Saturday, 14 June 2025
NewsFeed

‘สาว’ แชร์ประสบการณ์แฟนติด ‘ตม.เกาหลีใต้’ ก่อนโดนส่งตัวกลับไทย เหตุภาษาไม่ได้-ไม่มีศักยภาพมาเที่ยว แนะ ใครจะมาต้องสื่อสารให้รู้เรื่อง

(30 ก.ย.66) เรียกได้ว่ากำลังเป็นประเด็นร้อนที่หลายคนพากันเข้าไปอ่านจำนวนมาก กับปัญหา ‘ตม.เกาหลี’ หรือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของสาธารณรัฐเกาหลี กับนักท่องเที่ยวชาวไทยแลนด์แดนสยามประเทศ ที่ล่าสุดก็เกิดเหตุการณ์บินไปถึงสถานที่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องตีตั๋วกลับโดยพลันชนิดฟ้าผ่า คล้ายทำนองเดียวกับที่ บิว วราภรณ์ ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ไปติด ตม.เกาหลี ส่งตัวเข้าห้องเย็น ให้นอนหนาวทั้งคืน สุดท้ายถูกส่งกลับประเทศด้วยสภาพน้ำตานอง

โดยประสบการณ์ติด ตม.เกาหลีใต้ ที่กำลังเป็นไวรัลวิพากษ์วิจารณ์สนั่น เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (28 ก.ย.) หลังจากมีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมารีวิวประสบการณ์ที่เธอกับคนรักได้โอกาสเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศดังกล่าว แต่ก็ต้องมาเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

ซึ่งโพสต์ดังกล่าวได้ลงเนื้อหาทั้งหมดไว้ผ่านกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่ม คนชอบตะลอนเที่ยวเกาหลี ซึ่งมีสมาชิกกว่า 200,000 ราย ข้อความว่า รีวิวการเดินทางเข้าประเทศเกาหลีรีวิวตมเกาหลีกันค่ะ เราแต่งตัวแบบนี้ไปนะคะ แล้วก็มีกระเป๋าน้องเหลืองแบบนี้แหละไปเลย โหลดใต้เครื่อง ตม.ถามแป้งแค่ 2 ประโยคนะคะแล้วแป้งก็ผ่านเลย…

How long you stay here? ตอบ 4 days

This is your hotel, right? พร้อมกับหันแผ่น Arrival card มาที่เรา ตรงช่องที่อยู่ที่เราเขียน

ตอบ Yes…For the 2 first night and the second one is ibis ambassador Myeongdong.

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ติดแสตมป์ให้แล้วยื่น พาสปอร์ต ผ่านไปได้เลยค่า (เจ้าหน้าที่ผู้หญิงค่ะ)

แต่ของแฟนเราไม่ผ่าน เพราะตอบคำถามตม.ได้ไม่เคลียร์ โดนส่งกลับไทย ด้วยความที่เดินทางครั้งแรก นางเลยตื่นเต้น รู้ทั้งรู้ว่าจะตอบอะไร แต่ปากดันไปตอบไม่รู้ แฟนก็บ่นว่า งงตัวเองโมโหตัวเอง แต่ถือว่าได้เรียนรู้ ไว้มาแก้ตัวใหม่

เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่า ‘ไม่มีศักยภาพมากพอที่จะเที่ยวประเทศเขาค่ะ’ และ ‘ไม่สามารถระบุรายละเอียดแจกแจงได้อย่างชัดเจน’ เลยส่งกลับไทย

Additional** จน.บอกแฟนอีกว่า แฟนดูไม่มีความพร้อมที่จะเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศเกาหลี การสื่อสารไม่สามารถเอาตัวรอดได้** ประมาณนี้เลย ที่จำ ๆ ได้

ย้ำว่ามันเป็น Case แล้วแต่บุคคล ไม่อยากให้คนอ่าน อ่านแล้วคิดว่าตัวเองจะเจอแบบนี้ แค่อยากเป็นอีกนึงประสบการณ์บอกเล่า ไม่ต้องเชื่อ 100% นะคะว่าทุกคนจะเจอเหมือนกัน เพราะคนละคน คนละกรณี

ส่วนตัวเราเข้าใจทั้งตัวแฟนแล้วก็เข้าใจทางเจ้าหน้าที่นะคะ ว่าทำไมเขาถึงส่งกลับแล้วก็เข้าใจแฟนมาก ๆ เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกของเขา แล้วก็เขาเป็นคนที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้นแบบฟิลเหมือนว่าเราตื่นเต้นมาก ๆ แล้วพอเราทำอะไรผิดไปครั้งแรกปุ๊บทุกอย่างมันก็จะล้ม ๆ ไปหมดเลย

