Sunday, 22 June 2025
NewsFeed

‘พี่หมอกลาง’ ให้แง่คิด!! "อย่ามัวแต่รอทำอะไรดีๆ ในวันที่เขาหมดลมหายใจ" หลังรู้สึกผิด เคสลูกเพจที่เคยขอคำอธิบายโรค ลาลับ!! ไม่ทันได้ดูคลิปแนะแนว

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ @d_klang ที่รู้จักในนาม ‘พี่กลาง หอสมุดแห่งชาติ’ หรือหลาย ๆ คนเรียกติดปากว่า ‘พี่หมอกลาง’ ได้โพสต์คลิปแชร์ประสบการณ์สะเทือนใจจากการทำคลิปตอบคำถามทางการแพทย์ให้แก่คนที่สนใจและคอมเมนต์ถามเข้ามา โดยเล่าไว้ในคลิปนี้ว่า…

“ทุกคนครับพี่หมอมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง พี่เก็บเรื่องนี้ไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำติ๊กต็อกมาก็เจอเรื่องเศร้าเหมือนกัน ทุกคนจะเห็นว่าพี่หมอเอาคำถามของทุกคนมาทำคลิป คอมเมนต์ไหนที่น่าสนใจพี่หมอก็จดเอาไว้ แล้วก็ทยอยทำคลิปต่อ…

“แต่ด้วยความที่เรายุ่งมาก คลิปมันก็จะออกช้านะ ทีนี้มีอยู่คอมเมนต์หนึ่ง เป็นน้องผู้ชายเข้ามาคอมเมนต์ว่าอยากให้พี่หมอเล่าเรื่อง ‘Marfan Syndrome’ หน่อย ตอนนั้นพี่หมอเห็นว่าน่าสนใจ ก็จดเอาไว้ คิดว่าน้องคนนี้น่าจะไปอ่านเจอแล้วก็อยากให้เราเล่าให้ฟัง…แต่กว่าคลิป ‘Marfan Syndrome’ จะได้ลง ก็ผ่านไป 1-2 เดือนหลังจากนั้นเลย…

“ในคลิปนั้นพี่หมอก็อธิบายว่า ‘Marfan Syndrome’ ก็คือคอลลาเจนผิดปกติ ไม่แข็งแรง มันยืดเหมือนลูฟี่ คนที่เป็น ‘Marfan Syndrome’ เวลาหักนิ้วลงมา ก็จะหักลงมาได้ถึงข้อมือเลย แต่ไม่ใช่แค่นั้น คอลลาเจนมีอยู่ในทุกอวัยวะร่างกายของเรา แปลว่าร่างกายจะไม่แข็งแรงทั้งตัวเลย…ทุกคนคิดว่าตรงไหนซีเรียสสุด ถ้าไม่แข็งแรง?...

“คำตอบคือ ‘หัวใจ’ มันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจยืดออกง่าย ลิ้นหัวใจจะพังง่าย หัวใจวายง่ายขึ้น ที่น่ากลัวอีกอย่างคือหัวใจบีบเลือดไปเส้นเลือด ซึ่งจะมีเส้นเลือด Aorta ที่ออกจากหัวใจ และโดนแรงดันจากหัวใจโดยตรงเลย สำหรับคนที่เป็น Marfan Syndrome ตรงนี้จะฉีกได้เลย…

“2-3 วัน หลังจากที่ลงคลิปไป เจ้าของคอมเมนต์ก็เข้ามาแสดงความคิดเห็น ที่พี่หมอรู้เพราะว่าพี่หมอจำเขาได้ โดยเขาคอมเมนต์ว่า “ขอบคุณมากนะคะพี่หมอที่มาตอบเมนต์” ตอนนั้นพี่หมอก็เอ๊ะใจใน เพราะว่าจำได้ว่าคนคอมเมนต์เป็นผู้ชาย แต่ทำไมรอบนี้เป็นผู้หญิง พี่หมอก็อ่านคอมเมนต์ต่อว่า “พอดีแฟนหนูเขาเป็น Marfan Syndrome ค่ะ เขาเลยอยากรู้ว่าโรคนี้มันเป็นยังไง แต่ตอนนี้เขาเสียไปแล้ว ถ้าเขาได้เห็นคลิปพี่หมอ เขาน่าจะดีใจมาก ๆ เลยค่ะ เป็นเอฟซีพี่หมอทั้งคู่นะคะ”...

