Saturday, 28 June 2025
NewsFeed

เพื่อนสาว 17 แฉวีรกรรม เคยแบล็กเมลผู้ชายคล้ายเคส ‘สมรักษ์’ ซัด!! เต็มใจไปเอง แต่กลับมาโทษว่าถูกสมรักษ์ข่มขืน

เพื่อนสาววัย 17 ปี ยัน!! ผู้เสียหายเต็มใจไปกับ ‘สมรักษ์’ เองตั้งแต่แรก หลังชวนกลับแล้ว แต่โดนชักสีหน้าใส่ พร้อมเผย ผู้เสียหายเคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับนายสมรักษ์ เรียกค่าเสียหายที่ จ.กาฬสินธุ์ มาก่อนแล้ว 2-3 ครั้ง 

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 66 ‘ทีมข่าวเวิร์คพอยท์’ ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับเพื่อนของผู้เสียหายวัย 17 ปี ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันที่เกิดเหตุเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับผู้เสียหาย เพราะเป็นเพื่อนของเพื่อนของตนอีกทีนึง ซึ่งครั้งแรกที่เจอกันผู้เสียหายก็ดูเป็นคนเงียบๆ จนพออยู่ในร้านตนกับเพื่อนก็เต้นสนุกกันอยู่ที่โต๊ะ แต่ผู้เสียหายวัย 17 ปี ไม่ได้มาเต้นด้วย ตนจึงไม่สนใจอะไรเพราะไม่ได้สนิทกัน แต่ระหว่างที่ตนไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมา ตนเห็นเพื่อนผู้เสียหายไปนั่งอยู่ที่โต๊ะของสมรักษ์ โดยมีการนั่งข้างกัน และโอบเอวกันอยู่ตลอด ตนจึงเข้าไปถามว่าทำไมมาอยู่ตรงนี้ แต่ผู้เสียหายก็ไม่ได้ตอบอะไร ตนจึงชวนกลับโต๊ะ ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่กลับและเลือกที่จะอยู่ต่อ ตนจึงปล่อยไป 

จนมาถึงจังหวะที่พวกเพื่อนๆ จะกลับกัน แต่ผู้เสียหายวัย 17 ปี เลือกที่จะเดินไปหาสมรักษ์ที่รถจักรยานยนต์ เพื่อนจึงตะโกนถามว่า “จะไปกับสมรักษ์เหรอ คิดให้ดีๆ นะ” แต่ผู้เสียหายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา และเพื่อนผู้ชายก็อาสาจะไปส่งที่บ้าน แต่ผู้เสียหายกลับชักสีหน้าอารมณ์เสียใส่ จนเพื่อนทุกคนงงกันหมด ซึ่งทางเพื่อนยืนยันว่าไม่ได้ทิ้ง และไม่ได้บังคับให้มาด้วยตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ตาม พอเกิดเรื่องขึ้น ทางเพื่อนของผู้เสียหายรู้สึกสงสารสมรักษ์มาก เพราะผู้เสียหายเต็มใจไปกับสมรักษ์เอง และการที่ไปด้วยกันแบบนั้นก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามันจะไปจบที่โรงแรม แต่กลับมาโทษว่าถูกสมรักษ์ข่มขืน ทางฝั่งเพื่อนจึงอยากให้ออกมาพูดความจริง เพราะพวกเพื่อนถูกเอารูปไปแชร์จนทำให้เกิดความเสียหาย และยังโดนสังคมต่อว่าอย่างหนัก ตอนนี้ไม่อยากคบและไม่อยากเป็นเพื่อนอีกต่อไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีรุ่นน้องบอกว่า ผู้เสียหายเคยทำลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้ว เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ทางเพื่อนก็ไม่รู้ว่ามีคนยอมจ่ายไปหรือไม่ เพราะไม่ได้เป็นข่าว

‘สส.ฝ่ายค้านตุรกี’ หัวใจวาย-ล้มฟุบกลางสภาฯ แพทย์ต่อลมหายใจได้ 2 วัน ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว

เมื่อวานนี้ (14 ธ.ค. 66)ฟาห์เรตติน โคคา รัฐมนตรีสาธารณสุข เปิดเผยว่า นายฮาซาน บิตเมซ สมาชิกรัฐสภาจากพรรค Islamist Saadet Partisi (Felicity Party) เสียชีวิตชีวิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงอังการา 2 วันหลังจากเกิดเหตุ

"คุณเปิดทางให้เรือต่าง ๆ เข้าสู่อิสราเอล และน่าละอายที่คุณเรียกมันว่าการค้า คุณคือผู้สมคบคิดกับอิสราเอล" บิตเมซกล่าวอภิปรายเล็งเป้าเล่นงานพรรค Justice and Development Party (AK Party) ของประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน เมื่อวันอังคาร (12ธ.ค.) หลังจากวางป้ายโปสเตอร์หนึ่งบนโพเดียม มีใจความว่า "พวกฆาตกรอิสราเอล ผู้สมรู้ร่วมคิด AKP"

