Friday, 9 May 2025
NewsFeed

กสร. ปูพรมส่งพนักงานตรวจแรงงานร่วมมือจป.ในโรงงาน สู้ COVID-19 ในกิจการก่อสร้าง โรงงานกลุ่มเสี่ยง

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการ ส่งพนักงานตรวจแรงงานประสานเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน เข้าดูแลสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะกิจการก่อสร้างขนาดใหญ่

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวชี้แจงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน หรือที่เรียกกันว่า Cluster ที่ขยายวงกว้างในสถานประกอบกิจการต่าง ๆ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หาแนวทางการยับยั้งการแพร่ระบาดในสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะกิจการก่อสร้างขนาดใหญ่ จึงได้จัดทำประกาศ เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการ ฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการ นายจ้าง และลูกจ้าง ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันฯ อาทิเช่น ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ทั้งเข้าไปและออกจากพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตทำงานและพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองในสถานประกอบกิจการ อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การจัดหาแอลกอฮอล์ล้างมือ การควมคุมให้ลูกจ้างสวมหน้ากากอนามัย และประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างทราบวิธีการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเบื้องต้นด้วยตัวเอง เป็นต้น

ทั้งนี้ได้ส่งพนักงานตรวจแรงงานประสานทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ของสถานประกอบการ ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าระวังคัดกรองไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวได้
 
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบลูกจ้างเสี่ยงที่จะติดเชื้อ หรือติดเชื้อ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำเป็นต้องไปรับการตรวจรักษา หรือรับการชันสูตรทางการแพทย์ ให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างใช้สิทธิลาป่วย หรือใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีตามกฎหมายหรือตามตกลงกัน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และการปฏิบัติตามแนวทางนี้ ให้ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือโทรศัพท์สวยด่วน 1546 หรือ 1506 กด 3

‘รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร’ ร่ายประวัติ ‘ฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล’ หลังโดนแจ้งความข้อหา ผิด ม.112 ระบุ ก่อนทำไม่คิด แม้จะมาขอความเห็นใจ แต่ยังเหน็บแนมไม่จบ ชี้สมควรแล้วที่ถูกดำเนินคดี

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกล่าวถึงฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล อดีตนักร้องดังที่ถูกแจ้งความในข้อหา ม.112 ว่าที่จริงผมไม่เคยรู้จักคุณฮาร์ท หรือ คุณสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุลเลย ไม่เคยเจอตัวจริงแม้สักครั้ง เห็นแต่ในข่าว ในทีวี แต่ผมกลับมีความรู้สึกเหมือนรู้จักและมีความผูกพันกับคุณฮาร์ท เนื่องเพราะได้ยินชื่อคุณฮาร์ทครั้งใด ทำให้ผมนึกถึงความหลังในอดีตครั้งนั้น

คุณพ่อของคุณฮาร์ท ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เคยรับราชการ เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นคนชะอำ ชื่อ ร.อ.สุวิทย์ ทัดพิทักษ์กุล

คุณยายผมเคยมีบ้านพักตากอากาศที่หาดชะอำ ชื่อบ้าน “ปลุกปรีดี”

ในวัยเด็ก ช่วงปิดเทอม ผมและพี่ ๆ ก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านปลุกปรีดี หาดชะอำเป็นเดือน ๆ ส่วนคุณยาย ในช่วงหน้าร้อน จะไปปักหลักที่ชะอำ คอยดูแลหลาน ๆ คุณพ่อ คุณแม่ จะตามไปสมทบในวันเสาร์และอาทิตย์ กลับมาทำงานวันจันทร์ พวกเราจึงรู้จักและใกล้ชิดกับชาวชะอำเป็นจำนวนมาก ชีวิตวัยเด็กที่ชะอำจึงเป็นช่วงชีวิตที่สนุกและมีความประทับใจ เป็นที่จดจำอย่างมาก

วัดเนรัญชราราม เป็นวัดเดียวที่อยู่ที่หาดชะอำ ครอบครัวผมมีความผูกพันกับวัดนี้ ในระดับที่พวกเรานำอัฐิคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ รวมทั้งพี่อีก 2 คน และหลานที่เสียชีวิตแล้วมาบรรจุไว้ที่นี่

