Wednesday, 18 June 2025
NewsFeed

'พ.ต.อ.ทวี' ไม่ทิ้งภาคใต้ เตรียมคืนความเป็นธรรมชาวมูโนะ มอบเงินเยียวยาเหยื่อโกดังพลุระเบิดนราธิวาส 346 ราย กว่า 2.2 ล้านบาท พร้อมเปิดเวทีให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ มีแผนจะเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส ในวันเสาร์ที่ 14 ต.ค.66 เพื่อเป็นประธานทำพิธีมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายในคดีอาญา กรณีโกดังพลุระเบิด อ.มูโนะ จ.นราธิวาส โดยพิธีจะจัดขึ้นบริเวณโรงเรียนบ้านมูโนะ ภายใต้กิจกรรม “คุ้มครองคน คุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเป็นธรรม” 

สำหรับเงินเยียวยาที่จะมอบแก่ผู้เสียหาย จำนวน 346 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,241,888 บาท

กิจกรรมครั้งนี้จะมีการชี้แจงทำความเข้าใจความคืบหน้าในการช่วยเหลือเยียวยาของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในมิติอื่นๆ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายอีกด้วย 

โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังมีกำหนดการร่วมพบปะและรับฟังความคิดเห็นจากผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา ประชาชน ในพื้นที่ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ที่โรงเรียนสอนศาสนาตาดีกาดารุลฮูดา หมู่ 1 ต.กาวะ อ.สุไหงปาดี และจะเดินทางไปในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส อีกด้วย

‘กองทุนดีอี’ ชูระบบสืบค้นข้อมูลอาคารชุด ‘CondoMaps’ หลังสนับสนุนงบ ‘กรมที่ดิน’ พัฒนาสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม

ภายหลังจาก สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ กองทุนดีอี ได้สนับสนุนงบประมาณให้ กรมที่ดิน ให้ดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของประเทศไทย ในปีงบประมาณ พ.ศ.2565

จากผลการดำเนินงานล่าสุด ทางกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ได้พัฒนาระบบสืบค้นอาคารชุด ห้องชุด (CondoMaps) สำเร็จพร้อมเปิดให้บริการประชาชนเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ กรมที่ดิน ในฐานะผู้พัฒนาระบบ CondoMaps ได้ทำพิธีเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมในพิธีเปิดด้วย 

สำหรับระบบสืบค้นอาคารชุด ห้องชุด (CondoMaps) พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคประชาชน ภาคเอกชน และผู้ประกอบการที่ถือครองห้องชุด เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุด สามารถสืบค้นข้อมูลอาคารชุด ห้องชุด ได้โดยใช้เลขทะเบียนอาคารชุด ห้องชุด ที่ระบุในหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด ระบบจะแสดงตำแหน่งที่ตั้งอาคารชุด ห้องชุด ในรูปแบบภูมิสารสนเทศ 3 มิติ ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นทัศนียภาพเสมือนจริง โดยแสดงผลร่วมกับข้อมูลรูปแปลงที่ดินของกรมที่ดิน ภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่ภูมิประเทศ (Open Street Map) และภาพถ่ายทางอากาศเชิงเลข (DMC) ให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

โครงการนี้ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม ที่ช่วยสร้างฐานข้อมูลอาคารห้องชุดให้เป็นระบบ เชื่อมโยงข้อมูลเอกสารสิทธิห้องชุดทั่วประเทศ นอกจากจะสร้างความสะดวกสบายให้ประชาชนแล้ว ยังจะเป็นการสร้างศักยภาพของภาครัฐ ตอบโจทย์ทางด้านการลงทุนให้แก่นักลงทุนทั้งชาวไทย และ ชาวต่างชาติอีกด้วย

ทั้งนี้ จากข้อมูลในปัจจุบัน กรมที่ดินมีฐานข้อมูลห้องชุดแบบ 3 มิติ สำหรับให้บริการบนระบบ CondoMaps จำนวน 180,000 ยูนิต ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งในปีนี้กรมที่ดินอยู่ระหว่างดำเนินการนำเข้าฐานข้อมูลอาคารชุด ห้องชุด เพื่อให้มีฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ 3 มิติ เพิ่มมากขึ้นอีกจำนวน 480,000 ยูนิต หากดำเนินการแล้วเสร็จจะมีฐานข้อมูลห้องชุดรวมจำนวนทั้งสิ้น 660,000 ยูนิต

นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวย้ำว่า การดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของประเทศไทยผ่านระบบ CondoMaps นั้น เป็นการให้บริการกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในรูปแบบ Data as a Service (Daas) เป็นการเพิ่มศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถในการให้บริการ รวมทั้งเป็นข้อมูลพื้นฐานใช้ประกอบการวางแผนงาน นโยบาย หรือวางแผนต่อยอดทางด้านธุรกิจ สนับสนุนการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับหลักการภาครัฐของประชาชน เพื่อประชาชน และประโยชน์ส่วนรวมอย่างครบวงจร

หลักการทรงงาน 23 ประการ ของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ พระผู้เป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ

หลักการทรงงาน 23 ประการของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ พระผู้เป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ 🙏🏻🇹🇭✨

1.) ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ
การที่จะพระราชทานพระราชดำริเพื่อดำเนินงานโครงการ จะทรงศึกษาข้อมูลรอบด้านจากเอกสาร แผนที่ สอบถามเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ตรงความต้องการของประชาชน

2.) ระเบิดจากข้างใน
พระองค์ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ทรงตรัสว่า “... ต้องระเบิดจากข้างใน หมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญ หรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาสังคมภายในหมู่บ้านที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว”

3.) แก้ปัญหาที่จุดเล็ก
พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพในการแก้ไขปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะเริ่มจากจุดเล็กๆ (Micro) คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ที่คนมักจะมองข้าม

