Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘ผู้ว่าฯกทม.’ ปรับ ‘ลุงตู่’ ถึงทำเนียบฯ เหตุฝ่าฝืนประกาศกทม. >>ไม่สวมแมสก์เข้าประชุม

เมื่อเวลา 17.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัวชี้แจงกรณีที่มีภาพพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยระหว่างการประชุมว่า “กรณีมีภาพ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดหน้ากากอนามัยระหว่างการประชุมที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดหาและการกระจายวัคซีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 11.00 น. ณ ห้องประชุมสีเขียว ทำเนียบรัฐบาลนั้น

หลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งมายังผม ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้ตรวจสอบว่ากรณีดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่

ผมจึงได้แจ้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืน ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง ให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถาน หรือสถานที่พำนัก เป็นความผิดตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งความผิดดังกล่าว พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ ตามระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ศ.2563 โดยมีอัตราการเปรียบเทียบปรับตามบัญชีท้าย เป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท

ต่อมา ผม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต จึงเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้กล่าวหา ในฐานความผิดดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ จึงได้ให้พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เปรียบเทียบปรับตามอัตราดังกล่าว”


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ซีอีโอข้ามเพศชื่อดัง 'แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์' หรือ แอน JKN ร่วมบริจาคอาหารและน้ำดื่ม จำนวน 1 ล้านชุด ให้บุคลากรทางการแพทย์ มูลนิธิคนยากไร้และผู้ป่วยโควิด เป็นเวลา 5 เดือน

โดยเธอได้แจกอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์ มูลนิธิคนยากไร้และผู้ป่วยโควิด 1,000,000 กล่อง ตลอดจนแคปซูลวิตามินรวมให้กับหมอ และพยาบาล ร่วมถึงคุกกี้ และน้ำดื่มอีก 1,000,000 ชุดตลอดระยะเวลาห้าเดือนจากนี้ไป

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์รวมการสื่อสารทุกอย่างในการรับของ ส่งของและการมอบคำแนะนำทั้งหมด แอนขอให้ทุกคนส่งข้อความไปที่ Facebook ชื่อ JKN 18 ตลอดจนช่องทีวีดิจิตอล JKN 18 เช่นเดียวกันจะมีข่าวรายงานให้ฟังตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาห้าเดือนจากนี้ไปเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ #แอนจักรพงษ์ #annejakrajutatip #jkn18 #ข้ามเพศพันล้าน”

 

ที่มา: https://www.posttoday.com/ent/news/651319


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กห. ขอความร่วมมือกำลังทหารทุกเหล่าทัพ ร่วมบริจาคเลือดช่วยผู้ป่วยที่เริ่มอยู่ในภาวะขาดแคลน

กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้เน้นย้ำขอให้ทุกเหล่าทัพดำเนินการตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการขอความร่วมมือกำลังพลที่มีความพร้อมด้านสุขภาพและสมัครใจ ทะยอยเดินทางไปร่วมบริจาคโลหิตเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย ที่ปัจจุบันเริ่มประสบกับภาวะขาดแคลนโลหิตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19  เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บในสถานพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศที่รอการรักษา  

ทั้งนี้ ภาพรวมตั้งแต่ 10 มี.ค.63 หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19  กำลังทหารของทุกเหล่าทัพกว่า 58,000 นาย ได้สมัครใจเดินทางไปบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยแล้ว ปริมาณรวม 23.9 ล้านมิลลิลิตร และยังคงทะยอยเดินทางไปร่วมบริจาคโลหิตเพิ่ม เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนโลหิตที่กำลังเกิดขึ้น

ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมบริจาคโลหิต เพื่อสำรองในยามขาดแคลน มอบให้แก่สภากาชาดไทย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ขยายวงกว้างไปยังหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้การบริจาคโลหิตมีจำนวนลดลง  ส่งผลกระทบต่อปริมาณโลหิตสำรองของโรงพยาบาลต่างๆ ที่มีจำนวนลดลงไปซึ่งในวันนี้ทางกำลังพลของเหล่าทัพ ได้เดินทางไปบริจาคโลหิต ที่ธนาคารเลือด ชั้น 3 โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดย กองบัญชาการกองทัพไทย  และเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพลร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ จำนวน 62 นาย โลหิตที่ได้มีปริมาณ 27,900 มิลลิลิตร ซึ่งจะนำไปมอบให้กับสภากาชาดไทยเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งยังเป็นการเพิ่มเติมโลหิตที่ปลอดภัยให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศในภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อไป