"แม้หากคุณรอดพ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่คุณจะไม่อาจรอดพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าไปได้" เขากล่าวในช่วงท้ายของการอภิปรายที่ใช้เวลาราว ๆ 20 นาที ก่อนล้มฟุบลงไปกองกับพื้น

สมาชิกคนอื่น ๆ ของสมัชชาแห่งชาติตุรกี รุดเข้าไปช่วยเหลือเขา และทาง โคคา เปิดเผยในวันอังคาร (12ธ.ค.) ว่า บิตเมซ ได้รับความช่วยเหลือจนฟื้นคืนสติในรัฐสภา และถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที เบื้องต้นอุปกรณ์ทางการแพทย์ช่วยพยุงชีพเขาไว้ได้ อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

นักการเมืองฝ่ายค้านรายนี้ ซึ่งแต่งงานแล้วและมีลูก 1 คน จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยอัล-อาซาร์ ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ จากนั้นก็ทำงานกับกลุ่มองค์กรอิสลามต่าง ๆ ที่ไม่แสวงหาผลกำไร และเป็นประธานศูนย์วิจัยสหภาพอิสลาม

ระหว่างการอภิปราย เขาได้กล่าวหารัฐบาลต่อการเดินหน้าสานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจด้วยความเป็นมิตรกับอิสราเอล ทั้งที่อิสราเอลยังคงถล่มฉนวนกาซาไม่หยุด ซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วเกือบ 19,000 คน ความคิดเห็นของเขาได้เรียกเสียงค่อนขอดมาจากสมาชิกพรรค AK Party

แม้ แอร์โดอัน หาทางปรับปรุงความสัมพันธ์กับอิสราเอล ตามหลังทั้ง 2 ชาติมีความสัมพันธ์อันเย็นชาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เขาก็ส่งเสียงคัดค้านสงครามปัจจุบันระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ‘ฮามาส’ โดยเรียกอิสราเอลว่าเป็น ‘รัฐก่อการร้าย’ และพยายามผลักดันให้เกิดข้อตกลงหยุดยิง

‘ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว’ ธุรกิจแฟรนไชส์ 4 พันสาขา อายุกว่า 30 ปี เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้ชื่อ ‘ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น’

(15 ธ.ค. 66) นายอนุชิต สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการบริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารแฟรนไชส์ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์อายุกว่า 30 ปี ของบริษัทเติบโตจนมีสาขามากกว่า 4,000 สาขา

รวมถึงยังมีแบรนด์สตรีตฟู้ดในเครือ อาทิ ชายใหญ่ข้าวมันไก่ พันปีบะหมี่เป็ดย่าง อาลีหมี่ฮาลาล ไก่หมุนคุณพัน ไปจนถึงอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงภายใต้แบรนด์ชายสี่โกลด์ พร้อมด้วยเครื่องปรุงเพื่อจำหน่ายอีกกว่า 200 รายการ ซึ่งต่างได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ขายและผู้บริโภค

จึงพร้อมเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ภายใต้ชื่อใหม่ ‘ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น’ เพื่อสะท้อนโพซิชั่นของธุรกิจที่เป็นผู้ให้บริการด้านอาหารที่ครบวงจร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารพร้อมปรุงและพร้อมทานเพื่อให้บริการในร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต การร่วมทุนผลิตและจำหน่ายอาหารและแฟรนไชส์สตรีตฟู้ดในต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็น ‘สตรีตฟู้ดมหาชนของทุกคน’

ตามแผนนี้บริษัทเตรียมความพร้อมในหลายด้าน ทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาสินค้า นำเทคโนโลยีเข้ามาลดขั้นตอนและเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ควบคู่ไปกับบริหารต้นทุนและทรัพยากร

อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างในการทำงาน โดยเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้นำ รวมถึงจัดเตรียมสวัสดิการของพนักงานให้ทัดเทียมองค์กรชั้นนำของไทย

จึงมั่นใจว่าการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่นี้จะส่งเสริมและยกระดับให้ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น เป็นแบรนด์แถวหน้าในธุรกิจบริการอาหารของไทย และเติบโตไปไกลเป็นครัวของทุกบ้าน อาหารของทุกคน หนึ่งในใจทุกเวลา

สมาคมแม่บ้านทหารบก​ สาขา​ กร.ทบ.​ขอเชิญทุกท่าน​ เที่ยว "งานกาชาด 2566" ชวนนุ่งโจง ห่มสไบ เดินช้อป ณ สวนลุมพินี จัด 11 วัน 11 คืน ตั้งแต่ 8-18 ธ.ค.นี้ พร้อมชมมหรสพสุดรื่นเริง"

