Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘ทอม ล็อกเยอร์’ กัปตันลูตัน ทาวน์ หมดสติกลางสนาม เร่งนำตัวส่งรพ. สั่งยกเลิกเกมกับบอร์นมัธแล้ว หลังเสมอกัน 1-1 แฟนๆ แห่ให้กำลังใจ

(17 ธ.ค. 66) การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คู่ระหว่าง ‘เอเอฟซี บอร์นมัธ’ กับ ‘สโมสรลูตัน ทาวน์’ ที่สนามวิทาลิตีของบอร์นมัธ ต้องหยุดลงชั่วคราวก่อนที่กรรมการจะสั่งยกเลิก หลังทอม ล็อกเยอร์ กัปตันทีมลูตัน หมดสติในสนาม

โดยหลังเจ้าตัวล้มลงไปนั้น อยู่ในช่วงนาทีที่ 65 ของเกม สกอร์ยังเสมอกัน 1-1 เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเร่งปฐมพยาบาลนักเตะ ส่วนแฟนบอลยังคงอยู่ในสนาม

ล่าสุดมีรายงานว่าล็อกเยอร์มีสติและมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ขณะอยู่ในอุโมงค์ทางเข้าห้องแต่งตัว แต่ผู้ตัดสินตัดสินใจยุติเกมดังกล่าวทันที ท่ามกลางแฟนบอลที่แห่ให้กำลังใจกันทั้งโลก

ทั้งนี้ ทางล็อกเยอร์เองเคยหมดสติในรอบชิงเพลย์ออฟนัดสุดท้าย ชี้ชะตาเลื่อนขึ้นสู่พรีเมียร์ลัก เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเจ้าตัวได้เข้ารับการผ่าตัดหัวใจอีกด้วย

‘สุทิน’ ลุยศรีสะเกษ ตรวจเยี่ยมค่ายสุรนารี-เปิดอนุสรณ์สถานพิทักษ์ไทย เล็งพัฒนาพื้นที่การค้า หวังกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกำลังป้องกันชายแดน ในพื้นที่กองกำลังสุรนารี โดยมี พลตรี พรชัย มาหลิน รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2, พลตรี ณัฏฐ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี, นายอนุพงค์สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ, นายพิจิตร บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์, พันเอก จิรัฏฐ์ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และผู้บังคับหน่วย พร้อมทั้งส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ

โดย นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ไปยังสนาม ฮ.ชั่วคราว โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จากนั้น คณะเดินทางไปยังศาลาวัฒนธรรม อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปการปฏิบัติงานของกองกำลังสุรนารี พร้อมทั้งตรวจภูมิประเทศบริเวณจุดตรวจการณ์ผามออีแดง ให้โอวาทและมอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่กำลังพลของกองกำลังสุรนารี ที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดนในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ

ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด ‘อนุสรณ์สถานพิทักษ์ไทย’ ซึ่งกองกำลังสุรนารี จัดสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญของวีรชน ที่ได้เสียสละเลือดเนื้อ ในการรักษาประเทศชาติและอธิปไตย ณ ฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ต่อมา นายสุทิน และคณะ เดินทางไปยังจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของด่านศุลกากรช่องจอม พบปะประชาชนที่มาคอยต้อนรับ พร้อมทั้งรับฟังบรรยายสรุป การส่งเสริมการค้าชายแดนตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เสริมสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

เปิดตารางเดินรถไฟโดยสารสายใต้ช่วง ‘นครปฐม-ชุมพร’ พบส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ตรงเวลา เลทไม่เกิน 20 นาที

เปิดระบบติดตามขบวนรถไฟ วิ่งผ่านช่วง ‘นครปฐม-ชุมพร’ ส่วนใหญ่ตรงเวลา รถไฟโดยสาร เลทไม่เกิน 20 นาที!!