“ทุกคนพี่หมอเสียใจมากเลยอ่ะ พี่หมอทำคลิปให้เขาไม่ทัน มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่พี่หมอมีอะไรจะบอกนะ อาชีพหมอ เป็นอาชีพที่รู้จักชีวิตคนดีที่สุด คนเราไม่รู้นะว่าวินาทีไหนจะเป็นวินาทีสุดท้าย พอถึงตอนที่จะต้องไป ก็ไปเลยนะ ไม่มีเวลาร่ำลาด้วยซ้ำ แปลว่าเวลาที่ยังมีกันอยู่ตอนนี้มีค่าที่สุดเลย”

เจ้าของติ๊กต็อกรายนี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า “อยากทำอะไรดี ๆ ให้ก็รีบทำ อยากบอกรักก็บอกเลย คิดถึงกันอยากไปหาก็ไปเลย อย่ารอจนถึงงานศพ เพราะถ้าไปหาเขาตอนนั้น ไปบอกรักตอนนั้น เขาก็ไม่รู้เรื่องแล้วครับ ฉะนั้น เวลาที่ยังมีชีวิตกันอยู่ ทำให้เต็มที่นะครับ”

‘ตร.ภาค 1’ ร่วม ‘หน่วยข่าวกรองทหาร-ป.ป.ส.’ รวบเเก๊งขนยาบิ๊กล็อต ยึดของกลางพร้อมยาบ้าได้ 4 ล้านเม็ด รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท!!

(3 พ.ย. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รรท.ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะแถลงผลการจับกุมยาเสพติด พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวนประมาณ 4,000,000 เม็ด มูลค่ากว่า 40,000,000 ล้านบาท

พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันที่ 4 ก.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 3 ได้จับกุม นายนนทวัฒน์ หรือ ‘นิก’ (สงวนนามสกุล) และนายศุภวัฒน์ หรือ ‘ตาล’ (สงวนนามสกุล) พร้อมของกลางยาบ้า ประมาณ 1,600,000 เม็ด พื้นที่ สภ.หนองแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากสืบสวนขยายผลในคดีดังกล่าว ทำให้ทราบว่ามีทีมลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้ามาส่งยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลาง

โดย พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รรท.ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จ.สระบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังติดตามและสืบสวนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีการสืบสวนจนทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.นครพนม มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑลและกรุงเทพฯ โดยใช้รถบรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 83-3754 สุรินทร์ เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด และจะใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน บม 645 ร้อยเอ็ด และรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ทะเบียน สชช 7466 กทม. ในการสำรวจเส้นทางด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จนกระทั่งวันที่ 1 พ.ย. 66 พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จ.สระบุรี เป็นหัวหน้า ชปส.ศอ.ปส.ภ.1 ชุดที่ 3 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 3 และเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยข่าวกรองทางทหาร ร่วมกันสังเกตการณ์และพบกลุ่มรถยนต์ดังกล่าวอยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน พีที วังน้อย (ขาออก กทม.) หมู่ 3 ต.ลำไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จึงนำกำลังฝ้าสังเกตการณ์และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ จำนวน 5 คน ได้แก่

1.) นายสุชาติ มูลสาร
2.) นายวิรอน เปรี้ยววงษ์
3.) นายวิรงค์ เปรี้ยววงษ์
4.) พงศ์อิทธิพล ขวานคร
5.) นายณัฐสิทธิ์ สักการี