'ราเมศ' สอน 'สัณหพจน์' การเมืองที่ดีต้องอย่าเห็นแก่ประโยชน์ตนกว่าส่วนรวม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง สส นครศรีธรรมราช ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด ว่า

นายสัณหพจน์ กล่าวมาคาดการณ์ได้ว่าหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ท้วงติงการแบ่งมอบหมายงานของนายกรัฐมนตรีในหลายจังหวัด เพราะมีพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวที่ออกมาพูดเรื่องนี้ 

เรื่อง สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 นายสัณหพจน์คงไม่ได้ติดตามข่าวสาร พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆทั้งให้ความรู้และเรื่องการป้องกันและให้ความช่วยเหลือประชาชน ล่าสุดก็ได้มีการเปิดศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 (ศปฉ.ปชป.) เพื่อช่วยประสานคลี่คลายปัญหาผู้ป่วยติดเชื้อตกค้างได้ให้เข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด รวมถึงศูนย์บริการกฎหมายที่ได้เปิดมาตั้งแต่ช่วงแรกของการแพร่ระบาด 

และที่บอกว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องการเมือง พูดถูกแต่ปฏิบัติตัวผิดไปจากคำพูดถ้าตามที่พูดก็ไม่ควรออกมาสัมภาษณ์ให้ร้ายพรรคอื่นเช่นนี้ทุกคนมองออกถึงเจตนา 
และที่บอกว่าที่ผ่านมามีเพียงกลุ่มการเมืองเดิมที่อยู่มากกว่า 30 ปีแต่ภาคใต้กลับไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเอาส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก่อน พี่น้องชาวปักษ์ใต้ทราบดีว่าได้ทำอะไรให้กับประชาชนบ้าง วางโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม รถไฟทางคู่ ถนนสี่ช่องจราจร พัฒนารายจังหวัดให้มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว ราคายาง ราคาปาล์ม เรื่องแบบนี้คนปักษ์ใต้ทราบดี

และเมื่อครั้งที่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เลือกปฏิบัติ จนภาคใต้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ พรรคไหนที่ต่อสู้ก็พรรคประชาธิปัตย์อีกที่ต่อสู้ เรื่องการไม่สร้างศูนย์ประชุมที่ภูเก็ต เรื่องถนนหนทางไปภาคใต้ ที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรม ตอนนั้นไม่ทราบว่านายสัณหพจน์ไปมุดอยู่ตรงไหน 
ฉะนั้นที่บอกว่า 30 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยนั้น ให้กลับไปถามบรรพบุรุษในปักษ์ใต้ดูก็จะได้ความจริง

ที่บอกว่าการเปลี่ยนตัวบุคคลสะท้อนความล้มเหลวของกลุ่มการเมืองเดิม เห็นว่าคำพูดนี้พูดเพื่อให้ดูดีในทางการเมือง ชาวปักษ์ใต้ตอบรับการเมืองที่ดี ส่วนการเมืองที่เลวร้ายเชื่อว่าวันนึงสังคมจะรู้
การมอบหมายงานรัฐมนตรี ประชาธิปัตย์ก็บอกตรงๆไปแล้วว่าไม่พอใจเพราะไม่มีความเหมาะสมใดๆเลย พื้นที่ภาคใต้มีพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง สวนปาล์ม แต่มันสัมปะหลังไม่ค่อยมีอาจจะเป็นเพราะดินฟ้าสภาพอากาศ ก็ควรหารัฐมนตรีคนที่เหมาะสมไปทำงานที่เหมาะสมจะเกิดประโยชน์มากกว่า

พรรคพลังประชารัฐ ควรตักเตือนให้พูดจาในทางการเมืองที่สร้างสรรค์ เรื่องบางเรื่องควรเปลี่ยนวิธีการพูด ก่อนจะออกเป็นคำพูดต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากส่วนสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่คิดก่อนถ้าจะออกมาพูดแบบนี้เหมือนส่วนสำคัญดังกล่าวหายไป พรรคร่วมควรช่วยกันคิดร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนแต่ถ้าคิดแต่ประโยชน์ส่วนตน เชื่อว่านับถอยหลังได้เลย