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 เพจ ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์อัปเดตความตรงเวลาของขบวนรถไฟ สายใต้ ผ่านระบบติดตามขบวนรถไฟ ระบุว่า…

แล้ววันนี้ก็มาถึง!! วันที่รถไฟทางคู่สายใต้ช่วง ‘นครปฐม-ชุมพร’ ก็ได้เริ่มทะยอยเปิดให้บริการ (วันนี้เปิดช่วงสถานีบ้านคูบัว- สะพลี)

ซึ่งอย่างที่หลายๆ คนทราบว่า เมื่อมีการเปิดให้บริการทางคู่แล้ว ก็มีการปรับเวลาการให้บริการใหม่ทั้งหมด โดยลดเวลาการรอหลีกตามสถานีต่างๆ ซึ่งทำให้เวลาการเดินทางลดลงสูงสุด 2 ชั่วโมง!!

พร้อมเปิดสถานีในทางคู่ โดยเฉพาะสถานีหัวหิน ที่เป็นสถานียกระดับผ่านกลางเมือง แก้ปัญหาจุดตัดจราจรไปด้วย

รายละเอียดตารางเดินรถไฟใหม่
https://www.facebook.com/100067967885448/posts/669466995328891/
—————————

แต่!! ที่เราต้องมาลุ้นมากกว่านั้นคือ พอเปลี่ยนเป็นเวลาใหม่ มันจะเลท 2 - 3 ชั่วโมง แบบในช่วงก่อสร้างหรือไม่?

ผมจึงได้ไปทำการตรวจเช็กจากในระบบ Train Tracking System (TTS) ของการรถไฟ

ลิงก์ระบบตรวจเช็กเวลารถไฟ คลิก >> https://ttsview.railway.co.th

ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจมาก ขบวนส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ตรงเวลา เลทไม่เกิน 20 นาที โดยเฉพาะรถไฟที่วิ่งอยู่ในช่วงทางคู่ใหม่ ดูเวลาแล้วแทบจะไม่เลทเลย!!

ทำได้แบบนี้ก็ต้องชื่นชมครับ ว่าใช้งานได้อย่างเต็มที่

แต่!! ระบบของเราในส่วนอาณัติสัญญาณ ETCS L1 Track Side ยังไม่เสร็จ เพราะจะสามารถเพิ่มความถี่ขบวนรถไฟได้กว่า 4 เท่าตัว รถสามารถวิ่งติดๆ กันไปได้เลย เท่าที่ทราบน่าจะเสร็จอีกประมาณเป็นปี

มะกันช็อก!! ยอด ‘คนไร้บ้าน’ ทั่วประเทศ พุ่งสูงกว่าครึ่งล้านคน หลังค่าเช่าบ้านเพิ่มสูงลิ่ว เซ่นพิษโควิด-รัฐบาลลดความช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, วอชิงตัน รายงานว่า รายงานจากกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมืองสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า จำนวนคนไร้บ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จนแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์

ผลการตรวจนับของกระทรวงฯ พบจำนวนคนไร้บ้านทั่วสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมอยู่ที่ราว 653,000 ราย ซึ่งมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้า 70,650 ราย และเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มต้นการตรวจนับในปี 2007

รายงานระบุว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันครองสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของประชากรสหรัฐฯ แต่กลับครองสัดส่วนถึงร้อยละ 37 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมด

ขณะชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกกลายเป็นคนไร้บ้านเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยครองสัดส่วนร้อยละ 28 ของจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมดในช่วงปี 2022-2023 ส่วนการไร้บ้านยกครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2012

ทั้งนี้ ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นและความช่วยเหลือเนื่องด้วยการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ลดลง ถือเป็นปัจจัยหลักส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตคนไร้บ้านในสหรัฐฯ

‘ธนกร’ ติง ‘ก้าวไกล’ อย่าดีแต่ผลิตวาทกรรมดิสเครดิตรัฐบาล มั่นใจ!! พรรคร่วมเดินหน้าสานงานฉลุย ลดความขัดแย้งการเมือง

(17 ธ.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์โดยวิเคราะห์ว่า วันนี้ทุกพรรคการเมือง ต้องพิสูจน์การทำงานให้กับประชาชนได้เห็น เหมือนรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาได้ 3 เดือนก็ต้องพิสูจน์ผลงาน ต้องทำนโยบายให้สำเร็จ พรรครวมไทยสร้างชาติเองก็เช่นกัน รวมถึงต้องปรับยุทธศาสตร์เพื่อจะเดินหน้าทำงานต่อไปได้ หากพรรคใดไม่ปรับตัว ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ไปยาก ยกตัวอย่างเช่น ภาคใต้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และเชื่อว่าเลือกตั้งที่ผ่านมา ทุกพรรคไม่ได้คิดว่าพรรคก้าวไกลจะมา ทุกพรรคจึงต้องมีรูปแบบการทำงาน นโยบาย ปรับวิธีคิดใหม่ เช่นการใช้โซเชียลมีเดีย แต่ตนเชื่อว่าวันนี้ทุกพรรคปรับแล้วทั้งหมด แต่วิธีคิดที่ใหม่อย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและทำสำเร็จด้วย ไม่ใช่พูดไปเรื่อย

