Thursday, 26 June 2025
NewsFeed

‘อนุทิน’ ส่งข้อความร่วมยินดี ‘บิ๊กตู่’ ได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เผย ‘อดีตนายกฯ’ ขอบคุณ-ฝากฝังทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง

(1 ธ.ค. 66) ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี ว่า…

“ยินดีกับท่านด้วย เพราะเคยทำงานด้วยกันมาก่อนในฐานะร่วมรัฐบาลเดียวกัน ได้ส่งข้อความไปยินดีกับท่านแล้ว และท่านตอบกลับมาว่า ขอบคุณ และให้ช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อท่าน”

ลำพูน - สถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ จัดเสวนา 'โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย' ที่จังหวัดลำพูน

สถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ จัดเสวนาในหัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10:00 ถึง 12:30 นาฬิกา ณ ห้องจามจุรี 1 ชั้น 2 อาคารสัมมนา เดอะแกรนด์จามจุรี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล ลำพูน ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 

สาระสำคัญเริ่มที่ นางปอโลมี  ทริปาติ อุปทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับฯ ถัดมา นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวสุนทรพจน์ ลำดับถัดไป นายมนัส เกียรติเจริญวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์/ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย นายบรรจง วิพรหมชัย ประธานหอการค้าจังหวัดลำพูน กล่าวคำปราศรัย และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ นำเสนอหัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชั้นนำทั้งสองประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหารือโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยอินเดีย

นางปอโลมี ตริปาฐี อุปทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับว่า ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณสำหรับความสนับสนุนที่ได้รับจาก นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ลำพูนที่ได้จัดการสัมมนา "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย" ข้าพเจ้าขอขอบคุณนักธุรกิจไทยทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่าของท่านเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ นับเป็นความยินดีอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสมาเยือนจังหวัดลำพูนที่สวยงามนี้ 

ทุกท่าน อินเดียและไทยเป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและอารยธรรมอย่างลึกซึ้ง ดังที่เห็นได้จากอิทธิพลที่แข็งแกร่งจากรามเกียรติและพุทธศาสนาในทั้งสองประเทศ ในฐานะเพื่อนบ้านทางทะเล เรามีความเชื่อมโยงทางภูมิรัฐศาสตร์และมีวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ รวมถึงรากเหง้าของภาษาร่วมกัน ความเชื่อมโยงทางประเพณีของเรานั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นแฟ้น และในปัจจุบันก็ได้รับการเสริมสร้างด้วยความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แข็งแกร่งของเรา ทั้งในความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุนที่เติบโตขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนมากขึ้น ผ่านการท่องเที่ยวและการศึกษา

อินเดียเป็นประเทศที่ประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นประชากรในวัยหนุ่มสาว ด้วยจำนวนประชากรที่มีจำนวนมาก และมีจุดเน้นที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งในด้านการศึกษา อินเดียได้กลายเป็นจุดศูนย์รวมความเป็นเลิศในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเป็นผู้ประกอบการ ในปัจจุบันมีคนอินเดียทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบริษัทข้ามชาติมากกว่า 21 แห่ง ทั้งบริษัท google, Microsoft, IBM และอื่น ๆ จุดเน้นทางการศึกษาและสภาพแวดล้อมทางโอกาสที่เหมาะสมก็ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของบริษัท Startups เป็นอย่างมากในประเทศอินเดีย การค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการเป็นคนหางานเป็นคนให้งานของกลุ่มคนหนุ่มสาวในอินเดียถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงมีบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากกว่า 111 แห่ง เป็นมูลค่ากว่า 349 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 สำหรับอินเดียในภูมิภาคอาเซียน ทั้งไทยและอินเดียมีเป็นประเทศเกษตรกรรมมาโดยตลอด และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อกลายเป็นศูนย์การผลิตของภูมิภาค การค้าทวิภาคีระหว่างอินเดียและไทยแตะจุดสูงสุดประมาณ 17.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ส่วนการลงทุนทวิภาคีก็มีการเจริญเติบโตที่เป็นที่น่าพอใจในหลายปีที่ผ่านมา และมีบริษัทหลายแห่งในไทยได้ลงทุนในประเทศอินเดีย

ตลอดสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างน่าชื่นชมในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากประเทศที่มีรายได้น้อยไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าทึ่งกำลังถูกบันทึกไว้ในอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกแม้กระทั่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินมาตรการนโยบายและโครงการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจในอินเดียและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาในหลายด้าน เช่น ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระบบนิเวศนวัตกรรม การแข่งขัน เป็นต้น คุณทราบหรือไม่ว่า อินเดียได้ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 79 ในห้าปีที่ผ่านมา และปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 63 ในการจัดอันดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกสำหรับปี 2022 (2565) อินเดียอยู่ในอันดับที่ 40 ในดัชนีนวัตกรรมโลก 2023 (Global Innovation Index 2023 )ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)

ประเทศอินเดียมีระบบการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เปิดกว้างเกือบทุกภาคส่วน เช่น การก่อสร้าง การธนาคาร ประกันภัย รถไฟ ค้าปลีก สื่อ สายการบิน การป้องกันประเทศ ฯลฯ และมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 100% ในภาคส่วนส่วนใหญ่ผ่านเส้นทางอัตโนมัติ อินเดียได้บันทึกการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 83.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว

ปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างระบบการผลิตชิปเซ็ตที่แตกต่างและหลากหลาย แผนการอุดหนุนล่าสุดที่ประกาศสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยรัฐบาลทำให้อินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดที่สุดในเอเชียสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ ภายใต้โครงการอุดหนุนการเชื่อมโยงการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รัฐบาลอินเดียได้ประกาศการสนับสนุนทางการคลังแบบสม่ำเสมอ 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายโครงการสำหรับการจัดตั้ง Semiconductor Fabs ในอินเดีย เพื่อนร่วมงานของฉันจะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการและแผนริเริ่มต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมความสะดวกในการดำเนินธุรกิจในอินเดีย

ประเทศอินเดียมีโอกาสการลงทุนอย่างมากมายในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ถนน ท่าเรือ ภาคพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ การแปรรูปอาหาร พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีดิจิทัล โลจิสติกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า ในระหว่างการประชุมและการพูดคุยของฉันกับภาคธุรกิจในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ฉันรู้สึกยินดีที่เห็นว่าความร่วมมือของเราแข็งแกร่งขึ้นและมีสภาพแวดล้อมแห่งความไว้วางใจระหว่างธุรกิจของทั้งสองประเทศ ประชากรจำนวนมากของอินเดียไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลกเท่านั้น แต่ยังเปิดทางให้ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์และการลงทุนของไทย 

นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียยังได้เสนอให้มีการประสานงานกันในภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เพื่อส่งเสริมการค้าและสนับสนุนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของทั้งสองฝ่าย ฉันทราบดีว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในลำพูนอยู่ในประเภท SME (ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม) และพวกเขาจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนจากความร่วมมือดังกล่าว

ทุกท่าน นับตั้งแต่เราได้รับเอกราช อินเดียได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่หยุดยั้ง และเรายังคงก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนโดยนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาลอินเดียกำลังจะนำอินเดียไปสู่จุดศูนย์กลางเวทีโลก วิสัยทัศน์และภารกิจของอินเดียในปี 2047 ซึ่งเราเรียกว่า "อมฤตกาล" และนโยบาย Thailand 4.0 เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของเจตจำนงของเราที่มีต่อความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้า ฉันเชื่อว่าความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันและบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้

ในนามของสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับกลุ่มธุรกิจของลำพูน ที่จะเข้ามาเพื่อสำรวจตลาดอินเดียเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนที่มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่และสิ่งจูงใจที่รัฐบาลอินเดียมอบให้ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีประสิทธิภาพในงานสัมมนาฯ และพร้อมรับข้อเสนอแนะของคุณ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้าร่วมสัมมนาในวันนี้(30 พ.ย. 66)..นางปอโลมีฯ กล่าวในที่สุด

โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมวันเอดส์โลก 2023 ให้ความรู้ ตรวจร่างกาย และตรวจหาเชื้อ HIV กับข้าราชการตำรวจและประชาชน

วันนี้ (1 ธ.ค.66) พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ , พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์ (สบ 7)โรงพยาบาลตำรวจ และประธานคณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ และ พล.ต.ต.หญิง ดร.สุรัมภา รอดมณี ผู้บังคับการวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ นำนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ ร่วมตัดริบบิ้นเปิดกิจกรรมโครงการ “Word AIDS Day 2023 - Let Communities  lead" ณ หน้าอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ชั้น 1 โรงพยาบาลตำรวจ 