“บิ๊กตู่” สั่งตั้งศูนย์บริหารวัคซีน ตั้งเป้า 3 เดือนฉีดให้ได้ 30 ล้านคน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการหารือกับพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และมว.กลาโหม และคณะที่ปรึกษา ที่มีนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษา  เพื่อหารือถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่าวัคซีนที่เข้ามาอีก 26 ล้านโดส และวัคซีนจากซิโนแวค อีกกว่า 1 ล้านโดส ซึ่งในช่วง 3 เดือนข้างหน้า รัฐบาลได้ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน 30 ล้านคน เฉลี่ย 3 แสนคน/วัน 

จากประชากรเป้าหมาย 50 ล้านคน และจะเร่งการฉีดวัคซีนให้ครบ 50 ล้านคนในภายสิ้นปีนี้ ทั้งนี้จะเป็นการฉีดเข็ม1 และการฉีดวัคซีนทั้ง 2 เข็ม สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ขึ้นทะเบียนในขณะนี้ นอกเหนือจากซิโนแวคและแอสตราเซเนก้า คือวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สำหรับวัคซีนไฟเซอร์และสปุตนิค วี อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเร่งนำเข้ามา โดยนายกรัฐมนตรียังได้กำชับให้มีการเร่งจัดหาวัคซีนให้ได้กว่า 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี โดยวางแนวตั้งศูนย์บริหารจัดการวัคซีนแบบ Single Command เพื่อให้เกิดความชัดเจนและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังสั่งเร่งช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งตกค้างประมาณกว่า 1,400 ราย ซึ่งผู้ป่วยกว่า 800 รายได้ถูกนำตัวเข้าสู่สถานพยาบาลแล้วและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มผู้ประกันตน  สำหรับการแจ้งอาการป่วยผ่านระบบสายด่วนนั้น เมื่อได้รับแจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ไปรับตัวจากบ้านเพื่อนำเข้าสู่จุดคัดกรอง 

ส่วนในวันที่ 28 เมษายน นี้ จะเป็นการหารือเพิ่มเติมกับภาคเอกชนในวันพุธนี้ เพื่อหาแนวทางความร่วมมือต่างๆ ทั้งการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชน 3 แสนคน/วัน โดยอาจเป็นสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากในโรงพยาบาล  โดยระดมกำลังความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลเอกชน หรือแพทย์ พยาบาล ที่เกษียณอายุแล้วมาช่วยฉีดวัคซีนทางเลือก รวมทั้งการให้ภาคเอกชนมีวัคซีน-19 สำหรับบุคคลากรในภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมของตนเอง

สมอ. ไฟเขียวคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า 20 รายการกันไฟดูด

นายวันชัย  พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ สมอ. มีมติเห็นชอบให้ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง วีดิทัศน์ และการสื่อสาร ที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 600 โวลต์ รวม 20 รายการ เป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐาน มอก. 62368-2563 เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้บริโภคหลายรายใช้สินค้าแล้วได้รับอันตรายถูกไฟดูด ไฟช็อต บางรายถึงขนาดเสียชีวิต โดยเฉพาะผู้ใช้อะแดปเตอร์ไม่ได้มาตรฐานชาร์จโทรศัพท์มือถือ 

โดยจะเร่งประกาศบังคับใช้มมอก. ภาคบังคับภายในกลางปีนี้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนจากอันตรายที่เกิดจากไฟฟ้า  โดยข้อกำหนดในมาตรฐานจะควบคุมด้านความปลอดภัย  มีการทดสอบเกี่ยวกับการบาดเจ็บที่เกิดจากไฟฟ้า การทดสอบเกี่ยวกับไฟไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้า การทดสอบความร้อน การทดสอบการแผ่รังสี และการทดสอบเกี่ยวกับสารอันตราย เป็นต้น
 
สำหรับสินค้าที่เตรียมยกระดับเป็นมอก. ภาคบังคับ 20 รายการ  ได้แก่ เครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต   (อะแดปเตอร์) เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องขยายสัญญาณ เครื่องเล่นแผ่นดิสก์ เครื่องเล่นวีดีโอเกมส์ เครื่องรับสัญญาณไมโครโฟนไร้สาย เครื่องรับสัญญาณวิทยุ เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม ลำโพงพร้อมขยายสัญญาณ เครื่องแปลงสัญญาณ เครื่องปรับแต่งสัญญาณ เครื่องผสมสัญญาณเสียง เครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเล่นเสียงและภาพ เครื่องรับสัญญาณภาพและเสียงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เครื่องรับสัญญาณเคเบิลทีวี และเครื่องแปลงสัญญาณเสียง