โดยตรวจค้นพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) 8 กระสอบ รวมจำนวน 2,000 มัด ประมาณ 4,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถบรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีขาว คันดังกล่าวพร้อมด้วยอาวุธปืน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 14 นัด และได้นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดำเนินคดีในความผิด ‘ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต’ และกล่าวหาผู้ต้องหารายที่ 3 เพิ่มเติมว่า ‘มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต’

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ว่า หากไม่มีการจับกุมสกัดกั้นยาเสพติดดังกล่าวไว้ได้ก่อน จะแพร่กระจายสู่ท้องตลาดซึ่งจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 40,000,000 บาท

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลถึงผู้อยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด และทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการทำความผิด เพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป

‘กรุณพล’ เบรกโซเชียล อย่าคาดเดาชื่อ สส.โหวตมติอุ้ม 'ปูอัด' ฟากชาวเน็ต สวน!! “ถ้ากล้าไม่ขับออก ก็ต้องกล้ารับผิดชอบ!!”

(3 พ.ย. 66) หลังจากที่ประชุมร่วมกันของกรรมการบริหารพรรคและสส.ของพรรคก้าวไกล พิจารณาเรื่องร้องเรียนกล่าวหา สส.มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ โดยลงมติขับ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี พ้นสมาชิกภาพ และคาดโทษ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. เขตจอมทอง-บางขุนเทียน-ท่าข้าม ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงบรรทัดฐานในมติดังกล่าว

โดยผู้ใช้ X ในชื่อ @HiHextor โพสต์ภาพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ที่กากบาทว่าสส.คนใดโหวตแบบไหนบ้าง พร้อมข้อความว่า คาดเดาล้วน ๆ แต่พอตัดชื่อออกแล้วเหลือ 22 ท่านพอดีเลย

ทำให้ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.ส.บัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคก้าวไกล Petchkaroonpon @petchy66 โพสต์ข้อความตอบกลับว่า

อย่าเดาเลยครับ มันจะสร้างความเสียหายให้บุคคลอื่นได้ หากบางท่านอ่านเพียงผ่านๆ ตอนโหวตหลายท่านก็ก้มหน้า บางท่านก็หลับตาเพราะต้องการแสดงออกเฉพาะความเห็นของตัวเองไม่ก้าวก่ายความเห็นที่แตกต่างของท่านอื่น และไม่ว่าจะออกแบบไหนพวกเราทุกคนในพรรคก็ต้องรับผลนั้นไปด้วยกันครับ

นอกจากนี้มีผู้โพสต์แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้เปิดชื่อด้วยว่า

จริงๆพรรคไม่ควรปล่อยให้พวกเราๆต้องเดานะครับ มันเป็นเรื่องใหญ่ ควรชี้แจงให้ชัดเจน และโปร่งใส อย่างที่ได้รับปากประชาชนไว้ในช่วงแรกๆ

มันควรเปิดเผยนะครับ กล้าลงมติไม่ขับออก ก็ต้องกล้ารับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองลงไป กล้าเปิดหน้าชี้แจงเหตุ

‘โรงเรียนภาคค่ำ’ สถานที่รวมตัว ‘พนักงานออฟฟิศเซี่ยงไฮ้’ ใช้เวลาหลังเลิกงาน เรียนรู้วัฒนธรรม-ดนตรี-ศิลปะของจีน

เมื่อวานนี้ (3 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลังจากถึงเวลาเลิกงาน เหล่าพนักงานออฟฟิศจำนวนมากในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนต่างเร่งรีบไป ‘โรงเรียนภาคค่ำ’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้เรียนรู้วิชาศิลปะหลากหลายแขนง นอกเหนือจากการเรียนรู้อ่านเขียนดังเช่นในอดีต

