Sunday, 15 June 2025
NewsFeed

ย้อนคำ ‘บิ๊กตู่’ 8 ปี ทุ่มเท ‘ไม่หันเหสู่ทุจริต-เรียกทรัพย์’ หวังบ้านเมืองใสสะอาด เงินทุกบาททุกสตางค์ถึง ปชช.

จากรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 ได้เชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งช่วงหนึ่งของรายการ พลเอกประยุทธ์ ได้เล่ามุมมองและเรื่องราวสําหรับผู้นําที่หมดอํานาจ ว่ากลัวหรือไม่ หากมีการไล่บี้ไล่เช็งเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น หรือต้องติดคุกติดตะรางอย่างเกาหลี ซึ่งในแง่นี้ควรระวังและต้องป้องกันอะไรบ้าง โดยระบุว่า…

“ผมป้องกันมา 8 ปีแล้ว…โดยที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องทุจริต ผมคิดว่าใจผมยังไม่คิดจะทุจริต และรู้ตัวว่าหากเข้ามาอย่างงี้มันอันตราย…สามารถไปถามได้เลยว่าผมเคยเรียกเงินใครสักบาทไหม…ทุกโครงการเคยเอาเงินมาส่งผมไหม…เพราะฉะนั้นขอยืนยันตรงนี้ว่า บ้านเมืองต้องมีผู้นําที่บริสุทธิ์ หากวันหน้าใครจะมาแกล้งหรือฟ้อง ก็แล้วแต่เถอะครับ…ผมยืนยันในตัวเองเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าผมไม่มี ดังนั้น ประเทศไทยต้องใสสะอาดในวันข้างหน้าทุกมิติ”

แล้วการตรวจสอบรอบ ๆ ข้าง จะเพิ่มความเข้มข้นได้ขนาดไหน? “มีคิดกันไว้แล้วกับท่านหัวหน้าพรรค ซึ่งคิดว่าวันข้างหน้าต้องมีกฎหมายควบคุมอะไรเพิ่มอีกสักหน่อย ในเรื่องของคณะทํางานที่จะต้องไปติดตาม เพราะวันนี้มีในระบบกันหมดแล้ว แต่ตามแล้วก็เจอบ้างไม่เจอบ้าง มันต้องมีอะไรติดตามกํากับดูแลการทํางานของส่วนราชการเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ซึ่งบางทีมันต้องไปดูเอง คราวนี้การไปดูเองก็เขาก็ต้องไปในนามของรัฐบาล หรือในนามของนายกรัฐมนตรี เพื่อไปตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอันนี้จะเป็นการตรวจสอบได้ตามระเบียบสํานักนายก ที่ผ่านมาทําตรงนี้ยังไม่ได้ เพราะทำไม่ทัน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คิดไปแล้ว แต่ไม่ทัน มันต้องอยู่อีกสองปี…”

“แล้วจริงๆ ผมเปิดช่องทางสื่อสารกับประชาชนอยู่แล้ว หากลองไปดูหลายเรื่องที่เราสามารถแก้ไขปัญหาได้มันเป็นเพราะอะไร? เพราะได้มีการเปิดช่องทางติดต่อสื่อสาร คือมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่ทําเนียบรัฐบาล มีสํานักปลัดนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดหลายเรื่องพอรับมา ก็มีการส่งให้ไปแก้ปัญหาหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยมีคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ไปทําไปดูมาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประมง หรือเรื่องที่ดินต่างๆ พอทําตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าทําแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าทําในหน้าที่ในกรอบของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีบางทีอํานาจมันไม่พอ มันน้อย…เพียงแต่ว่าไปตรวจสอบใบต่างๆ แล้วหาวิธีการว่านายกฯ ควรจะทําอย่างไร แต่ถ้าเรามีคณะทํางานตรงนี้ออกมามันสามารถตามได้หมดเลย แต่ต้องระวังว่ามันจะซับซ้อนกันหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องมีกฎหมาย มีระเบียบออกมา…”

“ผมไม่ต้องการที่จะอะไรกับใครนะ…ผมแค่ต้องการให้บ้านเมืองมันใสสะอาด และเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องลงสู่ประชาชน ลงสู่ประเทศของเรา เพราะเงินเหล่านี้ไม่ได้หามาง่ายๆ…” พลเอกประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

'โบว์ ณัฏฐา' ยกข้อความ 'หมอพรทิพย์' แจ้งสังคม ทริปนี้ ใช้เงินส่วนตัว วางแผนมานาน และไม่โกรธใคร

(30 ก.ย.66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง กล่าวถึงกรณีหมอพรทิพย์ ถูกเจ้าของร้านคนไทยในไอซ์แลนด์ไล่ออกจากร้านไว้ โดยระบุว่า...