สมาคมแม่บ้านทหารบก​ สาขากรมกิจการพลเรือนทหารบก​นำโดย​ คุณ​วรางค์สิริ​ ศิริมณฑล​ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบกสาขากรมกิจการพลเรือนทหารบก​ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมย้อนวันวานไปกับมหรสพรื่นเริงการกุศลคู่คนไทยที่กำลังหวนกลับมาอีกครั้ง ร่วมสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ภายในงานวันกาชาด ปีนี้ พร้อมแต่งตัวด้วยชุดไทยนุ่งโจงห่มสไบสวยงาม​

และร่วมสนุก​ กับ​ การตักไข่​ สอยดาว​ ในซุ้ม​สมาคมแม่บ้านทหารบก​ รับของรางวัล​เดินอมยิ้มกลับบ้าน​ และ​ ร่วมกันลุ้น​การออกรางวัลสลากกาชาด​สมาคมแม่บ้านทหารบก​ ที่ของรางวัล​ สุดอลังการ​

สำหรับงานมหรสพสุดรื่นเริง "งานกาชาด 2566" จะจัดขึ้น​ ณ. สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 8-18 ธ.ค. ปีนี้ รวม 11 วัน 11 คืน และบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ www.redcrossfair.com

การตรวจสลาก สมาคมแม่บ้านทหารบก จะประกาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ (ททบ.) หลังข่าวภาค ๒๐.๐๐ น. ของวันที่ ๑๙ - ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ และทาง Facebook สมาคมแม่บ้านทหารบก  https://www.facebook.com/Thaiarmywives.Th?mibextid=2JQ9oc  หรือที่ www.งานกาซาด.com ติดต่อรับรางวัลได้ที่ สมาคมแม่บ้านทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๗๙๗๖ โทร.ทบ. ๙๗๐๔๔ หมดเขตรับรางวัล วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗ พ้นกำหนดนี้แล้ว ถือว่าสละสิทธิ์ในการรับรางวัล และมอบรางวัลนั้นให้กับสภากาชาดไทย เงื่อนไขรางวัล สลากมี ๑ ชุด จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ฉบับ จะจ่ายรางวัลแก่ผู้ที่ถือสลากที่ถูกรางวัลเท่านั้นที่จะมีสิทธิรับรางวัลได้

Cr.สมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม

กสม. มอบรางวัลบุคคล-องค์กรที่ทำผลงานเด่นด้านสิทธิฯ พร้อมชูปฏิญญาสากล เรื่องศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความยุติธรรมสำหรับทุกคน

วันที่ 14 ธันวาคม ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดงานวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธันวาคม ประจำปี 2566 ในหัวข้อ 75 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน “ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความยุติธรรมสำหรับทุกคน”

นางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเปิดงานว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 สมัชชาแห่งสหประชาชาติได้ลงมติรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights – UDHR) ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 48 ประเทศแรกที่ร่วมรับรองปฏิญญาสากลฉบับนี้ อันถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์สำคัญที่เป็นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนหลายฉบับที่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติต่างดำเนินการและผลักดันเพื่อให้สิทธิที่ระบุไว้ในปฏิญญาเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ดี ผ่านไป 75 ปี สิทธิมนุษยชนก็ยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทายอย่างมากในปัจจุบัน ยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบอยู่ทั่วไป ซึ่งสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศต่างๆ ล้วนเห็นตรงกันว่า สถานการณ์ในขณะนี้เลวร้ายกว่าเมื่อ 5-10 ปีที่ผ่านมา และนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง มีความเหลื่อมล้ำในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง 

สำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ยังมีปัญหาการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ความตระหนักรู้และเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน กสม. จึงได้นำประเด็นที่มีเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก มากำหนดเป็นนโยบายการขับเคลื่อนงานที่สำคัญสำหรับปี 2567 ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกสม. จะร่วมกับทุกภาคส่วนพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เป็นหลักประกันการเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับทุกคนตลอดทั้งกระบวนการ (Access to Justice for All) โดยขับเคลื่อน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และผลักดันร่าง พระราชบัญญัติประวัติอาชญากรรม เพื่อให้มีหน่วยงานกลางและมีการจัดการเรื่องทะเบียนประวัติอาชญากรรมที่ไม่กระทบต่อสิทธิของประชาชนจนเกินสัดส่วน (2) สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) อันเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่กระทบต่อสิทธิในชีวิตและสุขภาพ และ (3) สิทธิผู้สูงอายุ โดย กสม. จะผลักดันทั้งในระดับประเทศและกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ให้สิทธิของผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในสิทธิมนุษยชนกระแสหลัก และสร้างหลักประกันว่าผู้สูงอายุจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยังมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างสร้างสรรค์ 

“ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในปีนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนจะได้ถอดบทเรียนของภารกิจงานส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าถึงการทำงานเพื่อจัดการกับความท้าทายที่ยังมีอยู่ และปัญหาในอนาคต” นางสาวพรประไพ กล่าว