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเราก็ซ้อมก็คุยกันมาค่อนข้างเยอะ เขาโอเคเขาเข้าใจหมดว่าเราจะไปไหนทำอะไรแต่พอไปอยู่หน้าตม.จริงๆ อ่ะ คือเหมือนเขาตื่นเต้นด้วยความที่แบบเพิ่งลงจากเครื่อง

อะไร ๆ ก็แล้วแต่มันเลยทำให้แบบพอได้ทำพลาดไป 1 ครั้ง มันก็คือแตกตื่นไปหมดเลย … ก็เลยคุยกันว่า ถือว่าเป็นบทเรียนอย่างน้อย เขาก็ไม่ได้ห้ามเราเข้าประเทศตลอดไป เขาก็บอกว่าเออเราไม่มีประสิทธิภาพพอเฉยๆ ก็ไว้ครั้งหน้าเราก็อุดรอยรั่วทำทุกอย่างใหม่ก็แค่นั้น ปลอบใจกันไป

ดังนั้นนะคะใครที่จะเข้าเกาหลีเนี่ย แต่งตัวดีอาจจะมีส่วนก็ได้แต่ว่าที่แน่ ๆ คือต้องสื่อสารให้รู้เรื่องค่ะให้ชัดเจนว่า จะไปไหน ทำอะไร มายังไงแบบไหน ซึ่งข้อมูลพวกนี้มันเป็นข้อมูลพื้นฐานเลยเพราะว่าเราไม่ได้อยู่ประเทศตัวเองอ่ะ

เพราะฉะนั้นเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศเราต้องรู้ว่าเราจะไปไหนทำอะไรเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตรอดในเกาหลีค่ะ แล้วก็สกิลภาษาก็สำคัญ เพราะว่าภาษาอังกฤษของเราถ้ามันอ่อนมากๆ สื่อสารไม่รู้เรื่องเนี่ย มันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เจ้าหน้าที่เริ่มคิดแล้วว่าเออควรส่งเขากลับไม่ควรให้เข้ามาในเกาหลี เพราะกลัวว่านักท่องเที่ยวคนนี้จะเอาตัวรอดไม่ได้

2. เนี่ยจำนวนเงินก็สำคัญค่ะ มากไปก็ไม่ดีน้อยไปก็ไม่ได้นะคะ ก็ต้องแบบพอดีพอกัน แจกแจงให้ชัดเจนว่า มีทั้งเงินสดมีทั้งเงินในการ์ดอะไรยังไง…

แต่ทั้งนี้สุดท้ายมันก็อาจจะขึ้นกับดวงก็ได้นะคะ เพราะว่าทุกอย่างที่เขียนมาเนี่ยมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์ของแป้งเองนะ ไม่ได้แบบรู้ลึกรู้จริงอะไร เล่าจากประสบการณ์ที่เจอมาแล้ว ก็เล่าจากความคิดเห็นของตัวเองนะคะ ขอย้ำว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเรา เพราะว่ามันก็มีรีวิวว่าแบบบางคนเขาทำทุกอย่างถูกต้องหมดเลยมีทุกอย่างแจกแจงได้หมดแต่ก็ยังโดนส่งกลับเราก็ไปเจอรีวิวนี้มาเหมือนกันเพราะฉะนั้นดวงก็อาจจะมีส่วนก็ได้ค่ะ #สู้ๆนะคะ”

นอกจากนี้ หญิงสาวเจ้าของเรื่องก็ยังเข้ามาอธิบายเพิ่มเติม ถึงกรณีถูกส่งตัวกลับนั้นมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย โดยเธอให้คำตอบไว้ว่า “เคสส่งกลับ เจ้าหน้าที่ฯ จะไปหาตั๋วที่กลับไทยด่วนที่สุดให้เรา และดีลกับสายการบินราคาที่ถูกที่สุดให้ค่ะ และคนที่โดนส่งกลับจะอยู่ในสนามบินตลอด ออกไปไหนไม่ได้ ขากลับก็จะพาไปส่งโซนรอขึ้นเครื่องเลยค่ะ

ส่วนกระเป๋าเขาก็จะส่งกลับไปให้ด้วย และค่าตั๋วจ่ายเงินสด เงินไทยหรือเงินวอนเท่านั้น ไม่รับโอน รูด หรือเครดิตการ์ดใดๆ เงิน us, aud ก็ไม่รับค่ะ ค่าตั๋วที่จ่ายล่าสุดคือ 90,000 วอน”

รู้จัก 'มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช' สส.ภูมิใจไทย เพื่อนร่วมทริปล่าแสงเหนือของหมอพรทิพย์