เครื่องดนตรีแบบดั้งเดิม การวาดภาพสีน้ำและหมึก อุปรากรปักกิ่ง และการสานไม้ไผ่ ล้วนแล้วแต่เป็นหลักสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่หลักสูตรศิลปะจีนหลากหลายประเภท

การรวมกลุ่มคน 9-5 คนเพื่อมาโรงเรียนภาคค่ำกำลังกลายเป็นไลฟ์สไตล์ทันสมัยสำหรับหนุ่มสาวในเซี่ยงไฮ้

“โรงเรียนภาคค่ำแห่งนี้อยู่ใกล้บ้านมาก ๆ ค่ะ มันช่วยให้พนักงานออฟฟิศอย่างฉันได้เรียนชั้นเรียนเหล่านี้ด้วยราคาสมเหตุสมผล” หวัง นักเรียนโรงเรียนภาคค่ำคนหนึ่งกล่าว

คณะอาจารย์ในโรงเรียนภาคค่ำส่วนใหญ่มีประสบการณ์และอาจเป็นถึงศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์สอนอุปรากรปักกิ่งบางคนที่เป็นนักแสดงระดับชาติ ขณะชั้นเรียนงานฝีมือบางวิชาถูกสอนโดยผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

“ผมเริ่มสอนจงร่วน (เครื่องดนตรีสายประเภทหนึ่งของจีน) ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ผมเล่นเครื่องดนตรีหลายประเภทได้ดี เลยสอนกลองแอฟริกัน อูคูเลเล่ และกีตาร์ในโรงเรียนภาคค่ำด้วย นักเรียนทั่วไปของที่นี่มีอายุ 18-50 ปี และส่วนใหญ่มีอายุ 25-35 ปี” หลิวอวิ๋นฉี อาจารย์ประจำโรงเรียนภาคค่ำกล่าว

การเข้าเรียนชั้นเรียนภาคค่ำซึ่งผสมผสานการศึกษาเข้ากับวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ไม่ได้เป็นเพียงวิธีการสร้างความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีหนึ่งในการดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์และเข้าใจคุณค่าของมันด้วย

หลักสูตรที่ครอบคลุมหมวดหมู่ศิลปะมากกว่าสิบประเภท พร้อมด้วยเหล่าอาจารย์ผู้สอนระดับมืออาชีพ ทำให้โรงเรียนภาคค่ำในเซี่ยงไฮ้กำลังเป็นกระแสจนยากจะจับจองที่นั่ง โดยช่วงสูงสุดมีผู้ลงทะเบียนเพื่อจองเรียนออนไลน์พร้อมกันกว่า 650,000 คน

“ชาวเน็ตหลายคนบอกว่าโรงเรียนภาคค่ำกลายเป็น ‘ไนต์คลับ’ สำหรับพนักงานออฟฟิศในเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว ผมคิดว่านอกเหนือจากการไปโรงหนัง บาร์ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอื่น ๆ พวกเราสามารถเลือกมาโรงเรียนภาคค่ำที่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ด้วย ที่นี่พวกเราสามารถทำความรู้จักเพื่อนใหม่ไปพร้อมกับสร้างความบันเทิงให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันเราก็สามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ไปด้วย” หลิวบอกเล่า

“เซี่ยงไฮ้เป็นมหานครระดับนานาชาติ ผมเลยคิดว่าชั้นเรียนพวกนี้มีประโยชน์มาก ๆ ต่อการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงพวกเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมด้วยนะครับ” สวี นักเรียนโรงเรียนภาคค่ำคนหนึ่งกล่าว

'นายกฯ' ชี้!! 15 ธันวา ขยายตี 4 ไม่ได้เอื้อเปิดสถานบันเทิงอย่างเดียว แต่หวังกระตุ้นใช้จ่ายเงินในร้านอาหารใต้กรอบระยะเวลาที่กว้างขึ้น