4.) ทำตามลำดับขั้น
ในการทรงงานพระองค์ทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นของประชาชนที่สุดก่อน ได้แก่ งานด้านสาธารณสุข เมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็จะสามารถทำประโยชน์อื่นๆ ต่อไปได้ จากนั้นด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำ เพื่อการเกษตร การอุปโภค บริโภค ที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนโดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้ทางวิชาการ-เทคโนโลยี เน้นปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎรนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด

5.) ภูมิสังคม
การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน

6.) องค์รวม
ทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม (Holistic) หรือมองอย่างครบวงจรในการที่จะพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการหนึ่งนั้น จะทรงมองเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง ดังเช่นกรณีของ (ทฤษฎีใหม่) ที่พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยเป็นแนวทางประกอบอาชีพแนวทางหนึ่ง ที่พระองค์ทรงมองอย่างองค์รวม ตั้งแต่การถือครองที่ดิน โดยเฉลี่ยของประชาชนชาวไทยประมาณ 10-15 ไร่ การบริหารจัดการที่ดินและแหล่งน้ำอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพ เมื่อมีน้ำในการเกษตรแล้ว จะส่งผลให้ผลิตดีขึ้น และหากมีผลิตมากขึ้น เกษตรกรต้องรู้วิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุ่มรวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อพร้อมที่จะออกสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได้อย่างครบวงจรนั้น คือ ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่ 1 2 และ 3

7. ไม่ติดตำรา
การพัฒนาตามราชดำริของพระองค์ ลักษณะพัฒนาที่อนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคม จิตวิทยาแห่งชุมชน ‘ไม่ติดตำรา’ ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่แท้จริงของคนไทย

8.) ประหยัดเรียบง่าย
ได้ประโยชน์สุดในเรื่องของความประหยัดนี้ ประชาชนชาวไทยเคยเห็นว่า หลอดยาสีพระทนต์นั้นทรงใช้อย่างคุ้มค่าอย่างไร ฉลองพระองค์แต่ละองค์ทรงใช้อยู่เป็นเวลานาน หรือแม้แต่ฉลองพระบาทหากชำรุดก็จะส่งซ่อมและใช้อย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันการพัฒนาช่วยเหลือราษฎร ทรงใช้ความเรียบง่ายและประหยัดในการแก้ไขปัญหา ให้ราษฎรสามารถทำได้เอง ประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคมาแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนัก

9.) ทำให้ง่าย
ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไข งานพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริดำเนินไปโดยง่าย และสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ระบบนิเวศโดยส่วนรวม ตลอดจนสภาพสังคมของชุมชนนั้นๆ ทรงโปรดที่จะทำสิ่งที่ยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย อันเป็นการแก้ปัญหาด้วยการใช้กฎธรรมชาติเป็นแนวทางนั้นเอง แต่การทำสิ่งที่ยากให้กลายเป็นง่ายนั้นเป็นของยาก ดังนั้นคำว่า “ทำให้ง่าย” หรือ “Simplicity” จึงเป็นหลักคิดสำคัญของการพัฒนาประเทศ ที่มาในรูปแบบของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

10.) การมีส่วนร่วม
พระองค์ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงทรงนำ “ประชาพิจารณ์” มาใช้ในการบริหาร เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้มาร่วมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชน

11.) ประโยชน์ส่วนรวม
การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทานพระราชดำริในการพัฒนา และช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ ทรงระลึกถึงส่วนรวมเป็นสำคัญ

12.) บริการรวมที่จุดเดียว
‘การบริการรวมที่จุดเดียว’ หรือ ‘One Stop Services’ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย โดยทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบในการบริการรวมที่จุดเดียว เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนที่ใช้บริการ ให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยมีหน่วยงานราชการต่างๆ มาร่วมดำเนินการและให้บริการประชาชน ณ ที่แห่งเดียว

13.) ทรงใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ
ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติ จะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ไขปัญหาป่าเสื่อมโทรม ได้พระราชทานพระราชดำริ ‘การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก’ ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยในการฟื้นฟูธรรมชาติ หรือแม้กระทั่ง ‘การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง’

14.) ใช้อธรรมปราบอธรรม
ทรงนำความจริงเรื่องความเป็นไปแห่งธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการแนวปฏิบัติที่สำคัญ ในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติเข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การทำน้ำดีขับไล่น้ำเสีย หรือเจือจางน้ำเสียให้กลับเป็นน้ำดีตามจังหวะการขึ้นลงตามธรรมชาติของน้ำ การบำบัดน้ำเน่าเสียโดยใช้ผักตบชวา ซึ่งมีตามธรรมชาติให้ดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ ดังพระราชดำรัสความว่า “ใช้อธรรมปราบอธรรม”

15.) ปลูกป่าในใจคน
เป็นการปลูกป่าลงบนแผ่นดิน ด้วยความต้องการของมนุษย์ทำให้ต้องการบริโภคและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เพื่อประโยชน์ของตนเองและสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม ไม่รู้จักพอ ปัญหาความไม่สมดุลจึงบังเกิดขึ้น ดังนั้นในการฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตสำนึกในการรักผืนป่าให้แก่คนเสียก่อน

16.) ขาดทุนคือกำไร
“ขาดทุน คือ กำไร” (Our loss is our gain) “การเสีย คือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุข เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้…” จากพระราชดำรัสดังกล่าว คือหลักการที่พระองค์ ทรงมีต่อพสกนิกรไทยด้วย ‘การให้’ และ ‘การเสียสละ’ เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือความอยู่ดี มีสุขของราษฎร ซึ่งสามารถสะท้อนเป็นรูปธรรมชัดเจนได้