(30 ก.ย.66) จากกรณีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแห่แชร์คลิปที่มีผู้นำมาลงใน TikTok เป็นคลิปที่ชายคนไทยคนหนึ่งกล่าวขับไล่ผู้หญิงคนหนึ่งคล้าย หมอพรทิพย์ พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขณะเดินทางในต่างประเทศ ซึ่งชายคนดังกล่าวต่อว่าด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษด้วยถ้อยคำค่อนข้างรุนแรง

จากนั้นหญิงสวมเสื้อกันหนาวสีเขียวที่เดินทางมากับหมอพรทิพย์ พยายามถามว่าเป็นร้านของชายคนนี้จริงหรือไม่ ชายคนนี้ยืนยันและเรียกพนักงานมาเชิญตัวออกไป ทำให้คนดังกล่าวที่มากับคุณหญิงพรทิพย์บอกกลับไปว่าพวกตนมาเที่ยวและอยากให้แยกแยะ ชายคนนี้ตอบว่าเพราะตนแยกแยะจึงไล่คุณหญิงพรทิพย์คนเดียว คนอื่นจะใช้บริการของร้านต่อก็ไม่มีปัญหา

แม้กล่าวไล่ต่อไปแต่คุณหญิงพรทิพย์และคนที่มาด้วยยังไม่ออกไปจากร้าน และคนที่มาด้วยยังโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปชายคนนี้ ชายคนนี้ยังยืนยันที่จะกล่าวไล่คุณหญิงพรทิพย์ออกไป ทำให้ในที่สุด สว. และคนที่มาด้วย เดินออกไปจากร้าน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า หญิงเสื้อกันหนาวสีเขียวที่เดินทางไปกับ หมอพรทิพย์ คือ นางสาว มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช หรือ เปิ้ล สส.ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย 

โดยในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ สส.เปิ้ล ได้โพสต์ภาพการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ ร่วมกับหมอพรทิพย์และคณะ พร้อมติดแฮชแท็ก #ทริปไอซ์แลนด์ #เที่ยวกับหมอพรทิพย์ #ล่าแสงเหนือ คาดว่าน่าจะเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา

>> สำหรับประวัติของ มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ...

เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ปัจจุบันอายุ 59 ปี เป็นบุตรสาวของ นายกมล จิระพันธุ์วาณิช อดีต สส. ลพบุรี 8 สมัย และ นางพยงค์ จิระพันธุ์วาณิช และเป็นน้องสาวของนายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาการมัธยมศึกษา จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น กับ นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และ ระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

มัลลิกา เข้าสู่วงการการเมืองด้วยการเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองลพบุรี ในช่วงปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2538 และ และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี เขตอำเภอท่าวุ้ง ในช่วง พ.ศ. 2547 ถึง พ.ศ. 2552 ก่อนที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในการเลือกตั้งซ่อมของจังหวัดลพบุรี แทนบิดาที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ใน พ.ศ. 2552 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา 

มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 4 สมัย คือ...

1. การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2552 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา

2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย

3. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย

4. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย

‘อ.วิริยะ’ ชี้ ‘การศึกษา’ คือ ‘การลงทุน’ ที่คุ้มค่าที่สุด

“การศึกษา คือ การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด…
และส่งผลระยะยาวต่อเศรษฐกิจและสังคม”

อาจารย์วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ นักวิชาการอิสระ นักพูด นักเขียนด้านการศึกษา กล่าว

‘ตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า’ สัญญาณการเติบโตที่สดใส หลัง ‘ผู้ผลิต-ภาครัฐ’ หนุนเทรนด์รักษ์โลก ดันไทยสู่ฮับอาเซียน

เมื่อไม่นานมานี้ ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เฉพาะแค่รถยนต์ 4 ล้อ เท่านั้น สัญญาณการเติบโตของ ‘มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า’ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน 

ประเทศไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นฮับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของภูมิภาค ด้วยศักยภาพของตลาด EV ในประเทศไทยที่เติบโตสูงสุดในอาเซียน 

และในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค ที่มี Supply Chain ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ครบวงจร รวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายในสู่ EV อย่างชัดเจนจากหน่วยงานภาครัฐอย่างเช่น บีโอไอ เป็นต้น

มาตรการสนับสนุนการลงทุนของบีโอไอใน กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะอยู่ในรูปแบบ ‘Package’ ประกอบด้วยการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่และการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า และกำหนดให้ผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนมีการจัดทำแผนต่าง ๆ 