เมื่อสามเดือนก่อน โบว์เคยได้แลกเปลี่ยนพูดคุยสัมภาษณ์ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ในรายการทาง Ringsideการเมือง เมื่อได้เห็นคลิปเหตุการณ์คุณหมอถูกคุกคามที่เผยแพร่กันจึงส่งข้อความไปให้กำลังใจวันนี้

คุณหมอฝากข้อมูลให้ได้รับทราบกัน ดังนี้ค่ะ

“1. เราเป็นเพื่อนเที่ยวถ่ายรูปด้วยกันมานาน หมอเป็นยายกล้อง
2. ทุกปีจะมีทริปต่างประเทศด้วยกัน
3. ใช้เงินส่วนตัว
4. ปกติจะไปช่วงนี้เพราะปิดประชุมสภา ทริปนี้วางแผนมานานเป็นปี แต่บังเอิญปีนี้มีการเลือกตั้ง ทำให้ช่วงปิดประชุมสภาขยับออก
5. หมอและน้องสส.ต่างลาประชุม
6. ส่วนตัวไม่เคยถือสา ไม่โกรธ ไม่อยากให้มีประเด็นวุ่นวายอะไรอีก ไม่อยากต่อความขยายประเด็น
ขอบคุณค่ะ”

‘เดชพล’ เจ้าของเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ประกาศจะไม่ควักเงินหนุนสโมสรอีก หลังแฟนบอลแสดงพฤติกรรมล้ำเส้น แนะ!! หยุดเห็นแก่ตัว-ควรเคารพกัน

เมื่อวันที่ 29 ก.ย.66 เดชพล จันศิริ นักธุรกิจชาวไทย เจ้าของสโมสร ‘นกเค้าแมว’ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ แห่งลีกแชมเปียนชิพ อังกฤษ ประกาศกร้าวจะไม่ยอมเสียเงินเพื่อลงทุนกับสโมสรแห่งนี้อีก โดยอ้างว่าแฟนบอลบางรายแสดงพฤติกรรมล้ำเส้นตนเกินไป

สำหรับเดชพลเข้ามาเทกโอเวอร์เชฟฯ เวนส์เดย์ตั้งแต่เมื่อปี 2015 ส่วนผลงานของทีมในปัจจุบันนั้น ‘นกเค้าแมว’ ลงเตะในลีกฤดูกาลปัจจุบันไปแล้ว 8 นัด ยังไม่ชนะใครเลย เพิ่งเก็บได้เพียง 2 คะแนน อยู่อันดับ 24 ซึ่งเป็นบ๊วยของตาราง

เดชพล กล่าวว่า “ตั้งแต่นี้ไปผมจะไม่สนับสนุนเงินเพิ่มเติมอีก แฟนบอลบางคนจำเป็นต้องเคารพเจ้าของสโมสรให้มากกว่านี้ จงเลิกเห็นแก่ตัวโดยที่ไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้สโมสร ผมถูกแฟนบอลปฏิบัติด้วยอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่อยากสนับสนุนการเงินให้สโมสร”

‘ดีเจปูเป้’ เล่ารายละเอียดโชว์ ‘ลิซ่า’ เซ็กซี่เต็มสิบไม่หัก แถมได้เจอ ‘จีซู-โรเซ่-เฟรเดริก’ และเหล่าคนดังเพียบ!!

(30 ก.ย.66) ยังคงเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องสำหรับการโชว์บนเวที Crazy Horse ของ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ที่ล่าสุด ‘ดีเจปูเป้ ภาธีตา กันตามระ’ จากคลื่น MET107 FM. ที่มีโอกาสได้ไปชมการแสดงรอบแรกของไอดอลสาวชาวไทย ก็ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดคร่าวๆ ถึงการแสดงที่เกิดขึ้นภายในโรงละคร โดย ‘ดีเจปูเป้’ ได้ต่อสายตรงไปยังรายการวิทยุของคลื่น MET 107 เข้าไปพูดคุยถึงรายละเอียดของโชว์ที่เกิดขึ้นส่งตรงจากประเทศฝรั่งเศส ที่เจ้าตัวยอมรับว่าหลังจบโชว์ก็ถึงขั้นนอนไม่หลับ เพราะยังตื่นตาตื่นใจไม่หาย