17.) การพึ่งพาตนเอง
การพัฒนาตามแนวพระราชดำริเพื่อการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง พอที่จะดำรงชีวิตต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และ ‘พึ่งตนเองได้’

18.) พออยู่พอกิน
การพัฒนาเพื่อให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เริ่มจากการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในทุกภาคของประเทศ และพระองค์ได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยพระองค์เอง จึงทรงเข้าพระราชหฤทัยสภาพปัญหาอย่างลึกซึ้ง ในการพัฒนานั้น หากมองในภาพรวมของประเทศมิใช่งานเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความคิดและกำลังของคนทั้งชาติจึงจะบรรลุผลสำเร็จด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์จึงทำให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า แนวทางพระราชดำริในพระองค์นั้น ‘เรียบง่าย ปฏิบัติได้ผล’ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน

19.) เศรษฐกิจพอเพียง
‘เศรษฐกิจพอเพียง’ เป็นปรัชญาที่ทรงพระราชทานชี้แนวทางดำเนินชีวิต แก่พสกนิกรมานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้พระราชทานไว้ ดังนี้

“ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อมามีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน”

20.) ความซื่อสัตย์สุจริตจริงใจต่อกัน
“คนที่ไม่มีความสุจริต คนที่ไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ”
- พระราชดำรัสฯ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2522

“ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ มากกว่าผู้มีความรู้มากแต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ”
- พระราชดำรัสฯ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533

“ผู้ว่า CEO ต้องเป็นคนที่สุจริต ทุจริตไม่ได้ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป ข้าราชการหรือประชาชนที่มีการทุจริต ถ้ามีทุจริตแล้วบ้านเมืองพัง ที่เมืองไทยพังมาเพราะมีการทุจริต”
- พระราชดำรัสฯ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2546

21.) ทำงานอย่างมีความสุข
พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขทุกคราที่จะช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเคยมีพระราชดำรัสครั้งหนึ่งความว่า “ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น”

22.) ความเพียร
พระองค์ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ ในระยะแรกไม่ได้มีความพร้อมมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น แต่พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย ทรงอดทนและมุ่งมั่นดำเนินงานนั้น ให้สำเร็จลุล่วง ดังเช่นพระราชนิพนธ์ ‘พระมหาชนก’ ซึ่งพระองค์ทรงใช้เวลาค่อนข้างนานในการคิดประดิษฐ์ถ้อยคำให้เข้าใจง่าย และปรับให้เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทยปฏิบัติตามรอยพระมหาชนก กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ายน้ำต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหารปู ปลา และไม่ได้พบกับเทวดาที่ช่วยเหลือมิให้จมน้ำ เช่นเดียวกับพระองค์ทรงริเริ่มทำโครงการต่างๆ ในระยะแรกที่ไม่มีความพร้อมในการทำงานมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้นแต่พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย มุ่งพัฒนาบ้านเมืองให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข

23.) รู้ รัก สามัคคี
พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่อง ‘รู้ รัก สามัคคี’ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่มีคุณค่าและมีความหมายลึกซึ้ง สามารถปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

รู้ : การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีแก้ปัญหา

รัก : คือ ความรัก เมื่อเรารู้ครบถ้วนกระบวนความแล้วจะต้องมีความรัก การพิจารณาที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหานั้นๆ คือ การสร้างฉันทะ

สามัคคี : การที่จะลงมือปฏิบัติควรคำนึงเสมอว่าเราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกันเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะจึงจะมีพลังเข้าไปแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

‘ดร.สุวินัย’ ยก ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ เปรียบดั่งมหาบุรุษของแผ่นดินสยาม ขอคนไทยจงภูมิใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยของพระองค์

(13 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ถึงความเมตตาอันล้ำลึกของมหาบุรุษ โดยระบุว่า…

เมตตาอันล้ำลึกของ ‘มหาบุรุษ’

เมตตาอันล้ำลึก คือการยอมเสียเปรียบโดยไม่มีประมาณ

เมตตาอันล้ำลึก ดุจ ‘ใจน้ำ’ (水心)  ที่อยู่ใต้ทะเล 100 เชียะ (水下百尺)

มหาบุรุษทุกคนล้วนมีเมตตาอันล้ำลึกเช่นนี้

เมตตาเป็นพลังบุญชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่ใจแผ่เมตตาออกไป เปรียบดังเทหยดน้ำลงเติมใน ‘ทะเลบุญ’ หยดน้ำแห่งบุญที่เทเติมลงไปรวมกับทะเลบุญ ย่อมไม่มีวันสูญหายไปไหน ตราบใดที่ทะเลบุญยังอยู่ ทะเลแห่งบุญนี้ย่อมกลายเป็นคลื่นน้อมนำ เกื้อหนุน นำพาผู้นั้นว่ายข้ามสังสารวัฏ ลุถึงความรู้แจ้งได้ในที่สุด

โลกทั้งหมดก็คือ ‘ใจ’

โลกทั้งหมดมิใช่สิ่งใดอื่นที่อยู่นอกเหนือใจ การเห็นโลกทั้งหมดเป็นแค่บ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ 
ย่อมนำมาซึ่งการตื่นรู้และความเมตตาอันล้ำลึก เพราะด้วยเมตตาอันล้ำลึกเช่นนี้ มหาบุรุษจึงมองมนุษย์ทุกคนคือเพื่อนกัน เป็นหนึ่งเดียว มหาบุรุษมักเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ชีวิตเรียบง่าย รักสันโดษ ไม่มีนอกไม่มีใน มิหนำซ้ำ มหาบุรุษยังเป็นคนแบบเดียวกันกับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา

คนทั้งโลกส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ใต้อำนาจแห่งวัตถุ เมื่อมีผู้ใดหลุดจากอำนาจนี้ได้ ผู้นั้นย่อมข้ามพ้นขีดจำกัดของความเป็นคนธรรมดา กลายเป็นมหาบุรุษผู้มีความพิเศษอันน่าทึ่ง และล้ำลึกสุดหยั่งถึง

มหาบุรุษทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้ชีวิตที่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม มหาบุรุษเป็นผู้ที่ทำหนึ่งแต่ได้ทั้งหมด… ไม่ใช่ผู้ทำทุกอย่างแต่ไม่ได้อะไรซักอย่าง…

ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรเอาไว้ว่า “เรารักราหุลเยี่ยงไร เราก็รักเทวทัตเยี่ยงนั้น” 
หมายความว่า พระองค์ทรงรักผู้ที่เคยลอบปลงพระชนม์พระองค์ เท่ากับที่พระองค์ทรงรักบุตรชายคนเดียวของพระองค์

คนเราต้องใช้ความเมตตามากขนาดไหน จึงสามารถทำจิตใจให้เป็นเช่นนี้ได้?

มหาบุรุษทุกคนล้วนมีความเมตตาอันล้ำลึกเช่นนี้ หากแม้สามารถรับบาปกรรมในนรกอเวจีแทนสรรพสัตว์ได้ พวกท่านจะไม่ลังเลรีรอเลยที่จะทำ มิหนำซ้ำมหาบุรุษไม่เคยคาดหวังให้ผู้อื่นมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองได้กระทำ

“เขาตบแก้มขวา ให้เอียงแก้มซ้ายให้ตบอีก” มหาบุรุษท่านหนึ่งเคยกล่าว

“เรารักราหุลเยี่ยงไร เราก็รักเทวทัตเยี่ยงนั้น” มหาบุรุษพระองค์นั้นทรงตรัสไว้

“เมตตาแปลว่ายอมเสียเปรียบ” พระอริยเจ้ารูปหนึ่งเคยกล่าวไว้

“เศรษฐกิจพอเพียงคือทางรอด ความพอเพียงคือกุญแจสู่อิสรภาพ” มหาบุรุษคนล่าสุดของแผ่นดินนี้เคยสอนไว้

จะมีใครกี่คนกันที่รับรู้ถึงความลึกซึ้งของถ้อยคำเหล่านี้ได้?

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวาทะจากจิตวิญญาณที่เขย่าโลก เพราะมันเป็นคำพูดที่มาพร้อมการกระทำอันเป็นแบบอย่าง จึงมีพลังถึงขั้นสามารถกระตุ้นปลุกความเมตตาในจิตใจของผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายให้ลุกโชน ตื่นรู้จากความเห็นแก่ตัวที่ปกปิดห่อหุ้มจิตวิญญาณให้มืดบอดหลับใหล

เมตตาอันล้ำลึกคืออะไร?
แม้เราเกลียดท่าน ท่านยังเมตตา
แม้เราทำร้ายท่าน ท่านยังรักใคร่
แม้เราแล้งน้ำใจต่อท่าน ไม่เคารพท่าน
ท่านก็ยังเอาชีวิตของท่านรับใช้เพื่อประโยชน์แห่งเราทุกคน

นี่มิใช่หรือ ที่เรียกว่า ‘ความเมตตาอันล้ำลึก’ เท่าที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งสามารถยกระดับจิตวิญญาณของตนไปถึงได้ คนธรรมดาย่อมกลายเป็นคนไม่ธรรมดา หรือมหาบุรุษได้ หากมีความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนจิตวิญญาณของตนเพียงพอ

หากแม้น ชีวิตคือบทสนทนาไม่รู้จบ กับเหล่า ‘บุคคลต้นแบบ’ ของตนเอง นิยามใหม่ของชีวิต ย่อมมิใช่สิ่งใดอื่น… นอกจากการใช้เวลาทั้งชีวิตของตนเอง เพื่อถมเต็ม ‘ช่องว่าง’ ระหว่างจิตวิญญาณของตน กับจิตวิญญาณของมหาบุรุษเหล่านั้น ผู้มีเมตตาอันล้ำลึก และเป็น ‘บุคคลต้นแบบ’ ของตนนั่นเอง

จงภูมิใจเถิดว่า ครั้งหนึ่งพวกเราเคยมีชีวิตร่วมสมัยเดียวกับมหาบุรุษคนล่าสุดของแผ่นดินสยาม

สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

‘รัดเกล้า’ ย้ำ!! รัฐฯ ตั้งเป้าลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ร้อยละ 80 พร้อมเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้ ปชช.

(13 ต.ค. 66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน ซึ่งกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง เดินหน้าแก้ไขปัญหา และลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อย ตลอดจนให้ความรู้ทางการเงิน และพัฒนากำลังคน เพื่อรองรับการทำงานตามนโยบายรัฐบาลในอนาคต ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายและย้ำถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน โดยให้ดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด

นางรัดเกล้า กล่าวว่า เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล ธนาคารออมสินจึงได้จัด โครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันนวมินทรมหาราช วันที่ 13 ตุลาคม 2566 มาตรการแก้ไขหนี้ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อลูกหนี้รายย่อยธนาคารออมสิน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากการผ่อนชำระ และลูกหนี้บางส่วนที่มีสถานะ NPLs จากผลกระทบดังกล่าว โดยจะเปิดให้เข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

สำหรับมาตรการแก้ไขหนี้ดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยสินเชื่อธนาคารออมสิน ด้วยการให้พักชำระเงินต้นและให้ทางเลือกจ่ายดอกเบี้ยตั้งแต่ 25% - 100% แล้วแต่กรณี ตามเงื่อนไขธนาคารและสถานะของลูกหนี้แต่ละรายเมื่อสามารถผ่อนชำระได้ตามเงื่อนไขของมาตรการ ธนาคารจะยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระก่อนเข้ามาตรการให้