ในสมัยนั้น วัดเนรัญฯ มีมัคทายิกา เป็นสุภาพสตรี ชื่อประไพ ซึ่งเราไม่เคยจำนามสกุลได้ แต่เราเรียกคุณประไพตามที่คุณยายและคุณแม่เรียกว่า “แม่ไพ”

แม่ไพ เป็นคนสนุกสนาน อารมณ์ดี มีอารมณ์ขันเป็นเลิศ พวกเราจึงรักใคร่สนิทสนมกับแม่ไพเป็นอย่างมาก แม่ไพ ชอบพูดถึงคุณพ่อของคุณฮาร์ท ให้เราฟังบ่อย ๆ ในน้ำเสียงที่แสดงความภูมิใจว่า

คุณสุวิทย์ ทัดพิทักษ์กุล (คุณพ่อคุณฮาร์ท) เป็นคนชะอำ คุณถนัด คอมันตร์ ซึ่งมีบ้านพักตากอากาศที่หาดชะอำ ช่วยอุปการะ ให้ไปอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ และสนับสนุนให้เรียนหนังสือ ภายหลังรับราชการจนได้เป็นใหญ่เป็นโตในกระทรวงพาณิชย์

เป็นเรื่องแปลก เมื่อผมมาทำงานเป็นอาจารย์ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้รู้จักและมีความสนิทสนมกับอาจารย์รุ่นพี่ในคณะเดียวกันท่านหนึ่ง ซึ่งมีอารมณ์ขันเป็นเลิศเช่นเดียวกับแม่ไพ ท่านชื่อ อ.อำไพ ทัดพิทักษ์กุล ใช่ครับ ท่านเป็นคุณแม่ของคุณฮาร์ท

พี่อำไพ มักชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณฮาร์ทซึ่งยังวัยรุ่นในขณะนั้นให้ฟัง ที่ท่านมีความประทับใจมาก และเล่าด้วยความภูมิใจคือ เมื่อคุณฮาร์ทไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับมาเยี่ยมบ้าน ความที่คุณฮาร์ทเล่นเปียโนเก่ง ครั้งหนึ่งเมื่อครอบครัวไปทานอาหารที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีคนเล่นเปียโน คุณฮาร์ทจึงได้ขึ้นไปแสดงฝีมือเล่นเปียโนด้วย เล่นได้เก่งจนมีคนเข้ามาฟังเป็นจำนวนมาก และปรบมือให้จนดังสนั่นไปทั้งห้อง ผมได้ฟังแล้วก็อดรู้สึกชื่นชมตามพี่อำไพไม่ได้

พี่อำไพเล่าด้วยความภูมิใจในลูกชายคนนี้มาก เสียดายที่พี่อำไพ ลาออกจากการเป็นอาจารย์ไปก่อนเกษียณอายุหลายปี หลังจากท่านออกไปก็ไม่มีโอกาสได้พบท่านอีกเลย

เป็นเรื่องแปลกอีก เมื่อคุณฮาร์ทเข้าสู่วงการดนตรี ผู้ที่ให้โอกาสให้ “เบิร์ด กะ ฮาร์ท” ได้ออกอัลบั้มชุดแรก ก็เป็นเพื่อนรักและสนิทมากของผมคนหนึ่งชื่อ คุณไชยยงค์ นนทสุต ผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ไนท์สปอต โปรดัคชั่น ขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

เป็นเรื่องแปลกอีกเช่นกัน ที่เส้นทางของคุณฮาร์ทกับผมไม่เคยได้มาบรรจบกันเลยสักครั้ง แม้จะมีความเกี่ยวพันกันขนาดนี้

เมื่อผมทราบว่าคุณฮาร์ทโพสต์ข้อความที่ค่อนข้างหยาบคาย หมิ่นประมาทท่านทูต นริศโรจน์ เฟื่องระบิล ผมแปลกใจและรู้สึกผิดหวัง ภายหลังเห็นข่าวคุณฮาร์ทนำดอกไม้ไปขอขมาท่านทูต ทำให้รู้สึกโล่งใจ ว่าอย่างน้อยคุณฮาร์ทก็มีจิตสำนึกที่ดี