“ตอนแรกไม่รู้ว่าเขาให้นั่งที่ไหนเพราะไม่ได้บอก ก็เลยต้องไปที่นั่นประมาณ 4 โมงเย็น จริงๆแล้วโชว์เริ่ม 1 ทุ่มครึ่ง ก็เลยเดินไปถามบอดี้การ์ดว่า เราต้องมาเข้าแถวกี่โมง แล้วที่นั่งจัดสรรยังไง First Come First Serve ใครไปถึงก่อนได้นั่งก่อนหรือเปล่า? การ์ดก็บอกว่าประมาณนั้น เราก็เลยโอเค ฉันต้องเข้าทางไหนอะไรยังไง ก็เลยไป survey ดูช่องทางก่อน แล้วไปถึงอีกทีประมาณ 6 โมงนิดๆ เขาบอกว่าจริงๆมา 6 โมงครึ่งก็ได้ แต่เราไม่เอา เกิดได้ไปอยู่ข้างหลังใช่ไหม ซึ่งจริงๆก็มีคนมาตั้งแถวแล้วนิดๆ เขาก็จะมีคอกกั้น แล้วก็จะมีโซนวีไอพี มีปาปารัสซีมารออยู่ ก็เลยคิดในใจว่า ต้องมีคนสำคัญมาเพราะไม่งั้นคงจะไม่มีปาปารัสซีมาตั้งกล้องเป็นแนว แล้วก็มีช่องวีไอพี ก็แอบคิดเยอะว่า ‘อุ๊ย ถ้า BlackPink เมมเบอร์คนอื่นมามันจะเลิศมากเลยนะ เฟรเดริก จะมาไหม’ นี่คือความคิดในใจ”

“พี่ไปรอต่อแถว ก็พยายามเซลฟี่ แล้วก็มีผู้หญิงเป็นคนเอเชีย มาช่วยถ่ายรูปให้ก็คุยภาษาอังกฤษกัน ไปๆ มาๆ เป็นคนไทยจ้า ปรากฏว่าคนไทยอยู่ข้างหลัง เป็นคนไทยค่อนข้างเยอะ แล้วก็จะมีกลุ่มพี่น้องคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนจีน คนเกาหลีใต้ก็มา ก็เลยเข้าไปแล้วก็บอกกับคนไทยคนนั้นว่าเดี๋ยวเราไปนั่งด้วยกันนะ แล้วก็มีสไตลิสต์ฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง คือเราก็ผูกสัมพันธ์กับคนที่ต่อแถว เรา 3 คนก็เลยไปนั่งด้วยกัน พอเข้าไปข้างใน คือพี่ต้องบอกก่อนว่า พี่ได้ยินข่าวว่ามีพวกที่เอาบัตรไปรีเซลราคาหลักล้านจริงหรือเปล่า? จะบอกว่าใครคิดจะรีเซลเป็นไปไม่ได้ คือ หนึ่ง ตอนคุณซื้อบัตร คุณต้องระบุชื่อ - นามสกุลอยู่แล้ว นึกออกไหม? แล้วก็ในบาร์โค้ดเนี่ย ไปถึงปุ๊บเขาสแกนปั๊บแล้วก็จะขึ้นชื่อ - นามสกุล เขาก็จะขอดูเอกสารประจำตัว ก็เอาเอกสารให้เขาดู คนที่ซื้อต่อบอกเลยว่าคุณจะเสียเงินเปล่า เพราะว่ามันไม่ได้ และที่สำคัญ เขามีตั๋วอีกอัน เขาปรินต์เป็นปรินต์สีให้เรา แยกออกมาอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นบอกเลยคุณจะมาโกง จะมาโฟโต้ช็อปมันเป็นไปไม่ได้เลย”

“พอเราผ่านตรงนั้น เนื่องจากว่าเพื่อนๆ ใหม่ที่เราเพิ่งจะมาผูกมิตรกันเขาบอก เออ เดี๋ยวเรา 3 คนนั่งด้วยกันได้ไหม คือเขาก็จะจิ้มหน้าจอเหมือนกับร้านอาหาร เราก็ลุ้นว่าเขาจะพาเราไปนั่งข้างหลังหรือเปล่า ปรากฏว่าได้นั่งแถวที่ 4 ทางขวาจากเวที ซึ่งก็ไม่ได้ใกล้แต่แถวหน้ายังว่าง แต่หันไปข้างหลังเห็นมีโซฟาแล้วก็จะมีแชมเปญ ซึ่งมันให้ความหรูหรา มันให้ความรู้สึกกับเราว่ามันต้องมีคนสำคัญมานั่งตรงนี้แน่ๆเลย ไอ้เราก็คิดว่า ใครจะมาๆ เดี๋ยวลุ้นกัน แต่สักพักหนึ่งก็จะมีผู้ชายมาร้องเพลงเหมือนกับเพลงคลาสสิกโบราณ แล้วก็เอนเตอร์เทนคนตามแถวที่นั่ง แล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ด ฉันก็หันไปมอง อ้าว ผมทอง จะเป็นใครไปไม่ได้เลย ‘โรเซ่’ ก็เดินเข้ามา แล้วก็มีผู้หญิงใส่หน้ากากอนามัยสีดำ ใครก็ไม่รู้เราก็นึกว่าเป็นผู้จัดการโรเซ่หรืออะไร พอเขานั่งปุ๊บ ถอดหน้ากากออกมาเป็น ‘จีซู’ นั่งใกล้กันมาก”