พาณิชย์ ถกห้างสต็อกสินค้า - อาหารแห้งเพิ่มรับโควิด

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้หารือกับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมสต็อกสินค้าเพิ่มมากขึ้นจากภาวะปกติ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ ทั้ง ข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง น้ำดื่ม และของใช้อื่น ๆ ให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน 

พร้อมกันนี้ยังขอเพิ่มความถี่ในการเติมสินค้าในชั้นวางอยู่เสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ว่าสินค้า ไม่มีปัญหาขาดแคลน หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด–19 ระลอกใหม่ที่มีความรุนแรง อีกทั้งกรมฯ ยังได้ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและปริมาณสินค้าอย่างใกล้ชิด ป้องกันไม่ให้ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าและต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน

ทั้งนี้หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือขายสินค้าโดยไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ หากตรวจพบว่ามีการจำหน่ายสินค้าในราคาแพงเกินสมควร หรือมีการกักตุน หรือปฏิเสธการจำหน่าย จะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายจะมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 10,000 บาท

ทบ.ชี้ “ทหารเมียนมา” เข้าใจผิด ขอโทษยิงส่งสัญญาณขอให้เรือจอดเทียบท่า นึกว่าเป็นเรือส่งสินค้า บอกไม่ได้มีเจตนาในทางลบ ขณะที่ไทยเตือนให้ระมัดระวัง-ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วม

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ทหารเมียนมายิงเรือไทยว่า กองทัพบกโดยกองกำลังนเรศวร ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจ.แม่ฮ่องสอน ได้เข้าพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับทหารเมียนมาที่รับผิดชอบพื้นที่ตรงข้าม บ.แม่สามแลบ อ.สบเมยจ.แม่ฮ่องสอน โดยทันที จากการพูดคุยถึงข่าวที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของการเข้าใจผิด โดยทางเมียนมายอมรับว่ากำลังพลของตนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือขนสินค้า จึงได้ทำการส่งสัญญาณขอให้เรือจอดเทียบท่า เพื่อขอซื้อเวชภัณฑ์และอาหาร โดยไม่ได้มีเจตนาในทางลบ พร้อมกล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้พูดคุยให้ระมัดระวังและให้ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมที่ได้กำหนดไว้มาก่อนหน้าแล้ว โดยเฉพาะจะต้องไม่มีปฏิบัติการทางทหารหรือใช้อาวุธที่อาจจะส่งผลต่อความรู้สึกหรือการดำเนินชีวิตของประชาชน และการค้าขายชายแดนตามลำน้ำสาละวิน ซึ่งเป็นแนวเขตแดน(ลำน้ำกลาง) 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในปัจจุบันการสัญจรและค้าขายในบริเวณแม่น้ำสาละวินยังคงดำเนินไปตามปกติ
จากสถานการณ์ปัจจุบัน พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก มีความอ่อนไหว ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงและกองทัพบกได้บูรณาการดูแลพื้นที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน, การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย, การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยึดตามนโยบายของรัฐบาล ศบค. ภายใต้กลไกคณะกรรมการชายแดนในระดับต่าง ๆ ร่วมแก้ไขและคลี่คลายในทุกปัญหาที่เกิดขึ้น

ทบ.สั่งเตรียมกำลังพลสายแพทย์ช่วยงานสาธารณสุข ส่วน รพ.สนาม ทบ. เปิดแล้ว 7 แห่ง ในกทม.-ประจวบฯ-สงขลา เผยส่งรถพยาบาลและทีมแพทย์เหล่าทัพช่วยงาน รพ.สนาม

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยในปัจจุบันที่ต้องเข้ารับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โดยศบค.และกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดตั้งรพ.สนามเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรงเข้ามารับการรักษาพยาบาล สำหรับกองทัพบกได้เตรียมการสนับสนุนเกี่ยวกับ รพ.สนาม มาอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพบกได้ใช้อาคาร สถานที่ในหน่วยทหาร และสิ่งอุปกรณ์ที่มีอยู่ดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในขั้นต้นแล้ว จำนวน 19 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อได้ 3,050 เตียง ซึ่ง ปัจจุบัน รพ.สนามของกองทัพกได้เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง โดยมอบให้ กระทรวงสาธารณสุข เข้าบริหารจัดการแล้ว 3 แห่ง 