แต่แล้วโพสต์ล่าสุดของคุณฮาร์ทที่กำลังเป็นข่าวทำให้ผมตกใจและแปลกใจกระทั่งช็อค เพราะเป็นการยกระดับการหมิ่นประมาทที่สูงขึ้นไปอีก สูงจนเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ค่อนข้างชัดเจน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าคำว่า “เจ้านาย” นั้นคุณฮาร์ทหมายถึงเจ้านายพระองค์ไหน หรือหมายถึงทั้ง 2 พระองค์

ครั้งนี้คุณฮาร์ทกลับไม่ได้คิดจะไปขอขมาใคร แต่กลับโพสต์ข้อความขอความเห็นใจจากรัฐบาล ขอไม่ให้ยื่นฟ้องตัวเอง ขอให้มาพูดกับตัวเองดี ๆ อธิบายให้ตัวเองเข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าทำให้ตัวเองเข้าใจได้ก็อาจได้ตัวเองไปช่วยประสานงานให้ก็ได้ แม้ขอความเห็นใจ แต่ยังไม่วายมีเหน็บแนมโดยกล่าวถึงเรื่องฝุ่นเรื่องละอองอีกด้วย

ผมไม่แน่ใจว่า หากคุณพ่อของคุณฮาร์ทยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะรู้สึกอย่างไร

ด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด จึงอยากถามคุณฮาร์ทด้วยคำถามเดียวว่า

คุณฮาร์ทขอให้ผู้อื่นพูดกับตัวคุณฮาร์ทดี ๆ ให้ทำให้คุณฮาร์ทเข้าใจ แต่ก่อนที่จะโพสต์ข้อความที่พาดพิงถึง “เจ้านาย” ในทางเยาะเย้ย และให้เกิดความเสียหาย ทั้งยังดูหมิ่นดูแคลนแพทย์ใหญ่ แพทย์อาวุโสที่ออกมาช่วยเรียกร้องให้คนมาฉีดวัคซีน ซึ่งคุณฮาร์ทเรียกว่า “ลิ่วล้อ” ทำไมคุณฮาร์ทไม่ถามผู้อื่นให้ดี ๆ ไม่หาข้อมูลให้ดี ๆ และคิดให้ดี ๆเสียก่อนเล่า

คุณฮาร์ทไม่ใช่ตาสีตาสา แต่เป็นคนมีชาติตระกูล มีวัยวุฒิ มีการศึกษาดีเยี่ยม หากจะโจมตีรัฐบาล โจมตีพลเอกประยุทธ์ด้วยเหตุด้วยผล คงไม่มีใครว่า ไม่มีใครยื่นฟ้อง แต่ถึงกับกล้าโพสต์ข้อความแบบนี้เกี่ยวกับเจ้านาย ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกดำเนินคดี

อย่าอ้างโน่น อ้างนี่ อย่าขอความเห็นใจทั้งเหน็บแนมแบบนี้เลยครับ ยอมรับชะตากรรมต่อจากนี้ไป เพื่อเป็นบทเรียนดีกว่า จะดูดีกว่าเยอะ และน่าเห็นใจกว่าเยอะ

รับรองว่า การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังเป็นไปไม่ได้ในระยะ 10 ปีข้างหน้านี้ ดังนั้นอย่าได้มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปเลยครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000016923106/posts/4347251238618731/

ส.อ.ท. เร่งเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ฟื้นโครงการลดระยะเวลาเครดิตทางการค้า “FTI Faster Payment Phase 2” ช่วย SMEs ในซัพพลายเชนกว่า 20,000 ราย และพยุงเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายน ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน หลายธุรกิจประสบปัญหายอดขายลดลง และขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งแนวทางหนึ่งที่ภาคเอกชนจะสามารถร่วมแรงร่วมใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยกันให้อยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ได้ คือ การช่วยกันชำระค่าสินค้าหรือบริการให้แก่คู่ค้าเร็วขึ้น

ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ดำเนินโครงการ FTI Faster Payment (ส.อ.ท.ช่วยเศรษฐกิจไทย) ชำระหนี้ค่าสินค้าหรือบริการให้แก่คู่ค้าที่เป็น SMEs ภายใน 30 วัน ซึ่งมีซัพพลายเออร์ที่เป็น SMEs ไม่ต่ำกว่า 20,000 กิจการที่ได้รับประโยชน์ มีมูลค่าการซื้อขายของ SMEs ในซัพพลายเชนอย่างน้อย 4,300 ล้านบาทต่อเดือน

โดย ส.อ.ท.ได้ฟื้นโครงการ FTI Faster Payment Phase 2 กลับมาอีกครั้ง โดยจับมือกับ 163 บริษัทที่เคยเข้าร่วมโครงการในครั้งที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในเครือ SCG, บมจ.สหพัฒนพิบูล, กลุ่มบริษัทซีพี, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ หรือ บมจ.ปตท. และกลุ่มค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้มี SMEs ในซัพพลายเชนหลายหมื่นราย และจะขอความร่วมมือขยายผลไปยังกลุ่มผู้ประกอบการในตลาด MAI และ SET100 โดยคาดหวังว่าโครงการ FTI Faster Payment Phase 2 จะช่วยเพิ่มเสริมสภาพคล่องให้เกิดทั้งซัพพลายเชน ซึ่งจะเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาวะวิกฤติให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้

โครงการ FTI Faster Payment สามารถต่อยอดไปยังแพลตฟอร์ม Digital Factoring ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่ง ส.อ.ท.ได้มีการหารือกับ ธปท.ในเบื้องต้นแล้ว โดยได้เสนอประเด็นต่าง ๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อน Digital Factoring ให้สามารถเกิดขึ้นได้เร็วและเป็นไปได้ รวมถึง ส.อ.ท. สามารถสนับสนุนการพัฒนาระบบในการตรวจสอบยืนยัน Invoice ในโครงการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินมากขึ้น

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และไม่ได้อยู่ในซัพพลายเชนดังกล่าว ส.อ.ท. ไม่ได้ละทิ้ง และยังคงหาแนวทางในการช่วยเหลือเร่งด่วนในรูปแบบอื่น ๆ ต่อไป อาทิ การร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดอบรมและ Workshop เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการในการเข้าถึงสินเชื่อ ภายใต้มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจฯ (ซอฟท์โลน) และติดตามรับฟังปัญหาของ SME ที่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการดังกล่าว โดยมอบหมายให้นายปรีชา ส่งวัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ดูแลงานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) เป็นผู้ดูแลมาตรการต่าง ๆ เป็นหลัก

“บิ๊กตู่” ประชุม ครม. จับตาสถานการณ์โควิดระบาดไม่คลี่คลาย รัฐเร่งระดมจัดหา-ฉีดวัคซีนทางรอดวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564  ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นสัปดาห์ที่สอง หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ยังคงมีการกระจายที่สูงขึ้น อีกทั้งในส่วนของทำเนียบรัฐบาลยังคงมาตรการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รวมทั้งสื่อมวลชนเวิร์คฟอร์มโฮม (WFH)  

อย่างไรก็ตามต้องจับตาไปที่การรายงานสถานการณ์โควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น ในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ รวมถึงการตั้งโรงพยาบาลสนาม และการหารือการเตรียมพร้อมรับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะกระจายฉีดปูพรหมไปยังต่างจังหวัด โดยรัฐจะทยอยส่งวัคซีนเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังต้องจับตาดูในเรื่องของการวอล์กอิน เข้ารับการฉีดวัคซีนของประชาชนทั่วไป ที่ศบค.ชุดเล็กมีความกังวลเรื่องความแออัด จะบริหารจัดการยาก ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขต้องไปจัดทำแผนใหม่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด  

มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการช่วยเหลือแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. เห็นชอบลดอัตราเงินสมทบทั้งในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือนในงวดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 ส่วนงวดเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ให้ส่งเงินสมทบอัตราเดิม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอก 3

ส่วนวาระอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ กระทรวงแรงงาน เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าทำศพที่ให้นายจ้างจ่าย นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง เสนอขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ในส่วนวาระการพิจารณาด้านอีก สทนช. เตรียมเสนอมาตรการการรับมือฤดูฝนปี 2564 กระทรวงมหาดไทย รายงานการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐ จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) พ.ศ.2564

