Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

'พัชรวาท' มอบเสื้อกันไฟ 250 ตัว ให้ 'ชุดเสือไฟ' เนื่องในวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า วอนทุกฝ่ายร่วมมือลดควันพิษ

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า 24 ก.พ.ของทุกปีว่า ไฟป่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ และทำให้เกิดมลพิษด้านฝุ่น PM 2.5  ดังนั้นการกำหนดให้มีวันดังกล่าวเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญของไฟป่าและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชน เกษตรกร งดการจุดไฟเผาป่า ลดควันไฟที่เกิดจากการเผาป่า สร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักให้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา หน่วยราชการ องค์กรเอกชน ถึงอันตรายและผลกระทบของควันที่เกิดจากไฟป่า เพื่อป้องกันและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ จากการจุดไฟเผาป่า และเพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 จากควันไฟ 

ซึ่งได้กำชับเรื่องนี้ในการมอบนโยบายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยให้มีการยกระดับ การสื่อสารเชิงรุก ในรูปแบบ เคาะประตูบ้านเพื่อเข้าไปสื่อสาร ทำความเข้า ใจ กับประชาชน เรื่องผลกระทบจากการเผาอย่างเข้มข้น และร่วมมือ ชุมชน หน่วยงานทุกภาคส่วนร่วมกันประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวง มหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และเครือข่ายต่างๆ เพื่อเป้าหมาย การลด Hotspot โดยเฉพาะในเขตป่าให้ได้ร้อยละ 50 และที่สำคัญที่สุด คือ ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ด้านป้องกันไฟป่า เพราะปฏิบัติการดับไฟป่าเป็นงานหนักและเสี่ยงต่ออันตรายต่อชีวิตและร่างกาย

ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อให้ชุดเสือไฟมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเพื่อให้มีความปลอดภัย จึงได้มอบเสื้อกันไฟ จำนวน 250 ตัว ให้กับเจ้าหน้าที่ชุดเสือไฟ เนื่องจากจะต้องไปสนับสนุนการดับไฟป่าขนาดใหญ่ มีความรุนแรงสูงหรือเกิดไฟป่าในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล ยากลำบากต่อการเข้าถึง มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตามการจะให้ปลอดควันพิษจากไฟป่านั้นจะอาศัยเพียงหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดคงไม่สำเร็จ ต้องอาศัยมือของทุกคนมาช่วยกันเพื่อลดควันพิษจากไฟป่า ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าก็ไม่สูญพันธุ์”

ผลสำรวจชี้!! Gen Z เจอแรงกดดันในชีวิตการทำงานสูงกว่าคน Gen อื่น เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

Gen Z เจอแรงกดดันใน ‘ชีวิตการทำงาน’ สูงกว่าคนเจนอื่นๆ เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

(24 ก.พ. 67) คนที่เกิดมาในยุคดิจิทัลอย่าง ‘Gen Z’ พวกเขากำลังเจอความท้าทายในชีวิตการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานการสำรวจจาก Deloitte ในปี 2023 ที่สำรวจเกี่ยวกับวัยทำงาน ‘Gen Z’ จำนวน 14,483 คนใน 44 ประเทศ พบว่า 46% ของชาว Gen Z เผชิญกับความวิตกกังวลและความเครียดอย่างต่อเนื่องในที่ทำงาน

นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างยังรายงานด้วยว่า พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า ระดับพลังงานต่ำ และจิตใจหลุดออกจากงาน โดยสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อมเชิงลบหรือโดยถากถางดูถูกในที่ทำงาน

ด้าน แคธลีน ไพค์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นซีอีโอของบริษัท One Mind at Work (ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน) แสดงความคิดเห็นว่า กลุ่มวัยทำงาน Gen Z กำลังเผชิญกับแรงกดดันมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ เนื่องจากเติบโตมาโลกที่เทคโนโลยีเข้ามาทำลายขอบเขตระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของคนรุ่นนี้กับคนรุ่นก่อนๆ พบว่า คนรุ่นก่อนไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เกิดจากเทคโนโลยีแบบเดียวกันในช่วงเริ่มต้นอาชีพของพวกเขา

