสะพานสารสินแห่งใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้

(15 พ.ค.67) โดยก่อนหน้านี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการสั่งการให้กรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ศึกษาออกแบบการก่อสร้างสะพานขึงที่ภูเก็ต ที่มีความสูงให้เรือขนาดใหญ่สามารถลอดได้ทดแทนสะพานสารสิน เพื่อใช้ในการคมนาคม มีความสวยงาม และจะเป็นแลนด์มาร์กของจังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับการเป็นฮับเรือท่องเที่ยว

สังคมโซเชียลส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ทุบสะพานสารสิน เพราะมองว่าเป็นเอกลักษณ์ของภูเก็ต เป็นตำนานรักสะพานสารสินที่โด่งดัง หากต้องการจะให้มีสะพานเชื่อมกับฝั่งพังงาเพิ่มควรที่จะสร้างสะพานใหม่ขึ้นมา รวมไปถึงให้รัฐบาลโฟกัสไปที่การแก้ปัญหาการจราจรในภูเก็ต ที่กำลังกลายเป็นปัญหาหนัก มากกว่าที่จะหยิบยกเรื่องการทุบทิ้งสะพานสารสินมาพูดกันในขณะนี้

สะพานสารสิน เป็นสะพานแห่งแรกที่เชื่อมระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดภูเก็ต ระหว่างบ้านท่าฉัตรไชย และบ้านท่านุ่นของจังหวัดพังงา โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 402 มีความยาวทั้งหมด 660 เมตร มี 2 ช่องจราจร เปิดใช้เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2510 โดยชื่อของสะพานตั้งตามนามสกุลของนายพจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น

ในเวลาต่อมา ได้มีการสร้างสะพานอีก 2 แห่งในบริเวณเดียวกันขนานกันไปกับสะพานสารสิน คือ สะพานท้าวเทพกระษัตรีและสะพานท้าวศรีสุนทร และใช้ในการสัญจรของรถยนต์แทนสะพานสารสิน เนื่องจากมีสภาพชำรุดทรุดโทรมลง โดยได้มีการปรับปรุงสะพานสารสินให้เป็นสะพานคนเดินข้าม และมีหอชมวิวอาคาร 8 เหลี่ยม ให้ได้พักผ่อนชมทิวทัศน์ ออกแบบให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรโคโรเนียล สผสมผสานกับอาคารหลังคาทรงปั้นหยาแบบภาคใต้ ที่มีความสวยงาม ดั่งที่เห็นในปัจจุบัน

อีกทั้งสะพานแห่งนี้ยังเกิดเหตุเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่รู้จักกันทั่วประเทศ เมื่อหนุ่มสาว 2 คน ตัดสินปัญหาความรักที่ไม่สมหวัง ด้วยการใช้ผ้าขาวม้าผูกต่อกันมัดตัวเองและกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำ ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2516 จนมีการนำเรื่องราวของคนทั้งสองไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง ‘สะพานรักสารสิน’

เพื่อเป็นการสยบข่าวลือการทุบทิ้งสะพานสารสินที่สะพัดอยู่ในภูเก็ต ขณะนี้ นายยุทธนา พิทักษ์ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงภูเก็ต ได้ออกมาชี้แจงถึงกระแสการทุบทิ้งสะพานสารสิน ว่า กรมทางหลวงไม่มีแนวคิดที่จะทุบสะพานสารสินในขณะนี้และในอนาคต ตามที่มีข่าวลือสะพัดในโซเชียล การที่จะดำเนินการโครงการที่เป็นโครงข่ายคมนาคมนั้นจะต้องมีการทำศึกษารายละเอียดของโครงการนั้น ๆ รวมไปถึงการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ และศึกษาถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก่อน

อย่างไรก็ตาม กรมทางหลวงมีโครงการที่จะก่อสร้างสะพานสารสินแห่งใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างภูเก็ตกับพังงา แต่ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นของแนวคิดและของบประมาณมาศึกษาออกแบบรายละเอียดโครงการ ซึ่งจะเป็นจุดใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่