อาร์ทีไอ/ไต้หวันนิวส์ รายงาน วันที่ 17 พ.ค.ว่าไต้หวันหลังประกาศเตือนระดับ 3 มาแล้ว 3 วัน ยังพบติดเชื้อรายใหม่ เกินร้อยต่อเนื่อง โดยพบผู้ติดเชื้อยืนยันรายใหม่ 335 ราย ในวัน 17 พฤษภาคม

นายโหวโหย่วอี๋ ผู้ว่าการนครนิวไทเป ประกาศเมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.-17 พ.ค. ที่ผ่านมา นครนิวไทเปมีผู้ติดเชื้อสะสม 359 ราย ในจำนวนนี้แบ่งเป็นวันที่ 15 พ.ค. 74 ราย วันที่ 16 พ.ค. 95 ราย และ 17 พ.ค. 144 ราย โดยเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน 9 เขต ซึ่งล้วนเป็นเขตที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แบ่งเป็นเขตปั่นเฉียว 94 ราย ซานฉง 44 ราย จงเหอ 41 ราย หย่งเหอ 36 ราย ถู่เฉิง 31 ราย ซินจวง 29 ราย หลูโจว 23 รายวัน ซินเตี้ยน 15 ราย และต้านสุ่ย 10 ราย

ดังนั้นในขณะนี้นิวไทเปควรยกระดับการป้องกันให้สูงกว่าระดับ 3 หรือปรับเป็นระดับ 3 เข้ม หรือ ‘เตรียมเข้าสู่ระดับ 4’ โดยหากพบการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามมาตรการป้องกันโควิด-19 จะสั่งปรับในทันที

ทั้งนี้มาตรการควบคุมโควิด-19 ระดับ 3 กำหนดว่า ออกนอกบ้านต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ 3,000-15,000 เหรียญไต้หวัน สถานประกอบการและสถานที่สาธารณะต้องใช้มาตรการสวมใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคม ร้านอาหารและภัตตาคารให้ใช้ระบบลงทะเบียนยืนยันตัวตน ใช้แผ่นกั้นและจัดที่นั่งโดยเว้นระยะห่างที่เหมาะสม หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ 3,000-15,000 เหรียญไต้หวัน (TWD) ห้ามจัดกิจกรรมทางศาสนาหรือสถานประกอบการ 8 ประเภทหยุดให้บริการทั้งหมด หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ 60,000-300,000 เหรียญไต้หวัน

พร้อมกันนี้ผู้ว่าฯ นครนิวไทเปยังได้เรียกร้องให้ศูนย์บัญชาการควบคุมโรคเร่งหารือเกี่ยวกับการมอบอำนาจให้รัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจในการล็อกดาวน์หรือจัดตั้งมาตรฐานและเงื่อนไขการล็อกดาวน์ให้ชัดเจนกว่านี้

ทั้งนี้ไต้หวัน ใช้ระบบเทคโนโลยี NHI MediCloud System ช่วยในการต่อสู้กับ COVID-19 ระบบนี้ ‘NHI MediCloud System’ ข้อมูลทางการแพทย์ที่กระจัดกระจายอยู่ในโรงพยาบาลและคลินิกต่าง ๆ ในโรงพยาบาลมณฑลและเมืองต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เปิดข้อมูลตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดราชการ


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000047705

ครม.เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ของ รฟท. 2,886 ล้านบาท

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 2,886 ล้านบาท 

เงินอุดหนุนดังกล่าว มาจากการประมาณรายได้ของ รฟท.ไว้ที่จำนวน 314 ล้านบาทและประมาณการค่าใช้จ่ายจำนวน 3,201 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมประมาณการต้นทุนจากการให้บริการสาธารณะในเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานการเดินรถและซ่อมบำรุง ค่าซ่อมบำรุง และค่าเบี้ยประกันภัย รวมถึงนำผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาคำนวณซึ่งทำให้ประมาณการผู้โดยสารในปี 2564 ลดลง

รัฐบาล พร้อมแจง พ.ร.ก. 2 ฉบับ และพ.ร.บ.งบฯ 65 นายกฯ ย้ำ ขอให้ รมต. ชี้แจง-อธิบาย ให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมรับทราบการรายงานของ นายอนุชา นาคาสัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงผลการประชุมวิป 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดวาระสำคัญ ดังนี้