เนื่องด้วยในวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก  ปีนี้โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ไม่แพ้ทุกปี โดยปล่อยแถวรณรงค์ภัยร้ายจากโรคเอดส์ ซึ่งเจ้าหน้าที่และบุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจถือป้ายเดินขบวนรณรงค์จากหน้าอาคาร มภร. ชั้น 1 โรงพยาบาลตำรวจ ไปยังห้องโถง อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ชั้น 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายแพทย์ใหญ่  (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ เปิดกิจกรรม มีการบรรยายให้ความรู้เรื่อง “โรคแทรกซ้อนสำคัญของระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการติดเชื้อ  HIV", ความรู้เรื่อง “โรคตับอักเสบและการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม" จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ ยังให้บริการตรวจพยาธิสภาพตับด้วยเครื่อง Fibro Scan และให้คำปรึกษาก่อนเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ  HIV, ซิฟิลิส, เชื้อไวรัสตับอักเสบบี, เชื้อไวรัสตับอักเสบซี และภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี 

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV จะลดน้อยลง เพราะที่ผ่านมาหลายหน่วยงานรณรงค์ให้ความรู้ถึงภัยร้ายและการป้องกัน ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ ซึ่งโรงพยาบาลตำรวจเล็งเห็นความสำคัญของโรคเอดส์ จัดกิจกรรมรณรงค์อย่างต่อเนื่อง อาทิ ให้บริการตรวจหาเชื้อ HIV กับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ให้คำปรึกษากับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และแนะนำวิธีการป้องกันอย่างถูกวิธี อีกทั้งให้การสนับสนุนเครือข่าย ที่ร่วมรณรงค์แก้ไขปัญหา เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยงให้มีจำนวนน้อยที่สุด

ด้าน พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์(สบ 7)โรงพยาบาลตำรวจ และประธานคณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ กล่าวว่า สถิติการระบาดของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั่วประเทศปี 2565 พบประเทศไทยมีผู้ติดที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 560,000 คน เสียชีวิต 11,000 รายและมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9200 รายเพิ่มจากปี 2564 ร้อยละ 42 สาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน คณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์มีหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 ถึง 2573 โดยให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อ ส่งเสริมสนับสนุน การป้องกันมากขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการยอมรับและห่วงใยผู้ป่วยเอดส์ อีกทั้งเผยแพร่ความรู้ให้กว้างขวางขึ้น

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า วันนี้โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมรณรงค์วันเอดส์โลก เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความรุนแรงของโรคเอดส์ ซึ่งจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ การให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคเอดส์ รวมถึงการป้องกันอย่างถูกวิธี โรงพยาบาลตำรวจ ขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป ร่วมกันรณรงค์ในทุกมิติ เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว โอกาสนี้โรงพยาบาลตำรวจขอขอบคุณ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม ที่นำวงดุริยางค์มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย สำหรับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ เพจเฟสบุ๊ก โรงพยาบาลตำรวจ หรือโทร 02-2076000

‘ต้อม ยุทธเลิศ’ ตอก ‘เพชร ก้าวไกล’ ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการด่า

จากกรณีที่นายยุทธเลิศ สิปปภาค หรือ ต้อม ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ก่อนหน้านี้ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว โดยมีข้อความระบุ ถึง นายกรุณพล เทียนสุวรรณ หรือ เพชร สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล คู่กรณีคดีหมิ่นประมาท ว่าวันนี้ ผมมาถึงศาล ทุกคนก็มาถึงกันหมดแล้ว ทนายของเพชร ลองมาต่อรองกับผมเป็นครั้งสุดท้าย ว่าจะให้จบแบบคดีรักชนกได้มั้ย แต่ผมบอกทนายไปว่า กรณี รักชนก ตัวผมยังไม่ยอมจบแค่นั้นนะ และยังยืนยันคำเดิมว่าคดีของเพชร ผมไม่ต้องการคำขอโทษ ผมต้องการเงินค่าทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง คือ 5 ล้านเท่านั้น เมื่อตกลงกันไม่ได้ เรากลับเข้าไปในศาล แต่สุดท้ายเพชร ขอเปลี่ยนคำให้การเป็นยอมรับสารภาพผิด และทำการวาง ‘เงินบรรเทาผลร้าย’ ให้ผมเป็นจำนวน 5 หมื่นก่อนเบื้องต้น เพื่อประกันการมาฟังคำตัดสินของศาลในวันที่ 1 ธันวาคมนี้