เช่น แผนการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วน แผนการพัฒนาสถานีประจุไฟฟ้าและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ไฟฟ้า แผนการพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ (Local Supplier) ในด้านเทคโนโลยี ซึ่งเอื้อต่อการสร้าง Ecosystem ในประเทศให้กับอุตสาหกรรมนี้อย่างยั่งยืน และยังช่วยสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าไปมีบทบาทใน Supply Chain ยานยนต์ไฟฟ้าโลกมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม 6 แบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เข้ามาช่วยเพิ่มกระแสความน่าสนใจของอุตสาหกรรม EV อีกหนึ่งกลุ่มของยานพาหนะไฟฟ้าที่กำลังสร้างโอกาสและความเป็นไปได้ให้กับผู้ประกอบการในยุครักษ์โลก มีดังนี้

1. Zero Motorcycles - หนึ่งในผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในโลก รุ่นยอดนิยมที่สุด คือ SR/S ดีไซน์สวย ทรงพลัง และปราศจากมลพิษ 

2. Energica - แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างรถซูเปอร์ไบค์ไฟฟ้า (Electric Superbike) ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ผลิตรุ่น Ego หนึ่งใน มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลก 

3. Super Soco - แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีจุดเด่นที่แบตเตอรี่สามารถถอดเปลี่ยนได้และมีช่องเก็บแบตเตอรี่สำรองภายในรถ ตอบโจทย์การขับขี่ระยะไกล

4. Lightning - มีจุดเด่นเรื่องความเร็วที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

5. Vespa - บริษัทรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้ผลิตรถสกู๊ตเตอร์ ‘Vespa Elettrica’ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสุดคลาสสิกที่คงเอกลักษณ์แบรนด์สกู๊ตเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

6. Harley-Davidson - บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในตำนาน ที่ในปี 2562 ได้เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ‘LiveWire’ ซึ่งเป็นโมเดลมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าโมเดลแรกของ Harley-Davidson ที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่รักเทคโนโลยีและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยไม่ลืมเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Harley-Davidson 

นอกจาก จะเป็นพาหนะที่เป็นวิถีของคนรุ่นใหม่แล้ว มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังช่วยเพิ่มโอกาสและเสริมสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้แข็งแกร่งไม่เป็นรองชาติใด

‘อินโดนีเซีย’ มีแผนสั่งแบนห้ามซื้อขายสินค้าบน ‘เฟซบุ๊ก-TikTok’ หลังพบขายของประชันราคา ทำให้ผู้ค้าในตลาดทั่วไปรับผลกระทบ

เมื่อไม่นานมานี้ รอยเตอร์รายงาน ว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซียแถลงต่อรัฐสภาอินโดนีเซีย ว่า รัฐบาลแดนอิเหนามีแผนที่จะสั่งห้ามการซื้อขายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก TikTok และอื่นๆ

รัฐมนตรีอินโดนีเซียหลายคนออกมาแสดงความเห็นว่า ผู้ค้าบนโซเชียลมีเดียใช้เล่ห์ทางราคาส่งผลกระทบต่อผู้ขายในตลาดปกติทั่วไปภายในประเทศ

รอยเตอร์ชี้ว่า ปัจจุบันกฎหมายของอินโดนีเซียยังไม่ครอบคลุมในการซื้อขายโดยตรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

“โซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซยังไม่สามารถรวมกันได้” เจอร์รี ซัมบัวกา (Jerry Sambuaga) ผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซียแถลงต่อหน้ารัฐสภา พร้อมกันนี้เขายังใช้ตัวอย่างผู้ขายใช้การขายของไลฟ์สดบน TikTok เป็นตัวอย่างให้เห็น

เขากล่าวต่อว่า “การแก้ไขข้อกฎกำหนดทางการค้านั้นกำลังดำเนินการที่จะมีการสั่งห้ามอย่างเข้มงวดและชัดเจนต่อสิ่งนี้”

TikTok ได้กล่าวแถลงตอบโต้ว่า “การแบ่งแยกโซเชียลมีเดียและการซื้อขายทางออนไลน์ออกจากแพลตฟอร์มเดียวจะเป็นการทำลายการสร้างสรรค์ และทางแพลตฟอร์มหวังว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะเปิดโอกาสพื้นที่ให้บริษัท”

โฆษก TikTok ประจำอินโดนีเซียกล่าวผ่านแถลงการณ์วันพุธ (13 ก.ย.) มีใจความว่า “มันจะเป็นการเสียโอกาสสำหรับผู้ค้าอินโดนีเซียและต่อผู้บริโภคทั้งหลาย”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา TikTok ที่มีผู้ขายถึง 2 ล้านคนในแดนอิเหนาได้เคยออกมาประกาศก่อนหน้าว่า ทางแพลตฟอร์มยังคงไม่มีแผนเปิดธุรกิจข้ามพรมแดนในอินโดนีเซียหลังเจ้าหน้าที่แดนจาการ์ตาได้เคยออกมาเปรยว่า หากทำเช่นนั้นจะส่งผลให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในอินโดนีเซีย

อ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Momentum Works พบว่า อินโดนีเซียที่มีประชากรมากกว่า 270 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 52 พันล้านดอลลาร์สำหรับธุรกรรมอีคอมเมิร์ซแค่ในปีที่ผ่านมา

และจากจำนวนทั้งหมดพบว่า 5% อยู่บน TikTok โดยเฉพาะการขายผ่านไลฟ์สตรีม

CNN รายงานเพิ่มเติมว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการทดลองฟอร์แมตใหม่ของการช้อปปิ้งในหลายตลาด เป็นต้นว่าในอังกฤษ และหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ล่าสุด (12 ก.ย.) พบว่า ByteDance เปิดตัว TikTok Shop ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอคลิปสั้นสำหรับธุรกิจสำหรับช่องทางอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ ที่มีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านยูสเซอร์

ที่ดูเหมือนเป็นการชนกับบริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ‘แอมะซอน’ เพราะอ้างอิงจาก engadget พบว่าภายใน TikTok Shop นั้นจะรวมไปถึง Shop Tab สำหรับผู้ค้าที่จะสามารถแสดงสินค้า และวิดีโอที่เกี่ยวข้องจากลูกค้าที่จะทำให้ผู้สร้างได้รายได้ค่าคอมมิชชันและโฆษณาสำหรับธุรกิจ

นอกเหนือจากนี้พบว่า TikTok ยังเปิดบริษัทโลจิสติกส์ขนส่งของตัวเองเพื่อตอบสนองชื่อ Fulfilled by TikTok คล้ายกับ Fulfilled by Amazon ที่จะเชื่อมกับโกดังสินค้าและการขนส่งสำหรับผู้ค้าที่จดทะเบียน

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ Nico Le Bourgeois ได้เปิดเผยว่า TikTok Shop นั้นมีผู้ค้าลงทะเบียนแล้วกว่า 200,000 ราย และผู้สร้างสรรค์ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายที่ได้เข้าสู่การไลฟ์สตรีมขายสด

Engadget รายงานว่าปัจจุบัน Shop Tab นั้นเปิดให้ผู้ใช้ 40% จากทั้งหมดและคาดว่ารูปแบบเต็มที่จะเปิดให้ผู้ใช้ทั้งหมดในสหรัฐฯ จะมาถึงได้เร็วสุดภายในต้นตุลาคมนี้

CNN รายงานว่า TikTok มีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายทางอีคอมเมิร์ซให้ได้ 4 เท่าภายในสิ้นปี คาดว่าจะแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ 

บิ๊กเคลียร์!! 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' กอดเอวจับมือ ลงตัว!! จากนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' เดินหน้า ทิ้งคำว่า 'ผบ.ตร.' สักคำรบ

เช้าวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. คอการตำรวจ คอการเมืองได้เห็นภาพสองบิ๊กสีกากี … ‘บิ๊กต่อ’ กับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ยืนกอดเอวกันในห้องทำงานของ ‘บิ๊กต่อ’ ที่กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษหรือคอมมานโด เมืองทองธานีแล้ว...หลายคนก็คงจะรู้สึกดีประมาณว่า...เสือสองตัวน่าจะอยู่ในถ้ำเดียวกันได้แล้ว วงการตำรวจก็น่าจะดีขึ้น

แต่อีกกลุ่มที่อาจจะซาดิสม์เล็กน้อย ก็อาจจะมองว่า...นี่มันมวยล้มต้มคนดูกันชัดๆ นี่หว่า...เพราะไม่กี่วันก่อน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังประกาศเปรี้ยงว่า มีข้อมูลในมือเยอะ เปิดเผยเมื่อไหร่ตายกันยกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่เลย..ไหงอยู่ดีๆ จับมือจูบปากกันซะแล้ว!! 

ครับ ก็สุดแท้แต่มุมมองของแต่ละท่าน…

ถ้าถามมุมมองของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องมองแบบนักวิเคราะห์ว่า … ทันทีที่ มติ ก.ตร.ออกมา 9:1:2 เห็นชอบให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผงาดสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 14 ‘บิ๊กโจ๊ก’ เองก็คงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร...การที่จะสวมบท ‘โจ๊ก อัคนี’ อย่างที่ทนายอนันตชัยตั้งฉายาให้ก็มีแต่จะเผาไหม้ตัวเอง ผ่อนเกียร์เร่งลง ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ใหม่อีกรอบน่าจะเป็นการดีต่อชีวิตที่สิบของแมว…