เมื่อถามว่า ในอนาคตการเลือกตั้งรอบหน้า ไม่ได้สู้กันแบบเดิม แต่อาจจะเป็นการรวมพลังของทุกพรรคเพื่อสู้กับก้าวไกลหรือไม่ นายธนกร ยอมรับว่า ก็เป็นไปได้ ต้องยอมรับความจริงว่าในอนาคต พรรคเล็กเกิดยาก เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กติกาใหม่ต้องสู้กันทั้งระบบ

“ในพรรคก้าวไกลเองก็ต้องปรับตัว หลังจากเลยช่วงพีคผ่านไปแล้ว และต้องมาปรับ มาแก้ปัญหาภายในพรรคที่มีปัญหาหลายเรื่อง วันนี้ประชาชนเห็นทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่ไปว่าคนอื่น ว่าพูดอย่างทำอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเองพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โกหกไปวันๆ ประชาชนฉลาดทุกคน และโซเชียลมีเดียในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ มีการเน้นให้ประชาชนเข้าถึง แอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปฯ เป๋าตัง วันนี้ประชาชนฉลาด รู้ทันนักการเมือง การพูดอย่างทำอย่าง พูดไม่ตรงข้อเท็จจริง ประชาชนรู้หมด” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามว่า การแก้รัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้นจะสำเร็จหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า หากพรรคแกนนำมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ก็แก้ได้ แต่การจะแก้ไขต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และในส่วนพรบ.นิรโทษกรรม ต้องไม่เกี่ยวข้องกับคดีทำผิดมาตรา 112 หากฝั่งที่จะแก้ยืนกรานตน เชื่อว่า ไม่ผ่าน ฟันธงว่าไม่สำเร็จแน่นอน ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ง่ายและมีการใช้งบประมาณทำประชาพิจารณ์เกือบ 7,000 ล้านบาท หาวิธีการที่จะประหยัดงบประมาณได้หรือไม่เอาเงินจำนวนนี้มาทำโครงการคนละครึ่งต่อดีกว่า ซึ่งหากพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยมันก็เดินต่อไม่ได้

“วันนี้สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ ได้ทำไว้ให้กับคนไทยมีความยั่งยืนอย่างแน่นอนเป็นประโยชน์กับประเทศชาติมาก วันนี้อยากให้ความขัดแย้งลดลงและทุกวันนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาก  การชุมนุมต่างๆก็น้อยลง คนไทยเริ่มหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น อยากให้คนไทยรักกัน จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้และด้วยนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลชุดนี้และพรรคร่วมรัฐบาล ผมคิดว่าเราไปได้และทำให้ยั่งยืนได้ ซึ่งมีหลายอย่างที่ทำต่อ ยอดจากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ไม่อยากให้หวนกลับไปสู่ความขัดแย้งอีก ขอให้ถ้อยทีถ้อยอาศัยและพูดคุยกันจะดีกว่า” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯ’ มุ่งมั่นยกระดับ ‘อาเซียน-ญี่ปุ่น’ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ชี้!! “เดินกับมิตรในความมืดมิด ยังดีกว่าเดินลำพังในแสงสว่าง”

(17 ธ.ค. 66) ที่โรงแรม Okura Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น (the ASEAN-Japan Commemorative Summit for the 50th Year of ASEAN-Japan Friendship and Cooperation) ช่วงที่ 1 Plenary Session ในหัวข้อ Review of ASEAN-Japan relations และ Partners for Peace and Stability & Regional and International Issues