ด้าน นางเอกสิริ  ปิณฑะรุจิ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงระบุถึงพัฒนาการเชิงบวกด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในช่วงที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่จัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งปัจจุบันได้มีการประกาศใช้แผนระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรียังได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งเป็นการปูทางสู่กระบวนการพิจารณาและผ่านกฎหมายที่จะมีผลส่งเสริมสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และนำมาตรฐานระหว่างประเทศมาส่งเสริมการพัฒนาในประเทศ จึงมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ HRC วาระปี ค.ศ. 2025 - 2027 ของไทย เพื่อสานต่อความร่วมมือกับประชาคมโลกในการแสวงหาแนวทางการป้องกันและรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน

จากนั้น กสม. ได้มอบรางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2565 เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลและองค์กรที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริม ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยผู้รับรางวัลทั้ง 9 รางวัล ได้ขึ้นรับโล่เกียรติยศและกล่าวถึงความรู้สึก และความสำคัญของสิทธิมนุษยชนในมิติต่าง ๆ ตามลำดับ ดังนี้ (1) โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw  (2) นายอลงกรณ์  เหมือนดาว บรรณาธิการ รายการข่าว 3 มิติ (3) นายเดโช  ไชยทัพ นายกสมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ (4) รองศาสตราจารย์ บุญเลิศ  วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (5) นางสาวรอซิดะห์  ปูซู ประธานเครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (N-Wave) (6) นายจำนงค์  จิตรนิรัตน์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชน/เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล 5 จังหวัดอันดามัน (7) ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (8) มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) และ (9) นางสาวธนานุช  สงวนศักดิ์ ผู้สื่อข่าวอิสระ 

ช่วงท้ายของงานยังมีการเสวนา หัวข้อ “ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความยุติธรรมสำหรับทุกคน” ร่วมเสวนาโดย นายพิศาล  มาณวพัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา พันตำรวจโท ประวุธ  วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทน อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นางสาวเสาวลักษณ์  ทองก๊วย นายกสมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ นายสมพงค์  สระแก้ว ผู้อำนวยมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน นายจำนงค์  หนูพันธ์ ประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ดำเนินรายการโดย นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 

โดยวงเสวนาได้กล่าวถึงหลักการสิทธิมนุษยชนที่เป็นเรื่องของทุกคน เกี่ยวโยงกัน มีผลต่อการยอมรับในระดับสากล และยังมีผลกระทบต่อการค้าการลงทุนด้วย โดยรัฐมีหน้าที่ในการเคารพ ปกป้อง และเติมเต็ม ทำให้สิทธินั้นเกิดขึ้นได้จริง นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนายังได้กล่าวถึงประเด็นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องเป็นความยุติธรรมสำหรับทุกคน สิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มคนจนเมืองที่พบอุปสรรคและความเหลื่อมล้ำในการพิสูจน์สิทธิหรือไม่ได้รับโอกาสในการจัดสรรที่ดินอย่างเหมาะสม อุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามมาตรฐานขั้นต่ำของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ คนไร้รัฐไร้สัญชาติ คนพิการ และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ทั้งนี้ ในเวทียังได้กล่าวถึงการออกแบบนโยบายสาธารณะที่ต้องครอบคลุมและคำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันของประชากรแต่ละกลุ่ม โดยหน่วยงานของรัฐควรมีการทำงานที่เชื่อมประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้คนทุกกลุ่มได้มีสิทธิและศักดิ์ศรีเสมอภาคกัน

‘รศ.ดร.สมพงษ์’ มอง ‘แลนด์บริดจ์’ อาจเป็นได้แค่ทางผ่าน หากมองข้ามการยกระดับเป็น ‘ศูนย์กลางการค้า’ ใต้แผนนี้

จากรายการ THE TOMORROW ได้พูดคุยกับ รศ.ดร.สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์ อาจารย์พิเศษหลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'แลนด์บริดจ์ หรือจะเป็นได้แค่ทางผ่าน?' เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.66 โดยจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของประเทศไทย ที่ได้ศึกษาให้กับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) ซึ่ง รศ.ดร.สมพงษ์ เป็นหนึ่งในทีมงานการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ด้วยนั้น ได้เปิดเผยว่า...

การศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่มีการศึกษามาแล้วอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยโครงการนี้จะมีการสร้างท่าเรือในฝั่งชุมพร และระนอง ประกอบไปด้วยการสร้างรถไฟและทางมอเตอร์เวย์เชื่อมโยงกัน พร้อมกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ควบคู่ 

ทั้งนี้โครงการแลนด์บริดจ์มีการคาดการณ์เรือที่จะมาใช้บริการ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าของไทยเรามากที่สุด คือ การถ่ายลำ (Transshipment) 78% กลุ่มสินค้าไทย 18%  กลุ่มสินค้าจีน 4% 

ถ้าพิจารณาจากข้อมูลตรงนี้ ก็ทำให้เกิดคำถามว่ากลุ่มสายเรือที่ต้องถ่ายลำที่คาดหวังสูงถึง 78% นั้น จะมาใช้แลนด์บริดจ์จริงหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่จะต้องเปลี่ยนเส้นทางมาจากช่องแคบมะละกา และถ้าเรือขนาดใหญ่ไม่เทียบท่าขนถ่าย ท่าเรือที่ออกแบบไว้ก็จะไม่คุ้มค่าในการลงทุน 

รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า จากงานวิจัยที่ได้ศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบเบื้องต้นและความเหมาะสมในการพัฒนาเส้นทางการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทั้งสองฝั่งทะเล อ่าวไทยกับอันดามัน ซึ่งมีด้วยกันหลักๆ 3 โครงการ คือ การขุดคลองไทย, แลนด์บริดจ์ และ การเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกทวายในฝั่งพม่า โดยงานวิจัยได้ศึกษา 3 ทางเลือกพร้อมกัน 

“ทว่าจากการศึกษาทั้ง 3 โครงการผลการศึกษา สะท้อนถึงความไม่คุ้มค่า ทั้งในด้านในมิติเศรษฐกิจ รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม ที่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะชายฝั่งทะเลหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ยังมีมิติของความมั่นคง ซึ่งน่ากังวลอยู่ ขณะเดียวกันถ้ามองในแง่การสนับสนุน ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) แน่นอนว่าเราก็จะสามารถเพิ่มศักยภาพท่าเรือที่มีอยู่ได้ แต่ก็ต้องตอบให้ได้ว่ามีเป้าหมายในการพัฒนาเรื่องใด และมีความจำเป็นในการใช้ท่าเรือหรือไม่ หรือจะส่งเสริมในเชิงท่องเที่ยวสุขภาพ เน้นบริการด้านสุขภาพ ก็สามารถพัฒนาได้ในอนาคต”

เมื่อถามว่า แล้วโดยสรุปโครงการแลนด์บริดจ์จะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่? รศ.ดร.สมพงษ์ มองว่า “ด้วยงบประมาณที่มากถึง 1 ล้านล้านบาท ถ้าเกิดไม่มีลูกค้าสายเดินเรือมาถ่ายลำตามคาดการณ์จริงๆ จะทำอย่างไร ตรงนี้เป็นคำถามที่ต้องพิจารณา ซึ่งไทยเองก็ยังไม่เคยทำโครงการที่มีการลงทุนมากขนาดนี้ อีกอย่างถ้ามาดูประโยชน์จริงๆ แล้วเหมือนไทยได้เก็บเพียงค่าผ่านทางเท่านั้น อาจไม่คุ้มค่า โดยแบ่งเป็น การขนถ่ายสินค้าไทย 20% อีก 80% คือสินค้าผ่านทาง หมายความว่าเราจะได้เพียงค่าผ่านทาง กลับกันสิงค์โปร์เองไม่ได้เก็บเพียงค่าผ่านทาง แต่เขามองตนเองเป็นศูนย์กลางการค้า ขณะที่ไทยไม่ได้มองเป็นศูนย์กลางการค้า เราจะเน้นแต่การผลิตเพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นไทยควรสร้างความสามารถทางการค้าเพิ่มขึ้นควบคู่ … แลนด์บริดจ์ จึงจะไม่เป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น”

เชียงใหม่- ฝนดาวตกเจมินิดส์” 2566 ตื่นตาทั่วไทย ชาวไทยทั่วประเทศไม่ผิดหวัง

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เผยฝนดาวตกเจมินิดส์ปีนี้มีปริมาณมากสุดถึง 120 ดวงต่อชั่วโมง บรรยากาศเฝ้าชมปรากฏการณ์คืนวันที่ 14 - รุ่งเช้า 15 ธันวาคม 2566 ชาวไทยทั่วประเทศไม่ผิดหวัง เริ่มเห็นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ เนื่องจากไร้แสงจันทร์รบกวน บางดวงมีลักษณะเป็นลูกไฟขนาดใหญ่พาดผ่านฟ้าสวยงามมาก ด้านสื่อสังคมออนไลน์คึกคักขึ้นอันดับเทรนด์ไทยยอดนิยม

นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่เหมาะแก่การสังเกตการณ์ฝนดาวตกอย่างมาก เนื่องจากไร้แสงจันทร์รบกวนตลอดคืน ผู้ที่อยู่ในเขตพื้นที่ปราศจากแสงรบกวน มีทัศนวิสัยท้องฟ้าดี ไม่มีเมฆบดบัง สามารถชมความสวยงามของฝนดาวตกกันได้อย่างเต็มตา ซึ่ง สดร. ได้จัดกิจกรรมชมฝนดาวตกเจมินิดส์ที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ มีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,300 คน ปักหลักชมฝนดาวตกกันเต็มพื้นที่ สามารถสังเกตฝนดาวตกได้หลายดวง และเห็นดาวตกชนิดลูกไฟ (Fireball) หลายสิบดวง เมื่อมีผู้พบเห็นฝนดาวตกก็ต่างส่งเสียงร้องชี้ชวนกันให้ดู สร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและน่าประทับใจตลอดคืน