ส่วนประเด็นว่า...การไปกินข้าวล้างใจและกอดเอวกันนั่น ใครชวนใครกันแน่ อันนี้ข่าวลึกยังไม่แจ้งชัด แต่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เชื่อจากรายงานข่าวส่วนตัวว่า ‘บิ๊กต่อ’ เป็นคนเชิญชวน เป็นการสนองนโยบายของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่บอกบิ๊กต่อว่าอยากเห็นภาพความรักความสามัคคีกันระหว่างสองบิ๊ก...บังเอิญว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ ก็อยากลดดีกรีความร้อนแรงลงพอดี...ทุกอย่างก็ลงตัว

อย่างไรก็ตาม ภาพกอดเอวจับมือกันดังกล่าว กล่าวกันอย่างถึงที่สุดก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จากนี้ไปความขัดแย้งขัดแข้งขัดขาขัดผลประโยชน์กันในสตช.จะลดระดับลง หรือคดีสำคัญต่างๆ ที่งัดกันมาเล่นจะหายวับไปกับตา...เพียงแต่เดือนสองเดือนนี้คงจะลดความร้อนแรงลงบ้าง...ฝ่ายบิ๊กโจ๊กที่คิดจะดับเครื่องชนก็คงเบาเครื่องลง…

ประเด็นต่อมา...ถามว่าปลายปีหน้า 2567 เมื่อ ‘บิ๊กต่อ’ ลงจากตำแหน่งแล้ว ‘บิ๊กโจ๊ก’ ซึ่งจะเป็นรองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับที่ 1 มีโอกาสขึ้น ผบ.ตร.หรือไม่...คำตอบคือ…มี แต่ไม่มาก...และต้องย้ำว่าอาวุโสสูงสุดไม่ใช่หลักประกันการันตีว่าจะต้องได้ แต่หากว่าปีนี้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 1 ได้ขึ้น ผบ.ตร. โอกาสของบิ๊กโจ๊กในปีหน้าจะมีมาก เพราะถือว่าปีนี้ได้ใช้หลักอาวุโสนำร่อง...ความชอบธรรมของบิ๊กโจ๊กที่จะขึ้นย่อมมีมาก แต่น่าเสียดายที่ พล.ต.อ.รอย ท่านวืดไปแล้ว...!!

สรุปว่า...จากนี้ไปจนถึง 2574 ปีเกษียณ ‘บิ๊กโจ๊ก’ มีเวลาอีกไม่น้อย แต่ก็ต้องบริหารโอกาสของตัวเองให้ดี เพราะสถานการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...จาก 'โจ๊ก หวานเจี๊ยบ' เป็น 'โจ๊ก อัคนี' เห็นทีจะต้องกลับสู่สามัญ...เป็น โจ๊ก ธรรมดา ใส่ไข่แค่ฟองเดียวก็พอแล้ว…

ค่าของคน อยู่ที่เป็นคนของใคร...ปล่อยให้เขาว่ากันไป...แต่ค่าของโจ๊กต้องอยู่ที่ผลของงาน...สวมวิญญาณไม่ต้องหมกมุ่นกับตำแหน่ง ผบ.ตร. และเกมอำนาจดูสักตั้ง...ฟ้าดินน่าจะเข้าใจและเคียงข้าง!!

ตร.ภ.ภาค 2 เชิดชูเกียรติข้าราชการตำรวจ เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติ ในวาระข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2566 ของตำรวจภูธรภาค 2 

โดยมีผู้บังคับบัญชาของตำรวจภูธรภาค 2 คณะที่ปรึกษาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 เข้าร่วมพิธี ณ ห้องประชุม NICE สวนนงนุช พัทยา ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี

‘องค์การสวนสัตว์ฯ’ ขอขึ้นค่าตั๋วครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังรายได้ลดลง ดีเดย์ 1 ต.ค.นี้ อนาคตพร้อมเดินหน้าให้เอกชนเช่าพื้นที่หารายได้เสริม

(30 ก.ย.66) นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวกับประชาชาติธุรกิจ ว่า หลังการจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๓ ปัจจุบันมีสวนสัตว์และโครงการสวนสัตว์อยู่ในความดูแลจำนวน 7 แห่ง ประกอบไปด้วย สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์สงขลา, สวนสัตว์อุบลราชธานี, สวนสัตว์ขอนแก่น และโครงการสวนสัตว์คชอาณาจักร ที่ดูแลช้างเร่ร่อนกลับคืนถิ่นอีกจำนวน 200 เชือก