(3 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

โดย นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุม 2 เรื่อง ซึ่งเรื่องแรก ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เรื่องการแก้ไขหนี้สินของประชาชน โดยสิ้นเดือนนี้จะมีการแถลงข่าวใหญ่ เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ ยังมีการประชุมเรื่องการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 โดยมี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมด้วย เพื่อดูความเหมาะสม จะเป็นตรงไหนอย่างไร

นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, ชลบุรี, ภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดหลัก ที่จะให้มีการเปิดสถานบริการถึงตี 4 ตรงไหนที่สามารถทำได้ก็ทำก่อน ส่วนจะมีการเปิดเป็นโซนนิ่งหรือไม่ในอนาคต ค่อยว่ากันทีหลัง ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำที่ทำเรื่องนี้เพื่อต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียว ซึ่งสามารถเปิดระยะเวลาได้ยาวขึ้น ขณะที่ประชาชนที่ทำการค้าขาย เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือสถานบริการอย่างอื่น สามารถเปิดบริการได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้มีนัยยะสำคัญหลาย ๆ นัย เช่น นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ เขาไม่ได้ทานข้าวเร็วเหมือนเรา บางคนทานข้าวตั้งแต่ 3 - 4 ทุ่ม ก็มี หากสถานบริการปิดเที่ยงคืน หรือตี 2 เขาก็ต้องมาเร่งเพื่อกินข้าวให้เสร็จเร็ว จำนวนอาหารที่จะสั่งก็จะน้อยลง เราไม่ได้เน้นเปิดสถานบริการแก้ไขสุราอย่างเดียว เพราะถ้าระยะเวลาน้อยการใช้จ่ายเงินก็น้อยลงไป ก็เป็นเรื่องการขยายระยะเวลา

นายกฯ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยจะดูในเรื่องของโซนนิ่ง ใบอนุญาตต่างๆ ที่จะทยอยตามมา เดทไลน์ที่เราวางไว้ เป็นวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา ได้สั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลประชาชน ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับนโยบายนี้ ในเรื่องที่อาจจะมีเสียงรบกวน เรื่องการเมาไม่ขับหรือเรื่องของการเมาไม่ขับ ตรงนี้ตนได้เน้นย้ำไป และให้ติดกล้อง CCTV ให้มากขึ้น ทั้งนี้ การที่เอาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยเหลือ ให้บริการ ให้บริการเรื่องเมาไม่ขับ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการกำชับเรื่องปัญหายาเสพติดด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องมีการตรวจค้นอย่างเข้มข้นต่อไป สำหรับระยะเวลาในการเปิด วางไว้ถึงตี 4 ซึ่งแล้วแต่เขตพื้นที่ และต้องเป็นไปตามกฎหมายด้วย ทั้งนี้ การเปิดตีถึงตี 4 เบื้องต้นจะให้เป็นชั่วคราวก่อน เพราะอาจจะมีการเปลี่ยนโซนนิ่ง และการปรับเปลี่ยนกฎหมายอะไรหลาย ๆ อย่าง ยืนยันว่าเป็นการจัดโซน ไม่ใช่ทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ให้ความมั่นใจว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล กำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะสามารถบริหารจัดการได้ นายกฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับการเปิดบริการถึงตี 4 ยังไม่มีการคำนวณจำนวนเม็ดเงินที่จะเข้ามาว่าจะได้เท่าไหร่ 

ปปช.คัดเลือกเมืองพัทยาหน่วยงานภาครัฐบริหารงานอย่างโปร่งใส รับรางวัลเกียรติยศ ITA Awards ประจำปี 2566

วันที่ 3 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากทีมประชาสัมพันธ์เมืองพัทยาว่า นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ได้เข้ารับมอบโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประเภทพัฒนาการสูงสุด ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ITA Awards) ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเกียรติยศฯ พร้อมด้วย ผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้บริหารสูงสุดของทุกหน่วยงานที่ได้รับมอบรางวัลเข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร

โดยเมืองพัทยาได้เข้ารับการประเมิน เป็นหน่วยงานที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเมืองพัทยาได้รับผลคะแนนรวม บรรลุผลตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบรางวัล ITA Awards  เป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินงานในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และมีความโปร่งใส ประเภทพัฒนาการสูงสุด
    
ทั้งนี้ การได้รับโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองพัทยามีการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสขององค์กรเป็นอย่างดี

นายปรเมศวร์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่าเมืองพัทยาได้เข้ารับการประเมิน เป็นหน่วยงานที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเมืองพัทยาได้รับผลคะแนนรวม บรรลุผลตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบรางวัล ITA Awards จากหน่วยงานทั้งประเทศที่ได้รับการประเมินทั้งหมด 8,303หน่วยงาน โดยเมืองพัทยาเป็น 1 ใน 33 หน่วยงานที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ในด้านการพัฒนาสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินงานในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรม และมีความโปร่งใสต่อพี่น้องประชาชน และยังสะท้อนหน่วยงานของเมืองพัทยาตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้มุ่งมั่นสร้างคุณธรรมและให้มีความโปร่งใสในองค์กรให้เป็นที่ประจักษ์ และถือได้ว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลแรกที่เมืองพัทยาได้รับ และเป็นรางวัลสำหรับทุกคนตั้งแต่ระดับผู้บริหารหัวหน้าส่วน ตลอดจนพนักงานทุกคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลพลอยได้ ที่ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานกันมาอย่างหนักตลอดปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้การได้รับโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองพัทยามีการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสขององค์กรเป็นอย่างดี และรางวัลนี้เป็นการรับประกันการทำงานของเมืองพัทยาที่ผ่านมา ในการที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทสร้างความมั่นใจ กับการพัฒนาให้บริการแก่ประชาชน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองประชาชนในเรื่องของความโปร่งใส ให้ได้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

‘ส.ก.เนอส’ แฉ!! ‘ปูอัด’ โกหกซ้ำซาก ใช้ ‘ความจน’ สร้างความนิยมให้ตัวเอง ซัด!! ไม่แคร์ความรู้สึกเหยื่อ หลังให้สัมภาษณ์ “ทีมงานที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา”

(3 พ.ย. 66) น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย หรือ ‘ส.ก.เนอส’ ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ถึงผลประชุมร่วมกันของกรรมการบริหารพรรคและ สส.ของพรรคก้าวไกล กรณีการคุกคามทางเพศ ดังนี้…

“ดิฉันในฐานะที่เป็น ส.ก.จากพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า เรื่องการละเมิดทางเพศกรณีคุณไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.เขตจอมทอง พรรคก้าวไกล เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ถูกร้องไม่ยอมรับในสิ่งที่ทำ การโกหกหน้าด้านๆ ออกสื่อก่อนจะเข้าไปรับการพิจารณาเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงการคุกคามเหยื่ออีกหลายครั้งเพื่อ ‘ขอให้เหยื่อบอกว่าสมยอม’ ตามที่ได้ออกข่าวไปแล้วนั้น

ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดที่ผู้ถูกร้องพูดซ้ำๆ ว่า “ทีมงานร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา” เป็นการทำร้ายเหยื่อทั้ง 3 ซ้ำอีก เนื่องจากเหยื่อเป็นทีมงานที่ช่วยผู้ถูกร้อง หาเสียงด้วยความหวังและความฝันร่วมกันกับพรรคก้าวไกลด้วย การที่ผู้ถูกร้องล่วงละเมิดเหยื่อแล้วยังกล้าพูดออกสื่อว่า “ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา” นั้น เป็นความ Tone-deaf อย่างถึงที่สุด และไม่มีความละอายแก่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว

อีกเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในสมการการตัดสินของพรรคในคืนที่ผ่านมา คือ เรื่องการโกหกอย่างเป็นนิสัยของผู้ถูกร้อง หากท่านติดตามผู้ถูกร้องมาตลอด ท่านจะพบว่าผู้ถูกร้องพยายามขาย ‘ความจน’ ของตนเอง และผู้ถูกร้องก็ใช้ความจนนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างความนิยมส่วนตัว ตลอดจนวางตัวเป็นเหยื่อของสังคมว่าตนไม่เคยได้รับโอกาสมาทั้งชีวิต ทำให้เหยื่อ รวมถึงเพื่อนสส.หลงเชื่อจนนำไปสู่ความเห็นใจ หลายครั้งจึงมีการสนับสนุนสิ่งของหรือทุนทรัพย์ให้ผู้ถูกร้อง ซึ่งผู้ถูกร้องได้กระทำเป็นแพทเทิร์นเดิมซ้ำๆ

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ถูกร้องอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวสองชั้น ชั้นสองของบ้านเป็นไม้สัก มีพระเครื่องจำนวนมาก คนในครอบครัวประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอย่างที่ผู้ถูกร้องพยายามนำเสนอให้พี่น้องประชาชนเชื่อ

ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้ถูกร้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการพูดความจริงทั้งหมดแก่สาธารณะ ชดใช้เยียวยาตามที่เหยื่อเรียกร้องเต็มจำนวน และลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของทีมงานที่คุณล่วงละเมิดทั้ง 3 ราย

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอชื่นชมกรรมการวินัยและกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลที่ปกป้องเหยื่ออย่างถึงที่สุดแม้จะต้องแลกมาด้วยการเสียชื่อเสียงของพรรค และหวังว่าบทเรียนราคาแพงครั้งนี้จะเป็น Wake-up call ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของพรรคก้าวไกลในเรื่องการคุกคามทางเพศอย่างจริงจังตามที่ได้ให้สัญญากับสังคมไว้เสียที

ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย
ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล”

‘ชัยวุฒิ’ โสด!! พาสาวเที่ยวเยือนแดนพุทธภูมิ!ฉลองวันเกิด หลังพาคณะแสวงบุญเยือนวัดไทยในอินเดีย

‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ ฉลองวันเกิดสุดอิ่มเอมใจ ทั้งได้ทำบุญใหญ่ พร้อมตอบแทนผู้มีพระคุณที่สุดในโลก หลังพาคุณแม่ เดินทางแสวงบุญไกลถึงอินเดีย ดินแดนแห่งพุทธภูมิ

(3 พ.ย. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพตนเอง พร้อมกับคุณแม่ (แม่ภรณี ธนาคมานุสรณ์) พร้อมข้อความว่า “สุขสันต์วันเกิด..ปีนี้พาสาวมาเที่ยวครับ”

พร้อมโพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า อิ่มบุญ สุขใจ ณ ดินแดนพุทธภูมิ

“ผมและคุณแม่ พร้อมด้วยชาวคณะ ได้ร่วมเดินทางไปแสวงบุญยังประเทศอินเดีย ดินแดนแห่งพุทธภูมิ ซึ่งในการเดินทางในครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสร่วมทำบุญ พร้อมกราบนมัสการและสนทนาธรรม กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพปริยัติสุธี เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เจ้าอาวาสวัดพระนอนจักรศรีวรวิหาร ประธานอำนวยการสร้างวัดไทยธรรมศาลา ดารัมซาลา อีกด้วย

“สำหรับวัดไทยธรรมศาลานั้น ตั้งอยู่ในรัฐหิมาจัล ประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ได้มีดำริสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี

“อย่างที่เราชาวพุทธทราบกันดีว่า การได้สร้างวัด สร้างโบสถ์วิหาร ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจารึกไว้ในพระศาสนา นับเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ และผมขออาราธนาบุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ส่งไปถึงยังทุกท่านครับ”

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ คกก.แก้ปัญหาพีมูฟ เคาะแนวทางช่วยประชาชน