“คือโชว์นี้บอกเลยว่าไม่เสียดายเงินเลย 9,500 บาท มันคุ้มเงินมาก แล้วแต่นานาจิตตัง แต่จะบอกว่าที่นั่งประมาณร้อยกว่าที่ มันเล็ก มันใกล้เวทีมาก มันทั่วถึงกัน เรามีความรู้สึกว่าเหมือนเราเป็นผองเพื่อนกับ โรเซ่, จีซู แล้วแค่นั้นไม่พอจ้ะ ไคอา เกอร์เบอร์ ลูกสาว ซินดี้ ครอว์ฟอร์ด เธอเป็นนางแบบ Celine กับ ลิซ่า มากับแฟนก็คือ ออสติน บัทเลอร์ มาด้วยกัน 2 คนมาปุ๊บก็ทักทาย จีซู, โรเซ่ แล้วก็มานั่งโซฟาอีกตัวหนึ่ง ฉันหันไปก็เจอ 4 คนเลย มันคือฝันที่ไม่กล้าฝันนึกออกไหม แล้วสักพักหนึ่ง โชว์กำลังจะเริ่มในอีก 15 นาที ฉันก็เห็นน่าจะใช่ เฟรเดริก หรือเปล่า? ปรากฏว่า ใช่! แล้วไม่ใช่แค่เฟรเดริก แต่ทีนี้จะไม่ฟันธงอะไรนะ แต่จะมาเล่าว่า ถ้าเขาเป็นแค่เพื่อนกันก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีและสนิทระดับหนึ่งเพราะ เฟรเดริก ไม่ได้มาคนเดียว แต่มาทั้ง พ่อ คุณพ่อของเขา คุณ เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ ที่รวยที่สุดในโลกน่ะมา แม่มา น้องชายชื่อ ฌอน ก็มา แล้วก็มานั่งตรงหลังดิฉันที่เป็นโซฟาอลังการ และความลัลล้าของเรา เราก็เลยหยิบแก้วไวน์แล้วหันไปยกทักทาย เฟรเดริก ก็ยิ้มให้ เป็นอะไรที่น่ารักดี เป็นอะไรที่เผาขนมาก แล้วสักพัก โรซาเลีย นักร้องสเปนก็มา ต้องบอกว่าเมื่อคืน ( 28 ก.ย. ) เป็นอะไรที่ ว้าว เกินฝันมาก”

“ในส่วนของโชว์ ต้องบอกว่า นี่คือคาบาเรต์สำหรับผู้ใหญ่นะคะ เราจะไม่มาโลกสวยยูนิคอร์น อะไรที่เป็น BlackPink ก็อยู่ในกรอบของเขา แต่อันนี้คือคาบาเรต์คุณต้องเข้าใจมันคืองานศิลปะการเต้น แต่ว่า ลิซ่า ไม่ได้เปลือยอก ย้ำ! ใครที่มาเขียนคอมเมนต์ค่อนข้างจะไปในทางลามกจกเปรตขอให้คุณแก้ความคิดนั้นใหม่นะคะ อันนี้คือการเต้นแบบมีศิลปะ แดนเซอร์ทุกคนคือเตะขา เท้านี่เลยหัวขึ้นมาเลยนะ มีทักษะกายกรรม ส่วน ลิซ่า ก็คือแต่งตัวเซ็กซี่กว่าการขึ้นเวที BlackPink ก็ต้องบอกว่า กางเกงในคือกางเกงใน ข้างหลังเป็นจีสตริงเป็นตองก็คือเข้าง่ามไปเลยจ้ะ แต่เราไม่ได้มองตรงนั้นเพราะว่ามันคือโชว์ที่ทุกคนแต่งแบบนั้น คนอื่นเปลือยอกด้วยซ้ำ”