ล่าสุดวันนี้ (1 ธ.ค. 66) ต้อม ยุทธเลิศ เปิดเผยผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า ศาลได้สั่งจำคุกเพชร กรุณพล เป็นเวลา 6 เดือน ฐานหมิ่นประมาทตนเอง โดยต้อม ยุทธเลิศ ระบุด้วยว่า ศาลพิพากษาวันนี้ครับ ถือเป็นข่าวดีของผม แน่นอนนี่คือข่าวร้ายของพวก สส.ปากดีทั้งหลาย พวกมึงจำใส่กะลาหัวไว้ ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการด่าครับ อิโดก! ส่วนค่าเสียหายที่ได้ติดปลายนวมมา ผมจะพา FC ไปเลี้ยงที่ร้านเยี่ยมใต้ของคุณเต้นเค้าครับ

ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม ศาลได้สั่งจำคุก เพชร กรุณพล 6 เดือน แต่โทษรอลงอาญา 2 ปี พร้อมสั่งจ่ายค่าเสียหายให้ต้อม ยุทธเลิศอีก 150,000 บาท

'ทนายแจม-ก้าวไกล' รีวิว 'รถไฟฟ้าสายสีชมพู' ไม่ใจดีกับเราเลย ที่จับสูงเกิน ทำแขนตึง คนตัวเล็กก็จับเสาไม่ได้ เพราะโบกี้คนแน่น

โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เปิดให้ใช้บริการ ระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร โดยมีสถานีรับส่งผู้โดยสาร 30 สถานี มีจุดเชื่อมต่อไปโครงข่ายอื่น 4 จุด ทำให้เชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง

ล่าสุด ทนายแจม ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้รีวิวการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถึงปัญหาที่พบในการใช้บริการบางจุด และอยากให้มีการปรับปรุง โดยมีผู้ใช้บริการรายอื่น ๆ ร่วมสะท้อนปัญหาด้วย

ข้อความระบุว่า “รีวิว นั่ง #สายสีชมพู ครั้งแรก จากศูนย์ราชการฯ ไปต่อวัดพระศรีฯ ‘ตึงแขน’ มาก ที่จับอยู่สูงเกินไปนะคะ น้องนมเย็นไม่ใจดีกับเราเลย” พร้อมได้ระบุต่อว่า “ที่ไม่สามารถจับเสาได้ เพราะโบกี้คนแน่น ทำให้ผู้โดยสารที่ตัวเล็กไม่สามารถจับได้”

นอกจากนี้ผู้โดยสารรายอื่น ยังได้ร่วมสะท้อนปัญหา เช่น

-เห็นด้วยเลยค่ะ เราสูง 170 ยืนจากสถานีวัดพระศรีถึงสถานีคู้บอนคือเมื่อยมาก เราเองก็ว่ามันสูงเกิน ที่จับก็น้อยเกินถ้าเทียบกับพื้นที่ยืน บางทีช่วงคนเยอะไม่มีที่จับหน้าจะคว่ำเพราะมันกระตุกแรง
ที่จับเขาไม่ได้ใส่สายตรงกลางให้มันห้อยลงมา รบกวนรถไฟฟ้ามาใส่สายกันด้วยนะคะ ไม่ได้มีแต่ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กต้องใช้ น้อง ๆ เด็กนักเรียนก็ต้องใช้ค่ะ

ช่วยป้าอ้อด้วยฮะ สูงเหลือเกิน ข้อข่งข้อเข่างิ คนแน่นมากกกก จะจับที่จับก็เสมิฟฮะ / เตี้ย 55

เนื่องจากไม่มีพนักงานขับ ตอนจอดจึงลงเพื่อเปิดทางให้ด้านในลงสะดวกแต่ประตูปิดทั้งที่มีคนกำลังลงเลยขึ้นกลับไปไม่ได้ ต้องรออีกสองเที่ยวเพราะแน่นขึ้นไม่ได้ น้องนมเย็นไม่น่ารักเท่าไหร่

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ สั่ง สมอ. คุมเข้มมาตรฐาน ‘คาร์ซีท’ ย้ำ!! เด็กเล็กต้องได้รับการดูแล ขณะโดยสารในรถยนต์

(1 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการควบคุม ‘คาร์ซีท’ หรือ ‘ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก’ เป็นสินค้าควบคุม เมื่อปี 2565 เพื่อให้เด็กเล็กที่ใช้คาร์ซีทได้รับความปลอดภัยในการโดยสารรถยนต์ โดยควบคุมคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัยก่อน เพราะคาร์ซีทประเภทนี้สามารถใช้กับรถยนต์รุ่นเก่าได้ จะได้ไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน 

และจากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ควบคุมคาร์ซีทที่ติดตั้งระบบ ISOFIX เพิ่มด้วย เนื่องจากรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้งานในปัจจุบัน จะมีตัวใช้ยึดกับคาร์ซีทที่เรียกว่า ISOFIX กันมากขึ้น ตนจึงสั่งการให้ สมอ. เร่งรัดดำเนินการประกาศบังคับใช้มาตรฐานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อควบคุมคาร์ซีททุกแบบทุกประเภทให้มีความปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กในการโดยสารรถยนต์ 

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘คาร์ซีท’ หรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กที่ สมอ. ประกาศเป็นสินค้าควบคุมมี 2 ประเภท คือ 

1) คาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย 

2) คาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX ซึ่งจะบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ 

มาตรฐานคาร์ซีทแบบติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย จะมีข้อกำหนดที่สำคัญ คือ แบ่งน้ำหนักของเด็กเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 

1) น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม 
2) น้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม 
3) น้ำหนัก 9-18 กิโลกรัม 
4) น้ำหนัก 15-25 กิโลกรัม 
และ 5) น้ำหนัก 22-36 กิโลกรัม 

โดยคาร์ซีทที่ได้มาตรฐานจะต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยด้วยการจำลองสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุ โดยการชนด้านหน้าด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. การชนด้านหลังด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. โดยติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หุ่นเด็กจำลอง เพื่ออ่านค่าความรุนแรงจากการกระแทก และจะรายงานผลออกมาเป็นความเสียหายหรืออาการบาดเจ็บตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนดไว้ สำหรับคาร์ซีทแบบติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX จะแบ่งขนาดคาร์ซีทตามส่วนสูงของเด็ก และเพิ่มการทดสอบการชนด้านข้าง ที่ความเร็ว 24 กม./ชม. ด้วย ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าคาร์ซีทที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นแบบ ISOFIX หรือแบบเข็มขัดนิรภัย ก็จะช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านให้ได้รับความปลอดภัยในการเดินทาง โดย สมอ. จะเร่งดำเนินการบังคับใช้ให้ได้ภายในปลายปี 2567 ตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

'สุวัจน์' ลุ้น!! โคราชเจ้าภาพจัดงาน 'พืชสวนโลก 2029' เชื่อ!! ดัน 'ศก.-การท่องเที่ยว' โคราชและภาคอีสานพุ่ง

(1 ธ.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี จ.นครราชสีมา เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลกในปี 2572 ว่า...

"เป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานในระดับโลกอีกครั้ง หลังจากที่เราเคยเป็นเจ้าภาพจัดมาแล้วที่เชียงใหม่ เมื่อปี 2549 ทั้งนี้ จ.นครราชสีมา มีความพร้อมทั้งทางด้านวิชาการ และพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และยังเป็นเมืองเก่าแก่ ที่มีอายุ 555 ปี มีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามมากมาย ขณะเดียวกันในปี 2572 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ก็จะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทาง

"ถ้าโคราชได้รับเลือก ก็จะเป็นโอกาสที่ประชาสัมพันธ์ภาพใหญ่ของประเทศว่าเรามีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี เป็นเมืองทันสมัย ที่มีความพร้อมที่จะจัดงานระดับโลกได้ และจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ และ จ.นครราชสีมา จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจของโคราช และภาคอีสานโดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว" นายสุวัจน์ กล่าว 

ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึง กรณี แอนโทเนีย โพซิ้ว รองนางงามจักรวาล จะเดินทางกลับ จ.นครราชสีมา บ้านเกิด วันที่ 11 ธันวาคม ว่า แอนโทเนีย เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและคนโคราช ที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย ในฐานะที่ได้ครองตำแหน่งระดับโลก ได้โปรโมตทั้งความสวย และความเก่งของสุภาพสตรีไทย ซึ่งกว่าจะได้มาเธอต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งมาก การได้ตำแหน่งของเธอในครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมาก เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว จึงถือว่าแอนโทเนียมาถูกสถานการณ์มาก นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ วัฒนธรรม ประเพณี อันดีงามของชาวโคราช ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกด้วย

‘สิงคโปร์’ เหนียวแน่น!! เมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดในโลก 9 ปีติด เหตุ!! ‘ราคาสินค้าทุกกลุ่ม-ค่าเดินทางในประเทศ’ พุ่งสูงไม่แผ่ว