ทั้งนี้ สดร. ยังจัดกิจกรรมที่หอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชนทั้ง 4 แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา และสงขลา นอกเหนือจากการชมฝนดาวตกแล้ว ยังตั้งกล้องส่องวัตถุท้องฟ้าในคืนดังกล่าว อาทิ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบดี กาแล็กซีแอนโดรเมดา เนบิวลานายพราน เป็นต้น มีผู้สนใจเดินทางเข้าร่วมจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม พื้นที่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทยมีเมฆมากและฝนตก จึงสังเกตการณ์ได้ค่อนข้างยาก 

ฝนดาวตกเจมินิดส์ หรือ ฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่ จะเกิดในช่วงระหว่างวันที่ 4 - 20 ธันวาคม ของทุกปี มีศูนย์กลางการกระจายบริเวณกลุ่มดาวคนคู่ เกิดจากโลกเคลื่อนผ่านสายธารของเศษหินและฝุ่นขนาดน้อยใหญ่ที่ดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟธอน (3200 Phaethon) หลงเหลือทิ้งไว้เมื่อครั้งเคลื่อนผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงดูดเศษหินและฝุ่นเหล่านั้นเข้ามาในชั้นบรรยากาศ เกิดการเสียดสีและเผาไหม้ ปรากฏให้ผู้สังเกตการณ์บนโลกเห็นเป็นลำแสงคล้ายลูกไฟสว่างวาบเคลื่อนผ่านท้องฟ้า 

สำหรับฝนดาวเจมินิดส์ในครั้งถัดไป คาดว่าจะมีอัตราการตกสูงสุดในช่วงระหว่างวันที่ 13 - 15 ธันวาคม 2567 อย่างไรก็ตาม ในช่วงดังกล่าวจะมีแสงจันทร์รบกวน จึงไม่เหมาะต่อการสังเกตการณ์ ทั้งนี้สามารถติดตามข้อมูลปรากฏการณ์น่าติดตามอื่น ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊กสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

พัฒนชัย/เชียงใหม่

กระบี่พร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษา แห่งชาติ ครั้งที่ 43 "กระบี่เกมส์" เตรียมสถานศึกษาเป็นที่พักรองรับนักกีฬากว่า 7,000 คน

วันนี้ (14 ธ.ค.66) ณ ห้องประชุมพวงชมพู สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกระบี่ นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ มอบเงินค่าบำรุงสถานศึกษาที่เป็นที่พักนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ จำนวน 10 เขตจำนวน 1,063,351 บาท เพื่อเตรียมความพร้อมด้านที่พักรองรับนักกีฬากว่า 7 พันคน ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษา แห่งชาติ ครั้งที่ 43 "กระบี่เกมส์" โดยมี นายอาคม สุชาติพงษ์ ศึกษาธิการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 17 แห่ง ร่วมรับมอบ

โดยการจัดการแข่งขันกีฬา นักเรียน นักศึกษา แห่งชาติ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญในการพัฒนาเยาวชนของชาติ ซึ่งกรมพลศึกษาได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาได้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อพัฒนาทักษะทางด้านการกีฬาและสร้างเสริมประสบการณ์จากการแข่งขันกีฬาในระดับชาติ สำหรับการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 43 ประจำปี 2567 นี้ จังหวัดกระบี่
เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ภายใต้ชื่อ “กระบี่เกมส์” มี “น้องอุดมโชค” เป็นมาสคอต และมีคำขวัญประจำการแข่งขันว่า “กระบี่เกมส์ เกมส์แห่งมิตรภาพ” โดยจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22-30 มกราคม 2567 ในจำนวน 25 ชนิดกีฬา

ทั้งนี้ จังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าว ซึ่งจังหวัดกระบี่ได้รับการจัดตั้งให้เป็นเมืองกีฬา (Sports City) เคยดำเนินการจัดการแข่งขันรายการระดับประเทศมาแล้วหลายรายการ ทั้งกีฬาเยาวชนแห่งชาติ กีฬาแห่งชาติ กีฬาระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการเริ่มจุดประกายและปูพื้นฐานสำหรับกีฬาของประเทศให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

'รมว.ศก.ญี่ปุ่น' ยาหอมไทย!! พร้อมหนุน 'ความสัมพันธ์-การลงทุน' ทุกด้าน หลัง 'นายกฯ เศรษฐา' โชว์วิชัน-ชวนลงทุนไทย ต่อหน้า 500 นักธุรกิจญี่ปุ่น