“ลิซ่า ตอนแรกโผล่หน้ามาจากหน้าม่านนิดหนึ่ง แล้วก็คนกรี๊ด ทางแดนเซอร์ของ Crazy Horse ก็จะเต้นไป แต่หลักๆ ลิซ่า จะโชว์เต็มๆ 2 เพลงด้วยกันก็คือ ‘But I am a good girl’ ในหนัง Burlesque ที่ คริสตินา อากีเลร่า เคยแสดง กับ แชร์ น้องก็ลิปซิงค์ เพลงนั้น แล้วก็มีอีกเพลงหนึ่ง Crisis? What Crisis! ก็เป็นเหมือนสาวทำงาน เจอภาวะตลาดหุ้นดิ่งแล้วก็เครียด นั่งพิมพ์ดีด แล้วก็ปาแว่นออกไป เป็นนักบัญชี เสร็จแล้วก็ถอดเสื้อ แล้วก็วาดลวดลายความเซ็กซี่ มันดี มันใช่ ความจัดเต็มอะนะคือ เราจะไม่มาวิพากษ์วิจารณ์อะไร ถ้าคุณบอกว่า ‘โอ๊ย ไม่เหมาะกับน้อง น้องควรจะอ่อนใส’ อันนั้นแล้วแต่ความคิดของคุณ แต่นี่มันคือสถานที่ที่มันเหมาะ และที่สำคัญ โทรศัพท์มือถือเขาให้เราใส่ในซองที่มันล็อกจนเปิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถ่ายรูปหรือถ่ายคลิปแต่ก็เห็นมีบัญชี TikTok จีนหรืออะไรที่แอบเอาไปถ่าย อันนั้นอะน่าเกลียด แต่ก็เอาเป็นว่าเซ็กซี่เผ็ดเบอร์สิบ แล้วคือความสวย ความน่ารัก ความมั่นใจ ฉันขอบอกเลยว่าถ้าถึงแม้ ลิซ่า ไม่ได้โชว์ แค่มาดู Crazy Horse อย่างเดียวก็คุ้ม เพราะว่ามันใกล้ชิดมาก เวทีอาจจะเล็ก มันคล้ายๆกับเวทีคณะนิเทศอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่เวทีใหญ่ มันเวทีระดับมหาวิทยาลัย แต่ว่า แสง สี เสียง เขาอลังการ แล้วก็การเต้น การอะไร เขาพร้อมเพรียง แล้วมันดู ว้าว แล้วคือมันออกมาเป็นความคิดที่มันสร้างสรรค์ แปลกใหม่ ฉันเลยเข้าใจได้ว่า การที่ไม่ให้คนไปถ่ายคลิปเพราะว่าเดี๋ยวคนก็ไปดูดไอเดีย ไปขโมยเขา ไปก็อปโชว์อะไรแบบนี้ แต่ของ ลิซ่า มันดีมาก และพี่ไม่เคยไปดูคอนเสิร์ต BlackPink เลย นี่คืองานแรกที่ได้เห็นศักยภาพของน้อง มัน Bravo! มากระหว่างที่ดูฉันก็ต้องแอบหันไปเช็คว่าหน้าตาแต่ละคนเป็นยังไง ก็มีแอบยกแก้วหยอกเอิน เขาจะยกกลับหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ฉันก็เฟี้ยวฟ้าวอะไรไป ฉันก็เห็นความสุขบนหน้าของบรรดาแขกวีไอพีที่มา จีซู ก็ยิ้มๆ ปรบมือ ทุกคนดูแฮปปี้ มันคือความสุข มันคือความบันเทิง”

“ถ้ารายละเอียดเยอะๆเดี๋ยวจะขออนุญาตไปเล่าในเพจของตนเอง อาจจะทำเป็นนิยายภาพ เพราะว่ามันจะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พอเราเล่ามันก็อาจจะนึกภาพไม่ค่อยออก เดี๋ยวจะพยายามหาภาพมาประกอบ แต่เอาเป็นว่าทักษะของน้องจากการฝึก ไม่รู้ว่าฝึกล่วงหน้ากี่วัน แต่ก็ถือว่า เป๊ะ! แล้วก็การที่ ชุดมันอาจจะ แรง! สำหรับบางคนที่แบบ ‘อู้หู! อย่างนี้เลยเหรอ? จีสตริงเลยเหรอ? แบบ ว้าว’ ซึ่งมันก็จะมีท่อนบนในชุดที่นางนั่งเป็นเลขา นางก็จะค่อยๆ Strip Strip Strip ( ถอดๆๆ ) แล้วมันก็จะเหลือเป็น Lingerie ชุดชั้นในแบบฝรั่งเศส ที่มันจะเต็มตัวแล้วค่อยถอดคอร์เซ็ตออกมา โยนคอร์เซ็ตออกไป ก็จะเป็นยกทรงที่ซีทรูแต่ว่าก็จะปิดจุกเอาไว้ มันก็เซ็กซี่แต่มันก็ไม่ได้ อี๋ อนาจาร จ้ำบ๊ะ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย กรุณาเปิดใจ รับไม่ได้ก็ไม่ต้องดู ฉันพูดแค่นี้ มันดูมีความเย้ายวน”