รวมถึงลูกหนี้ที่มีสถานะ NPLs อยู่ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ธนาคารจะชะลอกระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์ ไม่ขายทอดตลาด และไม่ฟ้องล้มละลาย แล้วแต่กรณี โดยให้ผ่อนชำระได้สูงสุด 10 ปี และคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษตามเงื่อนไขธนาคาร ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการ สามารถติดต่อธนาคารออมสินสาขาเจ้าของบัญชีเงินกู้ หรือสาขาที่สะดวกได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

“รัฐบาลผลักดันนโยบายไปสู่การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา พลิกฟื้นเศรษฐกิจ และยกระดับชีวิตประชาชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมความพร้อมดำเนินมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและยั่งยืน ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนคลี่คลายขึ้นได้ในระยะต่อไปโดยมีเป้าหมายที่จะลดหนี้ภาพรวมให้ลดลงอยู่ในระดับที่ยั่งยืน หรือต่ำกว่า 80% ต่อจีดีพี” นางรัดเกล้า กล่าว

‘Dr. Husam Zomlot’ หัวหน้าคณะผู้แทนปาเลสไตน์ประจำสหราชอาณาจักร ผู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวปาเลสไตน์ และการต่อสู้กับอคติของสื่อตะวันตก

‘Dr. Husam Zomlot’ หัวหน้าคณะผู้แทนปาเลสไตน์ประจำสหราชอาณาจักร
ตอบโต้คำถามและการสัมภาษณ์ที่มีอคติของ BBC สื่อตะวันตกอย่างดุเดือด

‘Dr. Husam Zomlot’ หัวหน้าคณะผู้แทนปาเลสไตน์ประจำสหราชอาณาจักร ต้องเผชิญหน้ากับคำถามและการสัมภาษณ์อย่างมีอคติจากสื่อตะวันตก โดยเฉพาะ BBC โดยพยายามให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความโหดร้ายที่บีบคั้นหัวใจ ซึ่งเกิดขึ้นโดยกองทัพอิสราเอลต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์

Dr. Zomlot ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของชาวปาเลสไตน์ในการยุติการยึดครองอันโหดร้ายที่คุกคามชีวิตของพวกเขามายาวนานเกินไป อิสราเอลซึ่งแต่เดิมตั้งใจที่จะยุติการขยายถิ่นฐานและการยึดครอง แต่กลับวนเวียนอยู่ในวงจรแห่งความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสไตน์

เขาท้าทายความพยายามของผู้สัมภาษณ์ที่จะถือข้างผู้ครอบครอง โดยเน้นว่านี่ไม่ใช่สงครามระหว่างความเท่าเทียมกัน หลักการทางการทหารที่มีมายาวนานของอิสราเอลมุ่งเป้าไปที่พลเรือน ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายอย่างนับไม่ถ้วน Dr. Zomlot เรียกร้องอย่างกระตือรือร้นให้ยุติวงจรแห่งความตายนี้ การเผชิญหน้ากับความหน้าซื่อใจคดของผู้สัมภาษณ์ โดยเน้นย้ำถึงการขาดความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามของอิสราเอลในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เขาตั้งคำถามว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่อิสราเอลจึงไม่ถูกกดดันให้ประณามตนเอง โดยเน้นย้ำถึงอคติที่มักสร้างความเสียหายให้ปาเลสไตน์จากการรายงานข่าวของสื่อตะวันตก

Dr. Zomlot ปฏิเสธที่จะเล่าเรื่องที่บิดเบือน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการที่ต้นตอของความขัดแย้ง แทนที่จะคาดหวังให้ชาวปาเลสไตน์ประณามตนเองอย่างต่อเนื่อง เขาตั้งคำถามกับการรายงานแบบเลือกข้างของสื่อ โดยถามว่าพวกเขาเคยเชิญให้ Dr. Zomlot ออกมาพูดเมื่อชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารหรือเมื่อมีการยั่วยุจากฝั่งอิสราเอลหรือไม่? เนื่องจากประชากรในฉนวนกาซาถูกจับเป็นตัวประกันโดยอิสราเอล Dr. Zomlot จึงเรียกร้องให้เปลี่ยนจากการใช้วาทกรรมและให้ยอมรับความจริงอันน่ารังเกียจนี้

เมื่อถามถึงแนวทางแก้ไข เขาเน้นย้ำถึงการใช้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างเท่าเทียมกัน กฎของสันนิบาตแห่งชาติ และมติของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นหลักการที่ขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงการกระทำของอิสราเอลในฐานะกองกำลังผู้ยึดครอง

Dr. Zomlot เปิดเผยความจริงอันโหดร้ายที่พลเรือนปาเลสไตน์ต้องเผชิญอย่างเด็ดเดี่ยว และเรียกร้องความยุติธรรม และความรับผิดชอบต่อความอยุติธรรมนับครั้งไม่ถ้วนที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญ Dr. Zomlot ได้โต้ตอบผู้สื่อข่าวของ BBC อย่างไม่เกรงใจ เนื่องจากความมีอคติของผู้สัมภาษณ์ที่ชัดเจนต่อชาวปาเลสไตน์อิสราเอล โดยเปิดเผยถึงความโหดร้ายอันน่าสยดสยองที่กองทัพอิสราเอลกระทำต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์

อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮามาสไม่ใช่รัฐบาลหรือกองทัพอย่างเป็นทางการของชาวปาเลสไตน์ จึงไม่สามารถถือเอากลุ่มฮามาสเป็นตัวแทนของชาวปาเลสไตน์ได้ Dr. Zomlot เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ของชาวปาเลสไตน์ที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งการยึดครองที่ยืดเยื้อยาวนาน เขาเน้นย้ำว่า จุดประสงค์เดิมของอิสราเอล คือการยุติการขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานและการยึดครอง แต่อิสราเอลได้หลงไปไกลจากเส้นทางนี้ และทิ้งร่องรอยแห่งความทุกข์ทรมานไว้