(15 ธ.ค. 66) ที่โรงแรมอินพีเรียลโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายไซโต เค็น (H.E. Mr. Saito Ken) รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ธ.ค. เข้าเยี่ยมคารวะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง 

จากนั้น นายเศรษฐา กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา 'Thailand-Japan Investment Forum' ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมเข้าร่วมงานด้วย โดยมีนายไซโต รวมถึงนักลงทุนจากญี่ปุ่นเข้าร่วมงานกว่า 500 คน ซึ่งเป็นการสัมนาใหญ่ระหว่างสองประเทศด้านเศรษฐกิจครั้งแรกหลังสถานการโควิด-19 คลี่คลาย

โดยนายกฯ เศรษฐา กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า ขอบคุณและถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาที่รัฐบาลไทยเร่งดําเนินการเพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก โดยไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตอันดีและยาวนานกว่า 136 ปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ, การค้า, การลงทุน และสังคม ได้แก่...

1.คือความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่มีกว่า 136 ปี เป็นมิตรแท้ที่มีความสัมพันธ์กันในทุกระดับ ทั้งราชวงศ์, รัฐบาลและภาคธุรกิจไปถึงภาคประชาชน มีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยกว่า 6,000 บริษัท มีชาวญี่ปุ่นในไทย 80,000 คน

2. รัฐบาลมีแนวทางในการผลักดันเศรษฐกิจไทย วันนี้รัฐบาลมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งเศรษฐกิจใหม่, เศรษฐกิจดิจิทัล, เศรษฐกิจสีเขียว, อุตสาหกรรมเอไอ, การวิจัย และพัฒนาสตารท์อัปให้เติบโตในเวทีโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายญี่ปุ่นที่เน้นเทคโนโลยีคุณภาพเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บริษัทใหญ่ไปจนถึงบริษัทท้องถิ่น หวังว่าไทยจะเป็นจุดมุ่งหมายของพวกท่าน แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่รัฐบาลก็มีมาตรการกระตุ้น อัดเงินเข้าระบบ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน 

ขณะที่ด้านการค้าญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่ค้าลำดับต้นๆ เชื่อว่าจะขยายได้อีกซึ่งครอบคลุมสินค้าได้หลากหลาย ส่วนด้านการลงทุนมีโครงการบีโอไอก็มีการส่งเสริมกว่า 4,000 โครงการ โดยการลงทุนญี่ปุ่นมีส่วนผลักดันให้เศรษกิจไทยโตอย่างต่อเนื่อง ขอขอบคุณนักลงทุนญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย เป็นเวลา 50 ปีที่อุตสาหกรรมญี่ปุ่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 

เราไม่ลืมและสนับสนุนให้แข่งขันเติบโตได้เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ พร้อมๆ ไปกับการส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์สู่ระดับสากล ด้วยการทูตเชิงวัฒนธรรม พัฒนา 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ต่อยอดภูมิปัญหา เป็นโอกาสต่อยอดของญี่ปุ่นในการพัฒนา เกมส์ ภาพยนต์ หรืออนิเมชัน ซึ่งเชื่อมั่นว่าความพร้อมด้าน Creative Industry ของไทยไม่เป็นรองใคร พิสูจน์ได้โดยรางวัลต่างๆ ทั่วโลกที่สร้างด้วยฝีมือคนไทย

ด้านอุตสาหกรรมพลังงาน ไทยมีเป้าหมายในการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ขอเชิญชวนญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ไปด้วยกัน โดยประเทศไทยมีความพร้อมด้านพลังงานสะอาด (Clean Energy) และกำลังต่อยอดอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น Green Hydrogen ที่จะกลายเป็นแหล่งพลังงานแห่งอนาคต

3. ด้านแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งทางถนน, ทางน้ำ, ทางราง และทางอากาศ ยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของ โดยมีหลายภาคส่วนที่มีความร่วมมือกับทางญี่ปุ่น ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอีอีซีแล้ว ขณะนี้รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะผลักดันโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มูลค่าเงินลงทุนเบื้องต้นกว่า 4 ล้านล้านเยน เพื่อสร้างเส้นทางการค้าการขนส่งใหม่ของโลกที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ด้วยท่าเรือ, ระบบราง และระบบถนน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของภูมิภาคและระดับโลก จึงขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้าร่วมศึกษาและลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ เสริมสร้างความเชื่อมโยงและซัพพลายเซนในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“สุดท้ายนี้ ผมในนามรัฐบาลไทยให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมุ่งมั่นจะยกระดับเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าขยายการเจรจาเอฟทีเอ กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และเร่งปรับปรุงบริการภาครัฐเพื่อทำให้การประกอบธุรกิจมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งวันนี้ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับการลงทุนจากทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่รายสำคัญของไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ไทยพร้อมสนับสนุนการลงทุนจากญี่ปุ่นทั้งรายเดิมและรายใหม่ และพร้อมร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นในการยกระดับอุตสาหกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อความก้าวหน้าของทั้งสองประเทศต่อไป” นายกฯ เศรษฐา กล่าว