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ นายกรัฐมนตรีคิชิดะ ของญี่ปุ่น สําหรับการต้อนรับที่อบอุ่น โดยประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน – ญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันยาวนาน รวมถึงการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านในปีนี้ยังเกิดจากความสัมพันธ์ที่โดดเด่นมาตลอดระยะเวลา 50 ปี แสดงถึงความสำเร็จที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจ ในการนำสันติภาพ เสถียรภาพ ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมาสู่ภูมิภาค

สำหรับการกำหนดทิศทางอาเซียน – ญี่ปุ่นด้วยวิสัยทัศน์และแผนปฏิบัติการใหม่ เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตและความเปราะบางของสันติภาพโลก รวมทั้งความมั่นคงในภูมิภาคที่เกี่ยวโยงกัน จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิเทคโนโลยี

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตยและเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมแสดงความมุ่งมั่นในการแสดงบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในภูมิภาคและเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงยังเน้นย้ำถึงความเข้มแข็งและเป็นเอกภาพของอาเซียน ซึ่งทุกฝ่ายควรทำงานร่วมกัน เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ร่วมกันของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และครอบคลุม ที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมความร่วมมือในภูมิภาค

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอประเด็นความร่วมมือในอนาคตเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน 3 ประการ โดยประการแรก การบูรณาการความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ก้าวหน้า ทุกฝ่ายจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน - ญี่ปุ่น (ASEAN - Japan Comprehensive Economic Partnership - AJCEP) และความตกลง RCEP อย่างเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงตลาดที่มีศักยภาพ รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ความร่วมมือภายใต้กรอบอนุภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ACMECS และความร่วมมือแม่โขง-ญี่ปุ่น เพื่อความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค ลดช่องว่างการพัฒนา และสร้างขีดความสามารถระดับภูมิภาคเพื่อการเติบโตที่ครอบคลุมมากขึ้น

ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยกำลังพัฒนาโครงการ ‘Landbridge’ เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งไทยยินดีร่วมมือกับทุกพันธมิตรที่สนใจทั้งภาครัฐและเอกชน

ประการที่สอง การพัฒนาที่ยั่งยืนและการเติบโตสีเขียว ไทยยินดีสนับสนุนข้อริเริ่ม ‘Asia Zero Emission’ เพื่อเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของอาเซียน (Strategic Program for ASEAN Climate and Environment) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมยินดีที่ญี่ปุ่นริเริ่มและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวของอาเซียนด้วย

นอกจากนี้ ไทยมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำและเป็นศูนย์กลางการผลิต EV และรัฐบาลยังดำเนินการเตรียมออกตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี 

ประการที่สาม ความมั่นคงด้านสุขภาพ โดยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ตระหนักถึงความมั่นคงทางสุขภาพ โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมที่ญี่ปุ่นสนับสนุนเงินจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับศูนย์อาเซียนว่าด้วยสาธารณสุขฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่ หรือ ‘ACPHEED’ เพื่อเสริมสร้างการตอบสนองด้านสาธารณสุขในภูมิภาค รวมถึงยินดีที่ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมประเด็นเรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้าในระดับโลก พร้อมหวังว่าจะนำไปสู่ระบบสาธารณสุขที่มีความเท่าเทียมและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สำหรับประเด็นสถานการณ์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จำเป็นต้องกระชับความร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคและต่อโลก ทั้งสงครามในยูเครนที่ยังคงไม่สงบ รวมถึงสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ความขัดแย้งเริ่มขยายตัว สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ไทยหวังว่าทุกฝ่ายจะยังไม่ยอมแพ้ต่อการสร้างความสงบสุขในเมียนมา ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านพร้อมแสดงบทบาทนำในการช่วยเหลือเมียนมา เพื่อนำไปสู่การดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ ของอาเซียน

นอกจากนี้ ไทยยังได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตลอดแนวชายแดน เพื่อให้พลเรือนได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น พร้อมหวังว่าความช่วยเหลือดังกล่าวจะช่วยสร้างพื้นที่สำหรับการเจรจาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมากยิ่งขึ้น ทั้งในเมียนมาเองและในกรอบของอาเซียน และเชื่อมั่นว่า อาเซียนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกับไทยในเรื่องดังกล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดำเนินการจะไม่ง่าย แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกันและส่งเสริมมิตรภาพที่ใกล้ชิดของทุกฝ่าย โดยมีความไว้วางใจเป็นกุญแจสำคัญ จะสามารถจัดการกับความท้าทายร่วมกัน และเสริมสร้างโอกาสทองในความสัมพันธ์ของอาเซียนและญี่ปุ่นได้มากขึ้น ดังสุภาษิตที่ว่า “การเดินกับมิตรในความมืดมิด ยังดีกว่าเดินลำพังในแสงสว่าง” (walking with a friend in the dark is better than walking alone in the light)

‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ‘สส.นราธิวาส พปชร.’ รุดช่วยผู้ประสบอุทกภัย ชายแดนใต้ หลังฝนตกหนักทำน้ำท่วมหลายพื้นที่ พร้อมติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

(17 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายวานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ติดตามสถานการณ์พายุฝน เข้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากมีความห่วงใยในสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 4 จังหวัด คือ จังหวัดยะลา, จังหวัดนราธิวาส, จังหวัดสงขลา และจังหวัดปัตตานี โดยได้ประสานงาน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค, นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 3 และ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 เข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พร้อมติดตามสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวัง และให้ความช่วยเหลือ ผ่านทีมงาน สส.ในพื้นที่พปชร.อย่างต่อเนื่อง

โดยล่าสุด นายสัมพันธ์ และนายอามินทร์ ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดและเข้าช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปีนี้ พายุฝนตกชุกเข้ามาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในวันนี้ ก็เตรียมระดมทีมเจ้าหน้าที่ ส่งถุงยังชีพ เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับพี่น้องประชาชนใน จ.นราธิวาส พร้อมสอบถามปัญหาความเดือดร้อน เพื่อนำไปสู่การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

โมเมนต์ดีๆ!! ‘กรวีร์’ หวั่น!! เด็กๆ ยืนตากแดดนานในงานเปิดกีฬาโรงเรียน ใช้เวลา 30 วินาทีกล่าวเปิด สั้นกระชับ ทุกคนยิ้มรับ หัวเราะชอบใจ

(17 ธ.ค. 66) นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอ่างทอง เขตเลือกตั้งที่ 2 พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

#ประธานเปิดงานกีฬา

จำความรู้สึกตอนเป็นเด็กแล้วต้องยืนตากแดดกลางสนามในช่วงพิธีเปิดกีฬาของโรงเรียน  

ร้อน หงุดหงิด บางคนเป็นลมเพราะต้องตื่นแต่เช้า ข้าวไม่ได้กิน 

วันก่อนไปเป็นประธานเปิดการแข่งขันกีฬากลุ่มโรงเรียนดอกแก้ว ผมจึงไปก่อนเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อลูกๆเดินขบวนเข้าสู่สนามแล้ว จะไม่ต้องตากแดดรอประธานในพิธี 

“ร้อนไหมครับ?” ผมถามก่อนจะเริ่มพิธีการ

“ร้อนนนนนนน” เด็กๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน 

“งั้นผมจะใช้เวลาช่วงพิธีเปิดไม่เกิน 30 วินาที ดีไหม?”

“ดี”

ผมขอบคุณคณะกรรมการจัดงานและขอให้ทุกคนแข่งกีฬาด้วยน้ำใจของนักกีฬา รูัแพ้ รู้ชนะ รู้อภัย 

“ทุกคนพร้อมรึยังครับ?” ผมถาม

“พร้อมมมมมมมมม” เด็กๆ รีบตะโกนตอบกลับมา 

“ถ้าพร้อมแล้วผมขอเปิดงานเลยแล้วกันครับ”

30 วินาที… ทุกคนยิ้ม หัวเราะชอบใจ 

‘สหรัฐฯ’ ขายอุปกรณ์หนุน ‘ระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี’ ให้ไต้หวัน มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความมั่นคง-รับมือภัยคุกคาม 

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติจำหน่ายอุปกรณ์สนับสนุนระบบสารสนเทศเชิงยุทธวิธี (tactical information systems) มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ให้แก่ไต้หวัน นับเป็นความช่วยเหลือด้านการป้องกันตนเอง ล่าสุดที่อเมริกามอบให้กับไทเป ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