“พี่ว่าการแสดงนี้เก่งมาก คือเขาเลือกร่างกาย เราควรมีความสุขกับร่างกาย โดยเฉพาะเพศหญิงร่างกายเราสวย คือนักเต้นทุกคนไม่จำเป็นต้องอึ๋ม ไม่ต้อง คือทุกคน อย่างน้อยเป็นแดนเซอร์ก็ไม่ควรต้องมีหน้าท้องแต่ว่าเขามีหลากหลายสีผิว หลากหลายไซส์ของหน้าอก มันอยู่ที่ความฉลาดในการเต้น แล้วมันไม่ง่าย บางคนมาห้อยหัวบนถาดหมุน จะก้าวขา ก้าวอะไรให้ดูสวย สง่า มันต้องฝึก มันเหมือนกับนักกายกรรม เพราะฉะนั้นอันนี้ถ้าใครจะมาปรามาสว่า ‘อุ๊ย ไม่โอเค ชั้นต่ำ’ อะไรแบบนี้ กรุณากลับบ้านแล้วไปตบหน้าตามอายุตัวเองเลยนะจ้ะ เพราะว่ามันหยามมาก นี่มันคือโชว์ที่จะมาเล่นเองไม่ได้ คุณต้องผ่านการทำการบ้านมาอย่างหนัก แล้วต้องบอกเลยว่า ครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ”

“พอโชว์จบ แขกวีไอพีก็เข้าไปหลังเวทีเพื่อแสดงความยินดี ส่วนเราก็มารออยู่ด้านหน้า ลิซ่า ออกมาสุดท้าย มาแจกลายเซ็นแฟนคลับ มารับดอกไม้ แล้วก็ขึ้นรถกลับ”

ส่วนงานนี้ใครอยากจะซึมซับบรรยากาศอย่างละเอียด ก็รอติดตามได้ที่เพจ ‘DJ ปูเป้ สาวเซ็กซี่สะบึมอารมณ์’ ที่เตรียมจะเล่าถึงโชว์ Crazy Horse ของ ลิซ่า แบบจัดหนักจัดเต็มในเร็วๆนี้ได้เลย

'คนไทยในเบลเยียม' แห่ให้กำลังใจ 'คุณหมอพรทิพย์' ฝาก!! ขอให้ไปเที่ยวเบลเยียม ยินดีต้อนรับเสมอ

(30 ก.ย.66) หลังจากกระแส ชาวเน็ตแชร์คลิป หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินทางไปท่องเที่ยวอยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ ถูกเจ้าของร้านอาหารชาวไทยในประเทศไอซ์แลนด์ ชี้นิ้วขับไล่ให้ออกจากร้าน โดยเจ้าของร้านให้เหตุผลว่า รับไม่ได้สิ่งที่ สว.พรทิพย์ ทำกับประเทศไทย เกลียดฝังใจมาก ทั้งที่เคยชื่นชอบ สว. คนนี้มากในอดีต แต่ตอนนี้รับไม่ได้ จึงต้องไล่ออกจากร้าน

ล่าสุด กลุ่มคนไทยในเบลเยียม ได้ร่วมกันโพสต์ข้อความให้กำลังใจ #หมอพรทิพย์ กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…

“คุณหมอคะ มาเบลเยียมได้ไหมคะ ร้านเล็กๆ ของหนู ยินดีต้อนรับคุณหมอด้วยใจค่ะ หนูเห็นคลิปแล้วแทบอยากร้องไห้เลยค่ะ หนูเป็นอีกหนึ่งเสียงที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยใจจริง ถึงหนูจะมีไม่มาก แต่หนูจะต้อนรับคุณหมอด้วยใจทั้งหมดที่หนูมีเลยค่ะ”, “เป็นกำลังใจให้คุณหมอทำดีต่อไปค่ะ” เป็นต้น

ซึ่งคุณหมอพรทิพย์ ก็ได้เข้ามาตอบกลับคอมเมนต์เหล่านี้ว่า “ขอบคุณค่ะ ไม่รับมันมา ทุกสิ่งที่ทำก็กลับเข้าตัวค่ะ” 

'ผศ.ดร.อานนท์' โพสต์!! ปม ‘หมอพรทิพย์’ ถูกไล่ออกจากร้านอาหาร ชี้!! การเลือกปฏิบัติแบบนี้ นับเป็นสิ่งผิดกม.ที่ทุกประเทศบัญญัติไว้

(30 ก.ย.66) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Arnond Sakworawich' ระบุว่า…