ที่ผ่านมา องค์การสวนสัตว์ฯ ได้พัฒนาสวนสัตว์ จากเดิมที่คนมองว่าเป็นสถานที่กักขังสัตว์ให้เป็นสวนสัตว์สมัยใหม่ หรือ modern zoo ที่คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ โดยมีพันธกิจ ประกอบไปด้วยการให้ความรู้เป็นแหล่งเรียนรู้ การวิจัยและการศึกษา, การสร้างคนที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลสัตว์, การสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้ให้กับคน และการพักผ่อนสันทนาการ โดยรายได้สวนสัตว์มาจาก 2 ส่วนคือ ค่าบัตรผ่านประตู กับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ซึ่งปัจุบันไม่เพียงพอที่จะบริหารจัดการสวนสัตว์ทั้งหมดได้

ล่าสุด คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ได้มีมติยอมให้องค์การสวนสัตว์ฯ ปรับอัตราค่าบริการเข้าชมสวนสัตว์ใหม่ทั่วประเทศ หลังจากที่ไม่ได้ปรับขึ้นมากว่า 10 ปี โดยราคาบัตรเข้าชม ผู้ใหญ่จากเดิม 100 บาทเป็น 130 บาท เด็กเก็บ 20 บาทเท่าเดิม ส่วนชาวต่างชาติ จากเดิม 150 บาทเป็น 250 บาท ยกเว้นสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ผู้ใหญ่ จากเดิม 150 บาทเป็น 200 บาท เด็กเรียกเก็บเท่าเดิม 30 บาท ชาวต่างชาติจากเดิม 250 บาทเป็น 300 บาท ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เรียกเก็บอัตราค่าบริการเพิ่มสูงกว่าสวนสัตว์ทั่วไป เพราะเป็นค่าบริการ+service ที่ให้คุณภาพการบริการมากกว่าสวนสัตว์ตามปกติ

“เรามีความจำเป็นต้องขึ้นราคาตั๋วเข้าชมสัตว์ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากปรับขึ้นราคาเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าบริหารจัดการ คน อาหาร ต้นทุนในการดำเนินการสวนสัตว์ขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว ยกตัวอย่าง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กล้วยเลี้ยงสัตว์หวีละ 8-11 บาท ปัจจุบัน 18-25 บาท ค่าอาหารสัตว์ก็ปรับสูงขึ้น น้ำมันจากเดิมลิตรละ 17 บาท ตอนนี้ก็เป็น 30 บาท เงินเดือนค่าจ้างบุคลากรของสวนสัตว์ขึ้นหมด ในขณะที่รายได้ของเราลดลง ประกอบกับสวนสัตว์เขาดิน ซึ่งเป็นสวนสัตว์ที่ทำรายได้สูงสุดปิดตัวลงไปหลังปี 2561 แถมเรายังต้องมาเผชิญกับการล็อกดาวน์ จากการระบาดของโควิด-19 เป็นระลอก ๆ ถึง 3 ปีด้วย” นายอรรถพรกล่าว

ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาอัตราค่าบริการเข้าชมสวนสัตว์ ยกเว้นสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จะมีการปรับขึ้นราคาแบบขั้นบันได 5 ปี กล่าวคือ หลัง 1 ต.ค. 2566 ปรับขึ้นเป็น 130 บาท ต่อจากนั้นอีก 2 ปีปรับขึ้นเป็น 150 บาท ปีต่อมาปรับขึ้นเป็น 180 บาท และปีสุดท้ายปรับขึ้นเป็น 200 บาท จากเดิมที่ขอขึ้นราคาในปีแรกเป็น 150 บาทเลย ส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ให้กับสวนสัตว์ก็ลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน จากเดิมรัฐบาลอุดหนุนเพิ่มให้ปีละ 80% จากรายได้ก็ลดลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันอุดหนุนอยู่ที่อัตรา 40% ของรายได้ นั่นหมายถึง สวนสัตว์จะต้องหารายได้เพิ่มขึ้นเตรียมไว้ในอนาคตด้วย

สำหรับเป้ารายได้ของสวนสัตว์ในปีนี้ได้ตั้งไว้ที่ 420 ล้านบาท (31 ก.ย. 2566) ซึ่งเกินเป้าไปแล้วไม่มากนัก หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ขณะที่ก่อนหน้านี้จากช่วงก่อนการระบาด สวนสัตว์ทั่วประเทศเคยทำรายได้อยู่ระหว่าง 500-600 ล้านบาท (หลังปิดสวนสัตว์เขาดิน) พอมาถึงช่วงการระบาดโควิด-19 รายได้รวมลดลงเหลือเพียง 200 ล้านบาท/ปี