ด้วยการท้าทายความพยายามของผู้สัมภาษณ์ที่จะเปรียบเทียบผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ Dr. Zomlot โต้แย้งอย่างกระตือรือร้นว่านี่ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างความเท่าเทียมกัน เขากล่าวหาอิสราเอลว่าปฏิบัติตามหลักคำการทางทหารที่น่ากังวลซึ่งมุ่งเป้าไปที่พลเรือน ซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่ชาวปาเลสไตน์อย่างไม่สามารถประเมินได้ Dr. Zomlot เรียกร้องให้ยุติวงจรความรุนแรงซึ่งมีแต่การทำลายล้างนี้

Dr. Zomlot ขอให้ผู้สัมภาษณ์ตอบข้อกล่าวหาว่ามีอคติ โดยตั้งคำถามตรง ๆ ไปว่า ทำไมเจ้าหน้าที่อิสราเอลจึงไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขาในรายการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เขาท้าทายความล้มเหลวของสื่อในการเรียกร้องให้อิสราเอลประณามตัวเอง โดยแสดงให้เห็นถึงการมีสองมาตรฐานโดยสิ้นเชิง

Dr. Zomlot ยืนกรานที่จะต้องจัดการกับสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง เขาตั้งคำถามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรายงานข่าวของสื่อ โดยถามว่าพวกเขาส่งคำเชิญถึงตัวเขาเมื่อชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารหรือเมื่อมีการยั่วยุของอิสราเอล เพราะว่ามีชาวปาเลสไตน์กว่าสองล้านคนถูกอิสราเอลจับเป็นตัวประกันในฉนวนกาซา

Dr. Zomlot จึงเรียกร้องให้ละทิ้งวาทกรรมที่ปั้นแต่งขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงของสถานการณ์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อถามถึงแนวทางแก้ไข เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ตลอดจนการปฏิบัติตามกฎของสันนิบาตแห่งชาติและมติของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นหลักการที่อิสราเอลดูเหมือนได้เคยยอมรับและนำมาปฏิบัติมานานหลายทศวรรษ

‘นัท มีเรีย’ แบ่งปันคลิป ‘ในหลวง ร.9’ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

(13 ต.ค.66) สืบเนื่องวันที่ 13 ตุลาคม 2566 เป็นวันแห่งการเสด็จสวรรคตครบ 7 ปี หรือเรียกว่า ‘สัตตมวรรษ’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดชื่อ วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตามที่รัฐบาลขอพระราชทานพระมหากรุณา จึงเห็นสมควรกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็น ‘วันนวมินทรมหาราช’

โดยคนบันเทิงต่างน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หนึ่งในนั้น มี นักร้องหญิงมากความสามารถ ‘นัท มีเรีย’ โพสต์คลิป พร้อมข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @myriabenedetti พร้อมข้อความระบุว่า...

“คลิปนี้คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่อยากจะนำมาแบ่งปันในปีนี้ที่ขึ้นสู่ปี 7 🙏🏻💛 วันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2566 ธ สถิตในดวงใจตราบนิรันดร์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร #13ตุลาคม #วันนวมินทรมหาราช”

‘จ่า Gander’ ยอดสุนัขทหารแห่งกองทัพแคนาดาในสงครามโลกครั้งที่ 2 สัญญลักษณ์ของความภักดีและกล้าหาญ ในยุทธการที่เมือง Lye Mun

‘จ่า Gander’ ยอดสุนัขทหารแห่งกองทัพแคนาดา

ในโลกแห่งความจริงแล้ว สุนัขเป็นสัตว์ที่สุดยอด ไม่ใช่เพียงแค่ความวิเศษของสุนัขที่มีข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรักและภักดี ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของสุนัขมาโดยตลอดอีกด้วย ความภักดีของพวกมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความกล้าหาญได้ และสิ่งนี้ทำให้พวกมันมีบทบาทอยู่ในสนามรบตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้มีสุนัขสงครามที่ต่อสู้เคียงข้างกับทหารของชาติต่าง ๆ จนกระทั่งปัจจุบัน และเรื่องที่น่าจดจำนี้เป็นเรื่องของสุนัขในกองทัพแคนาดาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

‘Gander’ เป็นสุนัขพันธุ์ Newfoundland ที่ได้ช่วยชีวิตทหารแคนาดาจำนวนหนึ่งระหว่างยุทธการ Lye Mun บนเกาะฮ่องกงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1940 ชื่อเดิมของมันคือ ‘Pal’ เป็นสุนัขของครอบครัว Hayden ที่อาศัยอยู่ในเมือง Gander บนเกาะ Newfoundland

‘จ่า Pal’ ชอบเล่นกับเด็ก ๆ ในละแวกบ้าน และมันมักถูกใช้เป็นสุนัขลากเลื่อน ดังที่เห็นจากภาพถ่าย สุนัขพันธุ์ Newfoundland เป็นสุนัขตัวใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ (มีการบันทึกว่า ‘จ่า Gander’ มีน้ำหนักถึง 130 ปอนด์) 

แต่วันหนึ่งในขณะที่มันกำลังเล่นกับเด็ก ๆ เจ้า Pal ได้บังเอิญไปข่วนใบหน้าของ ‘Eileen’ เด็กหญิงวัย 6 ขวบเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ครอบครัว Hayden จึงต้องตัดสินใจว่า จะสังหารเจ้า Pal หรือมอบให้คนอื่นที่สามารถนำไปเลี้ยงต่อ พวกเขาเลือกที่จะมอบมันให้กับหน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดา (Royal Rifles of Canada) ซึ่งประจำการที่ฐานทัพอากาศ Gander

หลังจากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Gander’ โดยมีชื่อ-ตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า ‘Regimental Mascot Sgt. Gander’ สุนัขตัวนี้จึงกลายเป็น Mascot ประจำกองพันที่ 1 ของหน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาไปโดยปริยาย

มันสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่ในฐานทัพอากาศ และชอบใช้เวลาบนทางวิ่งของเครื่องบินมาก เพราะมันมักจะวิ่งไล่เครื่องบินขณะที่กำลังจะลงจอด 

จ่า Gander กับทหารกองพันที่ 1 หน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดา
ระหว่างเดินทางไปยังฮ่องกง

ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม ค.ศ. 1941 กองพันที่ 1 หน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาถูกส่งไปประจำการยังฮ่องกง เพื่อเตรียมป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น แทนที่จะทิ้งจ่า Gander ไว้ข้างหลัง กองพันที่ 1 ของหน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาก็พามันเข้าร่วมกับในภารกิจของพวกเขา โดย ‘พลทหาร Fred Kelly’ ทำหน้าที่ดูแลจ่า Gander ระหว่างที่มันอยู่ในฮ่องกง

พลทหาร Kelly ปล่อยให้จ่า Gander เล่นน้ำเย็นเป็นเวลานาน ๆ เพื่อช่วยให้มันสามารถรับมือกับอากาศที่ร้อนมาก ๆ ของฮ่องกงได้ ตามที่พลทหาร Kelly เล่าว่า จ่า Gander ก็เป็นคอเบียร์ด้วยเช่นกัน

การยอมจำนนต่อกองทัพญี่ปุ่นของกองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษ
เมื่อ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1941

สงครามป้องกันอาณานิคมฮ่องกง’ ระหว่างกองทัพญี่ปุ่นกับกองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยทหารอังกฤษ อินเดีย และแคนาดา รวมถึงกองกำลังสำรอง และกองกำลังป้องกันอาสาสมัครฮ่องกง (HKVDC) เริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม จนถึง 25 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เป็นหนึ่งในการรบครั้งแรก ๆ ของสงครามแปซิฟิกในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในเช้าวันเดียวกับการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์กองทหารอังกฤษก็สูญเสียพื้นที่ 2 ใน 3 ของดินแดนฮ่องกง (เกาลูน และ New Territories) ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ ไม่ถึงสองสัปดาห์ต่อมา เมื่อไม่สามารถป้องกันที่มั่นสุดท้ายของพวกเขาบนเกาะฮ่องกง กองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษจึงต้องยอมจำนน

ในการรบระหว่างกองทัพญี่ปุ่นกับกองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษ จ่า Gander มีส่วนในการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อคลื่นของทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา จ่า Gander ก็รีบวิ่งเข้าไปหาโดยเห่าและพุ่งเข้ากัดขาของทหารญี่ปุ่น ครั้งที่สองเกิดขึ้นในเวลากลางคืน มีทหารแคนาดาที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มหนึ่งนอนอยู่บนถนน และในขณะที่ทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งก็กำลังเข้ามาหาพวกเขา จ่า Gander ก็วิ่งเข้าไปหาพวกทหารญี่ปุ่นจนทำให้ทหารญี่ปุนกลุ่มนั้นต้องเปลี่ยนเส้นทาง เข้าสกัดโดยการคำราม วิ่งเข้าใส่ทหารศัตรู และกัดส้นเท้าของทหารญี่ปุ่น

‘พลทหาร Reginald Law’ เล่าว่า การต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน และขนสีดำของจ่า Gander ทำให้ทหารญี่ปุ่นมองเห็นมันได้ยาก ผลก็คือ แทนที่จะยิงมัน ทหารญี่ปุ่นกลับต้องวิ่งหนีมันออกจากที่นั่น เพื่อให้รอดพ้นจากความโกรธเกรี้ยวของจ่า Gander ต่อมาทหารญี่ปุ่นสอบปากคำเชลยศึกชาวแคนาดาเกี่ยวกับ ‘สัตว์ร้ายสีดำ’ ด้วยเกรงว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำการฝึกสัตว์ดุร้ายเพื่อใช้ในทำสงคราม

หลังเที่ยงคืนของวันที่ 19 ธันวาคม ยุทธการที่เมือง Lye Mun (เมืองเล็ก ๆ ในเขตฮ่องกงใกล้ ๆ กับนคร Shenzhen) ก็ปะทุขึ้น จ่า Gander เข้าร่วมสู้รบกับทหารญี่ปุ่นเหมือนเช่นเคย จนกระทั่งระเบิดมือลูกหนึ่งถูกขว้างเข้าใกล้กลุ่มทหารแคนาดาที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อมันรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น Gander ก็คาบระเบิดมือลูกนั้นขึ้นมาด้วยปากของมัน และวิ่งออกไป ระเบิดมือระเบิดขึ้น แล้ว จ่า Gander ก็เสียชีวิต แต่การกระทำเช่นนั้นของมันได้ช่วยชีวิตทหารแคนาดาไว้ได้ถึง 7 นาย เป็นการแสดงความกล้าหาญของจ่า Gander เป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากความพยายามของพิพิธภัณฑ์สงครามแคนาดา สมาคมทหารผ่านศึกฮ่องกง และสมาคมอนุสรณ์ทหารผ่านศึกฮ่องกง อีก 60 ปี หลังจากการเสียชีวิตของจ่า Gander มันก็ได้รับ ‘Dickin Medal for Gallantry’ จาก The People's Dispensary For Sick Animals (PDSA) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านสัตวแพทย์ในสหราชอาณาจักร (โดยหลักแล้วรางวัลนี้คือ ‘Victoria Cross’ สำหรับสัตว์) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2000 ซึ่งถือเป็นรางวัลแรก โดยไม่มีการมอบรางวัลมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 แต่ PDSA รู้สึกว่า ‘จ่า Gander’ สมควรที่จะได้รับที่สุด