“สำหรับผู้บริหารรุ่นซีเนียร์ในตอนนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วจะพบว่า เวลาไปทำงานในแต่ละวัน พวกเขาจะขับรถไปทำงานโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มี FedEx ในช่วงที่คนรุ่นก่อนๆ เริ่มต้นชีวิตทำงาน มันเป็นโลกที่แตกต่างไปจากยุคนี้อย่างสิ้นเชิง” เธอกล่าว

ศาสตราจารย์ไพค์ อธิบายต่อว่า ในอดีตไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ในทันทีเหมือนยุคนี้ และเมื่อวัยทำงานรุ่นก่อนๆ กลับบ้าน พวกเขาก็ตัดขาดจากงานอย่างแท้จริง (ไม่สามารถเข้าถึงงานได้ตลอดเวลาเหมือนยุคนี้) มันเป็นเหมือนโครงสร้างมหภาคตามธรรมชาติที่ทำให้เกิดการหยุดทำงานตามเวลา ตามระบบนาฬิกาชีวิตจำนวนมากและระเหยไปจนหมด

ในขณะที่เมื่อมองกลับมาในยุคนี้ จะเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตการทำงานของคนรุ่น Gen Z ส่งผลให้คนรุ่นนี้พยายามสร้างความแตกต่างระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สิ่งที่พบเห็นมากขึ้นในสังคมการทำงานก็คือ Gen Z กำลังพยายามวางขอบเขตชีวิตส่วนตัวให้กลับคืนมา มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างคนแต่ละรุ่น คนทำงานรุ่นใหม่จำนวนมากหันไปหาเทรนด์การทำงานแบบอื่นๆ เช่น 

- เทรนด์การทำงานแบบ Act your Wage คือ การทำงานตามค่าจ้างที่ได้รับ ไม่ทำอะไรเกินตัว
- เทรนด์การทำงานแบบ Quiet Quitting คือ การทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ทุ่มเททำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเยียวยาตนเองไม่ให้เบิร์นเอาท์
- เทรนด์การทำงานแบบ Lazy girl jobs คือ การทำงานที่สามารถจัดตารางงานเองได้ งานไม่ทำให้ชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงเกินไป หรือเป็นงานที่สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ มักเป็นงานที่มีระดับความเครียดต่ำแต่ก็มีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ

โดยสรุปก็คือ เน้นหางานหรือรูปแบบการทำงานให้ยุ่งน้อยที่สุด เพื่อรักษางานของตนไว้แต่ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟในการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไพค์ชี้ชวนให้คิดว่า การที่ Gen Z หลายคนเผชิญกับภาวะความเครียด วิตกกังวล และความกดดันต่างๆ ในที่ทำงานนั้น บางครั้งอารมณ์เหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ปกติ ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางจิตใจเสมอไป การเผชิญกับความเครียดเนื่องจากเดดไลน์ที่ต้องส่งงาน ความรู้สึกเศร้า ความผิดหวัง หรือวิตกกังวลเป็นครั้งคราว ถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต

อีกทั้งการรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลในการทำงาน อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณทำงานให้สำเร็จได้อย่างดีด้วยซ้ำ 

ท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา สรุปว่า ชาว Gen Z ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ต้องยอมรับความเครียดและความกังวลที่เกิดจากงานบ้าง “เราต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวทันทีแล้วลองใหม่อีกครั้ง” นั่นจะทำให้เราเติบโตจากความผิดพลาด รวมถึงการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ เพิ่มเติม การขอความช่วยเหลือ และรู้วิธีการผลักดันขีดความสามารถของตนเอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในชีวิตการทำงานทั้งนั้น 

‘รมว.ปุ้ย’ ชี้!! ‘หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ ไปได้สวย พบ!! เอสเอ็มอี 3.2 ล้านราย สนใจติดปีกเข้าถึงแหล่งเงินทุน

(24 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง ความคืบหน้าของ โครงการ ‘ติดปีกเอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ ซึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้กับเอสเอ็มอีของประเทศไทย สามารถเข้าถึงเงินทุน โดยโครงการนี้ ภายหลังได้มอบให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ เป็นหัวหอกไปดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเอสเอ็มอีอย่างมาก

สำหรับกลไกในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของโครงการนี้ เกิดขึ้นภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ / บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) และสถาบันการเงินทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือที่คุ้นหูในชื่อ เอ็กซิมแบงค์ 