กระแสข่าวทุบทิ้งสะพานสารสินจึงกลายเป็นกระแสที่คนส่วนใหญ่ในภูเก็ตรับไม่ได้ ไม่ต้องการให้รื้อทิ้งสะพานสารสิน ต้องการเก็บไว้เป็นเอกลักษณ์ของภูเก็ตต่อไป

‘EGCO Group’ เผยกำไร Q1/67 แตะ 1,500 ลบ. ลุยรุกธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ-พลังงานหมุนเวียน

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2567 มีรายได้รวม 11,360 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,591 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Paju ES และ Nam Theun 2 รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass พร้อมตอกย้ำความมั่นใจการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า Yunlin มีความคืบหน้าตามแผน ลุยลงทุนรูปแบบ M&A โรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง มุ่งรับรู้รายได้ทันที รวมทั้งขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน มุ่งบรรลุเป้าหมายเพิ่ม RE เป็น 30% ภายในปี 2573

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2567 EGCO Group สามารถบริหารจัดการ Portfolio โรงไฟฟ้าและต้นทุนเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าทุกแห่งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งความสามารถในการบริหารจัดการโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ 

ในไตรมาสนี้ EGCO Group ประสบความสำเร็จในการปิดดีลซื้อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ในสหรัฐอเมริกา และการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration (ส่วนขยาย) จังหวัดระยอง ส่งผลให้ EGCO Group รับรู้รายได้จากโครงการทั้ง 2 แห่งทันที ด้านธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด หรือ ESCO ในกลุ่มเอ็กโก ได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เซอร์วิส (แหลมฉบัง) จำกัด เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ที่มีความยาวมากกว่า 2 เมตร แห่งเดียวในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน 

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 EGCO Group มีรายได้รวม 11,360 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า Paju ES ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง และโรงไฟฟ้า Nam Theun 2 ที่มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ทำให้ในไตรมาสนี้ EGCO Group มีกำไรสุทธิ 1,662 ล้านบาท 

สำหรับความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง Yunlin ในไต้หวัน ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 โครงการมีความพร้อมทุกด้านและการก่อสร้างมีความก้าวหน้าตามแผนงานเป็นลำดับ โดยได้ติดตั้งเสากังหันแล้วเสร็จรวม 54 ต้น ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม 264 เมกะวัตต์ มีอัตราการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยของโครงการสูงกว่า 40% ยืนยันศักยภาพการสร้างรายได้ในอนาคต และมีกำหนดแล้วเสร็จครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567

“EGCO Group ได้ครบรอบการดำเนินงานปีที่ 32 ด้วยรากฐานที่มั่นคง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตให้ธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในทิศทางที่สอดคล้องกับยุคเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ด้วยการแสวงหาโอกาสลงทุนในรูปแบบ M&A ในโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อสร้างรายได้ทันที รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน เพื่อบรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2573 ในขณะเดียวกัน EGCO Group ยังเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่าง ‘ธุรกิจ ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม’ ตามกรอบ ESG ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และปราศจากการคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้ผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืน” ดร.จิราพร กล่าวสรุป

'หมอเหรียญทอง' ยืดอกรับผิดปมลงโทษกุ๊ย 14 ลั่น!! 'ไม่ขอโทษ-ไม่หนีความผิด' ยัน!! เมื่อกฎหมายหน่อมแน้ม ต้องจัดการเองเพื่อลดเสี่ยงต่อผู้ป่วยรายอื่นๆ

(15 พ.ค. 67) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีตบหน้า แก้ผ้า ยึดโทรศัพท์เด็กชายอายุ 14 ปีที่สูบบุหรี่ในห้องน้ำของโรงพยาบาล ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนผู้ใช้บริการท่านอื่น ระบุว่า..