ได้แก่ 1. โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1) เปิดให้บริการเมื่อ 19 เมษายน 2564 รองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 300 เตียง ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยพักแล้ว จำนวน 246 ราย (25 เมษายน 2564)  ซึ่ง กระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจัดบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาบริหารจัดการ โดยกองทัพบกได้ช่วยอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่เป็นการทำงานในลักษณะกองอำนวยการร่วม แห่งที่ 2 คือ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (ศูนย์การทหารราบ) จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับผิดชอบการดำเนินงานโดยโรงพยาบาลค่ายธนะรัชต์ รองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 100 เตียง เปิดให้บริการเมื่อ 16 เมษายน 2564 ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยเข้าใช้บริการ จำนวน 31 ราย (25 เมษายน2564)

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับแห่งที่ 3 คือ คือ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก(กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 5) จ.สงขลา รองรับผู้ติดเชื้อได้ 100 ราย ปัจจุบันมีผู้เข้าพักแล้ว 36 ราย ส่วนโรงพยาบาลสนามกองทัพบก(กรมพลาธิการทหารบก) ได้เปิดให้บริการแล้วใน 21 เมษายน 2564 สามารถรองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 200 เตียง โดยหลังกระทรวงสาธารณสุขเข้าตรวจสอบพื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขยายเพื่อรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม โดยยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก (25 เมษายน 2564) อยู่ระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้กองทัพบกยังได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15) จ.กระบี่ สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 280 ราย โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพลทหารราบที่ 15) จ.สงขลา สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 100 ราย และโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันเสนารักษ์ที่ 1) จ.ลพบุรี สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 150 ราย 

ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก โดยล่าสุดกองทัพบกเตรียมจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามกองทัพบก(มณฑลทหารบกที่ 11) ที่กระทรวงสาธารณสุขเข้าตรวจสอบความคืบหน้า และยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงให้เหมาะสมตามคำแนะนำของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งจะจัดบุคลากรทางการแพทย์เข้าบริหารจัดการ โดยมีการแบ่งสัดส่วนชัดเจนเพื่อความปลอดภัย  นอกจากนี้ในส่วนของโรงพยาบาลสนามกองทัพบก(เกียกกาย) ซึ่งกองทัพบกบริหารจัดการเอง ดำเนินการโดย ศบค.19 ทบ. และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รองรับผู้ติดเชื้อได้ 137 ราย เพื่อรองรับกำลังพลและครอบครัว เป็นการลดภาระของโรงพยาบาลสาธารณสุขและรองรับผู้ป่วยCOVID-19 อาการทุเลาแล้วจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้าพักแล้ว 101 ราย (25 เมษายน 2564)

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า ล่าสุดจากการที่กระทรวงกลาโหมได้จัดชุดแพทย์ผสมเหล่าทัพไปสนับสนุน การบริการด้านการแพทย์ ให้กับรพ.สนามในความรับผิดชอบของกทม.นั้น ในส่วนของกองทัพบกได้มอบหมายให้ กรมแพทย์ทหารบก จัดชุดแพทย์ 2 ชุด จำนวน 10 นาย เข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลสนาม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ร่วมกับโรงพยาบาลลาดกระบัง ตั้งแต่ 22 เมษายน เป็นต้นไป โดยหมุนเวียนกับชุดแพทย์ของเหล่าทัพอื่น นอกจากนี้ กองทัพบกยังได้สนับสนุนรถพยาบาลเพื่อช่วยเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อCOVID-19 ในกระบวนการรับ- ส่งผู้ป่วยจากที่พัก เพื่อเข้ารับการรักษา ณ รพ.สนามในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้เพิ่มศักยภาพในกระบวนการรับ-ส่ง ผู้ป่วย โดยได้รับการสนับสนุนการจัดยานพาหนะ จากทุกเหล่าทัพ และโดยขณะนี้กองทัพบกสนับสนุนยานพาหนะ 10 คัน จาก กองทัพภาคที่ 1, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำงานเป็นวงรอบกับเหล่าทัพอื่นๆ ด้วย 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้บุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าต้องทำงานอย่างหนัก อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ผู้บัญชาการทหารบกมีความห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าว ได้สั่งการให้ ศบค.19 ทบ. และกรมแพทย์ทหารบกได้จัดเตรียมกำลังพลที่เคยปฏิบัติงานสายแพทย์สำรองไว้ เพื่อเป็นกำลังสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนมากในอนาคต ซึ่งขณะนี้กองทัพบกได้จัดทำบัญชีรายชื่อและแผนการปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว พร้อมสนับสนุนเมื่อได้รับการร้องขอ 