“ก่อนหน้าที่จะเปิดดำเนินการโครงการนี้ ปัญหาใหญ่ของพี่น้องชาวเอสเอ็มอี คือ ‘ทุน’ การเข้าถึงทุนค่อนข้างยากและลำบากทีเดียว ทั้งกลุ่มที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ใช้แหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อผิดประเภท จนต้องแบกรับภาระสูงเกินความจำเป็น และกลุ่มที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่ยิ่งเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก…

กลไกการช่วยเหลือจากกระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ จึงถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีมีทุนไปพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรมของตัวเอง มีเวลามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น โดยเราได้นำกระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ บสย.เข้าช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ด้วยการเข้าค้ำประกันให้เอง”

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า จากข้อมูลที่ได้รับการรายงานกลับมาขณะนี้ ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ ‘บสย.F.A.Center’ พบข้อมูลเอสเอ็มอีราว 3.2 ล้านราย โดยในนั้นเป็นเอาเอ็มอีที่ขาดโอกาสและหลักประกันในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เข้าประสานงานใช้กลไกที่ถูกออกแบบนี้ค้ำประกันสินเชื่อ และอีกส่วนยังเข้าสู่กระบวนการแก้ไขหนี้ ปรับแผนธุรกิจ ปรับโครงสร้างหนี้ 

ดังนั้น โครงการ ‘ติดปีกเอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ จึงถือเป็นอีกโครงการจากกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เข้าช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยได้อย่างตรงจุด อันจะช่วยผลักดันและต่อยอดเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทยได้อย่างดีต่อไป

‘บิ๊กต่อ’ สั่งเด้ง 8 ตร.คดีเว็บพนันมินนี่ เข้า ศปก.ตร. ให้ขาดจากตำแหน่งเดิม

(24 ก.พ. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่มีข้าราชการตำรวจ 8 นายตกเป็นผู้ต้องหา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำร้องขอของอัยการ ขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ที่เข้าไปให้คำแนะนำสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 106/2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 543/2566 ลงวันที่ 27 กันยายน 2566 ให้ข้าราชการตำรวจ จำนวน 8 ราย ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุกรณีที่มีข้าราชการตำรวจถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจเกิดความเสียหายต่อทางราชการนั้น

เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมกับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และการอำนวยความยุติธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 93/2567 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าวมีกรณีกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 จึงให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ รวมจำนวน 11 ราย

ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมดูแลการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจที่ช่วยราชการ พร้อมทั้งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมต่อไป

‘ดร.นิว’ เฮ!! ผลหยั่งเสียงเลือกอธิการบดี มธ. ‘ปริญญา’ ได้ที่โหล่ อาจปิดช่องประชาคมธรรมศาสตร์ ต่อท่อกับพรรคก้าวไกลเสียที

(24 ก.พ. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“โชคดีของประชาคมธรรมศาสตร์ที่นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดีในอันดับท้ายสุด มิฉะนั้นไม่รู้ว่าธรรมศาสตร์จะไปทางไหน เพราะนายปริญญาปล่อยให้ม็อบสามนิ้วใช้ธรรมศาสตร์ปราศรัยล้มล้างการปกครอง ใช้วิชา TU100 ต่อท่อกับพรรคก้าวไกล ดังนั้น #ให้ปริญญาจบที่รุ่นเรา ก็ดีแล้ว”

สำหรับการหยั่งเสียงเพื่อเลือกอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนใหม่ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวน 3 ราย คือ ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ คณะรัฐศาสตร์, รศ.ดร.พิภพ อุดร คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์

ผลการนับคะแนนเบื้องต้นปรากฏว่า ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นอันดับที่ 1 ใน 26 ส่วนงาน, รองลงมาคือ รศ.ดร.พิภพ ได้รับการเสนอชื่อเป็นอันดับที่ 1 ใน 12 ส่วนงาน และ ผศ.ดร.ปริญญา ได้รับการเสนอชื่อเป็นอันดับที่ 1 ใน 5 ส่วนงาน

ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ จะได้จัดประชุมในวันที่ 28 ก.พ. เพื่อรายงานสรุปความคิดเห็น เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยทราบ พร้อมทั้งทาบทามบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสัมภาษณ์ และแถลงแนวทางการบริหารมหาวิทยาลัยต่อคณะกรรมการสรรหาฯ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย นักศึกษา และศิษย์เก่า เข้ารับฟังการแถลงแนวทางการบริหารในวันที่ 19 เม.ย. ต่อไป