“เมื่อผมกระทำผิดกฎหมาย ผมก็ต้องรับผิดตามกฎหมาย ลูกน้องของผมเสนอให้ผมตัดภาพวงจรปิดด้วยการเอากล้องวงจรปิดจากจุดที่เกิดเหตุดังเช่นส่วนราชการหลายแห่งกระทำกันเมื่อเกิดเหตุเพื่อจะได้ไม่เป็นหลักฐานเอาผิดผมออกตั้งแต่คืนวันที่เกิดเหตุ 

แต่ผมสั่งการว่า "ไม่ต้อง หากผมทำผิด ผมจะรับผิดเอง แม้จะต้องจำคุกก็ตาม"...ผมเป็นอดีตหัวหน้านักเรียนผู้บังคับบัญชา ผมมีระบบเกียรติศักดิ์สูงยิ่ง ไม่โกหก ไม่หนีความผิด ติดคุกก็ติดคุก ไม่เคยรู้สึกอับอายหากต้องจำคุก 

ลูกน้องของผมขอเสนอตัวเป็นผู้กระทำความผิดเอง ผมก็บอกว่า "พี่ขอขอบใจ แต่พี่ทำเอง พี่รับผิดเอง ไม่ต้องมีใครมารับผิดแทนพี่ทั้งนั้น" 

ดังนั้นคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ตลอดจนผู้พิพากษาตัดสินคดีง่ายครับ เพราะผมจะรับผิดในสิ่งที่ผมกระทำ คดีนี้โจทก์ไม่จำเป็นต้องมีทนายเก่ง เพราะผมต้องการให้คดีนี้เป็นการพิสูจน์ความดี เก่ง กล้า ในการรับผิดตามกฎหมายของผม ถึงแม้ต้องจำคุกนานนับ 10 ปีก็ตาม

ผมไม่ทราบหรอกว่าไอ้วัยรุ่นกุ๊ยอายุเท่าไหร่ ทราบแต่ว่าผมยาว หน้าแก่เกินวัย มีเมียตั้งครรภ์แล้วเท่านั้น ก็คิดไม่ถึงหรอกครับว่าจะมีอายุ 14 ตามที่สื่อต่าง ๆ ประโคมข่าวว่าผมตบเด็ก เพื่อให้สังคมประณามผม ซึ่งผมก็ไม่แคร์อะไรกับใครก็ตามที่รุมประณามสะใจโจมตีผมทั้งนั้น 

คนอย่างผมเป็นคนเข้มแข็ง และมีที่ยืนในสังคมอย่างมากมาย มีคนเคารพรักชื่นชมในความกล้า แม้ในบางครั้งหากต้องบ้าบิ่น คนอย่างผมก็กล้าตัดสินใจทำ แม้คนอย่างผมจะเลือกชีวิตที่สุขสบายลอยตัวได้ แต่ชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นสั้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนอย่างผมจึงไม่กลัวอะไร

เมื่อผมปกป้องให้ รพ.มงกุฎวัฒนะให้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย ญาติ บุคลากรจำนวนมาก โดยเฉพาะปลอดภัยจากบุหรี่อย่างเด็ดขาด ไม่ให้ควันบุหรี่ที่เป็นสารก่อมะเร็งปอด ส่งผลเสียต่อผู้ป่วยรายอื่น ๆ จำนวนมาก ต่อญาติผู้มาเยี่ยมจำนวนมาก ต่อบุคลากรในสังกัดจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปกป้องไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมจากอัคคีภัยที่เกิดจากบุหรี่ 

แม้กฎหมายบ้านเราจะหน่อมแน้มในการปกป้อง รพ. หรืออาคารสาธารณะทุกแห่งให้ปลอดภัยจากบุหรี่ แต่ผมจะปล่อยให้ความหน่อมแน้มทางกฎหมายที่ผู้มีอำนาจรัฐไม่เคยใส่ใจเอาจริงเอาจังจัดการให้เด็ดขาดได้ แต่ผมก็จะไม่ปล่อยให้ความหน่อมแน้มของกฎหมายกลายเป็นความเสี่ยงต่อผู้ป่วยรายอื่น ๆ จำนวนมาก ต่อญาติผู้มาเยี่ยมจำนวนมาก ต่อบุคลากรในสังกัดจำนวนมากใน รพ.มงกุฎวัฒนะที่มีผมเป็นผู้นำรับผิดชอบ

ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อกฎหมายจัดการผู้สูบบุหรี่ที่มีโทษเพียงแค่ปรับ ทั้งหากเป็นเยาวชนยังได้รับการยกเว้นโทษอีกด้วย ในขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดทั้งอาญาและแพ่ง หากเกิดอัคคีภัยจนเกิดโศกนาฏกรรม และการชดเชยการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก หากสถานประกอบการต้องเลิกกิจการจากอัคคีภัย คนอย่างผม ผมกลับกล้ารับผิด ไม่โกหก ไม่ปฏิเสธความผิด แม้จะต้องจำคุกนานนับ 10 ปี ในวัย 64 แล้วก็ตาม แม้อาจจะต้องตายในคุกก็ไม่กลัว เพราะผมคือตำนานของลูกหลานเหลนโหลน และคนที่เคารพรักผม โดยเฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชาของผม

แม้จะต้องจำคุกเมื่อเป็นผู้สูงวัย ผมก็จะจำคุกอย่างมีระบบเกียรติศักดิ์ของการเป็นอดีตหัวหน้านักเรียนผู้บังคับบัญชา นักเรียนแพทย์ทหาร วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ที่ผมได้รับการปลูกฝังมานานกว่า 43 ปี ตั้งแต่เข้ารับการฝึกจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และเรื่อยมาในขณะเป็นนักเรียนแพทย์ทหาร วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ตราบจนปัจจุบันที่เป็นทหารเกษียณอายุในวัย 64 แล้วก็ตาม

ผมขอรับรองว่าไม่มีทางที่คนอย่างผมจะขอขมาไอ้กุ๊ยส้นตีนสร้างความเดือดร้อนสังคมส่วนรวม ไม่มีทางที่คนอย่างผมจะวิ่งเต้นคดี ท่านทั้งหลายจะได้เห็นผมรับผิดตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาชัดเจน 
ผมจะพิสูจน์ให้เห็นกันตั้งแต่การรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งหมายเรียกมาถึงผม
พระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ มีพระบรมราโชวาทถึงการส่งเสริมคนดี แต่พระองค์ท่านไม่ได้หมายความว่า คนดีทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย ถึงแม้จะทำคุณงามความดีมามากมายในหลายสถานการณ์วิกฤตก็ตาม แต่เมื่อผมทำผิด ผมก็ต้องรับผิด

นี่คือ An Officer and a Gentleman...อ่านว่า 'แอนอ๊อฟฟิสเซอร์ แอนด์อะเจ็นเทิลแมน' แปลว่า 'นายทหาร และ สุภาพบุรุษ' ...ผมเป็นนายทหารสุภาพบุรุษ กล้ารับผิดเสมอ

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ
15 พ.ค.67 เวลา 8.32 น.”

'นักข่าวเทวดา' กระตุกสังคมถึงคนที่เรียกร้องความเป็นคนจากอีกฝ่าย  ทั้งๆ ที่ฝ่ายตนเอง ไม่เคยนึกถึงด้านมืดที่พวกตนเคยทำมาก่อน

(15 พ.ค.67) นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักเคลื่อนไหว และผู้สื่อข่าวข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ เจ้าของฉายานักข่าวเทวดา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pravit Rojanaphruk' ระบุว่า...