(1 ธ.ค. 66) การจัดอันดับของ Economist Intelligence Unit (EIU) เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ชี้ว่า วิกฤตค่าครองชีพทั่วโลก นั้นยังห่างไกลจากคำว่า ‘สิ้นสุด’ โดยในปีนี้ ‘สิงคโปร์’ ยังคงครองแชมป์เป็น เมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา จากการที่ราคาสินค้าพุ่งสูงในทุกประเภท อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางในสิงคโปร์ก็สูงที่สุดในโลก เนื่องจากการควบคุมของรัฐในการจำกัดปริมาณรถยนต์ในสิงคโปร์ และยังเป็นประเทศที่มีราคาเสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภค และแอลกอฮอล์ แพงที่สุดในโลกด้วย

ทางด้าน เมืองซูริค จาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ก้าวกระโดดขึ้นอันดับมาครองแชมป์ร่วมกับสิงคโปร์ในปีนี้ได้ เป็นผลมาจากค่าเงินฟรังก์สวิสที่แข็งค่าขึ้น และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ถีบตัวสูง

ส่วนอันดับ 3 นั้นตกเป็นของเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ครองอันดับร่วมกันกับ มหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา ขณะที่อันดับ 5 ตกเป็นของฮ่องกง

มาที่อันดับ 6 ได้แก่ เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา อันดับ 7 กรุงปารีส ฝรั่งเศส อันดับ 8 โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก อันดับ 9 เทลอาวีฟ อิสราเอล และอันดับ 10 ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทาง EIU ประเมินในฝั่งเอเชียจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นของราคาสินค้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก โดยจะเห็นว่า เมืองใหญ่ในจีนและญี่ปุ่นต่างก็ไม่ติดอันดับเมืองค่าครองชีพสูงในปีนี้

ในรายงานของ EIU ยังพบว่า หลายเมืองทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาราคาสินค้าที่แพงขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มสูง สินค้าและบริการมากกว่า 200 รายการ แพงขึ้น 7.4% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี ตามสกุลเงินท้องถิ่น แม้อัตราราคาสินค้าดังกล่าวต่ำกว่าปีก่อน 0.7% แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าระดับราคาสินค้าในช่วงปี ค.ศ. 2017-2021 (พ.ศ. 2560-2564) อยู่ดี

เปิดงบ 'Soft Power' 5,146 ล้านบาท 11 สาขา ได้งบเท่าไรกันบ้าง?

(1 พ.ย. 66) คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เห็นชอบกรอบงบประมาณ 5,164 ล้านบาท ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทย 11 ด้าน เตรียมปิดถนนราชดำเนิน จัด World Water Festival มหาสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการที่แต่ละโครงการ กิจกรรม และอุตสาหกรรมซอฟต์เพาเวอร์ไทยทั้ง 11 ด้านได้เสนอ รวม 5,164 ล้านบาท ได้แก่ อุตสาหกรรมเฟสติวัล 1,009 ล้านบาท

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 711 ล้านบาท, สาขาอาหาร มี 3 โครงการใหญ่ เช่น 1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย, เชฟชุมชน และเชฟชาแนล 1,000 ล้านบาท, สาขาศิลปะไทย จำนวน 5 โครงงาน อาทิ เปิดหอศิลป์บริเวณถนนรัชดาภิเษก จัดตั้งสภาศิลปะแห่งประเทศไทย จัดกองทุนสนับสนุนศิลปะการแสดงร่วมสมัย รวมงบประมาณ 380 ล้านบาท, สาขาออกแบบ ส่งเสริมไทยแลนด์แบรนด์ 310 ล้านบาท, สาขากีฬา เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพมวยไทย กิจกรรมมวยไทย ทั้งในและต่างประเทศ 500 ล้านบาท

สาขาดนตรี ส่งเสริมศิลปินไทยสู่ระดับโลก 144 ล้านบาท, สาขาหนังสือ ให้หนังสือไทยออกสู่หนังสือนานาชาติ 69 ล้านบาท, สาขาภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ การจัดเทศกาลเอกซ์โปรในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์ ผลักดันสู่ออสการ์ 545 ล้านบาท

สาขาแฟชั่น พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ และส่งเสริมการแสดงสินค้าในต่างประเทศ 268 ล้านบาท และสาขาเกมพัฒนาหลักสูตร การส่งเสริมผู้ประกอบการ ส่งเสริมกองทุนและสร้างสนามกีฬาอีสปอร์ตแห่งชาติ  374 ล้านบาท

จากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหารือกับสำนักงบประมาณ ซึ่งโครงการบางส่วน อาจมีงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐอยู่แล้ว หรือบางสาขาตั้งงบประมาณน้อยกว่าที่จะต้องใช้ จึงอาจต้องมีการทบทวนให้เสร็จสิ้นภายใน 14 ธันวาคมนี้ ก่อนส่งให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top