‘ป๋าเทพ’ สุเทพ โพธิ์งาม ขอบคุณ ม.ขอนแก่น ยกให้เป็น ‘ศิลปินมรดกอีสาน’ ด้านนักแสดงตลก

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน แห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปี พุทธศักราช 2567 เนื่องในโอกาสมหามิ่งมงคล วันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และวันอนุรักษ์มรดกไทย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมเทิดพระเกียรติ ด้วยการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน โดยรางวัลเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน มอบแด่ ศิลปิน ผู้เป็นต้นแบบศิลปะพื้นถิ่นอีสาน เปี่ยมล้นคุณธรรม จริยธรรม เป็นจุดเริ่มต้นแห่งแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดศาสตร์ศิลป์ จนเป็นองค์ความรู้อันมีค่ายิ่ง มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนคนรุ่นหลังอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นทุ่มเท สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าต่อแผ่นดินอีสาน ก่อคุณูปการด้านศิลปวัฒนธรรมต่อแผ่นดินไทย

โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้มอบรางวัลศิลปินมรดกอีสาน ประกอบด้วยสาขาทัศนศิลป์ สาขาวรรณศิลป์ และสาขาศิลปะการแสดง ซึ่งในรางวัลดังกล่าวปรากฏรายชื่อของ นายสุเทพ โพธิ์งาม หรือ ‘ป๋าเทพ’ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน สาขาศิลปะการแสดง (นักแสดงตลก)

ด้าน นายสุเทพ โพธิ์งาม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จากกรณีที่ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้คัดเลือกตนได้รับมอบรางวัลมรดกอีสาน สาขาการแสดงตลก ซึ่งตนได้ทราบจากทางมหาวิทยาลัย เมื่อประมาณเดือนก่อน ตนก็ไม่ทราบรายละเอียดในรางวัลดังกล่าว ตนก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับรางวัลอะไร ที่ผ่านมาศิลปินตลกทั่วๆ ไป และก็เป็นตลกมานานแบบว่าอยู่วงการตลกจนแก่ แต่ตอนนี้อายุ 74 ปีแล้ว ก็วางมือจากทุกๆ อย่างแล้ว ตนก็ต้องขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่มอบรางวัลให้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลง่วนเซียว ประจำปี 2567 ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วยคณะกรรมการ ผู้ช่วยกรรมการ ร่วมในพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลง่วนเซียว และเริ่มประกอบพิธีสงฆ์ สวดชัยมงคลคาถา (พะเก่ง) ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ 

เทศกาลง่วนเซียว เป็นเทศกาลแรกของปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย จัดให้มีพิธีสวดชัยมงคลคาถา มีพิธีบูชาเทพเจ้าด้วยขนมหวาน และ ขนมที่ทำด้วยน้ำตาลทราย หรือน้ำตาลผสมถั่วลิสง ขึ้นรูปเป็นสิงโตขนาดต่าง ๆ บ้างก็เป็นรูปเจดีย์ ให้ผู้มีจิตศรัทธานำกลับไปบูชา ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ มีการแลกเปลี่ยน โดยมารับ ขนมรูปสิงโต จากมูลนิธิฯ พร้อมทั้งจัดให้มีการยืมเงินขวัญถุงแก่ผู้ที่ทำมาค้าขาย และผู้มีจิตศรัทธา ให้ร่ำรวยเฮงๆ ตลอดปี มีเงินมีทองพอกินพอใช้ไม่ขาดมือ นอกจากนี้ยังจัดให้มีสาคูสิริมงคล บริการศิษยานุศิษย์และสาธุชน ได้รับประทานเพื่อเป็นสิริมงคลตลอดปี  

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘โรงเรียนวัดทรงธรรม’ ประกาศ!! เกณฑ์การซ้ำชั้น ประจำปีการศึกษา 2566 หวังช่วยเด็กที่ยังไม่พร้อม เลี่ยงปัญหาการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นวันหน้า

ไม่นานมานี้ ทางเพจโรงเรียนวัดทรงธรรม ได้โพสต์ประกาศเกี่ยวกับเกณฑ์การซ้ำชั้น ประจำปีการศึกษา 2566 ระบุว่า…