วันนี้เห็นหลายคนฝั่งต้าน 112 เรียกร้องให้อีกฝั่งมีความเป็นมนุษย์ในการแสดงปฎิกริยาต่อการตายของบุ้ง 

แต่หลายคนกลับมองไม่เห็นตอนที่ฝ่ายตนจำนวนหนึ่งแสดงออกโดยการหัวเราะสะใจต่อการตายหรือเจ็บปางตายของคนที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเขาเทิดทูน 

>> เมื่อไหร่เราจึงจะสามารถเลิกปิดตาข้างหนึ่ง มองด้านเดียว เวลาเรียกร้องความเป็นคนจากอีกฝ่าย หรือทำเป็นมองไม่เห็นด้านมืดของฝั่งตนเอง 

#ป #บุ้งทะลุวัง #ม112

‘แอร์ฯ สาว’ แชร์อุทาหรณ์ สานสัมพันธ์รัก 3 หนุ่ม 3 เชื้อชาติในวันเดียว สุดท้ายตั้งท้อง ต้องลาออก และต้องอยู่ต่อให้ได้เพียงลำพังกับลูก

(15 พ.ค. 67) แอร์โฮสเตสสาวชาวมาเลเซียรายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวของเธอบนสื่อสังคมออนไลน์และถูกนำมาเผยแพร่ต่ออย่างกว้างขวาง ถึงพฤติกรรมที่ขาดความยั้งคิดของตนเอง จนกระทั่งทำให้เธอตั้งครรภ์กับคนแปลกหน้า

โดยรายงานข่าวระบุว่า เหมย ลี่ (นามสมมุติ) เข้าทำงานที่สายการบินนานาชาติแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อายุ 19 ปี เธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างเต็มเหนี่ยวในขวบปีแรกของการทำงาน เติมเต็มความฝัน เดินทางไปทั่วโลกและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตาจากประเทศต่าง ๆ

"ขณะหยุดพักระหว่างทาง ปกติแล้วฉันจะไปออกเดทแบบสบาย ๆ ไม่ผูกมัด ฉันชอบพบปะกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ ระหว่างรอเที่ยวบินถัดไปสำหรับเดินทางกลับบ้าน" เธอกล่าว นอกจากนี้แล้ว เหมย ลี่ เผยด้วยว่าเธอยังใช้เวลาว่างเข้าแอปพลิเคชันหาคู่ ออกเดทกับหนุ่ม ๆ ที่มีเสน่ห์ และมีความสุขให้มากที่สุด เท่าที่เธอจะตักตวงจากพวกเขาได้

เหมย ลี่ ถึงขั้นบอกว่าหนึ่งในความฝันของเธอ คือการได้อยู่กับหนุ่ม ๆ จากทั่วโลก "ฉันอยากรู้ว่า มันจะเป็นอย่างไร ตอนที่ฉันเดินทางไปทั่วโลก"

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีตอนจบ และ เหมย ลี่ พบว่าตนเองตั้งครรภ์ โดยหลังจากพบว่าประจำเดือนของตนเองมาช้า เธอตัดสินใจตรวจครรภ์ ซึ่งท้ายที่สุดก็พบว่าตนเองกำลังตั้งท้อง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในค่ำคืนที่เธอเชื่อว่าอาจเป็นวันที่ทำให้เธอตั้งครรภ์นั้น เป็นวันที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับชายแปลกหน้า 3 คน ในคราวเดียว

"ฉันจำคืนนั้นได้ เครื่องบินของฉันเพิ่งลงจอด และฉันรู้สึกอยากผจญภัยอันเร่าร้อน ตอนที่ฉันไปถึงโรงแรม ฉันเปิดแอปพลิเคชันและเริ่มค้นหา ฉันหาทางเติมเต็มจินตนาการของการพบปะกับหนุ่ม ๆ 3 คนในคราวเดียว"

"คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความร่วมมือ แต่มันน่าประหลาดใจมาก เมื่อสามารถหาชายแปลกหน้า 3 คน ยินยอมพร้อมใจกันอย่างง่าย ๆ ระหว่างชาย 3 คนในคืนดังกล่าว ทั้งหมดเป็นคนเชื้อสายต่างกัน คนหนึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว คนหนึ่งเป็นชาวไนจีเรียเกิดในอังกฤษ และอีกคนเป็นชายจากอาร์เจนตินา ฉันรู้ว่าตนเองทำผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ฉันไม่อาจทำแท้งลูกได้"