“ถือว่าเราโชคดีมากที่การระบาดสิ้นสุดลงในช่วง 3 ปี เพราะในปีที่สุดของการระบาด องค์การสวนสัตว์แทบไม่มีรายได้เข้ามา ต้องใช้เงินเก็บออกมาจ่ายเป็นค่าบริหารจัดการสวนสัตว์ รวมถึงเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ด้วย มาถึงตอนนี้รายได้ก็เริ่มฟื้นตัว ณ วันที่ 3 มีนาคม 2566 มีจำนวนผู้เข้าชมสวนสัตว์ทั้งหมด 3,100,249 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติ 29,253 คน สรุปรายได้ล่าสุด ณ ปีงบประมาณ 2565 ปรากฏรายได้นอกงบประมาณ 396,380,075.27 บาท มีค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 390,305,116.28 บาท หรือมีกำไรจากการดำเนินงานเพียง 6,074,958.99 บาทเท่านั้น” นายอรรถพร กล่าว

ส่วนคำถามที่ว่า หลังจากปรับขึ้นอัตราค่าเข้าชมสวนสัตว์หลังวันที่ 1 ต.ค.แล้ว แน่นอนว่า คุณภาพในการให้บริการของสวนสัตว์จะต้องดีขึ้น มีส่วนแสดงสัตว์ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งตามความจริงแล้ว สวนสัตว์ปรับปรุงการให้บริการมาโดยตลอด เรียกว่า “ทุกอย่างมันมีการปรับปรุงไปก่อนหน้านี้แล้ว การขึ้นค่าตั๋วจึงเป็นการขึ้นราคาตามหลังบริการ ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนการดำเนินกิจการของเรามันปรับขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว” นายอรรถพรกล่าว โดยในอนาคตสวนสัตว์มีโครงการหารายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลเช่าพื้นที่ที่มีศักยภาพในสวนสัตว์แต่ละแห่ง

เคาะ 'สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว' นั่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี หลังนายกฯ เซ็นลงนาม เสริมแกร่งพัฒนาบ้านเมือง

เมื่อวันที่ 28 ก.ย.66 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ลงนามโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 มีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง นั้น

อาศัยอำนาจตามความในข้อ 3 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 จึงแต่งตั้ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

‘ธนกร’ ปลื้ม นทท.แห่มาไทยเพียบ เงินเข้าประเทศกว่า 8 แสนล้านบาท ชี้ เป็นผลพวง ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’ สอดคล้อง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ เร่งเครื่องเต็มที่

(30 ก.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีนักท่องเที่ยวแห่บินเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยเรา ตั้งแต่ 1 มกราคม จนถึง 24 กันยายน 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาจากต่างประเทศจำนวนมาก

เมื่อถามว่า การที่รัฐบาลออกนโยบายเร่งด่วน มาตรการวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวชาวจีนกับคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวอย่างไร  นายธนกร กล่าวว่า จากข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น และมากที่สุดคือ  มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดียและรัสเซีย กลุ่มเหล่านี้ก็เป็นนักท่องเที่ยวที่นิยมมาเที่ยวประเทศไทย อย่างที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลนี้ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นมาตรการเร่งด่วน ที่สำคัญถือเป็นผลพวงมาจากการที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด และรัฐบาลชุดนี้ก็เร่งเครื่องภาคธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย 

นายธนกร กล่าวว่า มาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการท่องเที่ยว แบบวีซ่าฟรี ให้กับจีนและคาซัคสถาน คาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งปีรวมแล้ว เกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เดิมที่ 30 ล้านคน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากที่สุดคือ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมรายได้จากการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.15 แสนล้านบาท นักท่องเที่ยวไทย 5.12 แสนล้านบาท 

นายธนกร กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น เราก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้มั่นใจว่า เมื่อมาเที่ยวประเทศไทย ต้องเที่ยวอย่างปลอดภัย ประทับใจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ปีที่ผ่านมา เข้ามาเที่ยวประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 แต่ปีนี้ลดลงมารองจากมาเลเซีย เกิดจากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทยในเรื่องความปลอดภัย ประกอบกับการฟื้นตัวของสายการบินที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่

นายธนกร กล่าวว่า ในระยะสั้นและระยะต่อไป เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง มาพักอาศัยเป็นระยะเวลานาน รัฐบาลอาจส่งเสริมให้ไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่นักท่องเที่ยวจะได้รับความประทับใจในการให้บริการด้านสุขภาพ ด้านการพักผ่อน หรือแม้กระทั่งมาใช้ประเทศไทยในการพำนักหรือมาทำงานทางไกล รวมถึง สนับสนุนคนไทยเที่ยวในประเทศแทนการไปเที่ยวต่างประเทศก็จะช่วยรักษาเม็ดเงินหมุนเวียนจากการท่องเที่ยวภายในประเทศไม่ไหลออกได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top