ตามระเบียบโรงเรียนวัดทรงธรรม ว่าด้วยการวัดผลและประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551–พ.ศ.2557 (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 หมวดที่ 7 การเรียนซ้ำชั้น โดยดำเนินงานตามหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ศธ04010/1478 ลงวันที่ 22 เมษายน 2559 เรื่องซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวปฏิบัติการเรียนซ้ำชั้น

ซึ่งการเรียนช้ำชั้นในระดับมัธยมศึกษา เมื่อผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งหรือ ทั้ง 2 ข้อ ดังนี้

1.) ผู้เรียนมีระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นต่ำกว่า 1.00 และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหา
ต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น

2.) ผู้เรียนมีผลการเรียน 0, ร, มส เกินครึ่งหนึ่งของรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษานั้น

ทั้งนี้ การพิจารณาให้ผู้เรียน เรียนซ้ำชั้นของโรงเรียนวัดทรงธรรม จะดำเนินการในรูปแบบของ
คณะกรรมการ โดยจะเริ่มการพิจารณาเมื่อการสอบแก้ตัวในรอบที่ 2 สิ้นสุดลง ทางโรงเรียนวัดทรงธรรมจึงขอแจ้งผู้ปกครองและผู้เรียนทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขผลการเรียนตามช่วงเวลาที่โรงเรียนกำหนด จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

บ็อกซ์ออฟฟิศของจีน ยอดพุ่ง!! กวาดรายได้ 1 หมื่นล้านหยวน หลังหยุดยาวเดือน ก.พ. ช่วยปลุกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟื้นตัว

(24 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานข่าวว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ (Box Office) ของจีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์สูงเกินหลัก 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 5 หมื่นล้านบาท) แล้ว

รายงานระบุว่า ช่วงหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน (10-17 ก.พ.) มีส่วนสร้างรายได้ดังกล่าวกว่า 8 พันล้านหยวน (ราว 4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลจากเมาเหยียน (Maoyan) และบีคอน (Beacon) 2 แพลตฟอร์มภาพยนตร์ เผยว่า รายได้ดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์สูงถึง 1.018 หมื่นล้านหยวน (ราว 5.09 หมื่นล้านบาท)

ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ของจีน เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 243 ล้านหยวน (ราว 1.21 พันล้านบาท)

‘ผู้จัดการ รร.จีน’ ขอโทษสังคม หลังจัดเกมโยนบ่วงชิงรางวัล รับขาดการคิดไตร่ตรอง ทำกระทบเกียรติ-ศักดิ์ศรี ‘แม่หญิงลาว’

รองผู้จัดการโรงแรมชาวจีน ที่จัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวโยนบ่วงใส่พนักงานหญิงชาวลาว เพื่อชิงรางวัล ออกคลิปขอโทษเป็นภาษาลาว ยอมรับเป็นการกระทำที่ขาดสติ ขัดต่อวัฒนธรรมอันดีงามของลาว และเข้าข่ายดูหมิ่นศักดิ์ศรีแม่หญิง ยืนยันต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว

เมื่อไม่นานนี้ นายอาหลี ชาวจีน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้บันทึกคลิปกล่าวคำขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ได้จัดกิจกรรมโยนบ่วงคล้องพนักงานหญิงชาวลาวของโรงแรม เพื่อชิงรางวัลเมื่อคืนวาเลนไทน์ วันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิกิจกรรมนี้อย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศลาว โดยนายอาหลีได้กล่าวเป็นภาษาลาว มีรายละเอียดดังนี้

“สะบายดี ข้าพเจ้าท้าวอาหลี ในนามรองผู้จัดการโรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ขอแสดงความรับผิดชอบ และขอโทษต่อเหตุการณ์ที่ปรากฏในสื่อสังคม สื่อออนไลน์ เฟซบุ๊ก ของวันที่ 16 ก.พ. 67 ที่ทางโรงแรมได้จัดกิจกรรมโยนบ่วงส่งมอบของขวัญ ที่ไม่ถูกต้องขึ้นด้วยการขาดสติ ขาดการค้นคิด ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศ สปป.ลาว โดยรวม โดยเฉพาะส่งผลกระทบถึงเกียรติ ศักดิ์ศรี ของผู้หญิงลาว บรรดาเผ่า กระทบถึงวัฒนธรรม ฮีตคองประเพณี ที่มีคุณค่าอันดีงามของสังคมลาว เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ

ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้า รองผู้จัดการโรงแรม จึงออกคำแถลงแสดงความรับผิดชอบต่อผลเสียหาย และขอโทษต่อประชาชนลาว บรรดาเผ่า ผู้หญิงลาว บรรดาเผ่า และให้คำมั่นสัญญาว่า

1.) โรงแรมจะปฏิบัติตามกฎหมาย และนิติกรรมของ สปป.ลาว อย่างเข้มงวด

2.) จะดำเนินธุรกิจตามที่ได้รับอนุญาตอย่างเข้มงวด

3.) จะไม่ทำผิดกฎหมาย ระเบียบการ ฮีตคองประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาติลาว และจะไม่ให้มีเหตุการณ์ใดที่มีลักษณะแบบเก่า หรือคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นอย่างเด็ดขาด

4.) ถ้าหากมีเหตุการณ์ และการประพฤติที่ผิดต่อกฎหมาย หรือนิติกรรม ของ สปป.ลาว เกิดขึ้นอีก พวกข้าพเจ้ายินยอมให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการระงับ หรือปิดกิจการอย่างถาวร

หวังอย่างยิ่งว่า หน่วยงานรัฐ สังคมลาว โดยเฉพาะประชาชน และผู้หญิงลาว บรรดาเผ่า จะให้อภัยพวกข้าพเจ้ามา ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบใจ”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 67 ได้มีการเผยแพร่คลิปกิจกรรมของโรงแรมเวียงจันทน์แม่โขงไปทั่วชุมชนออนไลน์ของลาว ในคลิปเป็นภาพพนักงานหญิงของโรงแรมยืนเรียงเป็นกลุ่ม อยู่หน้าอาคารที่พัก แต่ละคนถือขวดเบียร์ ขวดเหล้า ขวดไวน์ฯลฯ เป็นของรางวัลให้แขกโยนบ่วงเข้าใส่ หากบ่วงตกไปคล้องเข้าที่ใคร รางวัลในมือของหญิงคนนั้นจะตกเป็นของผู้โยน

ผู้ที่ได้ชมคลิปนี้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้หญิงลาว เข้าข่ายการใช้ความรุนแรง เสี่ยงจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย พร้อมแสดงความเป็นห่วงว่า หากผู้โยนพลาด อาจทำให้หญิงที่ยืนเป็นเป้า ปากแตก จมูกหัก หัวโน หรือตาช้ำได้

ที่ผ่านมา กิจกรรมการโยนบ่วงเพื่อเดิมพันหรือชิงของรางวัล เป็นการละเล่นที่มักจัดขึ้นตามงานเทศกาลต่างๆโดยใช้เป็ดเป็นเป้าให้คนโยนบ่วงลงไปคล้องคอเป็ด บ่วงที่นำมาโยนมีขนาดเล็ก เบา ต่างจากบ่วงที่นำมาโยนใส่พนักงานตามคลิปนี้ที่ทั้งใหญ่และหนัก สังคมจึงตั้งคำถามว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสม สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของลาว เข้าข่ายใช้ความรุนแรง หรือเป็นกิจกรรมการตลาดที่ขาดสติหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อดำเนินการไม่ให้เป็นแบบอย่างแก่สังคม

ต่อมารุ่งขึ้น ในวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ได้มีหนังสือชี้แจงไปยังหัวหน้าตำรวจท่องเที่ยว นครหลวงเวียงจันทน์ มีเนื้อหาโดยสรุปว่า กิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อเวลา 18.00 น.ของวันที่ 14 ก.พ. เพื่อสร้างความรื่นเริง ต้อนรับลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านอาหารของโรงแรมเท่านั้น ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น บ่วงที่นำมาโยนก็มีน้ำหนักเบา มีการทดสอบก่อนจะนำไปโยน ดังนั้น โรงแรมจึงพร้อมรับฟังคำแนะนำ เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้มีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขงตั้งอยู่ที่บ้านโพนทัน เมืองไซเสดถา นครหลวงเวียงจันทน์ เป็นโรงแรมที่มีนักลงทุนชาวจีนเป็นเจ้าของ และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาเที่ยวลาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top