ด้านนายไซโต กล่าวปาฐกถา ตอนหนึ่งว่า ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยเป็นพันธมิตรสำคัญร่วมสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมมาโดยตลอด มีอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลักบนพื้นฐานความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานของทั้งสองประเทศ ปีนี้ครบรอบ 50 ปี แห่งมิตรภาพญี่ปุ่นอาเซียน ความร่วมมือที่ผ่านมาได้สะสมความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด เพื่อสร้างอนาคตร่วมกันในอีก 50 ปีข้างหน้า โดยจะมุ่งเน้นใน 3 ประเด็น คือ...

1. การสร้างอุตสาหกรรมในอนาคต เปิดสายงานที่ญี่ปุ่นถนัด เช่น พลังงานสะดาด รถยนต์ในยุคต่อไป การบินและอวกาศ รวมถึงการแพทย์ขั้นสูง 

2. ความมั่นคงด้านพลังงาน และลดคาร์บอนไปพร้อมกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะผลักดันความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมในการลดคาบอน เพราะญี่ปุ่นกำลังดำเนินการกับไทยอยู่หลายโครงการ 

และ 3. คือการพัฒนาบุคคลที่เป็นพื้นฐานความร่วมมือเพื่อสร้างอนาคต มีการเริ่มโครงการแลกเปลี่ยนนักธุรกิจรุ่นเยาว์ เพื่อให้มีความสัมพันธ์ร่วมกันเหมือนที่เรามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและความไว้วางใจซึ่งกันและกันตั้งแต่รุ่นก่อน

นายไซโต กล่าวอีกด้วยว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ผลิตญี่ปุ่นได้เข้ามาไทยในช่วงปี 1960 ตั้งแต่นั้นมา 60 ปี มีการสร้างงานร่วมกันในอุตสาหกรรมนี้อย่างมั่นคง แต่วันนี้อุตสาหกรรมยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีการลงทุนของสหรัฐอเมริกาและจีนเพิ่มมากขึ้น การแข่งขันระดับโลกทวีความรุนแรง ญี่ปุ่นต้องการให้อาเซียนโดยเฉพาะไทยที่ถูกขนาดนามว่าดีทรอยต์อาเซียนที่แข็งแกร่ง เป็นที่สร้างยานยนต์ในยุคต่อไปเพื่อให้แข่งขันในโลกได้ เพราะนอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังมีรถยนต์ไฮโดรเจน และเอสทานอล ที่ต้องพัฒนาในเรื่องเหล่านี้ และต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกและพัฒนายานยนต์เชิงกลยุทธ์ และจับตาตลาดส่งออกยุโรป ที่ต้องการลดคาร์บอนในกระบวนการผลิต ซึ่งจะต้องตอบสนองในเรื่องดังกล่าว และอยากทำงานให้ครอบคลุมกับประเทศไทย โดยร่วมมือกับนายเศรษฐา และรัฐบาลไทยสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของสองประเทศ และเร่งสร้างศูนย์การผลิตและการส่งออกรถยนต์อันดับหนึ่งของโลกในยุคต่อไป และไม่ใช่แค่รถยนต์แต่ยังจะทำงานแข็งขันเพื่อกระชับความสัมพันธ์การลงทุนของทั้งสองประเทศในด้านต่าง ๆ ด้วย

‘พยากรณ์อากาศประเทศไทย’ แย้ม!! ลมหนาวระลอกใหม่กำลังมา คาด!! 21-22 ธ.ค.อีสานเย็นลง 5-10 องศา ส่วน กทม.แตะ 19 องศา

(15 ธ.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘พยากรณ์อากาศประเทศไทย’ ได้โพสต์ข้อความให้เตรียมรับลมหนาว ระบุว่า…

สิ่งที่ทุกท่านรอคอยจะมาถึงแล้ว! เตรียมรับลมหนาวจริงจัง! พีคสุด 21-22 ธ.ค.! อีสานจะเย็นลง 5-10 องศา! กรุงเทพฯ ต่ำสุด 19-20 องศา!

17 ธ.ค. อีสานมีเย็นลงจางๆ, 18 ธ.ค. อีสานเย็นลงชัดเจน, 19 ธ.ค. ลมเย็นจางลงไปหน่อย, 20 ธ.ค. ลมหนาวจริงจังครอบคลุมอีสาน, 21 ธ.ค. ลมหนาวจริงจังทักทายบริเวณกว้าง, 22 ธ.ค. ลมหนาวจริงจังครอบคลุมครึ่งบนของประเทศ!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top