พิธีนี้มีสมาชิกที่รอดชีวิตจากกองทหารของกองพันที่ 1 หน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาเข้าร่วม 20 นาย โดยพลทหาร Fred Kelly ผู้ดูแล ซึ่งมีสุนัข Newfoundland อยู่ข้าง ๆ รับเหรียญในนามของจ่า Gander เหรียญนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สงครามแคนาดาในออตตาวา นอกจากนี้ เมื่อมีการสร้างกำแพงอนุสรณ์ทหารผ่านศึกฮ่องกงในปี ค.ศ. 1977 ชื่อของจ่า Gander ก็ปรากฏอยู่เคียงข้างรายชื่อของทหารชาวแคนาดาที่เสียชีวิตระหว่างการสู้รบครั้งนั้นด้วย

อนุสาวรีย์ของจ่า Gander และทหารผู้ดูแล ณ เมือง Gander มณฑล Newfoundland

ในปี ค.ศ. 1975 ด้วยการยืนกรานของผู้รอดชีวิตจากการสู้รบ ชื่อของมันก็ปรากฏอยู่บนกำแพงอนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกฮ่องกงในเมือง Ottawa มณฑล Ontario แคนาดา และวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 อนุสาวรีย์ของจ่า Gander และทหารผู้ดูแลได้ทำพิธีเปิด ณ อุทยานอนุสรณ์มรดก Gander ในเมือง Gander มณฑล Newfoundland

รูปปั้นจ่า Gander ณ อนุสาวรีย์วีรบุรุษที่ถูกลืม
ภายในอุทยานอนุสรณ์ทหารผ่านศึก Cobequid

อนุสาวรีย์ ‘การเปลี่ยนแปลง’

อนุสาวรีย์ ‘The Broken’

สวนแห่งความโศกเศร้า

สวนแห่งความทรงจำ

สวนแห่งความหวัง


ต้นเมเปิลแดง

‘อุทยานอนุสรณ์ทหารผ่านศึก Cobequid’ อนุสรณ์อุทยานแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงทหารที่เคยรับใช้ และที่ยังคงรับใช้ในการรักษาสันติภาพของกองทัพแคนาดา ประกอบสวน 3 แห่ง ได้แก่

1.) สวนแห่งความโศกเศร้า ซึ่งรำลึกถึงทหารแคนาดาในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
2.) สวนแห่งความทรงจำ เตือนผู้มาเยือนถึงความน่าสะพรึงกลัวของสงคราม ความจำเป็นในการจดจำ
3.) สวนแห่งความหวัง ซึ่งเป็นสวนนานาชาติที่มีชีวิตชีวาและความหวังในสันติภาพ

และอนุสาวรีย์หินแกรนิตสีดำแปดแห่งที่มีรายชื่อของทหารแคนาดาหลายร้อยนายตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน ต้นเมเปิลสีแดงรำลึกถึงทหารแคนาดาที่สูญเสียไปในอัฟกานิสถาน

อนุสาวรีย์ ‘การเปลี่ยนแปลง’ เป็นโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความน่าสะพรึงกลัวของสงครามและความหวังในสันติภาพ

อนุสาวรีย์ ‘วีรบุรุษที่ถูกลืม’ ซึ่งอุทิศให้กับสัตว์สงคราม มีชื่อสัตว์ต่าง ๆ หลายร้อยชื่อและผู้ดูแล

อนุสาวรีย์ ‘The Broken’ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับทหารผ่านศึกที่ต้องทนทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และทหารผ่านศึกที่ฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา อุทยานอนุสรณ์แห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นอุทยานอนุสรณ์ที่ดีที่สุดในแคนาดาในปี ค.ศ. 2013 โดย ‘Communities in Bloom’

‘ท่าเรือชินโจว’ กับเส้นทางการเติบโตตลอด 30 ปี จาก ‘หมู่บ้านประมง’ สู่ ‘ท่าเรืออัจฉริยะ’ ของจีน

(13 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ชินโจว เผยแพร่เรื่องราวความเป็นมาของ ‘ท่าเรือชินโจว’ โดยระบุว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 1992 ท่าเรือชินโจวในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ก่อนจะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระดับนานาชาติที่ทันสมัย ตามแนวระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศแห่งใหม่ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

มีการสร้างลานตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติสำหรับบริการขนส่งทางราง-ทางทะเลขึ้นที่นี่ ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมค่อยๆ ก่อกำเนิดและเจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ เขตการค้าเสรีนำร่องของท่าเรือแห่งนี้

ปัจจุบัน ท่าเรือชินโจวให้บริการรถไฟตู้คอนเทนเนอร์ทุกวัน และเชื่อมต่อกับรถไฟบรรทุกสินค้าจีน-ยุโรปหลายสาย ท่าเรือชินโจวเปิดเส้นทางขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 60 เส้นทาง ครอบคลุม 61 เมืองในจีน โดยขนส่งสินค้าแล้วมากกว่า 940 ชนิด สู่ท่าเรือ 393 แห่งใน 119 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

‘สุวัจน์’ นำคณะกรรมการบริหารพรรคชาติพัฒนากล้า วางพวงมาลา ถวายบังคม พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.9 เนื่องในวันนวมินทรมหาราช

(13 ต.ค. 66) ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ได้นำกรรมการบริหารพรรคชาติพัฒนากล้า ประกอบด้วย

นายอดุลย์ เลาหพล รองหัวหน้าพรรค นาย อรัญ พันธุมจินดา ผู้อำนวยการพรรค และ นางสาวเยาวภา บุรพลชัย โฆษกพรรค ร่วมพิธีวางพวงมาลา และ ถวายบังคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน ‘วันนวมิทรมหาราช’ 13 ตุลาคม 2566 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top