1.) การพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 (ลดดอกเบี้ยผิดนัด) และ พ.ร.ก. การให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) พ.ศ.2564 โดยกำหนดประชุม วันที่ 27 พฤษภาคมนี้ หากไม่แล้วเสร็จ ให้พิจารณาต่อวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ และ

2.) การพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2565 กำหนดประชุม วันที่ 31 พฤษภาคม-2 มิถุนายน (รวม 3 วัน)

“นายกฯ ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ขอให้รัฐมนตรีใช้เวลาในการประชุมสภาฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชี้แจงข้อมูลถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้งบประมาณแผ่นดินในแผนงานและโครงการต่าง ๆ รวมถึงความสอดคล้องต่อสถานการณ์ของประเทศ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส งบประมาณของกระทรวงใดที่มีการปรับลดลงจากปีก่อนต้องชี้ให้เห็น เงินที่ใช้สำหรับการเยียวยากระตุ้นเศรษฐกิจและการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต้องอธิบายด้วยว่ามีการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินฯ และงบกลางกรณีฉุกเฉินอยู่แล้ว และที่สำคัญต้องตอบข้อซักถามทุกประเด็นให้เกิดความกระจ่าง เพื่อความเข้าใจร่วมกันและความสบายใจของประชาชน” น.ส.รัชดา กล่าว

“บิ๊กตู่" แจงสถานการณ์โควิด สั่ง ศบค.ออกตรวจพื้นที่เสี่ยง-แคมป์คนงานทั่ว กทม. พร้อมเร่งซีลเรือนจำสกัดเชื้อแพร่สู่ภายนอก ย้ำลุยปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ถึงปชช.มากที่สุด ไม่กั๊กไว้แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ขออภัยช่วงที่ผ่านมาระบบการฉีดมีปัญหา

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบนัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แถลง ภายหลังจากประธานจะประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นการแถลงข่าวที่อ่านตามสคริปที่เตรียมมาเช่นเดิม และชี้แจงเฉพาะเรื่องของมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัส โควิด-19 เท่านั้น ส่วนประเด็นคำถามเรื่องอื่น ๆ รวมทั้งประเด็นทางด้านการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด โดยทางคณะทำงานแจ้งว่าจะให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตอบคำถามของสื่อมวลชน 

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาเราพบว่าสถานการณ์โควิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล​เริ่มทรงตัว แม้ว่าเราจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ในบางพื้นที่แต่ยังมีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นอีก ทำให้ต้องมีการเรียกประชุม ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และศบค.เป็นการด่วน เพื่อรับทราบสถานการณ์ล่าสุดและหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด โดยต้องเร่งแก้ปัญหาสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยดำเนินการตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุด พร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเรือนจำภายในเรือนจำ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกมารักษา หากมีผู้ที่มีอาการรุนแรง จะนำออกมา รักษาที่โรงพยาบาลเฉพาะทางตามระบบ ซึ่งยืนยันว่าจะให้การรักษาผู้ติดเชื้ออย่างดีที่สุด อย่างเท่าเทียม โดยเรือนจำแต่ละแห่งมีระบบ ปิด จึงมีโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ สู่ชุมชนได้น้อยมาก จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคอยดูแลเข้มงวดในช่วงที่มีการระบาด ให้งดการเข้าเยี่ยมจากภายนอกจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า ส่วนในพื้นที่อื่น ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ยังคงเดินหน้าต่อไป ตามแนวทางที่ทำสำเร็จคือการตรวจเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วยส่งตัวรักษา และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง ควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมหน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การเว้นระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิทุกสถานที่ ซึ่งการระบาดเกิดจากการอยู่ในพื้นที่แออัดจึงได้กำชับสั่งการ ศบค. เร่งออกตรวจพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแคมป์คนงานก่อสร้าง โรงงานและสถานที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด รวมไปถึงในเรือนจำโดยจะใช้แนวทาง bumble and Seal คือ การปิดกั้นการเดินทาง เข้า-ออก ของคนในพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายเชื้อสู่ภายนอก โดยสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปิด ทีมแพทย์จึงเชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยเร็ว และจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแบบวันต่อวัน