การไล่คุณหญิงหมอพรทิพย์ออกจากร้านอาหารที่ไอซ์แลนด์ ​เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายเรียกว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยความแตกต่างทางความเชื่อด้านการเมือ​ง​ รัฐธรรมนูญ​ของแทบทุกประเทศได้บัญญัติเรื่อง​ Unfair treatment กับ​ Discrimination เอาไว้แทบทั้งนั้นรวมทั้งประเทศไทยด้วย​ ทั้งนี้ยังเป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรงด้วย

ในทางประชาธิปไตยนั้นสิ่งที่เชฟคนไทยทำกับคุณหญิงหมอก็ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะไม่ยอมรับความเห็นต่าง ในทางมารยาทสังคมก็ถือว่าทรามมาก ในทางธุรกิจก็ถือว่าล้มเหลวสุดที่ปฏิบัติกับลูกค้าเช่นนี้​ ชื่อเสียงของร้านพังย่อยยับ​ เชฟสามกีบคงต้องตกงาน​ในไม่ช้า

สวัสดี

‘นายกฯ เศรษฐา’ ขอบคุณกระแสชาวจีนตอบรับนโยบายวีซ่าฟรี แถมจีนมียอดจองทัวร์ตปท.เพิ่ม 20 เท่า ‘ไทย’ คือจุดหมายยอดนิยม

(30 ก.ย.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอบคุณกระแสตอบรับวีซ่าฟรีชั่วคราว 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย นายกรัฐมนตรีทวิตเตอร์กรณี รายงานของ CNN ล่าสุดเรื่องพี่น้องชาวจีนตอบรับนโยบายวีซ่าฟรีชั่วคราวของรัฐบาลไทย

นายกรัฐมนตรีรู้สึกดีใจแทนพี่ประชาชนและผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะชาวจีนตัดสินใจมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ให้บริการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของจีน (CTrip) รายงานว่า ช่วงสัปดาห์วันหยุดยาวของจีนปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนได้จองทัวร์ไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมคือ ไทย และยอดจองโรงแรมในไทยมากขึ้นถึง 6,220% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่า ประเทศไทยยินดีมากที่ได้ต้อนรับพี่น้องชาวจีนทุกคนครับ ประเทศเรามีทะเลที่สวยงาม อาหารไทยที่หลายหลาก หวังว่าทุกท่านจะท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและประทับใจครับ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชื่อว่า นโยบายวีซ่าฟรีของรัฐบาล จะมีส่วนกระตุ้น เศรษฐกิจ เพิ่มความสามารถด้านการจัดการการท่องเที่ยวของไทยให้ดีขึ้น โดยความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต้องมาที่หนึ่ง เป็นการเพิ่มชื่อเสียงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีของไทย และส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เพื่อพี่น้องทุกคน

‘ซงจุงกิ’ ตัดสินใจแสดงภาพยนตร์ Hopeless แบบไม่รับค่าตัว เหตุเพราะชอบตัวบท และกังวลหากรับจะกระทบต้นทุนการผลิต

(30 ก.ย.66) ‘ซงจุงกิ’ ตัดสินใจแสดงในภาพยนตร์ Hopeless โดยไม่รับค่าตัว เพราะว่าชอบตัวบท แต่เขาก็เองมีความกังวลว่าถ้าหากเขาคิดค่าตัวแสดงจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นได้

ซึ่งถ้าหากต้นทุนการผลิตสูง ความน่าดึงดูดของผลงานอาจจะลดลง เนื่องจากแง่มุมในเชิงพาณิชย์ เขาก็เลยตัดสินใจที่จะไม่คิดค่าตัว เพราะเชื่อว่าการรักษาเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้เป็นสิ่งสำคัญ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองแห่งปี เนื่องจากได้รับเชิญให้เข้าฉายใน งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 76 ซึ่งได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยผลงานนี้จ่อคิวเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไทย 19 ตุลาคมนี้

กองทัพเรือไทย ต้อนรับทัพเรือแคนนาดา เยือนประเทศไทย เสริมสร้างความสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 29 ก.ย.66 พลเรือโท สุทิน หลายเจริญ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ มอบหมายให้ นาวาเอก มาฆะพงศ์ ดาราพันธุ์ หัวหน้าท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ ให้การต้อนรับ เรือ HMCS OTTAWA เนื่องในโอกาสเดินทางมาเข้าจอดตามกิจวัตรปกติ ระหว่างวันที่ 29 กันยายน 2566 - 6 ตุลาคม 2566  ณ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