โดยมองว่างานด้านการรักษาพยาบาลถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลประชาชน ให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลและดูแลประชาชน เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และลดภาระบุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าที่ทำงานหนักในสถานการณ์ที่ผ่านมา สำหรับการป้องกันการติดเชื้อในหน่วยทหาร เพื่อดำรงสภาพความพร้อมของกองทัพบกในการสนับสนุนภารกิจดูแลประชาชนในสถการณ์COVID-19 ขณะนี้กองทัพบกได้กระชับและดำรงความเข้มงวดใน “มาตรการพิทักษ์พล” และมีการปรับการปฏิบัติในบางภารกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อาทิ ยกระดับกองรักษาการณ์คัดกรองการผ่านเข้า-ออกหน่วยทหาร, การจัดสรรกำลังพลให้ปฏิบัติงานในลักษณะ WFH, หลีกเลี่ยงหรืองดการสังสรรค์แบบหมู่คณะ, การประชุมและจัดการเรียนการสอนออนไลน์, งดการฝึก, การรักษากำลังพลที่ติดเชื้อและกักตัวผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น ส่วนการดูแลประชาชน 

เพื่อลดผลกระทบและบรรเทาความเดือดร้อน ยังคงเดินหน้านโยบาย อาทิ Army Delivery, ช่วยเหลือเกษตรกร, อุดหนุนผลผลิตทางการเกษตร, แจกจ่ายหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ พร้อมลงพื้นที่สร้างความรับรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตน การสังเกตและเฝ้าระวังอาการผิดปกติ รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดCOVID-19 จากแนวโน้มของการแพร่ระบาดที่สูงขึ้นนี้ กองทัพบกได้ติดตามและเตรียมความพร้อมในศักยภาพทั้งบุคลากรสิ่งอุปกรณ์และความร่วมมือ พร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้มาตรการป้องกันและการรักษาพยาบาลของภาครัฐ สามารถรองรับและดูแลประชาชนได้อย่างดีที่สุด

ทบ. แจงเหตุจำเป็นด้านความมั่นคง ต้องซื้อยุทโธปกรณ์ หลังงบได้รับอนุมัติผ่านสายบังคับบัญชา-รบ.มาแล้ว ขณะที่ “บิ๊กบี้” กำชับหน่วย งบอะไรช่วยโควิดได้ ขอให้พิจารณาปรับ

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพบกที่ยังมีอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า ภาพรวมเจตนาการใช้งบประมาณของกองทัพบก คือจะต้องใช้งบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรให้ดีที่สุด โดยล่าสุดพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับทุกหน่วยทหารว่างบประมาณอะไรที่สามารถปรับมาใช้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ก็ขอให้พิจารณา แต่อะไรที่เป็นเรื่องของการดำรงความพร้อมทางด้านความมั่นคงของประเทศ และมีความจำเป็น รวมถึงผ่านการเห็นชอบในระดับสายการบังคับบัญชาและรัฐบาลแล้ว คงจำเป็นต้องเดินหน้า ภายใต้ข้อผูกพันธ์ต่างๆที่มี ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความพร้อมรบ ความแข็งแกร่ง และศักยภาพความมั่นคงของประเทศในภาพรวม แต่ยังไม่ขอลงในรายละเอียดในแต่ละโครงการ

เมื่อถามถึงข้อเสนอของน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอให้กองทัพยกเลิกโครงการจัดซื้ออาวุธ ถ้าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของความคิดเห็น เราก็รับฟัง

เมื่อถามย้ำว่า ถ้ารับฟังแล้วกองทัพบกจะทบทวนหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า การบริหารงบประมาณของกองทัพบก มีการอนุมัติ และพิจารณาเห็นชอบจากหลายส่วนแล้ว เจตนารมณ์ของกองทัพบกนอกจากจะใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ตรงกับความต้องการ เสริมสร้างความแข็งแกร่งงานความมั่นคง อะไรที่สามารถผ่องถ่ายไปช่วยเหลือประชาชน หรือปรับไปเพื่อดูแลสถานการณ์โควิด ทางกองทัพบกก็ดำเนินการอยู่ แต่ในรายละเอียดไม่ได้มีการตีแผ่ให้ส่วนต่างๆได้รับทราบ จึงขอให้มั่นใจว่ากองทัพบกจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือเรื่องโควิดอย่างเต็มที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top