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า ทั้งนี้แม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ยังคงทรงตัว หากไม่รวมถึงคลัสเตอร์ราชทัณฑ์ เราต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน และขอให้สนใจตัวเลขผู้ป่วยที่รักษาหายด้วย ซึ่งขณะนี้หายป่วยแล้วเกินครึ่งหนึ่ง โดยเป็นผลจากความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์และมาตรการของเรา นอกจากนี้อีกประเด็นสำคัญที่ตนและรัฐบาลให้ความสำคัญคือการฉีดวัคซีนที่ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทางคือ

1.) ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีผู้เข้ามาลงทะเบียนแล้วประมาณ 7 ล้านคน

2.) การลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน โดยย้ำว่าในกรณีที่มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ และ

3.) การกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์คือการจัดการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะหรือประชาชนกลุ่มเสี่ยง ที่จำเป็นต้องฉีดเพื่อให้การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจไทยดำเนินไปได้ไม่สะดุด

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า ทั้งนี้หากสมาคม องค์กร หรือกลุ่มบุคคลกลุ่มใดมีเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วน ให้ยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนและสถานที่ติดต่อไป โดยให้จัดระดับความเร่งด่วนเป็นกลุ่มต่าง ๆ ส่งมาที่กระทรวงสาธารณสุข โดยย้ำว่าเรามีเป้าหมายฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ นอกจากโรงพยาบาลเป็นจุดฉีดวัคซีนหลักแล้วยังมีจุดฉีดวัคซีนเสริม 25 จุดและสถานีกลางบางซื่อ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวยอมรับด้วยว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการวางระบบการฉีดวัคซีนมีปัญหาอาจเกิดความไม่ชัดเจนและไม่เข้าใจอยู่บ้าง ตนได้ติดตามเร่งรัดให้มีการปรับปรุงโดยเร็ว จึงต้องขออภัยที่อาจเกิดความไม่สะดวกอยู่บ้าง แต่ยืนยันว่าทุกคนในประเทศไทยต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอและจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศเดือน มิ.ย.นี้อย่างแน่นอน โดยที่ผ่านมาได้เร่งฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงไปแล้วมากกว่า 2 ล้าน 3 แสนโดส ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีและไม่มีใครมีผลข้างเคียงร้ายแรง แม้แต่คนเดียว จึงขอให้ประชาชนนั้นมั่นใจได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ตนได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมกองทัพไทยควบคุมการลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดนให้มีความเข้มงวดสูงสุด หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดแสวงหาผลประโยชน์จากความเสี่ยงของประเทศชาติจะต้องลงโทษให้หนักที่สุดโดยไม่มีการยกเว้น 

นายกฯ กล่าวย้ำว่า วันนี้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ นโยบายของตนก็คือเราจะต้องเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้โดยเร็วและเข้าถึงประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากที่ได้รับความคิดเห็นจากประชาชนจำนวนมาก ตนได้ตัดสินใจว่าจะไม่รอให้คนวัยหนึ่งวัยใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งฉีดวัคซีนจนครบก่อน จึงเปิดให้คนกลุ่มอื่นได้รับวัคซีน แต่จะปรับแผนการเดินหน้าประเทศไทยเปิดโอกาสให้ทุกคนทุกกลุ่มที่มีความพร้อมในการฉีดวัคซีนไม่ว่าจะเป็นวัยใด 60 ขึ้นไป หรือต่ำกว่า 60 ใครเข้าถึงวัคซีน แต่มากน้อยก็ขึ้นกับปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ โดยเฉพาะวัยทำงาน เพื่อปกป้องคนทำมาหากินคนที่เป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงคนในบ้าน ออกไปทำงานทำมาหาเลี้ยงชีพ 

"สิ่งสำคัญที่สุดเราจะเอาชนะโควิดไปได้อย่างไร คำตอบคือเราจะเอาชนะโควิดไปได้ โดยเดินหน้าไปพร้อมกันไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ดูแลซึ่งกันและกันให้ดีที่สุด เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปต่อได้เราจะสู้ไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องดีขึ้นด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความรักความสามัคคีของคนในชาติ เพราะเราทุกคนคือทีมประเทศไทย"นายกฯ กล่าว