สำหรับ เรือหลวงของประเทศแคนาดา ที่ชื่อว่า "ออตตาวา" (Ottawa) เป็นหนึ่งในเรือฟริเกต ชั้นฮาลิแฟ็กซ์ ของกองทัพเรือแคนาดา ซึ่งมีทั้งหมด 12 ลำ จะจอดเทียบท่าที่ประเทศไทย อันเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่มีอย่างต่อเนื่อง เรือหลวงออตตาวา และเฮลิคอปเตอร์ ประจำการบนเรือ รุ่นไซโคลน ซีเอช-148 (CH-148 Cyclone) ที่พร้อมปฏิบัติการ มีทหารเรือ ทหารบก และนักบิน ซึ่งล้วนได้รับการฝึกฝนขั้นสูงและมีความเป็นมืออาชีพ ประจำเรือ รวม 250 นาย  

เรือหลวงออตตาวา มีการติดตั้งระบบอาวุธและเซนเซอร์สำหรับการปราบเรือดำน้ำ การรบผิวน้ำ

‘ไทย-อิตาลี’ พร้อมร่วมมือผลักดัน Soft Power ทั้ง 2 ประเทศ ปักธง ‘อาหาร-ท่องเที่ยว’ หวังกระตุ้นศก.และพัฒนาชาติร่วมกัน

(30 ก.ย.66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับนายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ว่า ไทยและอิตาลีเห็นตรงกันในการผลักดันเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ โดยใช้ Soft power ด้านอาหารเป็นจุดขายหลักในการส่งเสริมการพัฒนาระหว่างกัน 

ทั้งนี้เนื่องจากทั้งไทยและอิตาลีต่างมีอาหารประจำชาติที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนแต่ละฝ่ายรู้จักอาหารของอีกฝ่ายมากขึ้น ในประเทศไทยนั้นมีร้านอาหารอิตาเลียนมากกว่าคนอิตาเลียน และอาหารอิตาเลียนก็ถูกปากคนไทย 

เช่นเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในอิตาลีก็เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวไทย ที่ผ่านมาเรามีนวนิยายเรื่อง ‘แก้วตาพี่’ ของโรสลาเรน ซึ่งมีฉากสำคัญเป็นเมืองต่าง ๆ ที่สวยงามในประเทศอิตาลี 

ดังนั้นการหารือครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายไทยได้เชิญชวนและจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนอิตาเลียนมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น เพราะจากข้อมูลสถิติพบว่านักท่องเที่ยวชาวอิตาเลียนเดินทางมายังประเทศไทยน้อยกว่าที่คนไทยไปอิตาลีถึง 10 เท่า

นางนลินี กล่าวด้วยว่า ในด้านการค้าการลงทุน อิตาลีเล็งเห็นว่าไทยเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีศักยภาพและน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งทางราง รถไฟความเร็วสูงเทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดหายุทโธปกรณ์ 

ที่ผ่านมาการรถไฟสาธารณรัฐอิตาลีได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ชนะการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเป็นมูลค่า 650,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกว่า 16,000 อัตรา 

นอกจากนี้ อิตาลียังได้ผลักดันการจัดตั้งสภาธุรกิจทางอิตาลีเมื่อปี 2558 เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อโดยตรงระหว่างภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทสำคัญของไทยและอิตาลีเป็นสมาชิกกว่า 40 บริษัท แต่ในภาพรวมนักลงทุนของอิตาลียังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในประเทศไทยมากนัก 

ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทั้งสองประเทศจะต้องส่งเสริมในเรื่องนี้ และไทยก็สามารถใช้อิตาลีเป็นประตูสู่ยุโรปได้เช่นกัน โดยอิตาลีพร้อมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น โลจิสติกส์ การส่งออก ความปลอดภัยด้านอาหาร เป็นต้น 

“ทูตอิตาลียังแสดงความสนใจเรื่องเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ - โรม ของสายการบินไทย ที่ช่วยให้การเดินทางของนักลงทุนและประชาชนของทั้งสองประเทศ เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีก" นางนลินี ระบุ

>> สถานการณ์การค้าไทย – อิตาลี
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าในช่วง 8 เดือนของปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) การค้าระหว่างไทย-อิตาลี มีมูลค่า 3,531.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.21% แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 1,446.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.97% และการนําเข้ามูลค่า 2,084.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.09%

โดยไทยขาดดุลการค้ากับอิตาลี คิดเป็นมูลค่า 638.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับติดลบ 11.24% เมื่อเทียบกับ 8 เดือนแรกของปี 2565

>> การส่งออกของไทยไปอิตาลี
ช่วง 8 เดือนของปี 2566 การส่งออกของไทยไปอิตาลีมีมูลค่า1,446.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.97% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2565 (ที่มีมูลค่า 1,391.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

>> การนําเข้าของไทยจากอิตาลี
ช่วง 8 เดือนของปี 2566 ไทยนําเข้าจากอิตาลีมีมูลค่า 2,084.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.09% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2565 (ที่มีมูลค่า 1,965.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top