เมื่อวานนี้ (2 พฤศจิกายน 2566) ผู้สื่อข่าวรายงานจากห้องประชุม 10-01 ชั้น 10 กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา มีการหารือแนวทางการขับเคลื่อนงาน ของคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แนวทางการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ กลุ่มพีมูฟ ซึ่งมี พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน โดยมีคณะผู้บริหาร กระทรวงยุติธรรม ในฐานะ คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือด้วย

ทั้งนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะฯ มีการหารือที่มุ่งให้น้ำหนักการช่วยเหลือประชาชาชนและราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการด้านนโยบายของรัฐ อาทิ ปัญหาการออกกฏหมายที่ดินหรือป่าไม้ที่มีพื้นที่ซ้อนทับกับชาวบ้านที่เป็นที่ทำกินอยู่เดิม และให้ช่วยเหลือคดีที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง โดยให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งการดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายเกี่ยวกับคดีที่ดินป่าไม้ รวมทั้งหารือและรับฟังข้อเสนอที่กลุ่มพีมูฟเสนอที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและคดีที่เกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากร ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม

‘ป.ป.ช.’ เผยทรัพย์สิน ‘พิธา’ รวย 65 ลบ. หนี้ลด 19 ลบ. ไม่พบถือหุ้น iTV แต่มีที่ดินเพิ่มอยู่ ‘ปทุมฯ-เชียงใหม่’

(3 พ.ย. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สส. กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 จำนวน 90 ราย โดยมีรายชื่อที่น่าสนใจคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โดยนายพิธา แจ้งสถานภาพโสด พร้อมกับระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 65,530,955 บาท และมีหนี้สิน โดยเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 463,263 บาท

ทรัพย์สินของนายพิธา ประกอบด้วย เงินสด 1,800,000 บาท เงินฝาก 22 บัญชี มูลค่ารวม 2,789,741 บาท เงินลงทุน 64 รายการ มูลค่ารวม 1,337,777 บาท ในจำนวนนี้ไม่พบหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เงินให้กู้ยืม 15,000,000 บาท โดยแจ้งว่า ให้กู้ยืมแก่ นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นน้องชาย ที่ดิน 2 แปลงในพื้นที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 2 ไร่เศษ และในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ 1 ไร่ แจ้งว่าได้มาในปี 66 มูลค่ารวม 11,776,000 บาท ซึ่งในจำนวนนี้ไม่พบที่ดิน อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เป็นประเด็นก่อนหน้านี้ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เป็นห้องชุดในเขตวัฒนา กรุงเทพ มูลค่า 15,000,000 บาท ยานพาหนะแจ้งว่า เป็นรถยนต์ Majesty รถจักรยานยนต์ และจักรยานไฟฟ้า รวม 4 คัน มูลค่ารวม 2,140,000 บาท

ส่วนสิทธิและสัมปทานเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิต 4 รายการ ได้แก่ ลิขสิทธิ์หนังสือ 4 รายการ นอกจากนั้นยังแจ้งว่ามีใบจองรถ Tesla และสมาชิกราชกรีฑาสโมสรมูลค่ารวม 3,650,446 บาท ทรัพย์สินอื่น 12,036,990 บาท โดยมีรายการที่น่าสนใจคือ โทรศัพท์มือถือ 3 รายการ เสื้อ 28 ตัว สูท 16 ตัว เนกไท 76 ชิ้น รองเท้า 21 คู่ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 28 รายการ ชุดเฟอร์นิเจอร์ 1 รายการ กล้อง 2 รายการ นาฬิกา 10 เรือน พระเครื่อง 8 รายการ

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับรายละเอียดทรัพย์สินที่นายพิธา ยื่นไว้กรณีพ้นตำแหน่ง สส. เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 66 พบว่า นายพิธามีทรัพย์สินลดลง 19,192,765 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับรายการหนี้สินอื่นที่แจ้งไว้ 19,932,762 บาท ซึ่งไม่ปรากฏในการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top