ครม. ไฟเขียว กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าทำศพ โดยกองทุนเงินทดแทนเป็น 5 หมื่นบาท

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าทำศพให้นายจ้างจ่าย ซึ่งให้กองทุนเงินทดแทนจ่ายค่าทำศพในอัตรา 50,000 บาท เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงความตายหรือสูญหาย เนื่องจากการทำงาน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 40,000 บาท ตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าทำศพที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ.2563 โดยการปรับเพิ่มอัตราค่าทำศพดังกล่าว มีเจตนารมณ์เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม และช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการจัดการศพ  

ซึ่งครอบครัวผู้เสียชีวิตติดต่อยื่นเรื่องได้ที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ นอกจากนี้การเพิ่มอัตราฯ ยังให้เกิดความเท่าเทียมกันทั้งสองกองทุน คือ กองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคม ที่กำหนดอัตราเงินค่าทำศพไว้ที่ 50,000 บาท เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ อัตราใหม่จะไม่มีผลกระทบต่อสถานะกองทุนเงินทดแทน เนื่องจากกองทุนเงินทดแทนจัดเก็บเงินสมบทเฉลี่ยปีละ 3,941.82 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นค่าทำศพรวม เฉลี่ยปีละ 33.75 ล้านบาทหรือร้อยละ 0.96 ของเงินทดแทน ซึ่งในปี 2564 ที่กำหนดอัตราเงินค่าทำศพ 50,000 บาท จะมีค่าจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 6.75 ล้านบาท 

ครม. เห็นชอบแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศ ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) 62 กิจกรรม รวม 881 โครงการ กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 66,502.24 ล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ประกอบด้วยโครงการ/การดำเนินงานเพื่อการขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ทั้ง 62 กิจกรรม รวม 881 โครงการ กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 66,502.24 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปี 2564-2565 และงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยคณะรัฐมนตรียังมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock อย่างเคร่งครัด บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในทุกระดับ เพื่อผลักดันการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด 
   
ทั้งนี้ แผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการถ่ายระดับการดำเนินงานตามขั้นตอนและวิธีการของกิจกรรม Big Rock ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ไปสู่การปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยมีการระบุ (1) หน่วยงานร่วมดำเนินการ (2) เป้าหมายย่อย (Milestone) คือ เป้าหมายของการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่จะส่งผลให้บรรลุเป้าหมายของกิจกรรม Big Rock (3) ระยะเวลาที่คาดว่าจะแล้วเสร็จของแต่ละเป้าหมายย่อยโดยกำหนดระยะเวลาที่แล้วเสร็จ ณ สิ้นสุดไตรมาส และ (4) โครงการ/การดำเนินงานเพื่อการขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลผลิตตามเป้าหมายย่อยภายในระยะเวลาที่กำหนด ครอบคลุมรายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ แหล่งงบประมาณ และวงเงินงบประมาณที่ใช้ ซึ่งมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/การดำเนินงานรองรับกิจกรรม Big Rock ใน 3 ระดับ คือ (1) มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุด หากไม่ดำเนินการจะทำให้การปฏิรูปประเทศไม่บรรลุผลตามที่กำหนด (2) มีความจำเป็นเร่งด่วน และ (3) มีความจำเป็นเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนงบประมาณตามกฎหมายต่อไป   

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้ยกตัวอย่างกิจกรรม Big Rock ด้านเศรษฐกิจ เช่น การสร้างเกษตรมูลค่าสูง โดยมีเป้าหมายย่อยคือการขยายพื้นที่ชลประทานอย่างเหมาะสม/มีการสร้างผู้ประกอบการ Smart Farmer/เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมอาหารและเศรษฐกิจชีวภาพ มีโครงการ/การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ได้แก่ โครงการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ (Smart Big Farming) และโครงการส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้น ซึ่งผลผลิตที่จะได้คือ เกษตรกรสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และมีมูลค่าการจำหน่ายและการเจรจาธุรกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีงบประมาณ 2564 เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top