สหรัฐฯ มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องสนับสนุนให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเอง ซึ่งการขายอาวุธให้ไทเปในลักษณะนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ที่ยืนยันว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยของตน

สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (Defense Security Cooperation Agency – DSCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดเพนตากอน ระบุว่า การจำหน่ายเครื่องมือในครั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งศักยภาพด้านการบัญชาการ ควบคุม สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ หรือ C4 ของไต้หวันตามวงรอบอายุการใช้งาน

การสนับสนุนนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของไต้หวัน ‘ในการรับมือภัยคุกคามทั้งปัจจุบันและอนาคต ด้วยการเสริมความพร้อมด้านการปฏิบัติการ’ และคงไว้ซึ่งศักยภาพ C4 ที่ช่วยให้การส่งข้อมูลทางยุทธวิธีเป็นไปอย่างปลอดภัย

ด้านกระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลงว่า ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะช่วยให้ไทเปสามารถคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของระบบบัญชาการและการควบคุมร่วม และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ

“ปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนที่เกิดขึ้นรอบเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเรา” กระทรวงกลาโหมไต้หวันแถลง พร้อมกล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือ และเชื่อว่าการจำหน่ายยุทธภัณฑ์รอบนี้จะมีผลเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน

ด้านทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันระบุว่า ข้อตกลงขายอาวุธซึ่งถือเป็นครั้งที่ 12 แล้วภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นให้ความสำคัญยิ่งกับการสนับสนุนศักยภาพในการป้องกันตนเองของไต้หวัน

รัฐบาลไทเปยืนยันว่า อนาคตของไต้หวันต้องให้ชาวไต้หวันเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งไต้หวันก็กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและประธานาธิบดีในวันที่ 13 ม.ค. ปีหน้า ในความเคลื่อนไหวที่หลายฝ่ายจับตามองว่าน่าจะส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่

‘OR’ เตรียมตั้ง ‘PTT Station’ แบบไร้หัวจ่ายน้ำมัน มีแต่ที่ชาร์จ EV 100% ตั้งเป้า 600 แห่ง ปี 67 และ 7,000 แห่งภายในปี 73 ทั่วประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ ‘OR’ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเปิดสถานีบริการน้ำมันรูปแบบใหม่ภายใต้คอนเซปต์แห่งอนาคต ด้วยการไม่มีหัวจ่ายน้ำมันให้บริการ จะมีเพียงแต่สถานีชาร์จไฟฟ้า (Charging Stations) และ ร้านค้าในกลุ่มธุรกิจ Non-Oil เพียงอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาและวางแผนก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567

สำหรับ ปัจจุบันแผนการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (Charging Stations) ในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 500-600 แห่ง ทั่วประเทศ โดยในส่วนของ OR มุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จใน พีทีที สเตชั่น เป็นหลัก และในปี 2573 จะมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 7,000 หัวชาร์จ ตามแผนที่วางไว้ 

ทั้งนี้บริษัทได้ใช้เงินลงทุนราว 600 ล้านบาท ในการก่อสร้างสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 (PTT Station Flagship วิภาวดี 62) ซึ่งเป็นต้นแบบสถานีบริการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของ OR ที่พร้อมสร้างโอกาสให้ผู้คน ชุมชน สิ่งแวดล้อม เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด SDG ในแบบของ OR ในทุกมิติ 

นายดิษทัต กล่าวว่า พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร และเป็นสถานีบริการที่เป็นต้นแบบ หรือ ‘แฟลกชิป’ (Flagship) ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ OR โดยมีสัดส่วนของ ธุรกิจ Non-Oil สูงได้ 80% ของสถานี และอีก 20% เป็นธุจกิจ Mobility และยังถือเป็นสถานีบริการต้นแบบสำหรับการออกแบบสู่การขยาย พีทีที สเตชั่น ในอนาคตอีกด้วย

บริษัทยังมีแผนการขยายธุรกิจสู่กลุ่ม Health&Beauty ซึ่งมีแผนที่จะขยายธุรกิจเข้าสู่สินค้าเครื่องสำอางค์และความงาม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจสัญชาติเกาหลี โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/2567 รวมถึง ธุรกิจโรงแรม ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วง 5-6 เดือนจากนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top