"ฉันต้องการมีลูกมาตลอด แต่ไม่ใช่ในกรณีแวดล้อมเช่นนี้ ฉันอยากมีอายุมากกว่านี้ แต่งงานและมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉันต้องการมีลูกกับสามี ไม่ใช่เพียงลำพัง" เธอกล่าว

เหมย ลี่ บอกด้วยว่าการมีลูกอาจทำให้เธอต้องตัดสินใจลาออกจากงานแอร์โฮสเตส เนื่องจากวิธีชีวิตที่วุ่นวายจากอาชีพนี้ไม่เหมาะกับการเลี้ยงลูกเพียงลำพัง และด้วยที่เธอไม่มีใครนอกเหนือจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด 2 คน ที่เธอสามารถปรับทุกข์ได้ เหมาย ลี่ จึงรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผ่าน ๆ มาของตนเอง

"ถ้าฉันมีลูก ฉันคงจะต้องลาออกจากงานในท้ายที่สุด และต้องหาทางหารายได้อื่นมาเลี้ยงชีพและดูแลลูก อีกด้านหนึ่งหากฉันตัดสินใจทำแท้ง ฉันเกรงว่าฉันจะต้องทุกข์ทรมาน แบกรับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"

‘เจ้าอาวาสวัดไผ่ฯ’ ให้สติ!! ผู้สนใจลอง 'วิชาครอบหม้อ' หากคิดจะมารักษาด้วยวิธีนี้ ควรใช้สติเป็นหลักด้วย 

(15 พ.ค.67) จากกรณีโซเชียลที่มีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤาษีปู่ตรัย ศาสตร์ภูมิปัญญาทำการรักษาโรคด้วยวิชาครอบหม้อ เพื่อรักษาโรคให้กับศิษย์และคนทั่วไป โดยใช้วิธีใช้หม้ออลูมิเนียมไปครอบศีรษะ แล้วท่องคาถา อ้างว่าสามารถ เปิดตาเป็นตาที่สามได้ รักษาโรคได้สารพัดโรค มีประชาชนจากหลายจังหวัดแห่ไปรักษาเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ อาจารย์ปู่ตรัย ได้ใช้เป็นสถานที่ในการทำการรักษาด้วยวิชาครอบหม้อ ไปพบกับพระอาจารย์ ชาญ วุฑฒิโก เจ้าอาวาสวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า สถานที่ทำการรักษาด้วยหม้อที่เห็นในโซเชียลนั้น เป็นที่วัดไผ่เจริญสมณะกิจ ซึ่งตอนนั้นมีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤษีปู่ตรัย ที่เคยเป็นญาติธรรม เคยเป็นคนที่ร่วมสร้างวัดแห่งนี้ และได้มาขอทางวัดใช้สถานที่ลานพญานาค ในการทำพิธีกิจกรรมบำบัดรักษาตามศาสตร์ตามสูตรของฤษีปู่ตรัย ซึ่งพระอาจารย์ก็เลยอนุญาตให้ใช้สถานที่ไป

พระอาจารย์ ชาญ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของพิธีทำการรักษาโรคให้กับลูกศิษย์ด้วยการวิชาครอบหม้อ นั้นส่วนตัวไม่เคยเห็นการทำวิธีแบบนี้มาก่อน เคยเห็นแต่วิธีใช้พัดปัดเป่าในการรักษา ซึ่งเขาเรียกว่าการเป่ามหาระงับ ซึ่งการรักษาแบบนี้ส่วนตัวคิดว่าถือเป็นการหน้าจะการรักษาทางใจ ที่อาจจะเป็นศาสตร์การรักษาของทางฤษีปู่ตรัย ซึ่งอาจจะเป็นสร้างความสบายใจให้กับผู้ที่มารักษา

นอกเหนือจากไปรักษาทางอื่น ๆ แล้วไม่ดีขึ้น ไม่หาย เลยหาวิธีอื่น ๆ มาช่วยในการักษาให้หายจากโรคจากอาการที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้มารักษาด้วยวิธีแบบนี้ควรที่ใช้สติในการรักษาเป็นหลักด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top